KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน => ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ กันยายน 08, 2012, 10:20:10 AM



หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 08, 2012, 10:20:10 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120830172612_n.jpg)

วัตถุสิ่งของเงินทอง ใครก็ทราบว่าอาศัยชั่วกาลชั่วเวลา
แต่กิเลสมันไม่ได้บอกว่าอาศัยชั่วกาลชั่วเวลา มันไม่พอใจ
สิ่งที่ให้พอใจก็คือให้ได้เต็มใจ เต็มใจเท่าไรมันก็ไม่เต็มอีกแหละ
เพราะกิเลสไม่เคยมีความอิ่มพอมีแต่ความหิวโหยตลอดไป

นี่ละเราประมวลออกมาแล้วว่าวัตถุภายนอกนี้เราอาศัยในชีวิตของเราที่เป็นอยู่นี้เท่านั้น
หมดนี้แล้วก็หมด สิ่งของเงินทองอะไรจะไปสวรรค์นิพพาน ตกนรกก็ไม่ไป
เราเองต่างหากผู้โง่เขลาและผู้ฉลาดที่จะไปตกนรกได้ และไปสวรรค์นิพพานได้
หาบบาปหาบกรรมก็คือตัวเราเอง บุญกุศลเทิดทูลจะไปสวรรค์ นิพพานก็คือตัวเราเอง


คุณงามความดีทำแล้วอบอุ่น
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕(เช้า)




ขอบพระคุณข้อมูลจาก : กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


หัวข้อ: Re: คุณงามความดีทำแล้วอบอุ่น โดย หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 09, 2012, 02:28:52 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120722213834_2.jpg)


“อันธพาลมันอยู่ในจิต แต่มันไปวาดภาพว่า คนนั้นเป็นอันธพาลต่อเรา
คนนี้เป็นอันธพาลต่อเรา ตัวเราเป็นอันธพาลใหญ่ไม่ดูตัวเอง
พอย้อนจิตเข้ามาดูนี้แล้ว อันธพาลนี้ดับปุ๊บ นอกนั้นไม่มี คือใจนี้เองเป็นตัวอันธพาล
ให้พากันจำเอา ดูตั้งแต่ภายนอกไม่ดูตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้ดูตัวเอง"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: คุณงามความดีทำแล้วอบอุ่น โดย หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 09, 2012, 02:50:14 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121009144826_ajan_mahabua.jpg)

การฝึกหัด "ภาวนา" เบื้องต้นโดยมากก้มักถูกกรรมฐาน "บทอานาปานัสสติ" คือกำหนดลมหายใจเข้าออก
โดยมีสติกำกับรักษา อย่าให้เผลอในขณะที่ทำ ทำใจให้รู้อยู่กับลมเข้าลมออก เท่านั้น ไม่คาดหมายผล
ที่จะพึงได้รับ มี่ความสงบ เป็นต้น ทำความรู้สึกอยู่กับลมเข้า ลมออก ธรรมดา อย่าเกร็งตัว เกร็งใจ จนเกินไป
จะเป็นการกระเทือนสุขภาพ ทางกายให้รู้สึกเจ็บนั้น ปวดนี้ โดยหาสาเหตุไม่เจอ

ซึ่งความจริงสาเหตุ ก็คือ การเกร็งตัวเกร็งใจ จนเกินไปนั่นเอง ควรมีสติรับรู้อยู่ธรรมดา ใจเมื่อได้รับการรักษาด้วยสติ
 จะค่อยๆสงบลง ลมก็ค่อยละเอียดไปตามใจที่สงบตัวลง ยิ่งกว่านั้น ใจก็สงบจริงๆ ลมหายใจขณะที่จิตละเอียดอ่อนที่สุด
จนบางครั้งปรากฎว่าลมหายไป คือ ลมไม่มีในความรู้สึกเลย ตอนนี้จะทำให้นักภาวนาตกใจกลัวจะตาย เพราะลมหายใจไม่มี

เพื่อแก้ความกลัวนั้น ควรทำความรู้สึกว่า แม้ลมจะหายไปก็ตาม เมื่อจิต คือ ผู้รู้ยังครองร่างอยู่ ถึงอย่างไร
จะไม่ตายแน่นอน ไม่ต้องกลัว อันเป็นการเขย่าใจตัวเองให้ถอนขึ้นจากความละเอียดมาเป็นจิตธรรมดา
ลมหายใจธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดความเสียใจในภายหลัง

ถ้ากำหนดเฉพาะลมหายใจเป็นอารมณ์อย่างเดียว ไม่สนิทใจ จะตามด้วยการบริกรรม "พุทโธ" ก็ได้ ไม่ผิด
ผู้ชอบบริกรมเฉพาะธรรมบทใดบทหนึ่ง เช่น "พุทโธ" ก็ได้ ตามอัธยาศัยชอบ ไม่ขัดแย้งกัน สำคุัญที่ให้เหมาะกับจริต
และขณะภาวนา ขอให้มี "สติ" รักษา อย่าปล่อยให้ใจส่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ก็เป็นอันถูกต้องในขณะการภาวนา
คำว่า "จิตใจ" "มโน" หรือ "ผู้รู้" เป็นอันเดียวกัน คือ เป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ เช่น กิน รัปประทาน
เป็นต้น มีความหมายอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กัณฑ์เทศน์ วิธีพิสูจน์จิต และพระพุทธศาสนา
เทศน์อบรมนวกภิกขุ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
เมื่อ ๒๐ ก.ค. ๒๕๑๔



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : facebook


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 12, 2012, 06:45:27 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121012184511_ajan_mahabua.jpg)

"อยู่ที่ไหนสงบเย็นๆ อดบ้างอิ่มบ้างเพราะเราเกิดอยู่ในโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
ย่อมเจอด้วยกัน แต่จิตใจกับธรรมไม่พรากจากกัน ใจมีความสงบร่มเย็นมีคุณค่าตลอดเวลา
นี่คือคุณค่าของการภาวนา อยากให้ท่านชาวพุทธทั้งหลายได้อบรม

เฉพาะอย่างยิ่งเวลาจะหลับจะนอนควรจะได้กราบไหว้ย่อๆ
ฝืนเอาฝืนความขี้เกียจขี้คร้าน เพราะเราวิ่งตามมันมานานแสนนานไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร
วันนี้เราจะฝืนกิเลสเข้าสู่ธรรม ด้วยการกราบไหว้พระสวดมนต์ย่อๆ
ตามกำลังของเราแล้วหันหน้าเข้ามาดูจิตใจ ซึ่งมีแต่กองฟืนกองไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 12, 2012, 07:22:54 PM
สาธุ สาธุ

รักหลวงตา มาก ก ก

 ;D


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 12, 2012, 07:26:27 PM
อ่านแล้วอบอุ่นตามที่หลวงตาท่านกล่าวจริงๆ ครับผม

อบอุ่นในธรรม แม้ท่ามกลางลมหนาว ก็ยังอุ่น อุ่นไปถึงจิตถึงใจ จริงๆ

สาธุ ครับผม


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 12, 2012, 07:38:10 PM
ทำไม การภาวนา

จึงเหนือบุญ 

ได้หนอ

 ;D


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 12, 2012, 10:21:59 PM
" การทำสมาธิ สมาธิจะเกิดขึ้นได้ด้วยการภาวนา โดยการบังคับจิตใจให้เข้าสู่จุดเดียวในคำบริกรรม
เช่น อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก การกำหนดลมหายใจเข้าออก
เราไม่ต้องไปคิดว่า “ลมสั้น หรือ ยาว” หายใจเข้า หายใจออก ไปถึงไหนบ้าง
ไม่ต้องไปตามลมเข้าและลมออก ขอให้รู้อยู่กับความสัมผัสของลม
ที่ไหนลมสัมผัสมากเวลาผ่านเข้าออก
ส่วนมากก็เป็น “ดั้งจมูก” จงกำหนดไว้ที่ตรงนั้น ให้ “รู้” อยู่ตรงนั้น
อะไรจะเป็นอย่างไรก็ให้รู้เฉพาะลมที่เข้าออกนี้เท่านั้น ไม่ต้องส่งไปทางไหน
ไม่ต้องไปปรุงไปแต่งเรื่องมรรค เรื่องผล"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน"


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 13, 2012, 11:59:58 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120821104012_n.jpg)

"จำไว้นะ ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา
กรรมมันอยู่ที่ผู้พูด ไม่ใช่อยู่ที่เรา
ไม่ต้องไปรับมาใส่ใจ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 14, 2012, 10:06:36 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120830172612_n.jpg)

"เราก็พอใจเราที่ได้ช่วยโลกตามกำลังนะ คือการปฏิบัติของเราทั้งหมดนี้ให้ออกนอกหมดเลย
ออกเป็นประโยชน์โลก เราไม่สั่งสมไม่เก็บอะไรทั้งนั้น ออกๆ เลย ออกหมดเลย แล้วอันนั้น
(ตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้นที่หลวงตาเมตตา) นี่ก็ใช่แล้ว ตึก 10 ชั้น ตั้ง 10 ชั้นนะ ตึก 10 ชั้น
อันนั้นก็อยู่ด้วยกันจะเป็นอยู่ในบริเวณเดียวสร้างด้วยกันนะ ให้มันพอ เอาให้พอเสียทุกอย่าง
เวลาพอจริง ๆ มาพอที่นี่นะ สร้างที่ไหน ๆ ก็กวาดต้อนเข้ามาๆ เวลาเข้ามาแล้วมาอยู่ที่ดวงใจ
ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันเรียกว่าธรรมธาตุ นั่นละสุดยอด สร้างความดีงามทั้งหมดมา
มาลงในธรรมธาตุ ให้พรนะ หมดธุระแล้วให้พร"


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมฆราวาสครั้งสุดท้าย
ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 14, 2012, 10:10:11 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121014100847_ajan_mahabua222.jpg)

นี่ล่ะการฝึกฝนอบรมจิตใจเป็นอย่่างนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะการฝึกใจเลวที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินใจ
 เลิศที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินใจ เกี่ยวกับการบำรุงรักษาหรือทำลายตัวเอง ใครทำลายตัวเองอยู่ในตัวก็เลวลงๆ
ใครมีการบำรุงรักษาจิตใจให้ดี ก็เรียกว่าเสริมจิตใจให้ดีขึ้นๆ
จนก้าวเข้าถึงธรรมธาตุ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด

ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่สุดวิสัยของมนุษย์เรา ที่จะปฎิบัติให้รู้ตามเห็นตามจนถึงธ
รรมชาตินี้ อยู่ในวิสัยของผู้บำเพ็ญได้มากน้อย แล้วธรรมนี้จะเข้าเกี่ยวข้องไปเรื่อยๆ
เมื่อบำรุงรักษาให้เต็มที่แล้ว จิตนี้ก็เลยกลายเป็นธรรมธาตุอยู่ในท่ามกลางแห่งธาตุขันธ์
 ธาตุขันธ์เป็นธาตุขันธ์ จิตที่บริสุทธิ์แล้วรับผิดชอบเป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เพียงเท่านั้น
 พอธาตุขันธ์หมดสภาพพังลง อันนี้ก็ดีดผึงออกเป็นธรรมธาตุไปเลย นั่นล่ะธรรมพระพุทธเจ้าสอนจิตให้เลิศเลอขนาดนั้น
ลงจิตถึงขั้นธรรมธาตุแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ในโลกธาตุที่เป็นแดนสมมุตินี้ไม่มีสมมุติใดเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย
นั่นท่านเรียกว่า วิมุตติ จิตของท่านผู้สิ้นสุดจากเรื่องเหล่านี้แล้วก็เป็นจิตวิมุตติ บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน นิพพานเที่ยงก็คือจิตดวงนั้น

ถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ต้องฝึก ทุกอย่างต้องฝึก ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานไป
นานต่อนานก็ค่อยดีขึ้นๆ ก็กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ได้ เมื่อจิตบริสุทธิ์หมดสิ่งก่อกวนทั้งหลายแล้ว
นิพพานัง ปรนัง สุขัง ก็อยู่ในนั้น นิพพานเป็นสุขอย่่างยิ่ง เป็นสุขเหนือสมุมติทั้งปวง
ก็คือ จิตที่ฝึกฝนอบรมจนถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มตัวแล้ว ก็เป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมาที่ใจ
ใจนั้นล่ะคือนิพพาน นิพพานทั้งเป็น คือท่านผู้บริสุทธิ์ พากันปฎิบัติเอาบ้างซิ
ไม่ปฎิบัติมันไม่เห็นนะ สิ่งเหล่านี้ไม่เหนือวิสัยของมนุษย์ไปได้
อยู่ในวิสัยของผู้รักใคร่ใกล้ชิดกับธรรมจะได้นำมาเป็นขวัญตาขวัญใจอยู่เป็นสุข

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : Facebook หอพระพุทธธรรมทิฐิศาสดา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ เว็บ http://www.kammatan.com


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 19, 2012, 05:37:41 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121019173720_ajan_mahabua_12.jpg)

ถ้าจิตมีสติปัญญารอบตัวอยู่แล้ว จะพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงในความจริงทั้งหลาย
ทั้งส่วนกาย ทั้งส่วนเวทนาทั้งสาม แยกตัวออกโดยลำดับ ๆ ส่วนสัญญา
สังขารไม่ต้องพูด มันเป็นอาการเหมือนกันนั่นแล เกิดขึ้นแล้วดับไป
มันเป็นกองไตรลักษณ์ทั้งหมด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเบิกออก ๆ
จิตถอยตัวเข้ามา การพิจารณาก็แคบเข้าไป ๆ เพราะสิ่งไรที่พิจารณารู้แจ้งเห็นจริงแล้วมันปล่อยเอง
จะพิจารณาเพื่ออะไรอีก ก็รู้แล้วเห็นแล้วนี่ มันต้องชัดอย่างนั้น จึงชื่อว่าผู้ปฎิบัติเพื่อรู้จริงเห็นจริง
ต้องรู้ภายในตัวเองจริง ๆ ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่า สันทิฎฐิโก เห็นเอง เมื่อได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มสติปัญญา
ผลจะปรากฎขึ้นมาอย่างเต็มภูมิ เต็มภูมิของสติปัญญา หนีไม่พ้น นี่แหละการพิสูจน์เรื่องการเกิดการตายของจิต

จิตเป็นสิ่งลึกลับมากเพราะกิเลสพาให้ลึกลับ กิเลสมันเอาจิตเข้าไปหมกไปซ่อนไว้ในสถานที่ที่
เราไม่อาจเอื้อมรู้ได้เห็นได้ ถูกกิเลสตัวจอมปลอมปิดบังไว้หมด ตัว มันออกหน้าออกตา
หลอกไว้ตลอดเวลาจึงไม่เห็นโทษของตน ไม่เห็นโทษของกิเลสที่พาให้เกิดให้ตาย

เมื่อใช้สติปัญญาพิจารณาลงไปดังที่กล่าวมาแล้วนี้ กิเลสประเภทต่าง ๆ ที่เคยห่อหุ้มจิตใจ
หลอกลวงจิตใจ ปิดปังจิตใจนั้นจะขยายตัวออกไป เปิดตัวออกไป ๆ จนกระทั่งไม่มีเหลือ
เมื่อกิเลสหมดสิ้นไปจากใจไม่มีเหลือเพราะสติปัญญารู้เท่าทัน
 และตัดขาดกระเด็นออกจากความสืบต่อกันระหว่างขันธ์กับจิต รูป เสียง กลิ่น รส ทั้งหลายไม่ต้องพูด
เพราะมันห่างไกลมากไป เอาในระหว่างขันธ์กับจิต รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์ ทราบตามอาการของมันซึ่งเป็นความจริงแต่ละอย่าง ๆ และทราบภายในจิตคือตัวอวิชชา
ตัดสะพานทางเดินของมันหมด

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 02, 2012, 01:10:17 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121009144826_ajan_mahabua.jpg)

"การที่เราเห็นเขาแสดงความรื่นเริงออกมาในท่าต่างๆ และ สถานที่ต่างๆ
เช่นในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นต้น นั่นเป็นเพียงเครื่องหลอกกันเล่นไปอย่างนั้นเอง
ความจริงต่างอมความทุกข์ไว้ภายในใจแทบระเบิด โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆ เลย

ทั้งนี้เพราะสิ่งที่ทำให้ซ่อนความจริงไว้นั้น ได้แก่ความอาย กลัวเสียเกียรติ
และเป็นคนใหญ่คนโตที่โลกนิยม นี่ จึงนำออกให้โลกและสังคมเห็นแต่อาการที่เห็นว่าเป็นความสุขรื่นเริงเท่านั้น

ตัวผลิตทุกข์แก่มวลสัตว์มันผลิตอยู่ภายในใครไม่อาจรู้เห็นได้
นอกจากปราชญ์ที่เรียนรู้และปล่อยวางมัน และกลมารยาของมันแล้วเท่านั้น
จึงทราบได้อย่างชัดเจนว่าภายในหัวใจของสัตว์โลกคุกรุ่นอยู่ด้วยไฟราคะตัณหา
 ไฟความโลภ หาความอิ่มเพียงพอไม่เจอ

แม้จะแสดงออกในท่าร่าเริง ท่าฉลาดแหลมคม ท่าผู้ดีมีความสุขฐานะดีเพียงไร
 ก็ไม่สามารถปิดความจริงที่มีอยู่ในหัวใจให้มิดได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายรู้เห็นจับได้
เพราะกลมายาของกิเลสกับธรรมละเอียดต่างกันอยู่มาก
ท่านผู้เป็นปราชญ์โดยธรรม จึงทราบได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพจ


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 06:08:05 PM

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120914120500_luangta_mahabua.jpg)

หนักก็หนัก เบาก็ยอมรับ ทุกข์ขนาดไหนก็สู้กัน ขึ้นชื่อว่านักรบแล้วไม่มีถอยหลัง
เพราะพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของเราไม่ได้พาให้ถอยหลัง สาวกทั้งหลายไม่ใช่ผู้ถอยหลัง
ผู้ก้าวหน้าเดินเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ จนหลุดพ้นไปโดยถ่ายเดียว
จึงได้ปล่อยวางความพากเพียรในแนวรบ แล้วเสวยวิมุตติสุขภายในใจทั้งที่ขันธ์ยังครองตัวอยู่
และเสวยวิมุตติสุขในพระนิพพาน เพราะความทุกข์เพียงเล็กน้อยทางความเพียรในอัตภาพเดียวหรือเพียงช่วง
เวลาไม่กี่เดือนกี่ปี การประกอบความเพียรตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจนได้ตรัสรู้หรือบรรลุธรรม
บางองค์ก็นานเป็นปี บางองค์ก็รวดเร็ว บางองค์เพียงครู่เดียวก็มี
ตามอำนาจวาสนาบารมีที่สร้างมามากน้อยต่างกัน นักปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย
 จึงไม่ควรนำความช้าความเร็วของท่านที่ปฏิบัติและบรรลุธรรมไปแล้ว
มาเป็นอารมณ์ฝ่ายกีดขวางตัวเอง จะทำให้เสียกำลังใจและก้าวไม่ออก

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 15, 2012, 10:36:54 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20110307182003_page.jpg)

อย่างท่านสอนให้ไปเยี่ยมไปดูป่าช้า คนตายเป็นยังไง แต่ก่อนเขาก็เป็นคนเป็นอยู่นี้
สมบัติเงินทองข้าวของยศถาบรรดาศักดิ์เต็มอยู่กับพวกนี้ เวลาตายแล้วมีอะไรเห็นไหม
 มีแต่กองกระดูก แมลงวันตอมหึ่ง ๆ อยู่นั้นเป็นยังไง เอามาเทียบกับเราซิ
เวลาเราตายแล้วเป็นยังไง มันก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราจะดิ้นจะดีดไปอะไรนักหนาจนถึงกับไม่มีป่าช้า
เขาตายต่อหน้านี่เห็นไหม นั่นไปเยี่ยมป่าช้าท่านสอนอย่างนั้นนะ
เขาตายอยู่ต่อหน้าต่อตาเราจะไม่ตายเหรอ เราเพลินอะไรจนเกินเนื้อเกินตัวจนถึงขนาดจะไม่มีป่าช้า
ดูนั่นซิ นี่มันจะไปตายแบบนั้นนะ มันก็รู้ตัวคนเรา เมื่อรู้ตัวมันก็หาที่ยึดที่เกาะเมื่อจะจม
ถ้าไม่หาที่ยึดที่เกาะจมแน่ ๆ หาที่ยึดที่เกาะคือความดี ได้ความดีแล้วก็ดีดผึง ๆ
ให้พากันเข้าใจนะ ท่านสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า เป็นเครื่องสอนตน

ความตายมีอยู่กับตัวแต่มันมองไม่เห็น ต้องไปมองข้างนอกเสียก่อน
มองข้างนอกแล้วย้อนเข้ามาเทียบข้างใน พอได้สัดได้ส่วนแล้วทีนี้ก็ป่าช้าภายใน
พิจารณากันตลอด อริยสัจอยู่ที่นี่ มันก็รู้กันที่นี่

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"พระอรหันต์กับปุถุชน"
๓๑ กรกฏาคม ๒๕๔๓




หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 16, 2012, 09:43:00 AM
(http://kammatan.com/gallary/images/20121201115126_img_8929.jpg)

พระโสดาบันบุคคล คิดว่าท่านรู้และละได้โดยข้ออุปมาว่า

มีบุรุษผู้หนึ่งเดินทางเข้าไปในป่าลึก ไปพบบึงแห่งหนึ่งมีน้ำใสสะอาดและมีรสจืดสนิทดี
แต่น้ำนั้นถูกจอกแหนปกคลุมไว้ ไม่สามารถจะมองเห็นน้ำโดยชัดเจน

เขาคนนั้นจึงแหวกจอกแหนที่ปกคลุมน้ำนั้นออกแล้วก็มองเห็นน้ำภายในบึงนั้นใสสะอาดและเป็นที่น่าดื่ม
จึงตักขึ้นมาดื่มทดลองดู ก็รู้ว่าน้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทดี
เขาก็ตั้งหน้าดื่มจนเพียงพอกับความต้องการที่เขากระหายมาเป็นเวลานาน

เมื่อดื่มพอกับความต้องการแล้วก็จากไป ส่วนจอกแหนที่ถูกเขาแหวกออกจากน้ำก็ไหลเข้ามาปกคลุมน้ำตามเดิม

เขาคนนั้นแม้จากไปแล้วก็ยังมีความติดใจ และคิดถึงน้ำในบึงนั้นอยู่เสมอ
และทุกครั้งที่เขาเข้าไปในป่านั้น ต้องตรงไปที่บึงและแหวกจอกแหนออก
แล้วตักขึ้นมาอาบดื่มและชำระล้างตามสบายทุก ๆ ครั้งที่เขาต้องการ
เวลาเขาจากไปแล้วแม้น้ำในบึงนั้นจะถูกจอกแหนปกคลุมไว้อย่างมิดชิดก็ตาม

แต่ความเชื่อที่เคยฝังอยู่ในใจเขาว่า น้ำในบึงนั้นมีอยู่อย่างสมบูรณ์หนึ่ง
น้ำในบึงนั้นใสสะอาดหนึ่ง น้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทหนึ่ง ความเชื่อทั้งนี้ของเขาจะไม่มีวันถอนตลอดกาล

ข้อนี้ เทียบกันได้กับโยคาวจร ภาวนาพิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกายชัดเจนด้วยปัญญาในขณะนั้นแล้ว
 จิตปล่อยวางจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หยั่งเข้าสู่ความสงบหมดจดโดยเฉพาะ ไม่มีความสัมพันธ์กับขันธ์ทั้งหลายเลย

และขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าไม่ทำงานประสานกับจิต คือต่างอันต่างอยู่
เพราะถูกความเพียรแยกจากกันโดยเด็ดขาดแล้ว
ขณะนั้นแลเป็นขณะที่เกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นมาอย่างไม่มีสมัยใดๆ
เสมอเหมือนได้ นับแต่วันเกิดและวันปฏิบัติมา แต่ก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นในเวลานั้น

จิตก็ได้ทรงตัวอยู่ในความสงบสุขชั่วระยะกาล แล้วจึงถอนขึ้นมา
พอจิตถอนขึ้นมาจากที่นั้นแล้ว ขันธ์กับจิตก็เข้าประสานกันตามเดิม..


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 20, 2012, 11:02:46 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20110131192627_958.jpg)

ปัญญาเร็วเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงขั้นสังขารที่เกิดดีก็ตามชั่วก็ตาม เกิดแล้วดับทั้งนั้นๆ
ปัญญาไวเข้าเร็วเข้า สุดท้ายก็มีแต่สังขารกับสติดูที่มันเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมาจากจิตใจ
 เกิดแล้วดับ ดีก็ดับ ชั่วก็ดับ อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ที่ท่านว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
ท่านแสดงไว้กลางๆ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา
 นี่ท่านพูดกลางๆ เอาไว้ แต่ผู้เห็นธรรมจะไม่พูดอย่างนั้น เช่นอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะจะไม่พูดอย่างนั้น
เพราะกระเทือนอย่างหนัก กระเทือนธรรมข้อนี้อย่างหนัก ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
พระอัญญาโกณฑัญญะออกเป็นอุทานขึ้นมาเลย สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้น

อุทานของพระอัญญาโกณฑัญญะจะเกิดขึ้นอย่างนี้ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อะไรล่ะไม่ดับ
นั่น อยู่ในนั้นละ อยู่ในจิตที่ไม่ดับ มันจ้าอยู่ภายในจิตนี่ไม่ดับ นอกนั้นดับหมด อันนี้ไม่ดับ
นี่ท่านได้พยานที่ว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ ท่านได้อย่างนี้
ความรู้ของพระอัญญาโกณฑัญญะเกิดขึ้นในเวลานั้น ไม่ได้เป็นความรู้แบบตำรับตำรา
เป็นความรู้ที่เจอกันอย่างจังๆ เพราะฉะนั้นจึงออกอุทานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่สะทกสะท้านเลยว่า
 อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อะไรไม่ดับ นี่มันเห็นอยู่ในนั้น มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คือจิตไม่ดับ


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"ถ้ามีสติแล้ว กิเลสจะยุบยอบ"
๑๘ กรกฏาคม ๒๕๕๑


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 26, 2012, 05:36:06 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121014100847_ajan_mahabua222.jpg)

ผู้เริ่มต้นให้ใช้คำบริกรรม ให้เป็นจริงเป็นจังอย่าเหลาะแหละ
เราชอบคำบริกรรมใดที่ถูกจริตนิสัยของเรา ให้ยึดคำบริกรรมนั้นไว้กับใจ
 ผูกมัดไว้ที่ใจ เพราะใจนี้กิเลสออกมาช่องเดียวกันจากใจ ผลักดันใจให้อยากคิดอยากปรุง
อยากรู้อยากเห็น อยากสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งต่างๆ ไม่หยุดไม่ถอย ไม่ปล่อยไม่วางใจเลย
มีความหนุนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าจะปล่อยให้กิเลสหนุนอย่างนี้ ก็เป็นกี่กัปกี่กัลป์
ไม่มีต้นมีปลาย ไม่มีที่ยุติได้เลย จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง เป็นเครื่องกำกับรักษา กำจัดสิ่งเหล่านี้

ในเบื้องต้นให้ใช้คำบริกรรม เช่น กิเลสอยากจะคิดเรื่องอะไร ไม่ยอมให้คิดในเวลานั้น
ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว ไม่นานนักสำหรับผู้ที่ปฏิบัติด้วยความจริงจังแล้ว
จะเห็นความสงบของใจปรากฏขึ้นด้วยการภาวนา มีคำบริกรรมและสติเป็นรากฐานสำคัญนี้โดยถ่ายเดียว
 ที่อื่นเราอย่าไปหวัง หวังมรรคผลนิพพานที่โน่นที่นี่ อย่าไปหวัง เป็นเรื่องเหลวไหลลอยลม ไม่ใช่เรื่องจริง

เรื่องจริงคือ ให้ปักลงที่ตรงนี้แหละ ตั้งคำบริกรรมลงไป ตั้งสติให้ดี ใจของเรามันจะฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปไหน
ไม่พ้นคำบริกรรมที่ผูกมัดนี้ไว้ได้ คือช่องทางที่กิเลสจะออก ออกไปทางสังขาร สัญญาอารมณ์ต่างๆ
ออกมาที่ใจ ทีนี้เราไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ให้เข้ามาพลุกพล่านรบกวนใจ เราต้องการบำรุงใจของเรา
รักษาใจของเราให้ปลอดภัยจากกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ด้วยคำบริกรรม ตามที่จริตนิสัยชอบ
และให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรม เคลื่อนไหวไปมาที่ใดก็ตาม ไม่เพียงแต่ว่าเรานั่งภาวนาหรือเดินจงกรม
 ที่เรียกว่า ความเพียร จึงมีสติ


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"นักปฏิบัติให้ยึดการพิจารณาร่างกานเป็นหลัก"
๑ สิงหาคม ๒๕๔๗


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 27, 2012, 05:23:40 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20121227172316_luangta_bua2323.jpg)

อยู่ที่ไหนอย่าไปสนใจกับสิ่งอื่นสิ่งใด ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมภายในใจ
ขอให้ทุกท่านสนใจธรรมภายในใจของตน ศีลมีอยู่แล้วรักษาให้ดี ธรรมบำเพ็ญขึ้นไป
ตั้งแต่สมถธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม จะขึ้นอยู่ที่จิตใจของเราผู้บำเพ็ญด้วยดีนั้นแหละไม่ไปไหน
วันคืนปีเดือน มันมืดมันแจ้งมานี้ตั้งแต่กาลไหนๆ ไม่เห็นมาทำบาปทำบุญให้ใคร มีแต่ตัวของเรา
ทำบาปก็ตัวของเรา ทำบุญก็ตัวของเรา ไปตกนรกหมกไหม้ก็เป็นตัวของเรา
ไปสวรรค์นิพพานก็ตัวของเรา ให้ดูตัวของเราที่มันพร้อมเสมอที่จะเคลื่อนย้ายไปที่สูงและที่ต่ำ
ตามการกระทำดีชั่วของตน ให้ดูที่จุดนี้ให้ดี ถ้าดูจุดนี้แล้วคนเราจะไม่ค่อยผิดพลาด ไม่ค่อยลืมตัว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"สมบัติใดสู้ศีลสู้ธรรมไม่ได้"
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 22, 2013, 05:12:09 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20130122171044_laungta_mahabua2323.jpg)

ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เยี่ยมอาพาธหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
หลังเข้ารับการผ่าตัดด้วยอาการไส้เลื่อนอย่างรุนแรง
ท่านได้กราบขอขมาครูบาอาจารย์ ที่แสดงความอ่อนแอ
เป็นพระกรรมฐาน แต่ต้องมาพักค้างคืน รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ตลอดระยะเวลาที่องค์หลวงปู่หล้าท่านอาพาธด้วยโรครุมเร้าอย่างรุนแรงหลายต่อหลายโรค
ท่านแสดงความอาจหาญ เคารพในธรรม
ไม่ลดหย่อนในสัจจะ ไม่แสดงความอ่อนแอ
ให้เป็นที่ติเตียนของครูบาอาจารย์
ท่านจึงมิยอมให้นำองค์ท่านมารักษาและพักค้างแรมในโรงพยาบาล

แต่ด้วยเหตุสุดวิสัย ลูกศิษย์จึงต้องนำท่านส่งเข้ารับการรักษา
และต้องฝืน ให้ท่านต้องพักค้างแรมในโรงพยาบาล
เมื่อองค์ท่านอาจารย์มหาที่ท่านเคารพเมตตามาเยี่ยม
ท่านจึงได้กราบขอขมา ด้วยสุดวิสัย
ซึ่งท่านอาจารย์มหาของท่านก็เข้าใจ
อนุญาตให้หมอทำหน้าที่ไปตามสมควร
แต่เมื่อถึงเวลาที่หมอไม่อาจเยียวยาได้
ท่านก็เมตตาให้หยุดการรักษา
ให้หลวงปู่หล้าท่านทำหน้าที่ให้สมกับคำว่า "พระกรรมฐาน"

Credit : ณรงค์ชัย โตประเสริฐ


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 23, 2013, 04:39:15 PM
"การตั้งข้อสังเกตจิตในเวลาฟังเทศน์หรือเวลานั่งภาวนา
เราไม่ต้องกดขี่บังคับจิตจนเกินไป
เป็นเพียงทำความรู้ไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น
ท่านผู้กำลังเริ่มฝึกหัดโปรดจดจำวิธีไว้ แล้วนำไปปฏิบัติ
ส่วนจะปรากฏผลอย่างไรนั้น โปรดอย่าคาดคะเนและถือเป็นอารมณ์
ในผลของสมาธิที่เคยปรากฏมาในคราวล่วงแล้วขอให้ตั้งหลักปัจจุบัน
คือระหว่างจิตกับอารมณ์มีลมหายใจ เป็นต้น ที่กำลังพิจารณาอยู่ให้มั่นคง
จะเป็นเครื่องหนุนให้เกิดความสงบเยือกเย็นขึ้นมาในเวลานั้น"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 11:04:36 AM
"บุพเพนิวาสชาติปางก่อนเป็นสิ่งที่สนิทสนมกลมกลืนกันมา ไม่มีใครแยกได้เลย
พอพบกันปั๊บมันเป็นของมันเอง นี่คือความเคยชิน เป็นมาอย่างนี้
จากนั้นมาอยู่ด้วยกันก็บำรุงกันในปัจจุบัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน
ยิ่งมีความแน่นหนามีความอบอุ่นมากขึ้น ๆ

ท่านจึงเทียบเหมือนกับว่าดอกบัว กอบัวที่ได้รับเปือกตมเปือกโคลนที่หล่อเลี้ยงแล้วมันก็มีความชื่นบานขึ้นไปโดยลำดับ
อันนี้การมาอยู่ด้วยกันได้รับความซื่อสัตย์สุจริต ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน ก็ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องบำรุงน้ำใจซึ่งกันและกัน
สนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป

แปลในธรรม นี่ละที่ว่า ดอกบัวที่เกิดในโคลนตม โคลนตมแลหล่อเลี้ยงดอกบัวให้ชุ่มเย็น
ใครที่มาเกิดด้วยกันในวงวัฏวนนี้ก็เหมือนเกิดในเปือกตม แล้วต่างคนต่างทำความดี
ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันแล้วก็เป็นอันเดียวกันไปเลย สุดท้ายก็ยกกันขึ้น อย่างพระนางพิมพา
พระพุทธเจ้าเห็นไหมล่ะ เวลาออก ออกไม่มองหน้ามองหลัง ไม่ให้ทราบเลย เรียกว่าขโมยไปเลย
เวลาขากลับมาก็เป็นอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 11:10:04 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20130206110813_luangta_mahabua2222.jpg)

สัตว์พาหนะที่รับภาระในการคราดการไถ จะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ
สำคัญที่มูลคราดมูลไถต้องแหลกละเอียดเป็นที่พอใจ เหมาะแก่การเพาะปลูกนั่นแหละ เขาจึงหยุด

เรื่องปัญญาของเรา จะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ จะพิจารณากี่ครั้งกี่หน
โดยถือธาตุขันธ์ของเรานี้เป็นเหมือนกับพื้นที่ทำงานคราดไถของชาวนา
สติปัญญาเป็นเหมือนกับเราคราดเราไถ ค้นคว้าทบทวนไปมาอยู่นั่นแหละ
ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นที่เข้าใจอย่างแน่ชัดแล้วก็หยุด
จะขืนพิจารณาไปได้อย่างไรเมื่อทราบว่าเข้าใจด้วยปัญญาจนพอแล้ว

เช่นเดียวกับการรับประทาน หิวเราก็ทราบว่าหิว หิวมากหิวน้อยเราก็ทราบ
เวลารับประทานพอแก่ความต้องการแล้ว จะฝืนให้รับประทานได้อีกอย่างไร
การพิจารณาจนเป็นที่เข้าใจในสิ่งนั้นอย่างชัดเจนด้วยปัญญาก็เช่นเดียวกัน"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 12:57:01 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20130206125518_luangta_mahabua_232.jpg)

ไปอยู่กับท่านได้ประมาณสัก ๔-๕ คืนเท่านั้นกระมัง ความฝันนี้ก็เป็นความฝันเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ฝันว่าได้สะพายบาตร แบกกลด ครองผ้าด้วยดีไปตามทางอันรกชัฏ สองฟากทางแยกไปไหนไม่ได้มีแต่ขวากแต่หนามเต็มไปหมด นอกจากจะพยายามไปตามทางที่เป็นเพียงด่านๆ ไปอย่างนั้นแหละ รกรุงรัง หากพอรู้เงื่อนพอเป็นแถวทางไป พอไปถึงที่แห่งหนึ่งก็มีกอไผ่หนาๆ ล้มทับขวางทางไว้ หาทางไปไม่ได้ จะไปทางไหนก็ไปไม่ได้ มองดูสองฟากทางก็ไม่มีทางไป เอ นี่เราจะไปยังไงนา เสาะที่นั่นเสาะที่นี่ไปก็เลยเห็นช่อง ช่องที่ทางเดินไปตรงนั้นแหละ เป็นช่องนิดหน่อยพอที่จะบึกบึนไปให้หลวมตัวกับบาตรลูกหนึ่ง พอไปได้

เมื่อไม่มีทางไปจริงๆ ก็เปลื้องจีวรออก มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน เหมือนเราไม่ได้ฝัน เปลื้องจีวรออกพับเก็บอย่างที่เราพับเก็บเอามาวางนี้แล เอาบาตรออกจากบ่าเจ้าของก็คืบคลานไป แล้วก็ดึงสายบาตรไปด้วย กลดก็ดึงไปไว้ที่พอเอื้อมถึง พอบืนไปได้ก็ลากบาตรไปด้วย ลากกลดไปด้วย แล้วก็ดึงจีวรไปด้วย บืนไปอยู่อย่างนั้นแหละยากแสนยาก พยายามบึกบึนกันอยู่นั้นเป็นเวลานาน พอดีเจ้าของก็พ้นไปได้ เดี๋ยวก็ค่อยดึงบาตรไป บาตรก็พ้นไปได้ แล้วก็ดึงกลดไป กลดก็พ้นไปได้ พยายามดึงจีวรไปจีวรก็พ้นไปได้ พอพ้นไปได้หมดแล้วก็ครองผ้า มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน ครองจีวรแล้วก็สะพายบาตร นึกในใจว่าเราไปได้ละที่นี่ ก็ไปตามด่านนั้นแหละ ทางรกมาก พอไปประมาณสัก ๑ เส้นเท่านั้น สะพายบาตร แบกกลด ครองจีวรไป

ตามองไปข้างหน้าเป็นที่เวิ้งว้างหมด คือข้างหน้ามันเป็นมหาสมุทร มองไปฝั่งโน้นไม่มี เห็นแต่ฝั่งที่เจ้าของยืนอยู่เท่านั้น และมองเห็นเกาะหนึ่งอยู่โน้นไกลมาก มองสุดสายตาพอมองเห็นเป็นเกาะดำๆ นี่แหละ นี่เราจะไปเกาะนั้น พอเดินลงไปฝั่งนั้นเรือไม่ทราบมาจากไหน เราก็ไม่ได้กำหนดว่าเรือยนต์เรือแจวเรือพายอะไร เรือมาเทียบฝั่ง เราก็ขึ้นนั่งเรือ คนขับเรือเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเรา พอลงไปนั่งเรือแล้วก็เอาบาตรเอาอะไรลงวางบนเรือ เรือก็บึ่งพาไปโน้นเลยนะโดยไม่ต้องบอก มันอะไรก็ไม่ทราบ บึ่งๆๆ ไปโน้นเลย ไม่รู้สึกว่ามีภัยมีอันตรายมีคลื่นอะไรทั้งนั้นแหละ ไปแบบเงียบๆ ครู่เดียวเท่านั้นก็ถึงเพราะเป็นความฝันนี่

พอไปถึงเกาะนั้นแล้ว เราก็ขนของออกจากเรือแล้วขึ้นบนฝั่ง เรือก็หายไปเลยไม่ได้พูดกันสักคำเดียวกับคนขับเรือ เราก็สะพายบาตรขึ้นไปบนเกาะนั้น พอปีนเขาขึ้นไปๆ ก็ไปเห็นท่านอาจารย์มั่นกำลังนั่งอยู่บนเขาบนเตียงเล็กๆ กำลังนั่งตำหมากจ๊อกๆ อยู่ พร้อมกับมองมาดูเราที่กำลังปีนเขาขึ้นไปหาท่าน อ้าว ท่านมหามาได้ยังไงนี่ ทางสายนี้ใครมาได้เมื่อไหร่ ท่านมหามาได้ยังไงกัน กระผมนั่งเรือมา ขึ้นเรือมา โอ้โฮ ทางนี้มันมายากนา ใครๆ ไม่กล้าเสี่ยงตายมากันหรอก เอ้า ถ้าอย่างนั้นตำหมากให้หน่อย ท่านก็ยื่นตะบันหมากให้ เราก็ตำจ๊อกๆๆ ได้ ๒-๓ จ๊อก เลยรู้สึกตัวตื่น แหม เสียใจมาก อยากจะฝันต่อไปอีกให้จบเรื่องก่อนค่อยตื่นก็ยังดี

พอตื่นเช้ามาก็เลยไปเล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านพูดทำนายได้ดีมาก เอ้อ ที่ฝันนี้เป็นมงคลอย่างยิ่งแล้วนะ นี้เป็นแบบเป็นฉบับในปฏิปทาของท่านไม่เคลื่อนคลาดนะ ให้ท่านดำเนินตามปฏิปทาที่ท่านฝันนี้ เบื้องต้นจะยากลำบากที่สุดนะ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านต้องเอาให้ดี ท่านอย่าท้อถอย เบื้องต้นนี้ลำบาก ดูท่านลอดกอไผ่มาทั้งกอ นั่นแหละลำบากมากตรงนั้น เอาให้ดีอย่าถอยหลังเป็นอันขาด พอพ้นจากนั้นไปแล้วก็เวิ้งว้างไปได้สบายจนถึงเกาะ ท่านว่าอย่างนั้น อันนั้นไม่ยาก ตรงนี่ตรงยากนา

พระอาจารย์หลวงตามหาบัว


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 01:06:47 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20130206130552_luangta_mahabua_233.jpg)


หลวงปู่แหวนของเรา ธรรมดาท่านก็ไม่เคยไปจับไปต้องเงินทอง เขาถวายมาเท่าไรมีคนจับคนจ่ายเก็บไว้เรียบร้อยเหมือนพระทั้งหลายไม่จับเงินจับทอง มาถวายท่านก็เหมือนกัน บทเวลาท่านจะทำ นี่ท่านพลิกออกมาเฉยๆ จะว่าท่านทำผิดในจิตใจไม่มี อยู่ๆ ท่านก็ไปเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ จุดไฟขึ้นสูบปุ๊บๆ เลย

“โห หลวงพ่อสูบอันนี้มันธนบัตรนะ นี่เงินนะใบละ ๕๐๐ นะ” ท่านก็ “เหอ” ท่านก็รู้อยู่แล้ว “นี่ธนบัตรนะที่มวนบุหรี่สูบอยู่นี่น่ะ” “เหอ ท่านก็ทำท่าดู ประสากระดาษ” ท่านก็ว่า หายเงียบไปเลย นี้จะไปว่าท่านผิดไม่ได้นะ คือท่านพลิกกิริยาจากสมมุติที่ยอมรับกัน มาเป็นกิริยาที่ขวางสมมุติ คือยอมรับ ความเป็นพระไม่ยอมรับกัน แต่ท่านก็เอามาใช้ชั่วขณะ จะว่าท่านเป็นบาปว่าไม่ได้นะ ท่านพลิกกิริยานั้นออกมาพอให้จับได้เท่านั้นละ ทำได้แต่ไม่เป็นอาบัติ ไม่เป็นโทษ เพราะจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว กิริยาของขันธ์พลิกมาเพียงเท่านี้แล้วก็กลับไปตามเดิม

จากนั้นท่านก็ไม่ทำอีก ท่านไม่ได้เอาธนบัตรมามวนบุหรี่สูบเรื่อยๆ นะ ท่านก็ทำเท่านั้นแหละ จากนั้นท่านก็ปฏิบัติเหมือนที่เคยปฏิบัติมา เราจะว่าท่านเป็นอาบัติไม่ได้นะ ยุติหมดโดยสิ้นเชิง อันนี้เป็นสมมุติทั้งมวล ท่านก็ปฏิบัติตามสมมุติมานาน บทเวลาท่านจะพลิกท่านก็พลิกปั๊บอย่างนั้น เอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ตัวใหญ่ๆ สูบ ปุ๊บๆ สบายเลย ทีนี้เมื่อมีพระลูกพระหลานมาว่าท่าน “นี่หลวงปู่เอาธนบัตรมามวนบุหรี่สูบนะ” ท่านก็ว่า “เหอ” ท่านก็ทำท่าดู ท่านรู้แล้วท่านทำท่าดู “ประสากระดาษ” ท่านว่า ท่านก็สูบสบายไปเลย แน่ะก็อย่างนั้น จะไปว่าท่านผิดไม่ได้นะ

นี่แหละท่านพลิก กิริยาที่พระทั้งหลายยอมรับเป็นความผิด ก็ผิดแต่กิริยานี้เท่านั้น ใจท่านหมดโดยสิ้นเชิง จากนั้นท่านก็ปฏิบัติตามเดิม ก็ไม่เห็นมีอะไร เพราะใจท่านหมดโดยสิ้นเชิง ธรรมชาตินั้นเรียกว่าหมด กิริยาของขันธ์ที่แสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เข้ากระเทือนถึงจิตใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วได้เลย แต่ท่านก็ปฏิบัติตามสมมุติที่มีอยู่ ธาตุขันธ์ของท่านที่มีอยู่ กิริยาอาการความเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน การอยู่การกิน การขบการฉัน ท่านก็ปฏิบัติตามเพศของท่านซึ่งเป็นพระ ท่านไม่ฝ่าฝืน บทเวลาท่านจะพลิกก็พลิกอย่างนั้น พอให้เข้าใจกันบ้างเท่านั้นเอง ท่านไม่ได้ทำตลอดไป ไม่ใช่ว่าจะมีไปอย่างเดียวทีเดียว มีแยกมีแยะอย่างนั้น

จิตนี่เมื่อหลุดพ้นแล้วมันพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีคำว่าผิดว่าถูกเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย คือเลยหมดแล้ว ความผิดความถูกอยู่ในแดนสมมุติ คำว่าบุญว่าบาปอยู่ในแดนสมมุติ ทีนี้เวลาพ้นไปแล้วท่านจึงว่าท่านผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้ว พ้นไปหมด บุญไม่มาเกี่ยวข้อง บาปไม่มาเกี่ยวข้อง ผ่านไปหมดแล้ว อย่างนั้นจึงเรียกว่าผู้มีบุญและบาปอันละแล้ว เป็นวิมุตติแล้ว บุญบาปนี่เป็นสมมุติ เวลาดำเนินอยู่ก็ต้องอาศัยบุญ อาศัยความดีงามหนุนขึ้นๆ เหมือนขึ้นบันได พอถึงบ้านแล้วบันไดกับบ้านแม้จะติดกันอยู่มันก็เป็นบันได มันก็เป็นบ้าน คนละสัดละส่วนอยู่โดยดี

กิริยาแห่งบุญแห่งกรรมทั้งหลายก็เป็นเพียงสักแต่ว่ากิริยา แต่จิตใจนั้นพอทุกอย่างแล้ว ท่านไม่เอาอะไร จิตลงถึงขั้นเป็นอรหันต์แล้วพอทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลย สามแดนโลกธาตุเป็นสมมุติทั้งหมด จิตปล่อยวางโดยสิ้นเชิง อาศัยไปเพียงเท่านั้นเอง ที่จะให้ยึดให้เกาะว่าอันนั้นบกพร่องอันนี้ขาดเขินไม่มีในจิตดวงนั้น จึงเรียกว่าพออย่างเลิศเลอ พอก็พอนอกสมมุติไปเสีย ไม่ใช่พอธรรมดา เหมือนเรารับประทานอาหารตอนเช้านี้พอ พอตกบ่ายมาหิวอีกแล้ว ส่วนจิตอันนี้พอแล้วพอตลอด ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง พอตลอดไปเลย

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กิริยาที่ขวางสมมุติ
๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๗


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 24, 2013, 09:20:49 AM
(http://kammatan.com/gallary/images/20130206125518_luangta_mahabua_232.jpg)

เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐ องค์หลวงตารับนิมนต์ไปจำวัดที่จังหวัดร้อยเอ็ด
เนื่องในงานก่อเจดีย์มหามงคลบัว ท่านได้เมตตาเล่านิมิตความฝันอัศจรรย์ที่ปรากฏขึ้นในคืนนั้น ดังนี้


“...มันแปลกประหลาดยังไงก็ไม่รู้ เมื่อวานได้พูดอยู่ ได้สองสามคืนผ่านมานี้ มันแปลก
ไม่ใช่นั่งภาวนานะ เราหลับ (ตอนกลางคืนวันที่ ๕ พฤษภาคม) ปรากฏว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน
ฝันนะไม่ใช่นั่งภาวนา เรานอนหลับฝัน ฝันว่าท้าวสักกเทวราชลงมา เป็นหัวหน้บริษัทบริวารลงมา
คำฝันมันชัดเจนมากนะ แต่ฝันไม่ใช่ภาวนา
มาขอฟันเราไปกราบไหว้บูชา ให้ทวยเทพทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา นี่คำฝันนะ
ถ้าคำฝันโกหกเราก็โกหกด้วย เพราะฝันอย่างนั้นจริงๆ ถึงท้าวสักกเทวราช

แต่ในใจของเราก็ปลงใจให้นะปลงใจให้ฟัน มันมีฟันอันหนึ่งที่มันโยกคลอนอยู่ยังไม่ถอน ปล่อยมันไว้นั้นละ
พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน เราในความรู้สึกในความฝันว่าได้ปลงใจให้ท้าวสักกเทวราช
ฟันซี่นี้นะ พอตื่นเช้ามาฟันนี้หายเลย อันนี้เราก็อัศจรรย์เหมือนกัน ฟันที่ว่านี้มันโยกคลอนหายเลย
ไม่ทราบหายไปไหน หลังจากฝันมาแล้วหายเลย นี่เป็นเองนะ เราเป็นเอง ..

จะปล่อยให้มันหลุดเองเราว่างั้น พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอไป คำฝันก็สดๆ ร้อนๆ พอตื่นขึ้นมาฟันหาย หายจริงๆ
มันก็แปลกนะ เป็นจริงๆ ก็มันเป็นกับเราเอง เราไม่ได้โกหกใคร โฮ้ เป็นอย่างนี้ก็เป็น
พอตื่นนอนขึ้นมาฟันนี้หายแล้วไม่ทราบหายไปไหนคงเป็นท้าวสักกเทวราชเอาไป
เอ้า ผิดก็ผิด ผิดในคำฝันเป็นอะไรไป เราไม่ได้โกหก มันฝันว่างั้นเราก็พูดตามความฝัน
พอท้าวสักกเทวราชมาขอฟันเราปลงใจให้นะ พอตื่นนอนขึ้นมาฟันซี่นี้หายเลย
ที่มันโยกคลอนหาย หายเงียบเลย ได้สองสามวันนี้ เอ้อ อันนี้ก็แปลกอยู่
.. ปรากฏมาจริงๆ คล้ายกับภาวนา .. ตกลงฟันเราก็หายแต่คืนนั้นละหายเงียบเลย
ไม่ทราบไปไหน คำฝันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็พูดอย่างนั้น

ท้าวสักกเทวราชว่าถ้าให้มนุษย์มันยุ่ง .. แล้วตื่นขึ้นมาฟันหายเลย หายจริงๆ
ก็พอดีกับที่เราปลงใจให้นะ ในคำฝันว่าปลงใจให้ พอตื่นขึ้นมาฟันซี่นั้นหายเลยมันโยกคลอนเราปล่อยให้มันหลุดเอง
ถ้าจะไปถอนมันเกิดเรื่อง ให้มันหลุดเองเราก็เก็บไว้เลย เราคิดว่างั้น
พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอเลยหายเงียบไปเลยนี่ก็ดี เอ้อ มันมีหลายแบบนะ ..เอ แปลกอยู่…”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๘๐๒


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 25, 2013, 05:59:54 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20130325175838_485947_156798614481904_1541549331_n.jpg)

ระยะนั้นเป็นพรรษาที่ ๑๖ ในชีวิตการบวชของท่านและเป็นปีที่ ๙ แห่งการออกปฏิบัติกรรมฐาน
บนเขาลูกนี้ของคืนเดือนดับแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันจันทร์ที่๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓

ด้วยความอดทนพากเพียรพยายามติดต่อสืบเนื่องตลอดมานับแต่เริ่มออกปฏิบัติอย่างเต็มเหนี่ยวรวมเวลาถึง ๙ ปีเต็ม คืนแห่งความสำเร็จระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจของท่านก็สามารถตัดสินกันลงได้ในเวลา ๕ ทุ่มตรง ดังนี

“…ก็พิจารณาจิตอันเดียว ไม่ได้กว้างขวางอะไร เพราะสิ่งต่างๆ ที่เป็นส่วนหยาบมันรู้หมด รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั่วโลกธาตุมันรู้หมดเข้าใจหมดและปล่อยวางหมดแล้ว มันไม่สนใจพิจารณาแม้แต่รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ยังไม่ยอมสนใจพิจารณาเลยมันสนใจอยู่เฉพาะความรู้ที่เด่นดวงกับเวทนาส่วนละเอียดภายในจิตเท่านั้น สติปัญญาสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับอันนี้ พิจารณาไปพิจารณามา แต่ก็พึงทราบว่าจุดที่ว่านี้มันยังเป็นสมมุติมันจะสง่าผ่าเผยขนาดไหนก็สง่าผ่าเผยอยู่ในวงสมมุติ จะสว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหนก็สว่างกระจ่างแจ้งอยู่ในวงสมมุติ เพราะอวิชชายังมีอยู่ในนั้นอวิชชา นั้นแลคือ ตัวสมมุติ จุดแห่งความเด่นดวงนั้นก็แสดงอาการลุ่มๆ ดอนๆตามขั้นแห่งความละเอียดของจิตให้เราเห็นจนได้ บางทีก็มีลักษณะเศร้าหมองบ้างผ่องใสบ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้าง ตามขั้นละเอียดของจิตภูมินี้ให้ปรากฏพอจับพิรุธได้อยู่นั่นแล

สติปัญญาขั้นนี้เป็นองครักษ์รักษาจิตดวงนี้อย่างเข้มงวด
กวดขัน แทนที่มันจะจ่อกระบอกปืนคือสติปัญญาเข้ามาที่นี่ มันไม่จ่อ มันส่งไปที่อวิชชาหลอกไปโน้นจนได้
อวิชชานี้แหลมคมมาก ไม่มีอะไรแหลมคมมากยิ่งกว่าอวิชชาซึ่งเป็นจุดสุดท้ายว่า ความโลภมันก็หยาบๆ
พอเข้าใจและเห็นโทษได้ง่าย แต่โลกยังพอใจกันโลภ คิดดูซิ
ความโกรธก็หยาบๆ โลกยังพอใจโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความเกลียด ความโกรธอะไร เป็นขอหยาบๆ พอเข้าใจและเห็นโทษได้ง่าย โลกยังพอใจกัน อันนี้ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น มันเลยมาหมปล่อยมาได้หมด แต่ทำไมมันยังมาติดความสว่างไสว ความอัศจรรย์อันนี้ ทีนี้ อันนี้เมื่อมันมีอยู่ภายในนี้ มันจะแสดงความอับเฉาขึ้นมานิดๆ แสดงความทุกข์ขึ้นมานิดๆ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวาให้จับได้ด้วยสติปัญญาที่จดจ่อต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลาไม่ลดละความพยายามอยากรู้อยากเห็นความเป็นต่างๆ ของจิตดวงนี้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ต้องรู้กันจนได้ว่า จิตดวงนี้ไม่เป็นที่แน่ใจตายใจได้ จึงเกิดความรำพึงขึ้นมาว่า

‘จิตดวงเดียวนี้ ทำไมจึงเป็นไปได้หลายอย่างนักนะ เดี๋ยวเป็นความเศร้าหมอง
เดี๋ยวเป็นความผ่องใส เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวเป็นทุกข์ไม่คงที่ดีงามอยู่ได้ตลอดไปทำไจิตละเอียดถึงขนาดนี้แล้ว
จึงยังแสดงอาการต่างๆ อยู่ได้’

พอสติปัญญาเริ่มหันความสนใจเข้ามาพิจารณาจิตดวงนี้ ความรู้ชนิดหนึ่งที่ไม่คาดไม่ฝันก็ผุดขึ้นมาภายในใจว่า

‘ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดีความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งสิ้น และเป็นอนัตตาทั้งมวลนะ’

เท่านั้นแล สติปัญญาก็หยั่งทราบจิตที่ถูก อวิชชาครอบงำอยู่นั้นว่า เป็นสมมุติที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียว
ไม่ควรยึดถือเอาไว้หลังจากความรู้ที่ผุดขึ้นบอกเตือนสติปัญญาผู้ทำหน้าที่ตรวจตราอยู่ขณะนั้นผ่านไปครู่เดียว
จิตและสติปัญญาเป็นราวกับว่าต่างวางตัวเป็นอุเบกขามัธยัสถ์ ไม่กระเพื่อมตัวทำหน้าที่ใดๆ ในขณะนั้นจิตเป็นกลางๆ
ไม่จดจ่อกับอะไร ไม่เผลอส่งใจไปไหน ปัญญาก็ไม่ทำงาน สติก็รู้อยู่ธรรมดาของตนไม่จดจ่อกับสิ่งใด

ขณะจิต สติ ปัญญา ทั้งสามเป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิตอันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจได้กระเทือน
และขาดสะบั้นบรรลัยลงจากบัลลังก์คือใจ กลายเป็น วิสุทธิจิต ขึ้นมาแทนที่ ในขณะเดียวกัน
กับอวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลกแตกกระจายหายซากลงไปด้วยอำนาจสติปัญญาที่เกรียงไกรขณะที่ฟ้าดินถล่มโลกธาตุหวั่นไหว(โลกธาตุภายใน) แสดงมหัศจรรย์บั้นสุดท้ายปลายแดนระหว่างสมมุติกับวิมุตติตัดสินความบนศาล
สถิตยุติธรรม โดยวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผู้ตัดสินคู่ความ โดยฝ่ายมัชฌิมาปฏิปทา
มรรคอริยสัจเป็นฝ่ายชนะโดยสิ้นเชิง ฝ่ายสมุทัยอริยสัจเป็นฝ่ายแพ้น็อคแบบหามลงเปล ไม่มีทางฟื้นตัวตลอดอนันตกาลสิ้นสุดลงแล้ว
เจ้าตัวเกิดความอัศจรรย์ล้นโลก อุทานออกมาว่า

‘โอ้โหๆ .. อัศจรรย์หนอๆ แต่ก่อนธรรมนี้อยู่ที่ไหนๆ มาบัดนี้ธรรมแท้ ธรรมอัศจรรย์เกินคาดเกินโลก
มาเป็นอยู่ที่จิตและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตได้อย่างไร..
และแต่ก่อนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกอยู่ที่ไหน?
มาบัดนี้องค์สรณะที่แสนอัศจรรย์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตดวงนี้ได้อย่างไร..

โอ้โห! ธรรมะแท้ พุทธะแท้ สังฆะแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ’...”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๒๕๙


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 30, 2013, 08:14:10 AM
(http://kammatan.com/gallary/images/20121009144826_ajan_mahabua.jpg)

“...เราพูดจริงๆ จะขายโง่ขายความฉลาด ขายเลวขายดีก็แล้วแต่เถอะ
ก็ภาวนาอยู่ทุกคืน เราภาวนาอยู่อย่างนั้น จากนั้นเมตตาจิตทั่วไปหมด

เมื่อคืนนี้ .. มันขึ้นขึ้นอะไร ห่วงโลกห่วงสงสารแล้วก็ย่นเข้ามาๆ เข้ามาถึงจุดเมืองไทยเรา
ทีนี้เกิดความสงสาร ขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องเมืองไทยเรานี้ติดหนี้ติดสิน เมืองนอก ..

ทำยังไงกัน .. .. การติดหนี้เป็นทุกข์นะ ทุกข์ที่สุดเลย ในธรรม ท่านก็บอก
ความติดหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก ความไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านก็บอกไว้มีในธรรมในบาลี

"อิณาทานัง ทุกขังโลเก ความติดหนี้เป็นทุกข์มากในโลก ความ ไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านแสดงไว้...”

องค์หลวงตาเล่า นิมิตภาวนาให้ฟังว่า

ปกติทุกคืนท่านเข้สมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิตแก่สรรพสัตวทั้งมวล อำนาจของจิตแผ่ไปไม่มีประมาณในสามแดนโลกธาตุ
คืนหนึ่งจิตของท่านย่นเข้ามาสะดุดกึ๊กอยู่ที่จุดเมืองไทยของเรา เกิดความห่วงโลกห่วงสงสารประเทศชาติบ้านเมืองถึงขั้นจะล่มจะจมในนิมิตภาวนานั้นปรากฏว่า ชาติไทยมีแต่ความมืดดำปกคลุมมืดครึ้มไปหมด ในจิตอ่อนนิ่มแผ่เมตตาไปทางใดประหนึ่งว่าจะหมดหวัง ทั้งๆ ที ก่อนนี้ไม่เคยมีอะไรขวางกั้นทางเดินแห่งจิตที่เมตตาครอบ โลกธาตุนี้ได้เลย แม้พิจารณาแผ่เมตตา ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ก็เป็นเช่นนั้น

จึงกำหนดจิตพิจารณา หาผู้ใดจะมาช่วยแบ่งเบาภาระและจุดประกายให้แสงสว่างแก่ประเทศชาติที่ดำมืดครื้มนั้นก็ไม่เห็นมี ประหนึ่งว่า “หมดหวังแล้วหนอ!” ชาติบ้านเมืองคราวนี้ ถึงคราวที่จะสูญสลายสิ้นชาติและพระพุทธศาสนาที่ให้ความร่มเย็นแก่โลกมาเป็นเวลานาน มองไปช่องทางใดก็มีแต่ทางคับแคบตีบตัน กว้างก็กว้างเพื่อตีบตัน

เมื่อไม่เห็นมีผู้ใดที่พอจะช่วยได้แล้ว จึงกำหนดจิตย้อนเข้ามาภายในตน
.. ปรากฏว่าเห็นเป็นแสงสว่างเพียงหิ่งห้อย จึงกำหนดจิตเข้าไปตามลำแสงอันน้อยนิดนั้น
แม้จะเป็นช่องแคบๆ ก็จริงแต่เมื่อกำหนดดูปรากฏว่าทะลุไปได้ พิจารณาดูแล้วแสงเพียงหิ่งห้อยนั้น ก็คือตัวท่านเอง
นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวด้วยว่า การออกมาช่วยชาติในคราวนี้ของท่านจะมีอยู่ ๒ ทาง คือ
๑. จะเป็นทางบุญนำประชาชนไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน
๒. จะเป็นทางบาปไปนรกสำหรับผู้ไม่เห็นด้วย ไม่อนุโมทนา แต่คิดจ้องทำลาย ลบหลู่ เหยียบย่ำ สกัดกั้นการช่วยชาติ

นิมิตภาวนาในครั้งนี้ถึงกับทำให้ท่านร้อง “โก้ก” และ
ออกประกาศเลยว่า

“ถ้าหลวงตาบัวยังไม่ตาย เมืองเรายังจมไม่ได้ นี่คือกำลังใจของเรา
มันพยายามแหวกว่ายเอาให้ได้ ส่วนร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันหมดสภาพแล้ว
ที่อยู่ได้ก็เพราะกำลังใจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหลวงตาตายแล้ว”


จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๕๙๘


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 13, 2013, 08:09:59 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20130206130552_luangta_mahabua_233.jpg)

"..นี่เรียกว่าวันสงกรานต์ วันลดทิฐิมานะเข้าสู่กัน เป็นเพื่อนสนิทสนมกันคือวันเช่นนี้วันสงกรานต์
ไม่ให้มีถือสีถือสากัน อะไรๆ ให้เป็นกันเองไปหมดเลย จึงเรียกว่าวันสงกรานต์
วันให้อิสรภาพความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงเสมอหน้ากันไปหมด ให้พากันจำเอา

ผู้ที่ไม่ไปสงกรานต์กับเขาก็ให้ภาวนา อย่าลืมนะภาวนา ภาวนานี่เป็นสงกรานต์สาดน้ำใส่กิเลส
กิเลสมันสกปรกมากในหัวใจของเรา วันนี้เป็นวันสงกรานต์สาดน้ำใส่กิเลสนะ
อย่าให้กิเลสสาดมูตรสาดคูถใส่หัวเรา ฉิบหายเลย ถ้ากิเลสได้สาดมูตรสาดคูถ
ความขี้เกียจขี้คร้านภาวนา นี่ละไอ้ตัวกิเลสตัวนี้มันมาสาดใส่หัวเรา ให้ระวังให้ดี วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
แสดงธรรมเมื่อ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤษภาคม 29, 2013, 09:35:00 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20110131192627_958.jpg)

ท่านสอนไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่าใครจะอยู่ใกล้อยู่ไกลที่ไหน ประเทศใดเมืองใดก็ตาม
เวลาตายแล้วจะต้องกลับเข้าไปถึงบ้านถึงเรือน ถึงพี่น้องพ่อแม่ญาติมิตรของตนเป็นลำดับลำดา
ถ้าไม่ถูกกรรมหนักบังคับให้ไปตกนรกเสียก่อน มีช่องทางที่จะไปหาญาติหาวงศ์ของตนได้ทุกแห่งทุกหน
 โดยไม่มีคำว่าหลงทาง นี่คือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว แล้วกลับเข้ามาในบ้านญาติมิตรของตน
ตายที่ไหนก็มาหาญาติหามิตร เพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศลจากพ่อแม่พี่น้องที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่มาดั้งเดิม
 ในเวลาตายแล้วก็ต้องย้อนกลับมา

ท่านบอกไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่า เข้ามาแอบอยู่ตามข้างบ้านข้างเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ข้างฝาเรือนบ้าง
เข้ามาอยู่ทุกซอกทุกมุมในบ้านเรือนของญาติของมิตร ของพ่อของแม่บ้าง แต่เวลาพ่อแม่พี่น้องซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในเวลามีชีวิตอยู่
รับประทานด้วยกัน มีอะไรถึงกันหมดนั้น พอตายไปแล้วเท่านั้น กลับมาก็มาแอบดูพ่อดูแม่
ดูญาติดูวงศ์ที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ในนั้น ไม่สามารถที่จะรับได้
เพราะไม่ใช่วิสัยของเปรตผีกับมนุษย์ที่จะมาร่วมกินร่วมอยู่ด้วยกันได้เช่นนั้น
ถ้าหากว่าญาติมิตรมีความรู้สึกเป็นห่วงใยในผู้ล้มผู้ตายที่จากไปนั้น ได้ทำบุญทำกุศล
อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่บรรดาเปรตทั้งหลายที่มานั้น เปรตเหล่านั้นก็ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล
ก่อนจะจากไปก็อนุโมทนาสาธุการแก่ญาติมิตรของตน
แล้วไปสวรรค์ได้เพราะอำนาจแห่งส่วนกุศลที่หนุนท่านเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ในความเป็นเปรตเสียได้ นี่ท่านแสดงไว้อย่างนี้

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศนาธรรมเรื่อง"ตายแล้วย้อนกลับมาบ้านเรือน"
๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๖

ขอเชิญทุกๆท่านร่วมทำบุญวันเปิดโลกธาตุรำลึกถึงองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ในวันพรุ่งนี้ 30 พ.ค. 56 ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานีค่ะ



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB คุณ supani ครับผม


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 02, 2013, 09:27:36 AM
"ดูหัวใจเจ้าของนั่นซิ อย่าไปดูหัวใจคนอื่น ไปตำหนิคนนั้น ไปเกลียดคนนี้
ไปชังคนนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่เข้าเนื้อเจ้าของทั้งนั้น
ดูเจ้าของมันบกพร่องตรงไหนดูเจ้าของ ซ่อมเจ้าของลงไปให้เต็มที่แล้วพอแล้วเท่านั้นพอ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ สิงหาคม 20, 2013, 08:29:54 PM
"..วันหนึ่งคืนหนึ่งให้ไหว้พระสวดมนต์
การไหว้พระสวดมนต์นี้ เป็นจิตเป็นใจเป็นสารคุณมหาคุณต่อจิตใจของเราจริงๆ
การระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันเลิศเมื่อน้อมเข้าสู่จิต จิตจะกลายเป็นจิตที่เลิศเลอไปตามกัน

การสวดมนต์ให้อยู่กับบทสวดมนต์ด้วยสติ ให้สติกับคำสวดมนต์ติดแนบกันไป
นั้นแล คือการบำเพ็ญธรรมอยู่ในนั้น และขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมนี้
 เป็นที่ระลึกไหว้พระสวดมนต์จากนั้นให้พากันทำความสงบใจ บำเพ็ญภาวนาจึงสมชื่อว่าเป็นชาวพุทธ.."

โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 04, 2013, 06:38:27 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120906130952_ajan_mhun.jpg)

หลวงตาพระมหาบัว เล่าถึง

วินาทีมรณภาพของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



ท่านพระอาจารย์มั่น ในเวลาต่อมาตอนท่านเริ่มป่วย จำได้แต่เพียงว่าเดือน ๔ ขึ้น ๑๔ ค่ำ พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นวันท่านเริ่มป่วย ท่านเล่าให้ฟังตอนไปเที่ยวกลับมา กราบนมัสการท่าน ท่านเริ่มป่วยคราวนี้ไม่เหมือนกับคราวใดๆ ซึ่งแต่ก่อนเวลาท่านป่วย ถ้ามีผู้นำยาไปถวายท่าน ท่านก็ฉันให้บ้าง มาคราวนี้ท่านห้ามการฉันยาโดยประการทั้งปวงแต่ขั้นเริ่มแรกป่วย โดยให้เหตุผลว่า “การป่วยคราวนี้ไม่มีหวังได้รับประโยชน์อะไรจากยา เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ตายยืนต้นอยู่เท่านั้น ใครจะมารดน้ำพรวนดินทะนุบำรุงเต็มสติกำลังความสามารถ ต้นไม้นั้นจะไม่มีวันกลับมาผลิดอกออกผลใบและแสดงผลต่อไปอีกได้เลย เพียงสักว่ายังยืนต้นอยู่เท่านั้น ไม่แน่ใจว่าจะล้มลงจมดินวันใด ธาตุขันธ์ที่แก่ชราภาพขนาดนี้แล้ว ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นหยูกยาจึงไม่เป็นผลอะไรกับโรคประเภทนี้ ที่เขาเรียกว่า โรคคนแก่”

ท่านว่า แม้ท่านจะห้ามยามิให้นำมาเกี่ยวข้องกับท่าน แต่ก็ทนต่อคนหมู่มากไม่ไหว คนนั้นก็จะให้ท่านฉันยานั้น คนนี้ก็จะให้ท่านฉันยานี้ คนนั้นจะฉีด คนนั้นจะให้ฉัน หนักเข้าท่านก็จำต้องปล่อยตามเรื่อง มีคนมากราบเรียนถามเรื่องยาถูกกับโรคของท่านหรือไม่ ท่านก็นิ่งไม่ตอบโดยประการทั้งปวง

เมื่ออาการของท่านหนักจวนตัวเข้าจริงๆ ท่านก็บอกกับคณะลูกศิษย์ทั้งพระและญาติโยมว่า

“จะให้ผมตายในวัดป่าหนองผือนี้ไม่ได้ เพราะผมน่ะตายเพียงคนเดียว แต่ว่าสัตว์ที่ตายตามเพราะผมเป็นเหตุจะมีจำนวนมากมาย เพราะฉะนั้นขอให้นำผมออกจากที่นี้ไปจังหวัดสกลนคร เพื่อให้อภัยแก่สัตว์ซึ่งมีจำนวนมาก อย่าให้เขาพลอยทุกข์และตายไปด้วยเลย ที่โน้นเขามีตลาดซึ่งมีการซื้อขายกันอยู่แล้ว ไม่มีทางเสียหายเนื่องจากการตายของผม”

พอท่านพูดและให้เหตุผลอย่างนั้น ทุกคนต้องยอมทำตามความเห็นของท่าน จึงเตรียมแคร่ที่นอนมาถวายและอาราธนานิมนต์ท่านขึ้นนอนบนแคร่ แล้วพร้อมกันหามท่านออกไปในวันรุ่งขึ้น พอมาถึงวัดป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร แล้วก็พาท่านพักแรมคืนอยู่ที่นั้นหลายคืน ท่านก็คอยเตือนเสมอว่า

“ทำไมพาผมมาพักค้างที่นี่ล่ะ ผมเคยบอกแล้วว่าจะไปจังหวัดสกลนคร ก็ที่นี่ไม่ใช่สกลนคร” ท่านว่า

เมื่อจวนตัวเข้าจริงๆ ในสามคืนสุดท้าย ท่านไม่ค่อยจะพักนอน แต่คอยเตือนให้รีบพาท่านไปสกลนครเสมอ เฉพาะคืนสุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่หลับนอนเท่านั้น ยังต้องบังคับว่า

“ให้รีบพาผมไปสกลนครในคืนวันนี้จงได้ อย่าขืนเอาผมไว้ที่นี่เป็นอันขาด” ท่านพูดย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่ทำนองนั้น

แม้ที่สุดท่านจะนั่งภาวนา ท่านก็สั่งว่า “ให้หันหน้าผมไปทางจังหวัดสกลนคร”

ที่ท่านสั่งเช่นนั้น เข้าใจว่าเพื่อให้เป็นปัญหาอันสำคัญแก่คณะลูกศิษย์ จะได้ขบคิดถึงคำพูดและอาการที่ท่านทำอย่างนั้นว่า มีความหมายแค่ไหนและอย่างไรบ้าง พอตื่นเช้าจะเป็นเพราะเหตุไรก็สันนิษฐานยาก เผอิญชาวจังหวัดสกลนครซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน พร้อมกันเอารถยนต์มารับท่าน ๓ คัน แล้วอาราธนานิมนต์ให้ท่านไปจังหวัดสกลนคร ท่านก็เมตตารับทันที เพราะท่านเตรียมจะไปอยู่แล้ว

ก่อนจะขึ้นรถยนต์ หมอได้ไปฉีดยานอนหลับให้ท่าน จากนั้นท่านก็นอนหลับไปตลอดทางจนถึงวัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร เวลา ๐๑.๐๐ นาฬิกา ท่านก็เริ่มตื่น พอตื่นจากหลับแล้ว จากนั้นท่านก็เริ่มทำหน้าที่เตรียมลา “ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ห้าเป็นภาระหนัก” จะมรณภาพ

จนถึง ๐๒.๒๓ นาฬิกา ก็เป็นวาระสุดท้าย ก่อนหน้านี้ประมาณสองชั่วโมงเศษ ท่านนอนท่าตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านจะเหนื่อยมาก เพราะนอนท่านี้มานาน จึงพากันเอาหมอนที่หนุนอยู่หลังท่านถอยออก เลยกลายเป็นท่านนอนหงายไป พอท่านทราบก็พยายามขยับตัวหมุน กลับจะนอนท่าตะแคงข้างขวาตามเดิม พระเถระผู้ใหญ่ซึ่ง เป็นศิษย์ของท่าน ก็พยายามเอาหมอนหนุนหลังท่านเข้าไปอีก ท่านเองก็พยายามขยับๆ เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นอาการของท่านอ่อนเพลียมากและหมดเรี่ยวแรง ก็เลยหยุดไว้แค่นั้น ดังนั้น การนอนของท่านจะว่านอนหงายก็ไม่ใช่ จะว่านอนตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นอาการเพียงเอียงๆ อยู่เท่านั้น ทั้งเวลาของท่านก็จวนเข้ามาทุกที บรรดาศิษย์ ก็ไม่กล้าแตะต้องกายท่านอีก จึงปล่อยท่านไว้ตามสภาพ คือท่านนอนท่าเอียงๆ จนถึงเวลา ซึ่งเป็นความสงบอยู่ตลอดเวลา

ในวาระสุดท้ายนี้ ต่างก็นั่งสังเกตลมหายใจของท่านแบบตาไม่กระพริบไปตามๆ กัน การนั่งของพระที่มีจำนวนมากในเวลานั้น ต้องนั่งเป็นสองชั้น คือ ชั้นใกล้ชิดกับท่านและชั้นถัดกันออกมา ชั้นในก็มีพระผู้ใหญ่ มี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นต้น ชั้นนอกก็เป็นพระที่มีพรรษาน้อย แล้วถัดกันออกไปก็เป็นพระนวกะและสามเณร บรรดาพระทั้งพระเถระและรองลำดับกันลงมาจนถึงสามเณร ในขณะนั้นรู้สึกจะแสดงความหมดหวัง และหมดกำลังใจไปตามๆ กัน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากออกมา นอกจากมีแต่อาการที่เต็มไปด้วยความหมดหวังและความเศร้าสลดเท่านั้น เพราะร่มโพธิ์ใหญ่มีใบหนา ซึ่งเคยเป็นที่อาศัยและร่มเย็นอย่างยิ่งมาเป็นเวลานาน กำลังถูกพายุจากมรณภัยคุกคาม จะหักโค่นพินาศใหญ่ขณะนั้นอยู่แล้ว การทำหน้าที่ของท่านก็กำลังเป็นไปแบบมองดูแล้วหลับตาไม่ลงทั้งท่านผู้อื่นและเรา

ขณะที่ท่านจะสิ้นลมจริงๆ รู้สึกว่าอาการทุกส่วนของท่านอยู่ในความสงบและละเอียดมาก จนไม่มีใครจะสามารถทราบได้ว่า ท่านสิ้นลมไปในขณะใด นาทีใด เนื่องจากลมหายใจของท่านละเอียดเข้าเป็นลำดับ จนไม่ปรากฏว่าท่านสิ้นไปเมื่อไร เพราะไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแสดงอาการในวาระสุดท้าย พอให้ทราบได้ว่าท่านสิ้นไปในวินาทีนั้น

แม้จะพากันนั่งสังเกตอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีใครรู้ขณะสุดท้ายของท่าน ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นประธานอยู่ในที่นั้น เห็นท่าไม่ได้การ จึงพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ ?” จากนั้นท่านก็ดูนาฬิกาเป็นเวลา ๐๒.๒๓ นาฬิกา จึงได้ยึดเอาเวลานั้นเป็นเวลามรณภาพของท่าน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 01, 2013, 10:59:32 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20131001225824_luangtabua.jpg)

ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช กับเราสนิทสนมกันมาก เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว สนิทกัน เราไปพักวัดบวรฯ แรก ๆ ก็ไปพักกุฏิท่าน ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่านให้อยู่ชั้นบนเลย ท่านนิมนต์เราขึ้นชั้นบนเราไม่ขึ้น จากนั้นมาแล้วเราจะพักคณะไหน ๆ วัดบวรฯ เราก็พัก พอท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วเราก็ไม่ได้ไปกราบเยี่ยมท่านเลย ถ้าหากว่าพูดตามทางโลกแล้วเรียกว่าเรานี้ถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง แต่ภายในใจของเราแล้วไม่มี เราเคารพท่านตลอดมา

ที่ไม่ไปก็เพราะว่า ปรกติท่านมีพระภาระมากมายอยู่แล้ว แม้เราเพียงตัวเท่าหนูงานของเราก็ไม่เคยว่าง ไหนอาจารย์มหาบัวจะมาเยี่ยมแล้วจะยุ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ เพราะไปหาท่าน ไม่ไปกราบเรียนท่าน ปุบปับเข้าไปเลยก็ไม่เหมาะ ก็เสียอีกทางหนึ่ง ถ้าจะกราบเรียนท่านแล้วค่อยเข้าไปก็เสียอีกทางหนึ่ง สุดท้ายเลยไม่ไป ไม่ไปเลยนะตั้งแต่ท่านเป็นสังฆราชแล้วไม่ไป ท่านมาที่นี่นะ ท่านมางานกุมภวาปี ออกจากนั้นท่านเสด็จบึ่งมาเลยบอกว่าจะมาวัดป่าบ้านตาด ออกจากนี้ดูว่าขึ้นเครื่องบินกลับเลย ท่านยังอุตส่าห์มาท่านเป็นสมเด็จสังฆราชแล้วนะ เราเป็นฝ่ายถือตัว เลยไม่ได้ไปหาท่านเลยจนกระทั่งป่านนี้ ท่านเคยมาภาวนาที่นี่แต่ก่อนที่ท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จสังฆราช สมัยนั้นสมเด็จพระสังฆราชท่านยังทรงพระชนม์อยู่ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์น่ะ ท่านก็มีโอกาสมาล่ะซิ มาพักอยู่กับเราทีละไม่น้อยกว่าสิบแหละท่านมาแต่ละครั้ง ๆ

นั่นละคำว่าสนิทกัน สนิทมากมานาน ก่อนนี้อีกด้วยนะ ท่านเป็นพระที่สุขุมมาก เราอยากจะพูดว่าท่านดุใครไม่เป็น ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลยนะ เรานี้ไปที่ไหนมันต้องได้สะพายยาทันใจติดย่ามไปด้วยแก้ปวดหัว วันไหนไม่มีอะไรดุแล้ววันนั้นปวดหัว ต้องงัดยาทันใจออกมาฉันเพื่อระงับปวดหัว มันไม่ได้ดุ วันนี้ปวดหัวมากเข้าใจไหม ต้องมียาทันใจติดย่ามไปด้วย ไปทั้งมองโน้นมองนี้ไม่เห็นอะไรก็คว้าเอายาทันใจออกมาฉันแล้วก็เดินไป พอไปเจออะไรเข้าไปนี้เวิกวากแล้วยาทันใจก็สบาย นอนหลับ มันคนละแบบเราน่ะ ท่านแบบหนึ่ง ถ้าท่านดุแล้วท่านก็คงจะปวดหัว เราไม่ได้ดุเราปวดหัว นี่มันต่างกันนะนิสัยคนเรา มันต่างกัน มันหากเป็นตามนิสัยนะ ไม่ต้องมีท่ามีทางตั้งโปรกงโปรแกรมอะไรไว้เรื่องดุไม่ดุ ท่านไม่เคยดุท่านก็เป็นของท่านอย่างนั้น ไอ้เราเคยดุเราก็เป็นของเราอย่างนี้ แม้ที่สุดนอนก็ต้องเอาย่ามมัดติดคอไว้ บางทีหนูมาครอกแครกนี้ดุหนูล่ะซี ถ้าไม่ได้ดุหนูมันก็ปวดหัว อย่างนั้นละเรา มันเป็นนิสัยคนละอย่าง ๆ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
"นิสัย"


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 05, 2013, 11:26:12 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20131005112555_luangta_bua.jpg)

ผู้สำเร็จชั้น "พระโสดา" ท่านกล่าวไว้ว่า
ละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ ๑
วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑

แต่ ทางด้านปฏิบัติของธรรมะป่า
รู้สึกจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เฉพาะสักกายทิฏฐิ ๒๐
นอกนั้น ไม่มีข้อข้องใจในด้านปฏิบัติ
จึงเรียนตามความเห็น ของธรรมะป่าแทรกไว้บ้าง

ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้เด็ดขาดนั้น
เมื่อสรุปแล้ว ก็พอได้ความว่า ผู้มิใช่ผู้เห็นขันธ์ ๕ เป็นเรา
เห็นเราเป็นขันธ์ ๕, เห็นขันธ์ ๕ มีในเรา เห็นเรามีในขันธ์ ๕
คิดว่า คงเป็นบุคคลประเภท ไม่ควรแสวงหา
ครอบครัว ผัว-เมีย เพราะครอบครัว (ผัว-เมีย)
เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นรวงรัง ของสักกายทิฏฐิ
ที่ยังละไม่ขาดอยู่โดยดี

ส่วนผู้ละสักกายทิฏฐิ ได้โดยเด็ดขาดแล้ว
รูปกาย ก็หมดความหมาย ในทางกามารมณ์
ขันธ์ทั้ง ๕ ของผู้นั้น ไม่เป็นไปเพื่อกามารมณ์
คือ ประเพณีของโลกโดยประการทั้งปวง
ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้โดยเด็ดขาด คิดว่า
เป็นเรื่องของ "พระอนาคามีบุคคล"

โอวาทธรรมโดย
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 16, 2013, 09:57:37 PM
"สิ่งที่เราได้ สิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นนั้น
จิตเป็นผู้สร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้น
ด้วยอำนาจของกรรมดีหรือกรรมชั่ว
บุญหรือบาป จึงมีผลเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง

จิตที่ตั้งไว้ผิด จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเรายิ่งกว่าศัตรูคู่เวร
ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากเท่ากับเราทำร้ายตนเอง
ไม่มีใครต้มตุ๋นเราเท่ากับเราต้มตุ๋นตนเอง
ไม่มีใครหลอกลวงเราเท่ากับเราหลอกลวงตนเอง
ก็คือกิเลสหลอกจิตนั่นเอง"

100 ปี ชาตกาล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 21, 2013, 09:52:36 PM
"..เวลาประกอบ ความพากเพียรเท่านี้
ทำไมจะเห็นว่า เป็นความทุกข์ เป็นความลำบาก
เราจะหา "แดนพ้นทุกข์" ได้ที่ตรงไหน?
หนักก็เอา เบาก็สู้ เป็นก็สู้ ตายก็สู้ ไม่ถอยหลัง
ทำแบบนี้แล คือ ลูกศิษย์ตถาคต
ให้ถือกิจนี้เป็นสำคัญ
นี่แหละ แดนแห่งความพ้นทุกข์ อยู่ที่ตรงนี้.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 22, 2013, 10:05:21 PM
"โรคกรรมเก่า" : หลวงปู่มั่น

มาถึงตอนนี้มีเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่น่าจะมีได้ แต่ก็ได้มีแทรกขึ้นในวงกรรมฐานมาแล้วสมัย
ท่านพักอยู่ในเขาที่เชียงใหม่ จึงขออภัยเขียนไว้บ้างตามที่ได้ยินมา เพื่อเป็นข้อคิดและ
เป็นคติเตือนใจแก่ชาวเราต่างก็กำลังตกอยู่ในภาวะทำนองเดียวกัน

เรื่องนี้คิดว่า เป็นเรื่องกรรมกันโดยมาก บรรดาที่ได้ทราบกันในวงใกล้ชิดมี
ท่านพระอาจารย์มั่น เป็นต้น ผู้ให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้พอได้เป็นข้อคิดตลอดมา

พระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเคยอยู่กับท่านอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า บ่าย ๆ
วันหนึ่งท่านกับพระอีกรูปหนึ่งไปอาบน้ำที่แอ่งหิน ใกล้กับหนทางไปไร่ไปสวนของชาวบ้านแถบนั้น
แต่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก

ขณะลงอาบน้ำ เผอิญมีพวกสีกามาจากไร่ เดินผ่านมาที่ตรงนั้น ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีเลยพอพระรูปนั้นเจอเข้า
จิตก็เกิดแปรปรวนขึ้นมาทันทีทันใด โดยไม่ทันได้มีสติยับยั้งเอาเลยจึงเกิดเป็นไฟราคะตัณหาเผาลนตัวเองขึ้น
ในขณะนั้นและร้อนสุมอยู่ตลอดไป พยายามแก้ไขเท่าไรก็ไม่ตก ทั้งกลัวท่านอาจารย์จะทราบก็กลัว
ทั้งกลัวเจ้าตัวจะเสียไปเพราะเรื่องนี้ก็กลัว เลยทำให้พระรูปนั้นตั้งตัวไม่ติด

นับแต่ขณะนั้นไปถึงกลางคืน จนตลอดคืนที่พิจารณากันอยู่อย่างไม่หยุดยั้งลดละ
เพราะความไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เพิ่งมาเจอเอาขณะนั้น ท่านจึงรู้สึกเป็นทุกข์มาก
 ในคืนนั้นท่านอาจารย์ก็พิจารณาทราบเช่นกันว่า

พระรูปนี้ไปเจอเอาของดีเข้าแล้ว กำลังเกิดความกระวนกระวายด้วยความรัก
และความกลัวตลอดคืนมิได้หลับนอนด้วยความพยายามแก้ไขอย่างสุดกำลัง

ตื่นเช้าขึ้นมาท่านก็มิได้ว่าอะไร เพราะทราบว่าเจ้าตัวกำลังกลัวท่านมากแล้ว
ถ้าไปว่าเข้าเดี๋ยวเกิดเป็นอะไรไปก็ยิ่งจะแย่เข้าไปอีก ท่านแสดงอาการยิ้มต่อพระองค์นั้นขณะที่มาพบกันตอนเช้า
 ดูอาการของเธอทั้งอายทั้งกลัวท่านมากแทบตัวสั่น ท่านก็ทำอาการเป็นไม่รู้ไม่ชี้เฉย ๆ ไปเสีย

พอถึงเวลาบิณฑบาต ท่านเลยหาอุบายพูดเพื่ออะไรก็ยากจะเดาได้ถูก ว่าท่าน…..
กำลังเร่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง จะเร่งต่อไปไม่ต้องไปบิณฑบาตก็ได้
 ไปแต่พวกเราก็ยังได้พระเพียงองค์เดียวจะเลี้ยงไม่ได้อย่างไร

ท่านอยากภาวนาต่อก็ไปภาวนาเสีย ภาวนาเผื่อหมู่คณะด้วยนะ แต่ท่านมิได้มองดูพระรูปนั้นเลย
 เพราะท่านทราบดียิ่งกว่าพระรูปนั้นจะทราบเรื่องของตัวอยู่แล้ว

ว่าแล้วท่านก็นำหมู่คณะออกบิณฑบาต ส่วนพระรูปนั้นก็จำใจเข้าทางจงกรมทำความเพียร
ทั้งนี้ท่านทำเพื่ออนุเคราะห์พระที่เป็นขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่มีเจตนา แต่สุดวิสัยจะห้ามได้
ท่านก็ทราบว่าพระรูปนั้นพยายามอยู่อย่างเต็มใจที่จะแก้เรื่องของตัว
จึงต้องหาอุบายช่วยด้วยวิธีต่าง ๆ โดยมิให้กระทบกระเทือนจิตใจเธอแต่อย่างใด

เวลากลับจากบิณฑบาตมาถึงที่พักแล้ว ก็พร้อมกันจัดอาหารใส่บาตรเธอ
และสั่งให้พระไปนิมนต์เธอมาฉัน หรือจะฉัน ณ ที่อยู่ของตนก็ได้ตามแต่สะดวก
พอทราบเธอก็รีบมาฉันร่วมหมู่คณะ ขณะเธอเดินมา ท่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่มอง
แต่พูดอย่างนิ่มนวลอ่อนหวาน เพื่อประสานใจที่เป็นรอยร้าวตลอดมานั้น ไม่ปรารภเรื่องที่จะทำให้เสียใจใด ๆ เลย

แม้เธอจะมาฉันร่วมหมู่คณะ แต่ก็ฉันได้นิดเดียว พอเป็นพิธีไม่ให้เสียมรรยาทเท่านั้น
วันนั้นพระที่อยู่ด้วยกันสองรูปคือรูปที่เล่านี้ด้วย เพราะแต่ก่อนท่านยังไม่ทราบเรื่อง
พากันเกิดความสงสัยโดยคิดว่า แต่ก่อนท่านอาจารย์ไม่เคยทำอย่างนี้กับใครเลย

แต่มาคราวนี้ท่านทำไมถึงทำอย่างนี้กับท่าน……นี้ ชะรอยท่านคงภาวนาดีแน่ ๆ
ท่านถึงได้ช่วยสนับสนุน พอได้โอกาสก็แอบไปหาท่าน…..นั้น
ถามถึงการภาวนาว่าท่านอาจารย์ว่าท่านกำลังเร่งความเพียรจึงไม่ให้ไปบิณฑบาต
แต่ท่านมิได้บอกว่า ท่านภาวนาดี ที่นี่การภาวนาท่านเป็นอย่างไรบ้าง นิมนต์เล่าให้ผมฟังบ้าง

พระรูปนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ แล้วตอบว่าผมจะภาวนาดียังไง
ท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ทำท่าช่วยเสริมไปตามอุบายแห่งความฉลาดของท่านอย่างนั้นเอง
ผู้ถามเซ้าซี้ให้เล่าให้ฟังตามความจริง ต่างก็ไล่กันไปเลี่ยงกันมาอยู่พักหนึ่ง
และถามว่าที่ว่าท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ช่วยเสริมไว้นั้นจะตายอย่างไร และช่วยเสริมอย่างไร? เมื่อทนไม่ไหว

เธอก็กำชับว่า ไม่ให้เล่าถวายท่านอาจารย์ทราบ เพราะท่านทราบเรื่องของผมละเอียดแล้วยิ่งกว่าผมทราบเรื่องของตัวเป็นไหน ๆ
ฉะนั้นผมจึงกลัวและอายท่านมาก แล้วพูดต่อไปว่าวานนี้เราไปอาบน้ำด้วยกันที่แอ่งหิน
 ท่านได้เห็นอะไรบ้างขณะกำลังจะอาบน้ำ รูปที่ถามตอบว่าก็ไม่เห็นเห็นอะไร
นอกจากผู้หญิงที่พากันมาจากไร่ผ่านไปบ้านตอนพวกเรากำลังจะอาบน้ำนั้นเท่านั้น

พระที่ถูกถามตอบว่า นั่นแลท่านที่ผมจะตายอยู่ขณะนี้ จนถึงกับท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ผมไปบิณฑบาต
ท่านกลัวจะไปสลบหรือตายอยู่ในบ้านขณะที่จะไปเจอเข้าอีกอย่างไรเล่า ผมจะภาวนาดีอย่างไร
ท่านทราบหรือยังว่าคนจะตายนั้นหรือคือคนภาวนาดี องค์ที่ถามตกตะลึง โอ้โฮตายจริง ท่านไปเป็นอะไรกับเขาพวกนั้นเข้าล่ะ

รูปนั้นตอบว่า ผมจะไปเป็นอะไรกับเขา นอกจากไปขโมยรักเขาเข้าโดยไม่รู้สึกตัวจนกรรมฐานแตกกระเจิงไปหมด
ปรากฏแต่ความสวยงามกับความบ้ารักของผมเท่านั้น เหยียบย่ำทำลายหัวใจผมแทบตายทั้งคืนเมื่อคืนนี้
แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลดละเรื่องบ้านั่นเลย ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับมัน ท่านช่วยผมหน่อยได้ไหม นับว่าเมตตาเอาบุญ

องค์ถาม เวลานี้ก็ยังไม่ลดลงบ้างหรือ? เปล่า เธอตอบ ซึ่งเป็นคำที่น่าสงสารเอามากมาย องค์ถาม
ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยให้อุบายท่าน คือถ้าท่านไม่สามารรถระงับมันได้
ท่านฝืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากมันจะกำเริบขึ้นเท่านั้น ผมว่าท่านควรหลีกจากที่นี่ไปหาภาวนาเสียที่อื่นจะดีกว่า

ถ้าท่านไม่สามารถกราบเรียนท่านอาจารย์ได้ ผมจะช่วยกราบเรียนท่านให้
ว่าท่านประสงค์จะไปแสวงหาที่วิเวกใหม่ เพราะอยู่ที่นี่ไม่สบาย เข้าใจว่าท่านคงจะอนุญาตทันที
เพราะท่านก็ทราบเรื่องท่านดีอยู่แล้วโดยปริยาย เป็นแต่ท่านยังไม่พูดเท่านั้น
เกรงท่านจะอายท่าน เธอก็เห็นดีด้วยและตกลงกันในขณะนั้น

พอตกเย็นท่านที่จะช่วยอนุเคราะห์ก็เข้าไปกราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านก็อนุญาตทันที
แต่มีปัญหาเหน็บแนมมาด้วยอย่างลึกลับว่า โรคกรรมนี้มันหายยาก โรคที่มีเชื้อเดิมอยู่แล้วติดต่อลุกลามได้เร็ว
เท่านี้ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรต่อไปอีก แม้ผู้ไปกราบเรียนก็ไม่เข้าใจปัญหาท่าน

เรื่องนี้ต่างคนต่างปิดกัน คือผู้เป็นก็ปิดท่านอาจารย์ ผู้อนุเคราะห์ช่วยเหลือก็ปิดท่านอีก
แม้ท่านอาจารย์เองก็ปิด ทั้งที่ทราบอย่างเต็มใจแล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่ทราบ
ต่างคนต่างไม่ยอมบอกความจริงต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้เรื่องได้ดีด้วยกัน
วันหลังเธอก็เข้าไปกราบนมัสการลาท่าน ท่านก็อนุญาตให้ไปด้วยดี โดยมิได้พูดเรื่องเธอแต่อย่างใด

เธอไปพักอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากหมู่บ้านนั้นมาก ถ้ามิใช่กรรม


ดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ ก็คงหวังพ้นภัยได้แน่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีก

แต่ก็เจ้ากรรม อนิจจาเป็นดังท่านว่าไม่ผิดแม้กระเบียดเดียว พอเธอหายหน้าไป
 จากบ้านนั้นไม่นานนัก ลูกศรที่อยู่ทางนี้ก็คงเจ้ากรรมอย่างเดียวกันอีก อุตส่าห์ด้นดั้นเปะปะไปหาจนเจอเข้าจนได้

ซึ่งธรรมดาผู้หญิงป่าไม่เคยเป็นไปอย่างนั้น แต่ก็ได้เป็นไปแล้ว จึงเป็นเรื่องน่าคิดอย่างยิ่ง
หลังจากท่านอาจารย์และหมู่คณะจากหมู่บ้านนั้นไปไม่นานนัก

ก็ทราบว่าพระองค์นั้นสึกเพราะดมยาสลบซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนทนไม่ไหว
สุดท้ายกรรมก็พาหมุนกลับมาได้เสียเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน
กับสาวงามชาวเขาเผ่ามูเซอคนนั้น ที่บ้านนั่นเอง นับว่ากรรมเอาเสียจริง ๆ ถ้าไม่กรรมแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร

เพราะเท่าที่พระองค์นั้นเล่าให้ฟังขณะที่ใจเริ่มกำเริบทีแรก ก็เพิ่งเริ่มพบกันขณะเดียวเท่านั้น
มิได้เคยพบเห็นและพูดจาพาทีกันที่ไหนมาก่อนเลย ข้อนี้บรรดาพระที่อยู่ร่วมกันมา
ก็ยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะอยู่ด้วยกันในวัดตลอดเวลา มิได้ไปไหนมาไหนพอจะหลวมตัว
ทั้งก็อยู่กับท่านพระอาจารย์เสียเอง อันเป็นสถานที่ให้ความปลอดภัยตลอดมา
 ไม่มีข้อที่น่าสงสัย นอกจาก เจ้ากรรมหรือคู่บาปคู่บุญมาถึงเข้าเท่านั้น

เธอเล่าให้พระเคยอนุเคราะห์ฟังว่า เพียงประสาททางตากระทบกันเท่านั้น
มันเหมือนดมยาสลบเข้าไปไม่ได้สติสตังเอาเลย ปรากฏแต่ความรักความผูกพันมัดจิตใจจนแทบจะหายใจไม่ออก
 ทำให้จิตใจเซ่อซ่าไปตามอารมณ์นั้นจนตัวไม่เป็นตัวของตัว และไม่มีเวลาลดหย่อนผ่อนคลายลงบ้างเลย

เมื่อเห็นท่าไม่ได้การก็พยายามปลีกตัวหนีไป เจ้าของยาก็ตามไปเยี่ยมคนไข้อีก
เรื่องก็เสร็จกันเท่านั้นเองจะไปที่ไหนรอด ใครไม่เคยถูกก็ดูยิ้มได้ ถ้าถูกเข้าก็รู้เอง
 เพราะมิใช่พระสุนทรสมุทรพอจะเหาะออกจากทางทวารบนแห่งบ้านได้

ตามปกติพวกนี้ไม่คุ้นกับพระแต่หากกรรมพาเป็นไปเอง เรื่องกรรมนี้จึงไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใด
เพราะกรรมมีอำนาจเหนือใครในโลกที่สร้างกรรม พระอาจารย์ท่านทราบอย่างเต็มใจจึงต้องมีอุบายปฏิบัติต่อเธออย่างนั้น
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำต่อผู้ใดมาก่อนเลย

แต่ก็คงสุดวิสัย ท่านจึงมิได้แนะอุบายอะไรเพื่อเธอให้ยิ่งไปกว่าที่อนุเคราะห์มาแล้วนั้น
เรื่องก็ลงเอยกันตรงที่เมื่อไปไม่รอดก็จำต้องจอดเรือ ซึ่งเป็นคติธรรมของโลกที่อยู่ใต้อำนาจของกรรม

ดังนั้นจึงได้นำเรื่องนี้มาลงไว้เพื่อเป็นคติเตือนใจพวกเราที่อาจเป็นได้
หากเป็นการไม่สมควรประการใดก็หวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านตามเคย ...


ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยพระอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 05, 2013, 08:11:23 PM
หลวงตาพระมหาบัว กล่าวถึง

เจ้าคุณมหาไข เปรียญ ๖ ประโยค อยู่จังหวัดหนองบัวลำภู ไม่ไปภาวนา...ผีจะฆ่าเอาให้ตาย...สมัยนั้นมีผีใหญ่ตัวหนึ่งอยู่วัดมหาชัย มันก็ไปคำคอ กำเอา จะฆ่าทิ้ง บวชมาถึง ๔๗ พรรษา ไม่ได้รับผลอะไรสักอย่างในศาสนา...ผีมันกำคอแน่นเข้าๆ จนจะตาย ถ้าไม่ไปภาวนามันจะเอาให้ตาย...ท่านจึงยอม พอเช้าจึงไปวัดถ้ำกลองเพล ก็มอบตัวให้หลวงปู่หลุย และหลวงปู่ขาว “ขอให้ท่านช่วยสอนในด้านสมถวิปัสสนา เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนาทำอย่างไร แต่คืนนี้ผมไม่เดินหรอก กลัวเสือและกลัวช้าง จะเอาแต่นั่ง” “เออดี ไม่เป็นไร เอาคืนยืนรุ่งนะ” แล้วท่านก็บอกวิธีให้ “นั่งเข้าที่เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นเฉพาะหน้า ปล่อยวางความอยากและอุปทานปล่อยวางหมดเสียสิ้น ทำใจให้เหมือนดินและน้ำ หรือผ้าเช็ดเท้า หายใจเข้า พุท ออก โธ เท่านั้น อย่าส่งจิตไปอื่น นั่งคืนยังรุ่งนั้นแหละ ถ้านอนแสดงว่าเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน มาเลี้ยงกิเลส

ท่านเจ้าคุณก็เจริญในคืนนั้น มีนกเค้าไฟมันมาร้องว่า “อ๊ด...อ๊ด...อ๊ดเถิด” แหม...ถึงใจ ธรรมะนี้มันถูกกับความอดทนเป็นตะปะ แผดเผาเสียซึ่งกิเลส จิตก็เลยรวมใหญ่ ลงถึงฐานอุปจารสมาธิ ค้นคว้าในกายนี้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงสภาพตายก็ตายพึ้บ ท่านก็เพ่งอืดพองเปื่อยเน่าขึ้น เห็นแจ้งชัด ท่านก็ใช้ปัญญาถอนสังโยชน์ ๓ ขนาดจากใจทีนี้ ความหิวโหยอยากนอนไม่มี กลัวเสือ กลัวช้าง ไม่มี จิตของท่านสว่างผ่องใส น้ำตาไหลคืนยันรุ่ง คิดว่าพึ่งได้บวชวันนี้คืนนี้ แต่ก่อนนี้บวชเป็นโมฆะ ถึงได้เปรียญ ๖ ก็เป็นโมฆะ ๔๗ พรรษก็เป็นโมฆะ... “สาธุ อะโห พุทโธ ธัมโม สังโฆ ข้าพเจ้าเป็นคนประมาท...นึกประมาทแล้วหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น หรือหลวงปู่ใดก็ดี หลายๆ องค์หลวงปู่ที่ท่านเที่ยวธุดงธ์ภาวนา ประมาทว่าไปนั่งหลับหูหลับตาอยู่ในป่าเขาลำเนาไพรนั้น หาว่าอวดดี และว่าจะได้รู้วิชาอะไร เราเรียนเราจึงได้ นั้นแหละ...ประมาทไปแล้วเพราะความไม่รู้ ขอขมาโทษอย่างให้เป็นบาปเป็นกรรม จะได้ปฏิบัติบูชาคุณท่าน ทั้งหลายตลอดชีวิตไปจนวันตาย”

ต่อมาในฤดูแล้ง ปีนั้นท่านเจ้าคุณก็ป่วยหนักเป็นโรคตับ ไต เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าไม่ไหวแล้วจะสิ้นลมโดยเร็วให้กลับบ้าน... พระหลวงปู่ขาวได้ให้โอวาทแบบแนวทางว่า “ตั้งใจดีๆ นะ อารมณ์อดีต อนาคต ปล่อยวางให้หมด เอาปัจจุบันธรรม พิจารณาทุกข์ ทุกลมหายใจเข้าออก เกิดก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ในโลกทั้ง ๓ นอกจากทุกข์ไปแล้วไม่มี นั้นแหละ มีสติ ปัญญา กำกับจิตให้ทุกข์อย่างนั้น จิตมันจะรื้อถอนเครื่องร้อยรัด อวิชชา ตัณหา สังโยชน์ ปัจจัยให้หมดเสียสิ้น ในขณะนั้นนั่นแหละ พระอริยสัจเจ้าทั้งหลายในครั้งพุทธกาลโน้น ท่านก็ได้สำเร็จอรหันต์ในขณะที่เจ็บป่วยก็มาก ได้สำเร็จอรหันต์ในระยะสิ้นลมหายใจก็นับไม่ถ้วน” แล้วท่านก็กลับวัด คืนนั้นหลวงปู่ขาวไม่นอนนะภาวนาเพ่งดู ช่วยอยู่...

ท่านเจ้าคุณก็ตั้งใจภาวนา เมื่อจะสิ้นลมในคืนนั้น ปัญญาเกิดขึ้นเห็นพร้อมว่า “เรามาอยู่กับกองทุกข์ ดับทุกข์ ไปก็ทุกข์ ไปโลกหน้าก็ทุกข์ มาแต่ก่อนก็ทุกข์” ท่านก็เลยปล่อยวางสังโยชน์ ปัจจัย ๑๐ หมดสิ้นกิเลสในระยะนั้น พอสิ้นกิเลสพึ้บก็รู้แจ้งว่าสิ้น...


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 05, 2013, 08:25:38 PM
“...การฟังเทศน์อบรมจิตใจ ให้ตั้งไว้ที่จิตของเรานี้ เรียกว่า สติเฝ้าบ้าน จิตนั่นแหละเป็นบ้าน เวลาท่านเทศน์ไปจะเห็นผลประจักษ์ ดังท่านแสดงไว้ในธรรมว่า การฟังเทศน์มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่าง

ข้อที่ ๑. ผู้ฟังจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

ข้อที่ ๒. สิ่งใดที่เคยได้ยินได้ฟังแล้วแต่ยังไม่เข้าใจชัด จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดขึ้น

ข้อที่ ๓. จะบรรเทาความสงสัยเสียได้

ข้อที่ ๔. จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้

ข้อที่ ๕. เป็นข้อสำคัญ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่เกิดขึ้นจากขณะฟังเทศน์ จิตเมื่อไม่ส่งออกข้างนอกย่อมสงบ เมื่อสงบย่อมผ่องใส

นี่เป็นคุณสมบัติประจำผู้ที่ฟังเทศน์ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ผลจะปรากฏอย่างนั้น จิตสงบผ่องใสนี่สำคัญ ถ้าสงบแล้วก็ผ่องใส…”

พระธรรมเทศนา
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 15, 2013, 07:13:45 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20131115191143_luangta_mahabua.jpg)

พระเจ้าแผ่นดินเสด็จสนทนาธรรมเป็นการส่วนพระองค์

ในตอนเช้าของวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 หลวงตามหาบัวได้สั่งกำชับพระเณรในวัดว่า
“วันนี้ จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบร้อย อย่าให้บกพร่อง”
พระทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ”

...ในบ่ายวันนั้นเอง ชาวนาคนหนึ่งเดินสะพายแห เพื่อออกไปหาปลาเป็นอาหาร
 มีรถยนต์คันงามวิ่งมาจอดเทียบแล้วเรียกถามด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า “ลุงๆ ทางที่จะไปวัดหลวงตาบัวไปทางไหน”
“ไปทางนี้...เด้อ...” เขากล่าวห้วนๆ แบบภาษาชาวบ้านพร้อมทั้งชี้มือและแหงนหน้าดูคนที่ถามไถ่
เมื่อเขามองดูใบหน้าบุคคลที่ถามทางอย่างเพ่งพินิจพิจารณา
ภาพแห่งบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าในสมองเริ่มปรากฏห้วงนึก
เข่าเริ่มอ่อนและนั่งลงกับพื้น พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า
กล่าวข้อความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้สัมผัสสมมุติเทพด้วยตาเนื้อใกล้ๆแค่เอื้อมถึง
“โอ! ในหลวง...สาธุเด้อในหลวง...สาธุ...สาธุ” เขาอุทานเสียงดัง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ

หลังจากนั้นพระองค์ท่าน จึงเสด็จไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบนมัสการองค์หลวงตามหาบัว
เมื่อถามไถ่สนทนากันจึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมากับพระบรมศานุวงศ์
จากตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ไม่ได้บอกแม้กระทั้งทหารใกล้ชิด ทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวเป้นการโกลาหลว่า
เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก ไม่รู้ว่าเสด็จไป
ณ ที่ใด ถ้าบอกข่าวการเสด็จมาล่วงหน้า กลัวเป็นการเอิกเกริกรบกวน ต้องการเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์

หลวงตามหาบัว จึงให้โอวาทว่า “มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว
เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จมาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ถ้าพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?”
“กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา” พระองค์กล่าวพร้อมพนมพระหัตถ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
“รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ”

บันทึกของหลวงตามหาบัว เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เสด็จไปกราบหลวงตามหาบัว เป็นการส่วนพระองค์พร้อมพระบรมสานุวงศ์ที่วัดป่าบ้านตาด มีใจความดังนี้

“ วันที่ 10 พ.ย. 22 เวลา 16.20 น.
พระเจ้าอยู่หัว-พระราชินี พร้อมกับเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์
เสด็จมาเยี่ยม ประทับอยู่ 2 ชม.กับ 20 นาที จึงเสด็จกลับสกลนคร
คือ เสด็จมา 16.20 น. เสด็จกลับ 19.10 น.
ทรงถวายผ้าห่มและไทยทานอื่นๆมากมาย
พร้อมกับปัจจัย 3 หมื่นบาท (ใบละ 1 ร้อยล้วนๆ 300ใบ)
เราได้ถวายธรรมะพอประมาณ เป็นธรรมะสำคัญหลายประโยค หลายข้อ”

ที่องค์พระหลวงตามหาบัวเป็นห่วงเช่นนั้น เพราะสมัยนั้นคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไป
หลังจากนั้นอีกไม่นาน เสียงรถทหารตำรวจที่สืบทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 เสด็จมาวัดป่าบ้านตาด จึงติดตามมาอารักขาเป็นทิวแถว ชาวบ้านบางคนไม่รู้เรื่อง
เห็นรถทหารตำรวจบึ่งมาเป็นทางยาว บางคนวิ่งหนีเข้าบ้านนึกว่าเกิดศึกสงคราม

คัดลอกจากหนังสือ “หลวงตามหาบัว มหัศจรรย์มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่”
เรียบเรียง เรียงร้อยถ้อยคำโดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร

ลูกกราบนอบน้อมบูชาคุณ องค์พระหลวงตา พระอริยเจ้าผู้กู้ชาติกู้แผ่นดิน
ลูกขอเทิดพระเกียรติสดุดี องค์พระมหาราชันย์ พระผู้เป็นดวงใจไทยทั้งชาติ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ "ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน" และ "กรรมฐานดอทคอม"



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB: ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน ครับผม


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 16, 2013, 10:43:05 AM
"สิ่งที่ให้ร้ายได้ที่สุดก็คือคำพูด ให้ดีที่สุดก็คือคำพูด
ต้องได้ระมัดระวังกันอย่างมาก
เป็นสิ่งที่ให้โทษให้คุณมากที่สุดก็คือคำพูด
ท่านจึงว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี
ทั้งนี้ก็เพราะปากเป็นหนึ่งในการแสดงออก
แก่ผู้อื่นและสังคมนั่นเอง"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 16, 2013, 01:38:58 PM

"..เวลาเราปฏิบัติเราไม่ได้สู้รบกับใคร
แต่เรารบรากับกิเลสในหัวใจของเราเอง
เริ่มแรกเริ่มต้นปฏิบัติต้องแพ้กิเลสก่อนไปเรื่อย ๆ
การแพ้ไม่เป็นไร เพราะกิเลสมันช่ำชอง
ในวงเวียนวัฏฏะ หมุนจิตใจของสัตว์โลก
ให้ลงขั้นต่ำ(อบายภูมินรก เปรต อสุรกาย สัตว์)
มานานแสนนาน แต่เราจะฟื้นจิตใจของเราให้
ขึ้นสู่ความดีงาม

ในเบื้องต้นนี้ชั่งรู้สึกว่ายากลำบาก ประหนึ่งว่า
จะไปไม่ไหว เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรง
มากจนจะทดท้อถดถอยน้อยใจ ถอดใจ

ยิ่ง"การตำหนิทับถมใจตน"ก็มาซ้ำให้กิเลส
ได้กำลังเพิ่มเข้าอีก ว่ามี"เรานี้นิสัยวาสนาน้อย"
ไม่สมควรแก่"การปฏิบัติ"ความดีงามทั้งหลาย
ปล่อยไปตามบุญตามกรรมอย่างนี้ดีกว่า

นี้เรียกว่ากิเลสได้ชัยชนะแล้ว และนับวันที่จิตใจ
จะอ่อนปวกเปียกลงไปหาหลักยึดจิตยึดใจไม่ได้
หาวันที่จะเจริญก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าใครถ้าคิด
แบบนี้นะไม่เจริญ..เพราะไม่มีน้ำอดน้ำทนไม่ฝึก
ไม่หัด ไม่ขัดไม่เกลากิเลสความหยาบ
จึงต้องแพ้กิเลสมาทุกชาติ "

โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 17, 2013, 02:02:16 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20131117140149_luangta_mahabua22.jpg)

"อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย
เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว
มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด
มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ
สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้ว
สกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง
มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบ
เพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี"

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี




ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB: ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 20, 2013, 04:30:17 AM
" ทรัพย์ภายนอกนั้น
อาศัยชั่วกาลเวลา
ทรัพย์ภายในคือ ศีลธรรมนี้
อาศัยตลอดไป "

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 02, 2013, 09:53:30 PM
หลวงตามหาบัว เทศน์โปรด ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ทไวไลท์โชว์ ในวันที่ 2 มกราคม 2543

http://www.youtube.com/watch?v=14wFDLIRY6g# (http://www.youtube.com/watch?v=14wFDLIRY6g#)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 03, 2013, 02:00:38 PM
" ส่วนมากใจมักคิดแต่เรื่องที่เป็นข้าศึกต่อเรานั่นแหละ
ไม่ค่อยนึกคิดฝ่ายคุณอันจะเป็นประโยชน์แก่ตน
ถ้าไม่ถูกบังคับให้คิดจริงๆให้ทำจริงๆ
ใจจะไม่ยอมคิดยอมทำในทางดีโดยลำพัง
มีแต่ยกให้กิเลสตัณหาเอาไปพัฒนาเสียหมดตัวนั่นแหละ "


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 03, 2013, 03:10:28 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20131203150958_luangta_bua.jpg)

" จิตที่บริสุทธิ์ ล้วน ๆ แล้วเป็นหลักธรรมชาติประจำใจ คือ รับผิดชอบตัวเองทั่วสรรพางค์ร่างกาย
คือ ต้องรู้เจ็บ รู้ปวด รู้ร้อน รู้หนาว นี่รับทราบตลอด เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ซึมทราบเข้าสู่ใจได้เท่านั้น
นี้เป็นหลักธรรมชาติ เป็นอฐานะ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ซึมทราบ ไม่กระเทือนถึงจิต
 อันนี้เรียกว่าเวทนาจิตในจิตพระอรหันต์ ไม่มี คือ ไม่มีเวทนาจิต มีเฉพาะเวทนาทางกายอย่างเดียว
สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว ที่จะเข้าไปสัมผัสภายในจิต
 เพียงแต่รับทราบเท่านั้น แต่ไม่ซึมทราบเข้าสู่ใจ คือ ไม่ประสานกัน "


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี




ขอบพระคุณข้อมูลจาก : เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 06, 2013, 01:45:07 PM
หลวงตามหาบัว & ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ทไวไลท์โชว์ 5 07 2541 (http://www.youtube.com/watch?v=TXZnYbYbpOg#)

หลวงตามหาบัว มาในรายกาย ทไวไลท์โชว์ วันที่ 5 กรกฏาคม 2541 (ไตรภพ ลิมปพัทธ์)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 19, 2013, 10:40:44 PM
"มาบวชนี้ เรียกว่ามาเว้นแล้วในกิจการงานทางโลกทุกด้านทุกทาง
มีแต่การบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเดียวเท่านั้น หากไม่ตั้งใจจริง ๆ
แล้วก็จะจมอยู่นี้ตลอดไป ฟังว่าตลอดไป.....มีกาลยืดยาวนานเท่าไร
เป็นอนันตกาลหากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ที่กิเลสจะอิ่มพอในการฉุดลากสัตว์ทั้งหลายให้จมอยู่ในวัฏฏะนี้ไม่มีทาง

ฟังแต่ว่าตัณหา ๆ หิวโหยตลอดเวลา ความอิ่มพอของกิเลสไม่เคยมี
นอกจากความอิ่มพอในธรรมเท่านั้นมี เมื่อพอแล้วมี เหมือนน้ำเต็มแก้ว
เมื่อเต็มแล้วเอาน้ำที่ไหนมาเทก็ไม่ค้าง ธรรมเมื่อพอในหัวใจแล้วก็เป็นอย่างนั้น

แต่กิเลสไม่เคยพอในหัวใจ มีเท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งกระวนกระวาย ยิ่งกระเสือกกระสน
ยิ่งหิวยิ่งโหยไปไม่หยุดไม่ยั้งก็คือเรื่องของกิเลส ท่านจึงเรียกตัณหาว่า

นตฺถิ ตณฺหาสมา นที
แม่น้ำเสมอด้วยตัณหานี้ไม่มี


แม่น้ำก็หมายถึงแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ให้เสมอตัณหานี้ไม่มี"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 25, 2013, 11:54:51 PM
" แบกอะไรมันก็ไม่ทุกข์เหมือนแบกธาตุแบกขันธ์ แบกอุปาทานในขันธ์และอารมณ์ทั้งปวง
 เราแบกไม้หามเสาถึงเวลาปล่อยวางก็ได้ปล่อย แบกธาตุแบกขันธ์นี้มันไม่ได้ปล่อย
ตายแล้วยังหวงอีกด้วย เวลาจะตายยังหวงไม่อยากตาย

หวงก็คือ อยากจะหามอยากจะแบกทุกข์ต่อไปอีกอยู่นั้นแล ให้รู้ให้ปล่อยทั้งที่ยังไม่ปล่อยขันธ์นี่ซิ
วางเสียตอนที่ยังไม่ได้วางขันธ์ทิ้งนี้ มันเหมาะ อยู่สบาย "


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 27, 2013, 04:06:48 PM
"...มนุษย์เราจะยากดีมีจนบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรืออาภัพวาสนาอย่างไร
ก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม
และกรรมย่อมจำแนกแจกแจงสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามต่างกัน แล้วเกิดไปตามวิบากแห่งกรรมของตนๆ

ดังนั้น ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน แต่ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน
เพราะหากมนุษย์ไม่ช่วยสงเคราะห์มนุษย์ด้วยกันแล้วใครจะช่วย เรื่องความเจ็บป่วยนั้น
ถ้าใครโดนเข้า ใครก็ทุกข์ทั้งนั้นเจ็บไปแค่หนึ่ง แต่ครอบครัวพี่น้องพ่อแม่ก็ป่วยทางใจ
ป่วยด้วยความห่วงใยอีกเท่าไร จึงควรเห็นใจกัน..."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 12, 2014, 09:15:14 PM
"..การปล่อยวางความยึดมั่นในวัตถุและอารมณ์ต่างๆ เป็นจุดมุ่งหมายของศาสนธรรมโดยแท้ แม้ธาตุขันธ์ยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องยึดถือแบกหามเสียจน หนักอึ้งตลอดเวลา จนหาอิสระทางจิตใจไม่ได้

คนเราย่อมเป็นทุกข์กันตรงนี้ มิได้เป็นทุกข์เพราะความไม่มีกิน ไม่มีใช้ แต่เป็นทุกข์เพราะมีมากน้อยเท่าไร ก็ยึดมั่นเหนียวแน่นต่างหาก ลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามีทางรู้ และปล่อยวางภาระ คือความยึดถือเหล่านี้ได้โดยลำดับ และได้โดยเด็ดขาด.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน...


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 30, 2014, 11:21:15 PM
"ไปที่ไหนก็อย่าลืมพุทโธ
ภายในใจ ให้พุทโธๆ เสมอไป
ใจจะสงบเย็นเป็นสุขอยู่กับตัว
ตลอดกาลสถานที่."

น้อมรำลึกนึงถึงองค์หลวงตามหาบัว
30 มกราคม 2557 วันคล้ายวันละสังขาร ครบสามปี


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2014, 11:01:45 AM
.. สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท ให้พากันจำเอาไว้นะ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว
ถ้าลงขาดสติแล้วอะไรเหลวไหลทั้งนั้น ..งานนอกงานในเหลวไหลไปหมด ขาดสติ เสียอย่างเดียว
ถ้าสติดี งานใดยิ่งละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับ

สติ เป็นพื้นฐานทุกด้านทุกทาง ไม่มีคำว่าครึล้าสมัย ในธรรมทุกขั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง
ขั้นละเอียด ถึงขั้นสูงสุด ปราศจากสติไม่ได้เลย ..สติเป็นสำคัญ เป็นพื้นฐานแห่งการชำระล้างกิเลสทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นขอให้พระนำไปปฏิบัติ ใครมีสติดีคนนั้นแหละ จะประคองความเพียรได้ดี สติตั้งให้มั่นคง ..

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2014, 09:19:30 AM
วันหนึ่งๆ ควรระลึกถึงความตาย อย่างน้อยสัก ๕ ครั้ง
ใจคนเราก็จะมีความหยุดชะงักบ้าง การกระทำความชั่วลามกทั้งหลาย
หรือความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การลืมเนื้อลืมตัว ก็จะมีสติสตังบ้าง เพราะป่าช้ามีอยู่กับตัว เราต้องตายสักวันหนึ่ง......

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2014, 09:20:09 AM
"กิเลสไม่เคยพาใครให้เบื่อความเกิดความตาย
ความทุกข์ความลำบากความทรมานทั้งหลาย
กิเลสไม่เคยให้เบื่อ ถ้าหากสัตว์โลกทั้งหลาย
เบื่อความทุกข์จริงๆ โลกนี้สัตว์ทั้งหลายจะไม่มีมาเกิด
จะนิพพานกันไปทั้งหมด
แต่นี้โลกเป็นโลกที่สัตว์ทั้งหลายชอบกันทั้งนั้น
ความโลภสัตว์ทั้งหลายก็ชอบ
ความโกรธสัตว์ทั้งหลายก็ชอบ
ราคะตัณหายิ่งชอบมาก
นี่เป็นหันหน้าเข้าสู่กองทุกข์แล้ว
จะไม่มีทุกข์ได้อย่างไร"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 12, 2014, 11:46:19 PM
"...โลกนี้เป็นโลกที่มีกิเลสตัณหา
ต้องมีผัวเมียมีคู่ครอง เช่นเดียวกับไฟ
จำเป็นต้องมีอยู่ในบ้าน

เรายังไม่สิ้นกิเลสจำเป็นต้องมีคู่ครอง
มีผัวมีเมีย แต่ต้องอยู่ในขอบเขต
แห่งผัวแห่งเมีย ขอบเขตแห่งศีลธรรม
อย่าให้เลยขอบเขต (ศีล5)

เช่นเดียวกับ ที่เรารักษาไฟเอาไว้
ให้อยู่ในความปลอดภัย อย่าปล่อยให้ไฟนั้น
ไหม้บ้าน ไหม้เมืองของใครเข้าไป
จะเกิดความฉิบหายทั้งเขาทั้งเรา
...อันนี้ก็เหมือนกัน
"กาเมสุ มิจฉาจาร" ถ้าปล่อยให้ลุกลามไป
จะกลายเป็นไฟไหม้บ้าน ไหม้เมือง

‪#‎เพราะฉะนั้น‬ "ศีลธรรม"จึงช่วยระงับดับไว้
ให้เป็นไปพอดิบพอดี เหมาะสมกับมนุษย์เรา
ที่มีกิเลส แต่เป็นกัลยาณชน เป็นผู้รู้จักหนักจักเบา
รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักของเขา ของเรา..."

_/|\_โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน_/|\_


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 20, 2014, 02:30:34 PM
วันหนึ่งๆอย่าได้ลืมพุทโธ
ให้รำลึกภายในใจของเราได้ตลอดเวลา
ยิ่งเป็นของดีมากนะ
คำว่า "พุทโธ" นี้คือองค์ศาสดาแต่ละองค์ๆ
มารวมเข้าสู่ในใจเราดวงเดียว
ใจของเราเมื่อทรงพุทโธไว้
จะเป็นใจที่มีคุณค่ามากที่สุดในเวลาเช่นนั้น

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 15, 2014, 07:05:05 PM
เวลาก่อนนอนอย่างน้อยให้ไหว้พระ อิติปิโสฯ หรืออรหังฯ แล้วเวลาจะนอนให้ระลึกถึงคำบริกรรมภาวนา
เพื่อให้เป็นพลังของจิต เช่น พุทโธๆๆ เป็นต้น เรานั่งภาวนาอย่างน้อยได้สักห้านาที ให้นั่งนึกอยู่กับ
พุทโธๆๆ ทีนี้เวลานอนลงไปก็ให้นึก พุทโธๆๆ จนกระทั่งหลับ นี่จิตใจเราก็แช่มชื่นเบิกบาน
หลับฝันไปก็ไม่ฝันร้ายฝันน่ากลัวต่างๆ จิตใจก็มีพลัง

...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 11, 2015, 11:47:05 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20150411234617_luangta_mahabua.jpg)

อานิสงส์ของการเดินจงกรมมี ๕ ประการ
๑ ผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล
๒ ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร
๓ ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย
๔ อาหารที่กินดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี
๕ สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมย่อมตั้งอยู่ได้นาน
น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเกล้า


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 15, 2015, 08:31:11 AM
(http://kammatan.com/gallary/images/20151015083046_luangta_bua2.jpg)

ปลดปล่อยวิญญาณ


หลายสิบปี ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทางผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรีได้กราบเรียนหลวงปู่ ถึงความคิดที่จะทำสังฆทานอุทิศให้กับทหารทั้งไทยและพม่าที่ได้เสียชีวิต ณ บริเวณที่ทางผู้ว่าฯเชื่อว่าพม่าและไทยได้เคยทำการรบกันในเขตจังหวัด สุพรรณบุรี
ทางหลวงปู่สังวาลย์ก็เห็นด้วยเพียงแต่ท่านกล่าวว่าการ ที่จะปลดปล่อยวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้ให้เป็นไปสู่สุขติ
ต้องให้พระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากมีบารมีมากมาเป็นประธานในการรับมหาสังฆทานใน ครั้งนี้ ซึ่งหลวงปู่สังวาลย์
เห็นว่าทั้งเมืองไทยตอนนี้ มีเพียงหลวงตามหาบัวเท่านั้นที่ทำได้ ทางผู้ว่าฯจึงได้นิมนต์หลวงตามารับมหาสังฆทานในครั้งนี้

หลังจากหลวงตาบัวท่านมาเป็นประธาน ใน เย็นวันนั้นเองก็เกิดเหตุอัศจรรย์ คือมีไส้เดือนมุดดินขึ้นมาตายในบริเวณที่ทำพิธี(ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นสนามรบ) จำนวนมหาศาลคนทำความสะอาดกวาดซากไส้เดือนลงเข่งได้นับสิบๆเข่ง นี้คงเป็นการปลดปล่อยวิญญาณครั้งมโหฬารจริงๆ
อีกครั้งเมื่อคราวปิดโครงการช่วยชาติ เพื่อนผมคนหนึ่งมีวาสนาได้ไปร่วมงานหลังจากพิธีการทั้งหลายเสร็จสิ้นหลวงตาท่านก็ให้พร
ซึ่งท่านได้กล่าวว่า วันนี้จะให้พรเป็นพิเศษให้ตั้งใจรับให้ดี แล้วท่านก็สวด ยถาฯ นั่นก็ยถาธรรมดาไม่ได้มีบทอี่นเป็นพิเศษไปกว่าทุกครั้ง
แต่เพื่อนผมคนที่ไปได้ยินเสียงอะไรซักอย่างแตกจากตัวของเขาเอง พอ สำรวจดูก็ถึงบางอ้อพร้อมน้ำตาเพราะ
พระที่ทำจากผงกระดูกราคาหลายหมื่นแตก แตกทั้งที่กรอบทองยังปรกติ สงสัยวิญญาณกุมารคงไปสู่สุคติแล้ว

จากเพจต้นโพธิ์ค่ะ ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 01, 2016, 06:55:10 AM
(http://www.kammatan.com/th/wp-content/uploads/2016/10/หลวงตามหาบัว.jpg)

พระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมในความต่างของ“สาวกภูมิ” กับ “พุทธภูมิ”ที่ หลวงตามหาบัวถวายตอบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปกราบนมัสการหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เพื่อนิมนต์เชิญหลวงตามหาบัวไปงานพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมกับหลวงตามหาบัว ซึ่งพระอาจารย์ภูสิต ขันติธโร (พระอุปัฏฐากหลวงตามหาบัว) เป็นผู้บันทึกจากความทรงจำ ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
หลวงปู่ครับ “สาวกภูมิ” กับ “พุทธภูมิ” ต่างกันอย่างไร ?
หลวงตามหาบัว :
พุทธภูมิก็เหมือนดั่งเรานั่งรถไฟ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ หรือนั่งรถไฟไปอุดรฯ นั่นแหละ...พุทธภูมิ แต่ถ้าเรานั่งจักรยานมา หรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไป นั่นแหละ...สาวกภูมิ
เพราะฉะนั้น การเป็นพุทธภูมิก็คือการนำคนไปได้เยอะๆ ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆ ไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ ๑ คน หรือ ๓-๔ คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิ เข้าใจไหมล่ะ พ่อหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
เข้าใจแล้วหลวงปู่... แล้ว “นิพพาน” เป็นอย่างไรนะ หลวงปู่ ?
หลวงตามหาบัว :
อ้อ...พ่อหลวง เหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยู่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละ...พระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
ขอบารมีหลวงปู่ช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (สมเด็จย่า)
หลวงตามหาบัว :
พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ ขอเองได้ จัดการเอง อาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
เอาล่ะ... ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้ว หลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม ?
หลวงตามหาบัว :
การเป็นพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ ๕ คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไป ตกเย็นสอนนักบวช สมณชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดา พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ ท่านก็จะเล็งญาณดู รีบไปโปรดก่อน
พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ ๕ อย่างนี้ แต่...ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไร ทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน เอาล่ะๆ อาตมาจะให้พร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว :
อยากให้ท่านอาจารย์อยู่กับหลวงปู่ไปนานๆ
พระอาจารย์ภูสิต ขันติธโร :
เจริญพร มหาบพิตร ... อาตมาก็อยากจะอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาที่อาตมาจะต้องเอาตัวเองให้รอด อาตมาก็ขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เพราะทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถึงเวลาไปก็ต้องไปเหมือนกัน
กิตติ ทีนิวส์ คัดลอก
ติดตามเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับเหล่าพระอริยสงฆ์อีกมากมายได้ในหนังสือ “มหาบพิตร :
ในหลวงทรงถาม พระอรหันต์ตอบ” โดย “วีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์”
ที่มา : http://panyayan.tnews.co.th/contents/210912/


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 04, 2020, 10:14:36 PM
#โอวาทธรรมยามอาพาธ
    ...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อครั้งองค์ท่านอาพาธครั้งสุดท้าย ท่านก็ได้กล่าวธรรมกับลูกศิษย์ที่ดูแลท่านในหลายโอกาสก่อนที่องค์ท่านจะละสังขารดังนี้..
     ๙ กันยายน ๒๕๕๓..
     " จิตเฮาบ่มีเงื่อนต่อ ดูปัจจุบันก็บ่มีเงื่อนต่อ คือไฟดับธาตุไฟยังอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งบ่ดับ แต่พูดบ่ได้ "
     ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓..
     " เราเหนื่อย..เหนื่อยก็ช่างเถอะ มีทีแวะแล้วคนว่างงาน จิตว่างงาน "
     ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓..
     " ผมอ่อนลงเรื่อยๆ จะหนักไปข้างหน้า แต่มีสติไม่เผลอ "
     " ผมปล่อยวางทั้งหมด ใครจะสรรเสริญนินทา ผมไม่สนใจ ถึงเวลาก็ดีดผึงเลย "
     " แต่ก่อนหมู่เพื่อนไม่ได้มายุ่งกับผมที่กุฏิ แต่คราวนี้ผมช่วยตัวเองไม่ได้ จะจับจะยกอะไรให้ค่อยๆ คนแก่ก็เหมือนเด็ก "
     ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓..
    " เราปล่อยวางหมดแล้ว ไม่มีสมมุติใดๆเหลืออยู่ในจิตใจ ชาตินี้เราพอ เราทำสุดกำลังของเรา "
     ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๓..
     " ให้ภาวนา ตั้งสติอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นคุณค่าของสติมาก "
     " ผมลงใจในปฏิปทาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมากที่สุด พูดอะไรตรงเป๋งเลย "
     " เราไอมาก จะเป็นปอดนะ เราอ่อนลงไปเรื่อยๆ ผมเกิดมาเป็นชาติสุดท้าย ไม่มาเกิดอีก "
     " ผู้มาศึกษากับผม มีหลักเกณฑ์หลายองค์นะ"
     " ผมเคยพูดให้ฟังไหม เรื่องตอนที่อยู่ห้วยทราย ระยะท้าย ผมจะกว้างขวางมาก "
     " ผมมาเกิดเป็นชาติสุดท้าย ไม่มาเกิดอีก สมมุติในใจไม่เหลือ "
     ๑ มกราคม ๒๕๕๔..
     " มือของครูอาจารย์ กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตร เพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้ เชื่อใจกันได้ ตายใจกันได้ "
     ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔..
     " พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน พระธรรมวินัยก็อันเดียวกัน ให้เอาจริงเอาจังนะ"
      หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ ท่านก็ละสังขาร เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน สิริรวมอายุ ๙๗ปี ๕เดือน ๑๘วัน ๗๗พรรษาและมีพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร วันที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔..