หัวข้อ: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เริ่มหัวข้อโดย: simma557 ที่ เมษายน 22, 2011, 10:13:18 PM พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง "สัตว์บางพวกกลับมาเกิด อีกพวกที่ทำบาป ไปนรก พวกที่ทำดี ไปสวรรค์ ท่านที่หมดอาสวกิเลส ปรินิพพาน" ตอนที่ ๑ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอเล่าตามที่พอนึกออกหรือจำได้ ซึ่งรายละเอียดอาจคลาดเคลื่อน ขาดๆ เกินๆ บ้าง หรือบางเหตุการณ์ และเวลาอาจจำสลับสับสนกันได้ เพราะ สัญญามันอนิจจัง ตามขันธ์ ๕ จริงๆ อย่างไรก็ดีหากบรรดาท่านทั้งหลายจะคิดว่า เป็นเรื่องจริงอิงความจำที่ขาดๆ เกิน เบลอๆ ก็ได้ ถ้าจะให้แม่นยำเหมือนจดบันทึกหรือถอดเทปนี่คงไม่ไหวครับ งั้นคงไม่ต้องอ่านกันแล้ว แต่สาระสำคัญนี่คงไม่ผิดแน่ครับ เมื่อโพสแล้วหากนึกออกภายหลัง หรือมีท่านที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ รวมทั้งพี่ดำ พี่เฉลิม จะมาบอกรายละเอียดข้อเท็จ หรือเพิ่มเติมภายหลัง ผม ก็ยินดีอย่างยิ่ง จะรีบนำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ทันทีครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ หลวงพ่อได้บอกบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ซอยสายลมบ้านเจ้ากรมเสริมทราบล่วงหน้าว่า (วันที่..พ.ศ...ยังนึกไม่ออกครับ) ซึ่งเป็นวันงานฉลองวัด ในวันนี้จะมีพระดีมาโมทนา และมาเพื่อโปรดบรรดาพุทธบริษัทจำนวนมาก มีทั้งพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระประหลาด ท่านเหล่านี้จะมาแสดงให้ปรากฏให้เห็น ทั้งลักษณะที่มีกายเนื้อในปัจจุบัน และ กายเนื้อที่เบื้องบนท่านเนรมิตลงมาโปรด ท่านบอกว่าให้สังเกตุให้ดีๆ ว่า สมเด็จองค์ปฐมท่านจะมาแสดงให้เห็นในลักษณะที่คล้ายหลวงปู่ปาน ซึ่งท่านเคยมาแสดงให้หลวงพ่อเห็นก่อนหน้านานแล้ว และได้หล่อรูปเหมือนไว้ที่ศาลาองค์ที่ ๑๐ ใต้โคนโพธิ์ริมแม่น้ำ พวกเราบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายนี่ดีใจมาก ตื่นเต้นมาก ใจจดใจจ่อ อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ ก่อนวันงานเราสามคนเดินทางล่วงหน้าไปก่อนมีผม พี่ดำ พี่เฉลิม วันนั้นเรานั่งรถบัสโดยสารประจำทางออกจากกรุงเทพฯ - อุทัยธานีช่วงบ่ายๆ เราจึงไปถึง อ. มโนรมณ์ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. (ซึ่งก็มืดแล้ว) จากนั้นก็ข้ามแพไปต่อรถสองแถวเพื่อไปลงที่หน้าวัดท่าซุง แต่ปรากฏว่ารถสองแถวหมดเวลาวิ่งพอดี หลังทานข้าวเสร็จเวลาก็ปาเข้าไปหนึ่งทุ่มแล้ว ต่างจังหวัดนี่ดูมืดเร็วกว่าปกติเพราะไฟฟ้ามีน้อย เราสามคนจึงตัดสินใจเดินเท้าจากท่าแพมโนรมณ์มาที่วัดท่าซุง บังเอิญวันนั้นโชคดีหน่อยที่เดือนหงายทำให้มองเห็นทางที่เดินชัดเจน รู้สึกว่าเราเดินท่ามกลางเดือนหงายตอนกลางคืนต่างจังหวัด ที่ข้างทางมีทุ่งนา ป่าละเมาะ บางแห่งก็เป็นป่าคลื้มๆ น่ากลัวผี มันเป็นบรรยากาศที่ดีทีเดียว อากาศไม่ร้อนทำให้ใจนึกถึงพระรัตนตรัย และจินตนาการได้ดี แต่ในใจผมนี่ก็รู้สึกหวาดๆ เหมือนกันว่าจะมีอันตรายไหมหนอ เพราะมันดูเปลี่ยววังเวงชอบกลอยู่ ไม่มีรถวิ่งผ่านมาเลย หากมีผู้ร้ายมาทำอันตรายนี่สบายเขาเลยเราตายแหงๆ ประกอบกับหลวงพ่อเคยบอกที่ศาลานวราชว่า พวกฝ่ายตรงกันข้ามมันอาฆาตโกรธแค้นหลวงพ่อมาก ที่ไปขัดขวางอุดมการณ์ของเขา หลวงพ่อจึงบอกบรรดาลูกศิษย์ที่ไปวัดว่า หลังเวลา ๑๘.๐๐ น. (หรือตอนเย็นๆ) อย่าออกไปเดินเล่นนอกวัดมันอันตราย ถ้าเขาเห็นว่าติดเหรียญหลวงพ่อ หรือเป็นลูกศิษย์นี่เขาจะทำร้ายเราต้องระวัง (สมัยก่อนโน้นฝั่งโบสถ์เก่าติดแม่น้ำยังไม่ได้เป็นของวัดท่าซุงทั้งหมด ยังหญ้ารกๆ อยู่ จำได้ว่าตอนเช้าบรรดาลูกศิษย์ทำบุญใส่บาตรที่ศาลาพระพินิจอักษร และเปิดเทปหลวงพ่อ แต่อีกฝั่งเปิดเพลงลูกทุ่งกลบเสียงเลย) แต่ก็มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง ขณะที่เราออกเดินทางจากท่าแพมโนรมณ์มาสักพัก ก็มีสุนัขฝูงหนึ่งประมาณ ๔ ตัว (จำนวนนี่ไม่แน่ใจว่า ๓ ๔ ๕ ตัว) คล้ายเขามาตีสนิทกับเราวิ่งนำหน้าบ้าง ตามหลังบ้าง ข้างๆ บ้าง เหมือนเป็นทหารดูแลพวกเรา ทำให้เราอุ่นใจเหมือนกัน ตอนแรกๆ คิดว่าบังเอิญ แต่นี่พี่แกไปส่งจนถึงวัดเลย แล้วผมเผลอแป๊บเดียวไม่รู้เจ้าสุนัขมันหายไปไหน พี่ๆ อีกสองคนไม่รู้เหมือนผมหรือเปล่า เข้าใจว่าเป็นเทวดาท่าสงเคราะห์ครับ ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่ส่วนตัวผมเข้าใจว่าเป็นเทวดาเนรมิตมา แต่ถ้าเป็นสุนัขมีเจ้าของก็คงเป็นเทวดาดลใจ หรือเข้าสิง (เอาจนได้แหะๆ) เป็นเอาว่าผมเชื่อของผมคนเดียวก็แล้วกันสบายใจดี ไม่มีใครเดือดร้อน... หัวข้อ: Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เริ่มหัวข้อโดย: simma557 ที่ เมษายน 22, 2011, 10:14:03 PM ตอนที่ ๒
หลวงพ่อด่าว่า มีมโนมยิทธิทำไมรู้จักใช้ ปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกถึงในวัด (ทำนองนี้แหละครับ) พอถึงวันงานผมและเพื่อนทั้งสาม ต่างตื่นเต้นใจจดใจจ่อหวังจะได้เจอะเพื่อกราบพระดีเหล่านั้น และเข้าใจว่าบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อที่ทราบเรื่องก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน ต่างคน ต่างกลุ่มก็ตั้งใจแสวงหาพระดีตามจุดต่างๆ ของวัด ผมก็คิดในใจว่าหากเจอะพระดีเราจะรีบถวายปัจจัยทันที เผื่อปะเหมาะเคราะห์ไม่มี ได้เจอะพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ เข้า จะได้รวยไปเลย (ดูมันคิด) จะได้ทำบุญเยอะๆ วันนั้นช่วงเช้าหลวงพ่อลงรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ ถ้าจำไม่ผิดหลังจากเสร็จงนพีธีตอนเช้าแล้ว หลวงพ่อก็นั่งสนทนาธรรมต่อตามปกติ ผมและเพื่อนก็เริ่มออกปฏิบัติการแสงหาพระดี สมัยนั้นถัดจากศาลา ๒ ไร่ก็มีศาลา ๔ ไร่ และถัดจากศาลา ๔ ไร่ไปทางด้านมณฑปพระศรีอารย์ และมณฑปสมเด็จองค์ปฐมในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่าละเมาะสลับป่าหญ้ารกเต็มไปหมด มีพระอาคันธุกะมาปักกลดกันเป็นจุดๆ ผมเดินไปเห็นพระองค์หนึ่งปักกลดอยู่โคนต้นไม้ (ถ้าจำไม่ผิดปัจจุบันต้นไม้ต้นนี้อยู่หน้ามณฑปพระศรีอารย์) ผมเห็นพระองค์หนึ่งท่าทางสำรวม หน้าตาผ่องใส สนทนาเรื่องธรรมะสอดคล้องกับหลวงพ่อชัด ผมป้อนคำถามทดสอบอย่างไรท่านตอบไม่ติดขัด ไม่ขัดกับหลวงพ่อเลย ยิ่งเรื่องกายคตานี่แป๊ะเลยแจ๋วมาก ผมทดสอบจนมั่นใจว่าใช่พระดีแน่ๆ อ้อ จำได้ว่าผมใช้มโนมยิทธิตรวจสอบดวงจิตท่านด้วย และคนอื่นที่ไปนอกจากเราก็มีอยู่หลายคนที่ไปนั่งล้อมวง คงจะตรวจสอบเหมือนผมด้วย เพราะหน้าตาแต่ละคนก็คุ้นๆ ที่เป็นครูฝึกก็มี เลยก้มลงกราบท่าน คือต่างคนต่างกราบด้วยความปิติ ผมรีบนำปัจจัยใส่ย่ามท่านอย่างไม่รอช้า และคนอื่นก็ใส่ตามบ้างต่างคนต่างใส่ โอ้ ท่านรับปัจจัยไปเพียบเลย ผมแอบลุ้นในใจให้ท่านเป็นพระอรหันต์ออกจากนิโธสมาบัติใหม่ๆ เถิดจะได้รวยปิ๊ดๆ เสียที ผมปลื้มปิติมากว่าได้พบพระดีและได้ทำบุญกับท่าน และ ข้าใจว่าทุกคนก็คงปลื้มเหมือนกัน พวกเราเดินกลับมานั่งฟังหลวงพ่อสนทนาธรรมที่ศาลา ๒ ไร่อีกครั้ง กะจะให้ท่านช่วยยืนยันว่าเราได้เจอะพระดี ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อท่านจับไมค์ประกาศเลยว่า "ขณะนี้มีพระปลอม มีคนปลอมเป็นพระ มีผู้แอบอ้าง เข้าแสวงหาลาภลักการะปักกลดในเขตวัดจำนวนมาก ได้ให้เจ้าหน้าที่ขับไล่ออกไปแล้ว ปกติพระดีได้ลาภที่วัดไหนท่านจะถวายคืนที่วัดนั้น ที่มาปลอมทั้งนั้น" ถ้าจำไม่ผิดต่อมาภายหลังหลวงพ่อท่านได้ตำหนิว่ามีทิพย์จักขุญาณไม่รู้จักใช้ ปล่อยให้เขามาหลอกได้ (สัญญาอาจจะอนิจจังนะรับ อาจคลาดเคลื่อนในรายละเอียด ต้องกราบขอขมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะที่นี้) เรานี้อารมณ์จิตจากที่อิ่มเอมปลื้มปิติมาตลอดนี่หุบเลย จิตทรุดฮวบเลย และเราก็รีบกลับไปที่จุดเดิมอีกครั้งตรงที่ๆ ท่านปักกลดปรากฏว่าหายไปแล้ว ท่านแสดงอภินิหารย์หายตัวได้แหะๆๆ ท่านหายไปพร้อมย่ามบรรจุธนบัตรเพียบ สังเกตุจุดอื่นๆ ก็เหลือปักกลดอยู่เหมือนกัน เรานี่หน้าจ๋อยเลยทำท่าจะเป็นลมเหงื่อซึมที่หน้าเลย คือหน้ามันแตกดังโป้งเลย โอ้ !! นี่ขนาดทดสอบด้วยหลักธรรมะของหลวงพ่อ แถมใช้มโนมยิทธิดูจิตพระองค์นี่ว่าแจ่มใสเป็นประกายอีกต่างหาก แสดงว่ามโนมยิทธิแจ่มใสเกินขนาดแหะๆ เลยถูกเทวดาแทรกจนได้ หลังจากนั้นพวกเราสามคนยังไม่เข็ดครับ ช่วงบ่ายก็ตะลอนๆ ไปแสวงหาพระดีอีกแหละ เดินไปทั่วในวัดนอกวัดก็ไม่พบ ในที่สุดก็เดินมาฝั่งวัดเก่า (ฝั่งตึกรับแขกปัจจุบัน) ตอนนั้นยังมีหญ้าขึ้นรก โบสถ์เก่า ๒ หลังก็คือโบสถ์หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์และโบสถ์คู่กันยังโทรมแบบเดิมๆ อยู่เลย แต่ทางวัดได้สร้างแล้วบางแห่ง เช่น วิหารสมเด็จองค์ปฐม (องค์ที่ ๑๑) ที่พระรูปเนรมิตคล้ายหลวงปู่ปาน กับองค์ปัจจุบัน และขณะนั้นตึกรับแขกกำลังก่อสร้างอยู่ พวกเราเดินไปเดินมาก็ไปเจอะพระภิกขุ ๕ องค์ ท่านยืนเรียงเป็นแถวอยู่ตรงบริเวณหน้าวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ มองดูท่านก็เป็นพระธรรมดาๆ แต่ทำไมจึงดูสง่างามจัง เหมือนไม่ใช่คน แต่ก็ใช่คน ท่านยืนเหมือนเท้าไม่ติดพื้นดิน แต่ก็ติดพื้นดิน เอ้า!! งง องค์แรกหัวแถวมีผมหงอกนิดๆ คล้ายๆ หลวงปู่ปานมาก องค์สุดท้าย (ลำดับที่ ๕) ถ้าจำไม่ผิดคล้ายองค์ปัจจุบันในรูปปั้นที่วิหารองค์ที่ ๑๑ มาก ท่านสง่างามมากอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เป็นพระธรรมดาๆ เราทั้งสามเข้าไปกราบท่านทันที หัวข้อ: Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เริ่มหัวข้อโดย: simma557 ที่ เมษายน 22, 2011, 10:14:54 PM ตอนที่ ๓
ปาฏิหารย์ และพระธรรมคำสอนขององค์ที่ ๑๑ น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งว่าในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังกราบนมัสการท่านอยู่นั้น มาทราบภายหลังว่าที่บริเวณใกล้ๆ กัน แทบจะติดกันเลยก็ว่าได้ คือที่ริมแม่น้ำบริเวณโคนโพธิ์ มีผู้คนจำนวนมากกำลังเข้าเฝ้ากราบนมัสการ และฟังธรรมจากองค์ที่ ๑๐ (องค์ปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณไม่เกิน ๑๐ เมตร ระยะใกล้แค่นี้จะถือว่าอยู่ในบริเวณเดียวกันได้เลยครับ ที่อัศจรรย์มากคือพวกเรามองไม่เห็นใครเลยเงียบ กลับรู้สึกวังเวงด้วยซ้ำไป ซึ่งขณะเดียวกันกลุ่มคนที่ไปกราบนมัสการองค์ที่ ๑๐ ก็ไม่มีใครมองเห็นพวกเรา อันนี้ถ้ามองด้วยตรรกะ หรือหลักวิทยาศาสตร์อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่ระยะห่างแค่นี้จะมองไม่เห็นกัน พอเรามาทราบภายหลังตะลึงขนลุกเลย ยิ่งมาได้อ่านเรื่องของ ดร.ปริญญา และหลายท่านที่เล่าเหตุการณ์ ในหนังสือลูกศิษย์บันทึก ที่ได้เล่าถึงช่วงเวลา บรรยากาศ และมีจำนวนคนมากมายขนาดนั้น แต่เรากลับไม่เห็นซึ่งกันและกัน เรายิ่งมั่นใจในสิ่งที่พวกเราได้พบจนอดเล่าให้บรรดาท่านทั้งหลายได้ทราบไม่ได้ (เรื่องนี้ท่านที่มีโอกาสไปวัดท่าซุง ลองไปยืนหน้าวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ แล้วมองไปที่วิหารองค์ที่ ๑๑ ดูซิครับว่าระยะแค่นี้ ถ้ามีคนมากมายขนาดนั้นเราจะรู้สึกเงียบวังเวงเหมือนไม่มีคนเช่นผมไหม) พอเราก้มลงกราบนมัสการท่านทั้ง ๕ องค์ ท่านยืนรับไหว้มองดูเราอย่างเมตตาสงบสง่า คือ ไม่รู้จะสื่ออย่างไรให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพตาม ข้อย้ำอีกว่า ท่านดูเป็นพระธรรมดาๆ เหมือนมนุษย์ปกติ ไม่ได้แสดงลักษณะ ๓๒ เหมือนองค์จริง แต่ทำไมท่านสง่างามจริง เมื่อกราบท่านแล้ว อารมณ์เลวของผมก็เริ่มแสดงอภินิหาร อยากจะถามทดสอบธรรมะกับท่านว่าเป็นของจริงไหม แต่แค่กำลังจะถามท่านก็เดินเรียงแถวมุ่งหน้าไปทางตึกรับแขก และเห็นท่านเดินขึ้นไปที่ตึกรับแขก เป็นที่น่าสังเกตุว่าเวลาท่านเดินเป็นจะแถวเรียงแต่ละองค์ตำแหน่งลำดับไม่เปลี่ยน เราก็นึกเอาเองท่านเชิญชวนเราเป็นนัยๆ ว่าให้ตามท่านขึ้นไป (คิดเองเออเอง) อย่างไรก็ตามเราทั้งสามคนก็ลังเลว่าจะตามไปดีไหม ในที่สุดก็ตัดสินใจตามท่านขึ้นไปที่ตึกรับแขก ซึ่งขณะนั้นกำลังก่อสร้างอยู่หลังคายังไม่มี (ไม่แน่ใจ) เราเดินตามขึ้นไปห่างๆ เห็นท่านกำลังเดินคล้ายสำรวจดูตึกที่กำลังก่อสร้าง แต่ตำแหน่งลำดับยังเรียงเหมือนเดิมทุกอย่าง เราตัดสินเดินเข้าไปหาท่านและคุกเข่าลงกราบ ทั้ง ๕ องค์ท่านก็ยืนเรียงลำดับแหน่งลำดับเหมือนเดิม หันหน้ามาทางพวกเราทั้งสามคนสายตาท่านทุกองค์ดูสงบมีเมตตา ผมกราบนมัสการท่านแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "หากลูกจะได้สำเร็จพระโพธิญาณตามที่ทราบมาจริง หากท่านเป็นพระพุทธเจ้าจริง ขอให้พระองค์ทรงตรัสรับรองด้วยเถิด" พอตั้งจิตจบท่านตรัสว่า "ขอเจ้าจงสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา" ผมตกตะลึงและปิติมากท่านทราบวาระจิตเรา (รายละเอียดหากสัญญาอนิจจังคลาดเคลื่อน ลูกกราบขอขมากรรมพระพุทธเจ้าข้า เพราะเล่าตามที่จำได้ว่าถูก) ถ้าจำไม่ผิดผมและเพื่อนก็ตั้งจิตอธิษฐานเหมือนกัน และดูทุกคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมจากที่เคยคิดจะถามธรรมะลองทดสอบท่านเลยไม่กล้าแล้ว ผมพูดว่า " ขอธรรมะจากท่านครับ" ท่านตรัสว่า "ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีนี่แปลกนะ ไม่ขอเครื่องรางของขลัง ขอธรรมะอย่างเดียว" หัวข้อ: Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เริ่มหัวข้อโดย: simma557 ที่ เมษายน 22, 2011, 10:15:33 PM ตอนที่ ๔
หลวงพ่อท่านถามกลับว่า "เหมือนรูปปั้นที่วิหารโคนโพธิ์ไหมลูก...ถ้าเหมือนก็ใช่ วันนี้ท่านมากันเป็นแสนๆ นะลูก" อ้อลืมบอกไปว่า จุดที่ท่านทั้ง ๕ พระองค์ยืนเทศนาธรรมที่ตึกรับแขกคือ บริเวณที่ขายหนังสือปัจจุบันอยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด ผมจำได้ว่าถามท่านเรื่องพระนิพพาน (จิตลึกก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะตอบตรงที่หลวงพ่อสอนไหม คือ ถ้าไม่ตรงจะไม่เชื่อ) ท่านตอบว่า "นิพพานพานเป็นเมืองแก้วมีอยู่จริง หากปรารถนาจะไปอยู่ต้องมองทำจิตให้เป็นคนของเมืองนิพพานก่อน คือมองทุกอย่างเป็นธรรมะๆ มีอยู่รอบตัว" เสียงท่านเพราะมากเป็นจังหวะเสียงเล็กๆ เหมือนเสียงคนพูดเพราะธรรมดา แต่ทำไมไพเราะจับใจอย่างนี้ ผมทำท่าจะปล่อยโฮน้ำตาคลอ เพราะปกตินี่ถ้าสดุดนิดโดยเฉพาะด้านพุทธานุสตินี่ผมจะปล่อยโฮแบบไม่อายใครเสียด้วย (คนอื่นอาจอายแทน) เข้าใจว่าพี่ๆ ก็คงจะเหมือนผม ท่านตรัสต่อไปว่า "ทุกอย่างคือธรรมะ ใบไม้แห้งก็คือธรรมะ (ท่านชี้มือไปที่ใบไม้ที่อยู่ข้างหน้าพวกเรา) ธรรมะคือความไม่เที่ยง ในความไม่เที่ยงคือความทุกข์ และในที่สุดก็สลายตัว สุขทุกข์มันอยู่ที่เราเอาจิตไปผูกพันของไม่เที่ยง" ท่านยิ้มนิดๆ ตรัสต่อไปอีกว่า "เมื่อเรามองทุกอย่างเป็นธรรมะ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และหายไป จนยอมรับได้เป็นปกติจิตเราก็เป็นคนขงพระนิพพาน" ท่านตรัสอีกเยอะแต่ลืมครับ ที่จำมาเล่านี่รายละเอียดอาจขาดๆ เกินๆ บ้างนะครับ แต่ก็เอาจิตอยู่แทบพระบาทท่านขณะเขียน ว่าตามที่จิตบอก (พี่ๆ ที่ไปด้วยด้วยกัน หากเข้ามาอ่านแล้วจำได้ส่วนไหน ก็อย่าลืมบอกด้วยครับจะได้นำมาเป็นธรรมทาน)...ผมกราบท่านกับพื้นอย่างไม่กลัวเปรอะเปื้อน มีความสุขปิติมาก ยิ่งเห็นท่านยืนเรียงลำดับเป็นแถวดูสง่างามมาก มองไม่เบื่อจริงๆ ท่านโปรดประมาณ ๑๐ นาที ท่านให้พรว่า "จงสมความปรารถนาเถิด" จากนั้นท่านก็ขอตัวกลับ ท่านเดินเป็นแถวเรียงเหมือนเดิมเดินลงไปทางบรรดาตึกรับแขก ซึ่งตอนนั้นยังโล่งๆ ใต้ถุนตึกก็โล่ง เพราะตึกเป็นแค่โครงขึ้นมาฝาผนังก็ยังไม่มี เรายืนดูท่านเดินลงบันใด และเดินตามไปห่างๆ เราอยู่ตรงกลางตึกบริเวณหน้าหุ่นขึ้ผึ่งหลวงพ่อในปัจจุบัน ทันใดนั้นเราก็มองเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งประมาณ ๑๐ คนหน้าตาตื่นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน เดินสวนท่านขึ้นมา คือเวลาที่ท่านลงไปกับกล่มผู้หญิงขึ้นมาพร้อมๆ กัน ผมสังเกตุดูผู้หญิงกลุ่มนี้คุ้นหน้ากันทุกคนคือ เป็นบรรดาครูฝึกเกือบทั้งนั้น มาถึงบอกว่า "จะมาเฝ้าองค์ที่ ๑๑ ท่านอยู่ไหน ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่" (เอาเข้านั่น) เอ พวกเธอทราบได้อย่างไรก็เรามีกันอยู่แค่นี่ อาจจะมีคนอื่นเห็นด้วยแต่เขาไม่ได้สนใจเป็นพิเศษผ่านๆ ไป ผมก็บอกพวกเธอว่า "ก็ท่านทั้ง ๕ องค์เดินสวนกันกับพวกคุณตรงบันใดเมื่อกี้นี้เอง" พวกเธอทำท่าตกใจแล้วหันกลับอย่างร้อนรนเพื่อลงไปตามหาพระทั้ง ๕ องค์ หายไปสักพักพวกเธอก็กลับขึ้นมาทำหน้าผิดหวัง บอกว่าหากันจนทั่วแล้วไม่เจอ เอ ผม งงๆ แค่เวลา ๒ -๓ นาทีนี่ต่อให้ท่านวิ่งหนียังตามทันเลย แต่นี่ท่านเดินเนิบๆ ช้าๆ แถมสมัยนั้นยังโล่งๆ อยู่เลย แต่หาท่านไม่เจอะ ผมนึกในใจว่า เอาแล้วท่านแสดงปาฏิหารย์อีกแล้ว พวกกลุ่มผู้หญิงก็ยกมือโมทนากับพวกเราว่า "โมทนานะคะที่ได้มีโอกาสกราบสมเด็จองค์ปฐมกายเนื้อ พวกเราไม่มีบุญ" เอ เรามีบุญได้ออย่างไรนี่ ถ้าเทียบกับบรรดาสาวๆ ครูฝึกทั้งหลายเหล่านี้เรารู้สึกว่า เหมือนเม็ดทรายเลย เพียงแต่เราปรารถนาพระโพธิญาณเท่านั้นเอง พอได้ยินบรรดาเธอคนสวยเหล่านี้พูดเราก็ยิ่งมั่นใจยิ่งปิติ แต่โดยวิสัยเลวๆ ของผมก็ยังไม่เชื่อสนิทใจนอกจากหลวงพ่อรับรองเท่านั้น ในที่สุดเราก็ตัดสินใจไปกราบหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร (ในวันงานช่วงเช้าท่านรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ บ่ายที่ ศาลานวราช) พอเราเข้าไปถึงบรรดาญาติโยมก็เหลือน้อยแทบไม่มีคนแล้ว เพราะหมดเวลารับแขก หลวงพ่อท่านกำลังยืนห่มจีวรเตรียมกลับที่พัก พวกเรานั่งมองท่านไม่มีใครกล้าเข้าไปถามเพราะรู้สึกกลัวท่านมาก เนื่องจากช่วงเช้าเจอเข้าไปดอกเบ้อเร้อ เกรงว่าจะเจอะดอกที่สองอีก ในที่สุดพี่ดำของผมแกทนไม่ไหวเลยคลานเข้าไปใกล้ๆ ท่าน เราก็คลานตามไปห่างๆ พี่ดำคุกเข่ายกมือพนมก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ท่านมองเหมือนจะรู้ คล้ายๆ ท่านรอตอบคำถามเราอยู่ (นึกเองครับ) ผิดคาดครับคิดว่าจะถูกท่านดุเหมือนตอนเช้า แต่ท่านกลับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "มีอะไรลูก" เฮ้อ!! ค่อยโล่งอกหน่อยเห็นหลวงพ่อไม่ดุค่อยมีกำลังใจกล้าขึ้น พี่ดำก็เล่าให้หลวงพ่อฟังทั้งหมดจนจบ (พี่ดำนี่เล่าเรื่องราวได้เก่งและน่าฟังกว่าทุกคน อันนี้เป็นบุญส่วนตัวของพี่เขาแหละ) หลวงพ่อถามว่า "องค์แรกหน้าเหมือนรูปปั้นองค์ที่คล้ายหลวงพ่อปานที่โคนโพธิ์ไหมลูก" เนื่องจากเราพบท่านทั้ง ๕ องค์ด้วยอารามที่มัวแต่ปลื้มปิติเราเลยยังไม่ทันนึกถึงเพื่อเปรียบเทียบ (ท่านอาจดลจิตให้ลืมนึกก็ได้) จึงลืมนึกไปว่าท่านองค์แรกเหมือนรูปปั้นที่โคนโพธิ์ทั้งๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกลักษณะไว้ล่วงหน้าก่อนวันงานแล้ว เราหยุดนึกและถ้านำเพชรไปแปะตรงหน้าผากท่าน (นึกศัพย์ไม่ออก) จะเหมือนท่านทุกประการ เลยตอบท่านไปว่า "เหมือนทุกอย่างครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อตอบว่า "ถ้าเหมือนก็ใช่ลูก เพราะวันนี้ท่านมากันเป็นแสนๆ ลูก" หลวงพ่อท่านพูดเพราะมาก ต่างจากตอนเช้ามาก พวกเรานี่ปิติมากจะโฮให้ได้ ทราบว่า ทั้ง ๕ พระองค์องค์แรกคือองค์ปฐม และพระกกุกสันโธ พระโคนาคม พระพุทธกัสป และพระสมณโคดม (เหมือนรูปปั้นองค์ปัจจุบันมาก)...เรื่อเหล่านี้อยู่ในใจของพวกเรามาร่วม ๒๐ ปี พูดกันในกลุ่มเท่านั้นครับ (ทั้งหมดนี้รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อนได้เพราะนานแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องจริงอิงนิทานนะครับ.) __________________ หัวข้อ: Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เริ่มหัวข้อโดย: clubzz ที่ มิถุนายน 29, 2011, 04:03:06 PM อ่านจนเพลินเลยคร่ะ ชอบมากคร่ะ
หัวข้อ: Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 30, 2011, 08:47:10 AM ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดีๆ นะครับผม ท่าน simma557
|