หัวข้อ: พระประวัติ พระโคตมพุทธเจ้า เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 18, 2008, 10:14:41 AM (http://www.kammatan.com/gallary/images/20080827115433_normal_phrabud-002.jpg)
พระโคตมพุทธเจ้า (Gautama Buddha) หรือมักนิยมเรียกเพียง พระพุทธเจ้า เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสต์กาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล ความหมายของคำว่าพุทธะ ในพระพุทธศาสนา พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน") หมายถึงบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วอย่างถ่องแท้ ในชั้นอรรถกถา จำแนกพุทธะออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันได้แก่ 1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีเรียกเพียง "พระพุทธเจ้า" คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ (พระโคตมพุทธเจ้า) เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 2. พระ ปัจเจกพุทธะ,อีกอันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า(อ่านว่า พระ-ปัด-เจก-กะ-พุด-ทะ-เจ้า) คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่มิได้สอนให้ผู้อื่นรู้ตาม 3. อนุพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้เนื่องด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยด้วยเหตุนี้เรียก สาวกภูมิ ในอรรถกถาบางแห่งจำแนกเป็น 4 ดังนี้ 1. พระสัพพัญญูพุทธะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) 2. ปัจเจกพุทธะ 3. จตุสัจจพุทธะ (สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้บรรลุอรหัตตผล) 4. สุตพุทธะ (ผู้เป็นพหูสูตร) คำที่ใช้กล่าวเรียกพระพุทธเจ้า มีหลายคำดังจะกล่าวต่อไปนี้ * พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึง ท่านผู้ที่กำลังบำเพ็ญ บารมี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า * อังคีรส หมายถึง ท่านผู้มีรัศมีแผ่ออกมาจากพระกาย * สิทธัตถะหมายถึง ท่านผู้ที่มีความเพียรพยายาม เมื่อต้องการสำเร็จ เป้าหมายที่ประสงค์จะทำ * พระมหาบุรุษ เป็นคำที่ใช้เรียก พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ อีกความหมายหนึ่งคือ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ * ตถาคต เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระองค์เองมี ความหมาย 8 อย่างคือ 1. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น 2. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น 3. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ 4. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น 5. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น 6. พระผู้ตรัสอย่างนั้น 7. พระผู้ทำอย่างนั้น 8. พระผู้เป็นเจ้า * ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง การเชื่อถือปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต * ธรรมกาย หมายถึงท่าน ผู้มีธรรมในกาย * ธรรมราชา หมายถึง ท่านผู้เป็นราชาแห่งธรรม * ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร หมายถึง ท่านผู้เป็นใหญ่โดยเป็นเจ้าของธรรม * ธรรมสามี หมายถึง ท่านผู้เป็นเจ้าของธรรม * ธรรมิศราธิบดี หมายถึง ท่านผู้เป็นอธิปดีในธรรม เป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า * บรมศาสดา, พระบรมศาสดา หมายถึง ท่านผู้เป็น ศาสดาอันยอดยิ่ง พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู * พระผู้มีพระภาคเจ้า * พระพุทธเจ้าหมายถึง ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบ ด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ * พระศาสดา หมายถึง ท่านผู้ทรงสอนชนทั้งปวง * พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า]], พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ * ภควา หมายถึง ท่านผู้เป็นผู้มีโชค หรือ ท่านผู้จำแนกแจกธรรม * มหาสมณะ * โลกนาถ, พระโลกนาถ หมายถึง พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก * สยัมภู, พระสัมภู หมายถึง ท่านผู้ตรัสรู้ได้โดยตนเอง ไม่มีใครมาสั่งสอน * สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง * พระสุคต, พระสุคโต หมายถึง ท่านผู้เสด็จไปดีแล้ว ในดินแดนที่ปัจจุบันเป็นประเทศอินเดียและเนปาล ถือกันว่าพระองค์มีเชื้อชาติอริยกะ หรือชาติผู้เจริญ และเป็นชาวชมพูทวีป (สมัยนั้นยังไม่มีประเทศอินเดีย และเนปาล)พระองค์ประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งแคว้นศากยะ (สักกะ) ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ โคตมะ แต่ได้ออกผนวชและทรงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าของเราได้ทำความดี(บารมี)มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านถูกเรียกว่า พระโพธิสัตว์) พระชาติอื่น ๆ ที่ชาวพุทธรู้จักกันดี ได้แก่ พระเวสสันดร พระเตมีย์ พระมหาชนก เป็นต้น พระพุทธเจ้า หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย มีคำกล่าวเรียก พระพุทธเจ้าหลายอย่าง ดังจะกล่าวต่อไปนี้ พระนามของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทั้ง ๒๕ พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบ และ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์" * พระทีปังกร * พระโกณฑัญญะ * พระสุมัคละ * พระสุมนะ * พระเรวตะ * พระโสภิตะ * พระอโนมทัสสี * พระปทุมะ * พระนารทะ * พระปทุมุตตระ * พระสุเมธะ * พระสุชาตะ * พระปิยทัสสี * พระอัตถทัสสี * พระธรรมทัสสี * พระสิทธัตถะ * พระติสสะ * พระปุสสะ * พระวิปัสสี * พระสิขี * พระเวสสภู * พระกกุสันธะ * พระโกนาคมนะ * พระกัสสปะ * พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) แบ่งตามกัป การนับอสงไขยในที่นี้ จะนับอสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก. * กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ 1. พระตัณหังกรพุทธเจ้า 2. พระเมธังกรพุทธเจ้า 3. พระสรนังกรพุทธเจ้า 4. พระทีปังกรพุทธเจ้า * กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์ 1. พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า * กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ 1. พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า 3. พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า 4. พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า * กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ 1. สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า 2. สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า 3. สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า * ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน[3] 1. กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. บางตำราว่าเป็นมัณฑกัป บางตำราก็ว่าเป็นสารกัป. 1. พระปทุมมุตระพุทธเจ้า 2. สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป 3. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ 1. พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า 4. สูญกัป 60,000 กัป 5. วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ 1. พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า 3. พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า 6. สูญกัป 24 กัป 7. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์ 1. พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า 8. สูญกัป 1 กัป 9. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ 1. พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า 10. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์ 1. พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า 11. สูญกัป 60 กัป 12. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ 1. พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า 13. สูญกัป 30 กัป 14. กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ 1. พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า 3. พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า 4. พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) 5. พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายเถรวาท พระพุทธรูปปางประทับยืน พบที่ปากีสถาน ศิลปะคันธาระสมัยพุทธศตวรรษที่ 5-6 พระพุทธรูปปางประทับยืน พบที่ปากีสถาน ศิลปะคันธาระสมัยพุทธศตวรรษที่ 5-6 ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว 25 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 25 และพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือพระศรีอารยเมตไตรย ในทัสศนะเถรวาทถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือพระองค์พบทางดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และเผยแพร่หนทางนั้นต่อสรรพสัตว์ ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใดๆ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำความดี (บารมี) มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์) การเกิดของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะลงจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาจุติเป็นพระพุทธเจ้านั้น ก่อนจะลงพระโพธิสัตว์จะทรงเลือก ๕ อย่าง คือ ๑. กาล (อายุขัยของมนุษย์) อายุขัยของมนุษย์ขึ้นอยู่กับกระแสสังขารและการทำความดี หากทำดีมากขึ้นอายุก็จะเพิ่มขึ้น หากทำดีน้อยอายุขัยก็จะลดลง อายุขัยของมนุษย์อยู่ระหว่าง ๑๐ ปีถึง ๑ อสงไขย(๑ ตามด้วยเลข ๐ ถึงหนึ่งร้อยสี่สิบตัว) แต่พระโพธิสัตว์ทรงเลือกอายุขัยมนุษย์ระหว่าง ๑๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ปี ถ้าหากน้อยกว่า ๑๐๐ ปีมนุษย์จะมีจิตใจหยาบช้าเกินก็จะฟังธรรมให้แตกจนบรรลุพระนิพพานได้ ถ้าเกิน ๑๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์จะเริ่มประมาทความแก่ ความเจ็บ ความตายเพราะอายุยืนความตายมาถึงช้า จะไม่เห็นอริยสัจ ๔ หรือธรรมใดๆ ๒. ทวีป(ทวีปที่จะลงมาจุติ) พระโพธิสัตว์เลือกชมพูทวีปเป็นทวีปที่จะจุติทุกครั้ง เพราะมนุษย์ในชมพูทวีปมีทั้งความสุขและความทุกข์ มีความเห็นทุกข์ เห็นสุข ได้ดีกว่ามนุษย์ในทวีปอื่นๆ สาเหตุอีกอย่างที่เลือกมนุษย์เพราะมนุษย์เห็นสุขทุกข์ได้ง่ายที่สุด สัตว์ในอบายภูมิ ๔ มีแต่ความทุกข์ไม่เห็นสุขกระจ่าง เทวดาพรหมก็เห็นสุขมากกว่าทุกข์จนยากที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ได้ อีกทั้งมนุษย์ทำบุญได้ จึงทรงเลือกมนุษย์ ๓. ประเทศ (ประเทศที่จะจุติ) พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจดี มีประชากรหนาแน่น มีนักปราชญ์ เจ้าสำนัก เป็นที่รวมของการศึกษาและศิลปวิทยามากมาย มีผู้มีคุณธรรมมากมาย จะสามารถเผยแพร่ธรรมให้รุ่งเรือง มีคนรู้มากได้ ๔.ตระกูล (ครอบครัวที่จะลงมาจุติ) พระโพธิสัตว์ทรงเลือกได้ระหว่าง ตระกูลกษัตริย์ กับ ตระกูลพราหมณ์ ว่าในช่วงเวลานั้นตระกูลใดเจริญมากกว่ากัน ได้รับการยอมรับมากกว่ากัน ใน ๔ อสงไขยแสนมหากัปล่าสุดนี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลกษัตริย์มากกว่า แต่ในภัทรกัปป์นี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลพราหมณ์มากกว่า (พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ และพระศรีอาริยเมตไตรย) มีเพียงพระโคตมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่มาจากตระกูลกษัตริย์ พระโพธิสัตว์ผู้ได้มาจุติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ทรงเลือกตระกูลศากยโคตมวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์นคร เพราะได้รับความนับถือมาก และบริสุทธิ์มา ๗ รุ่นแล้ว ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้วลงมาจุติแล้วเป็นพระพุทธเจ้าก็ยากที่จะได้รับการนับถือ สาเหตุที่เลือกตระกูลกษัตริย์เพราะในช่วงเวลานั้นมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกัน และวรรณะกษัตริย์เป็นวรรณะที่มีคนนับถือมากที่สุด จึงทรงเลือกวรรณะกษัตริย์ ๕.มารดา (มารดาผู้ให้กำเนิดและกำหนดอายุของพระมารดาหลังประสูติ) พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกผู้หญิงจากตระกูลกษัตริย์หรือพราหมณ์ที่รักษาศีล รักษาธรรมได้ดีที่สุด บริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ ไม่ดื่มสุรา ไม่หลงในอบายมุข ไม่โลเลในบุรุษ และจะทรงกำหนดอายุพระมารดาว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไรเพราะพระพุทธมารดาต้อง สงวนไว้สำหรับการจุติของพระพุทธเจ้าเพียงผู้เดียวไม่ให้ใครมาเกิดอีก พระบรมโพธิสัตว์ทรงเลือกพระมารดาที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนมลทินโทษ มิฉะนั้นจะยากแก่การเผยแผ่ศาสนา เพราะจะถูกโจมตีว่ามารดาของพระศาสดาไม่บริสุทธิ์ พระนางสิริมหามายา ได้อธิษฐานไว้ว่า ขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้าเมื่อประสูติ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ ๗ วันก็เสด็จทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสถิตในดุสิตเทวโลก ตามประเพณี พระพุทธมารดาไม่ได้เป็นหญิงอย่างเก่า ที่เกิดเป็นหญิงเพราะอธิษฐานขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้า |