หัวข้อ: เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ดีมากๆ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 10:02:23 AM เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090224165235_1212738155.jpg) เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง ดับภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด เพราะเมื่อไม่เกิดอีกเราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจอีกต่อไป เปรียบเหมือนกับมนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่มีหาง จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะหางเป็นเหตุอีกต่อไป ส่วนการทำบุญให้ทานที่ชาวพุทธนิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมีอานิสงส์สูงสุดเพียงแค่ความสุขในเทวโลกเท่านั้น มิได้กำจัดกิเลสตัณหาพาสู่ความพ้นทุกข์เลย เพราะถึงแม้จะได้ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว แต่เมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก คือ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้ง ๕ คือ เทพ มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต-อสุรกาย นรก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระนขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “ ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุทูลตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดามีจำนวนน้อย ส่วนเทวดาที่เคลื่อนจากสวรรค์แล้วไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า พวกเทพชั้น เวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุให้ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง อนึ่ง เมื่อเรายังต้องเกิดอีกสิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ดั่งพระจาลาภิกษุณีกล่าวว่า “ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมประสบทุกข์ เพราะเหตุนี้แล เราจึงไม่ชอบความเกิด” ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้งปวงได้ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ “การไม่เกิดอีก” เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจอีกต่อไป เป้า หมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่ สิ่งที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุดก็คือความต้องการของสรรพสัตว์เองหรือที่เรียกว่ากิเลสตัณหา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ กรรมชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่ายางเหนียวในเมล็ดพืช วิญญานดำรงอยู่ได้เพราะธาตุหยาบของสัตว์ มีความหลงไม่รู้ความจริงเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเชื้อเครื่องผูกเหนี่ยวใจไว้ การเกิดใหม่จึงมีต่อไปอีก” และตรัสอีกว่า “ตัณหาทำให้สัตว์ต้องเกิดอีก จิตของสัตว์ย่อมแล่นไป สัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่อาจ หลุดพ้นจากทุกไปได้” (http://www.kammatan.com/gallary/images/20090303124110_img_2266.jpg) เมื่อมนุษย์เจริญวิปัสสนาจนเกิดมรรคจิตครบ ๔ ครั้ง ก็จะกำจัดกิเลสตัณหาในจิตของตนเองให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง เขาจะไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์มะม่วงที่มียางเหนียวอยู่ภายในเมื่อนำไปปลูกจะงอกเป็นต้นมะม่วงได้อีก แต่ถ้านำไปต้มกำจัดยางเหนียวให้หมดไป หลังจากนั้นนำไปปลูกโดยวิธีใดก็ตามจะไม่งอกอีกแล้ว กิเลสตัณหาในดวงจิตของเราก็เช่นกัน แต่ถ้าไม่สามารถทำมรรคจิตให้เกิดครบ ๔ ครั้งได้ แม้สามารถทำมรรคจิตให้เกิดเพียงครั้งเดียวก็จัดว่าเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว ที่เรียกกันว่าบรรลุโสดาบัน เมื่อ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดาน ได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก เมื่อ บรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบันได้เคยทำบาปอกุศลไว้มาก มายเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอีกต่อไปและจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์)ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติ และจะบรรลุอรหันต์ได้เองโดยอัตโนมัติ สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น เทวดา ๖ ชั้น มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก หา เบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณเหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่ เสมอ แต่ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วบรรลุอรหันต์เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว กรรมฐาน หรือการเจริญภาวนานี้ เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในจักรวาลเหมือนกับศาสตร์อื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ต่างกันแต่ศาสตร์นี้ต้องศึกษาวิจัยในห้องแลปร์คือรูป-นาม(ขันธ์ ๕)เท่านั้น และมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ความหลุดพ้นจากทุกทั้งปวง ศาสตร์นี้เป็นกลไกที่มีอยู่ตามธรรมชาติแต่ยากที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ สิ่งที่สามารถเข้าถึงและแทงตลอดกฏเกณฑนี้ได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือจิตที่ทรงพลานุภาพมหาศาล ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ล้วนมีจิตกันทุกคน แต่จิตธรรมดาจะกลายเป็นจิตที่ทรงพลานุภาพได้นั้นต้องอาศัยการบ่มเพาะเป็นเวลานาน คัมภีร์อรรถกถาบอกว่า ต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัปเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เอง นาน ๆ จึงจะมีดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิสักครั้งหนึ่ง โลกใบนี้อุบัติมาแล้วประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปีซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่ดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิแค่เพียง ๔ ครั้งเท่านั้น ครั้งสุดท้ายมาปฏิสนธิ เมื่อประมาณ ๒๖๐๐ ปีก่อนนี้เอง ผู้นั้นเราเรียกว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” (http://www.kammatan.com/gallary/images/20090308215032_img_2280.jpg) เรื่อง การเจริญภาวนาหรือปฏิบัติกรรมฐานนี้ มนุษย์ทั่วโลกได้พยายามค้นคว้าและเข้าถึงมานานแล้ว แต่เนื่องด้วยบารมีไม่เพียงพอจึงเข้าถึงได้เพียงครึ่งเดียว คนกลุ่มนั้นก็คือพวกฤษีและศาสดาต่าง ๆ พวกท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีฤทธิ์เดชมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสในจิตให้หมดสิ้นไปได้ยังมีความโลภ โกรธ เกลียดอยู่ ท่านเหล่านี้เข้าถึงได้เพียงแค่ระดับฌานสมาบัติเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าถึงวิปัสสนาปัญญาบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช พระองค์แล้วได้ไปศึกษาศาสตร์นี้จากสำนักฤษีต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้นจนหมดความรู้อาจารย์ แต่เมื่อออกจากสมาธิ กิเลสตัณหาก็ยังมีอยู่เท่าเดิมยังมีความกลัวความกังวลอยู่ พระองค์จึงตัดสินพระทัยศึกษาค้นคว้าหาวิธีดับทุกข์ด้วยพระองค์เองด้วยการ เจริญวิปัสสนา เมื่อเกิดวิปัสสนาปัญญญารู้แจ้งอยู่ไปตามลำดับครบ ๑๖ ขั้นจะบรรลุโสดาบัน เที่ยวที่ ๒ บรรลุสกทาคามี เที่ยวที่ ๓ บรรลุอนาคามี เที่ยวที่ ๔บรรลุพระอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อ ไม่ต้องเกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์ กายทุกข์ใจอีกต่อไป การตายอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าดับขันธปรินิพพาน ดับทั้งกายดับทั้งจิต ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป [1] ดูรายละเอียดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙ /๑๗๗/๕๐๖. [2] ดูรายละเอียดใน องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓ /๔๔/ ๖๗ [3] สํ.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๑๗๘/๖๕๔ , องฺ.จตุ.(ไทย) ๒๑ /๑๙๓/๑๒๕ [4] ดูรายละเอียดใน สํ.สคา.(ไทย)๑๕/๑๖๗/๒๒๓ [5] ดูรายละเอียดใน ที.มหา.(ไทย)๑๐/๕๗/๓๑ , สํ.นิ. (แปล) ๑๖/๔/๑๐-๑๓ [6] ดูรายละเอียดใน ที.มหา.(ไทย) ๑๐/๑๕๕/๙๙ , ที.ม.อ. (บาลี)๑๕๕/๑๔๔ [7] ดูรายละเอียด ใน สํ.ส.(ไทย)๑๕/๕๕/๖๘ [8] ดูรายละเอียด ใน องฺ.ทุก(ไทย)๒๐/๗๘/๓๐๑ [9] ดูรายละเอียด ใน สํ.ส.(ไทย) ๑๕/๕๗/๗๐ [10] ดูรายละเอียด ใน ขุ.ปฏิ.(ไทย)๓๑/๖๐/๙๗ [11] โสดาบัน หมายถึงผู้ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะคำว่าโสตะ เป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์๘ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๓๑/๔๒ ดูประกอบใน สํ.ม.(แปล) ๑๙/๑๐๐๑/๓๐๐) [12] ดูรายละเอียดใน องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓ /๕๔/ ๙๗ ,องฺ.ติก.อ.๒/๘๗/๒๔๒ [13] ดูรายละเอียด ม.อุปริ(ไทย)๑๔/๑๔๗/๑๘๖, องฺ.ติก.อ. ๒/๘๗/๒๔๒. องฺ.ติก.ฏีกา ๒/๘๗/๒๓๕ [14] ดูรายละเอียดใน องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓ /๔๔/ ๖๗ [15] ดูรายละเอียด ใน ขุ.อป.อ.(บาลี)๑/๑๒๐ [16] ดูรายละเอียด ใน ขุ.พุทธ.(ไทย).๓๓/๑๙/๗๒๓ [17] ดูรายละเอียด ใน องฺ.ทุก.(ไทย)๒๐/๓๘๐ ,ขุ.อุ(ไทย) ๒๕/๕๔/๒๙๒ [18] ดูรายละเอียด ใน ม.ม.(ไทย)๑๓/๓๒๗/๓๙๖, ม.ม.อ.(บาลี) ๑/๘๓/๑๙๙ [19] ดูรายละเอียด ใน สํ.มหา.(ไทย) ๑๙/๙๘๔/๔๖๑, วิสุทฺธิ.(บาลี) ๒/๒๕๐, องฺ.นวก.(ไทย)๒๓/๓๕/๕๐๖, สํ.มหา.อ.(บาลี)๓/๒๕๖/๒๔๒,องฺ.เอก.อ.(บาลี)๑/๘๑๓๓ [20] ดูรายละเอียด ใน ขุ.ปฏิ.(ไทย) ๓๑/๑-๙/ ๗-๑๖ ...........โดย พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี ..วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม... หัวข้อ: Re: เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ดีมากๆ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 10:08:24 AM (http://www.kammatan.com/gallary/images/20090308215249_img_2302.jpg)
อัล เบิร์ต ไอสไตน์ได้เริ่มสงสัยว่า พระพุทธศาสนาอาจเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหาอยู่ ในช่วง ๑ ปีสุดท้าย ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น(ค.ศ.๑๙๕๔) มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein) ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบเบ็ดเสร็จ(แบบ สำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบพึ่งพาเทพเจ้า ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงต่อสิ่ง ทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา" คำ พูดของไอสไตน์นั้นมีความนัยสำคัญที่ซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ ...ซึ่งอันที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้นแล้วกว่า ๒๕๐๐ ปี (http://www.kammatan.com/gallary/images/20090308215951_img_2474.jpg) หลังจากตรัสรู้ ทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสบอกถึงสิ่งที่พระองค์ได้รู้มา พอสรุปใจความได้ ว่า “ สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน สรรพสัตว์ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก บางชาติเกิดเป็นเทพ(เทวดา-พรหม) บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก สรรพสัตว์ที่มีวิญญาณครองต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้เคยทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น มนุษย์ ทุกคนย่อมเคยทำ ทั้งความดี และความชั่วด้วยกันทุกคน ความดีย่อมส่งผล ให้ประสบกับความสุขความเจริญ ด้วยทรัพย์สินเงินทอง และลาภยศ สรรเสริญ ส่วนความชั่ว ย่อมส่งผลให้ผู้ทำ ประสบกับความทุกข์ยาก เดือดร้อนในที่สุด ฉะนั้น คน ฉลาดพึงเลือกทำแต่กรรมดี แม้จะรู้สึกเหมือนยาขมในตอนแรก แต่จะอำนวยความสุข ความเจริญให้ในที่สุด หลักพุทธศาสนา : ความต้องการหรือการกระทำ ใด ๆ จะสำเร็จสมปรารถนาได้จะต้องอาศัยเหตุปัจจัย หลายประการประกอบกัน เช่น ต้องมีภูมิอากาศที่เอื้อ อำนวย มีสุขภาพแข็งแรง มีปัญญาดี มีความเพียร และ สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ต้องมีบุญกุศลที่มากพอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก จูฬกัมมวิภังคสูตร เล่มที่ ๑๔ หน้า ๓๕๐ ข้อ ๒๙๐ สรุปความได้ ดังนี้ สร้างเหตุในชาติก่อนๆ รับผลในชาติต่อๆ ไป ๑. ฆ่าสัตว์ เกิดเป็นคนมีอายุสั้น ๒. มีเมตตา ช่วยสัตว์ เกิดเป็นคนมีอายุยืน ๓. ทำร้าย กักขังสัตว์ เกิดเป็นคนขี้โรค อ่อนแอ ๔. โกรธง่าย ฉุนเฉียว เกิดเป็นคนขี้เหร่ ไม่งาม ๕. ไม่ขี้โกรธ จิตอ่อนโยน เกิดเป็นคนรูปหล่อ-สวย ๖. ขี้เหนียวไม่บริจาคทาน เกิดเป็นคนยากจน ๗. ให้ทาน บริจาคทรัพย์ เกิดเป็นคนฐานะร่ำรวย ๘. อ่อนน้อมถ่อมตน เกิดในตระกูลสูง มียศ ๙. สนทนากับนักบวช เกิดเป็นคนเรียนเก่ง ๑๐. ประพฤติผิดในกาม ผิดหวังบ่อย ผิดเพศ ๑๑. มักพูดเท็จ มักถูกใส่ร้าย ป้ายสี ๑๒. มักพูดส่อเสียด ไม่มีเพื่อนคบ ๑๓. มักพูดคำหยาบ มักได้รับข่าวร้ายบ่อย ๆ ๑๔. มักพูดเพ้อเจ้อ มีวาจาไม่น่าเชื่อถือ ๑๕. ดื่มสุรา เสพสิ่งมึนเมา เป็นคนวิกลจริต[5] กฏแห่งกรรม” ใน จูฬกัมมวิภังคสูตร เป็นกฏความจริงที่ยืนยันได้ถึงความจริงแท้ของคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง บางคนกล่าวแย้งว่า “ถ้ารอแต่กรรมเก่า ไม่อ่านหนัง สือแล้วจะสอบได้อย่างไร?” ..ขอตอบว่า “แน่ นอนว่าจะสอบได้ต้องอ่านหนังสือ แต่ถ้าไม่มีบุญกุศลที่เคยทำไว้ในอตีด ช่วยให้มาเกิดเป็น คน ไม่พิการในชาตินี้ แล้วจะอ่านหนังสือได้หรือ..? ตัวอย่างกฏแห่งบาปกรรมที่ตัองชดใช้ ฆ่าหมูแม่ลูกอ่อน..ต้องตายภายใน ๑๐วัน เกิดขึ้นกับนายหวัน สีสัน อายุ 68 ปี บ้านเลขที่ ๒๖๘ ม.๔ ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา ทิ้งพ่อแม่..ทำให้ธุรกิจล่มจม ลูกทั้ง เกิดขึ้นกับนาง ประโลม ปราบศัตรู อยู่บ้านเลขที่ ๑๓/๕ หมู่ที่ ๗ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี.. หักขากบ..เป็นคนพิการ..นายดวง มีเมืองเก่า บ้านเลขที่ ๗๑/๑ บ้านศรีฐาน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น กรรม คือ อะไร? กรรม หมายถึง การกระทำอันประกอบไปด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจ หรือตั้งใจทำ มีความหมายเป็นกลาง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือทำชั่วก็ตาม จัดเป็นกรรมทั้งสิ้น หากเป็นกรรมดี เรียก กุศลกรรม หากเป็นกรรมชั่ว เรียก อกุศลกรรม กรรม จะมีผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ “เจตนา” คือ ความจงใจ ตั้งใจ ที่กระทำลงไปในขณะ นั้น ๆ ถ้ามีเจตนาในการกระทำแรง กรรมก็หนัก ถ้ามีเจตนาในการกระทำอ่อน กรรมก็เบา กรรมและการให้ผลของกรรม เป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนสำหรับปุถุชน เพราะบางช่วงของกรรมอาจข้ามหลายภพหลายชาติ ฯลฯ วิบากกรรมที่เคยเอาเข็มเย็บหลังอื่งอ่าง เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นของเพื่อนร่วมอบรมพุทธรรมที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี พ. ศ. ๒๕๔๔ เธอได้รับผลของกรรมแสนทรมานด้วยความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ ความเป็นมาเป็นอย่างไรนั้นฟังจากคำบอกเล่าของเธอ เธอชื่อนางอุบล (บุญเทียม) เธอยินดีเปิดเผย ความจริงจากผลของกรรมที่เธอก่อขึ้นไว้ ดังนี้ เรื่องกรรมที่ได้กระทำไว้ในสมัยเด็ก ๆ ซึ่งดิฉันคิดไม่ถึงว่าจะได้รับผลในปัจจุบัน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๔๕ ที่ ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นเข้าอบรมพุทธธรรมที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดที่หลังเป็นอันมากและปวดอยู่เรื่อย ๆ บางครั้งปวดจนนอนไม่ได้ต้องร้องออกมา ไปหาหมอที่คลีนิคหมอก็บอกว่า นั่งมาก ให้ยามาทานก็ไม่หาย ไปหาหมออีกหมอก็บอกว่ากล้ามเนื้ออักเสบให้ยามาทานก็ไม่หายและซื้อยามาทานเ องบ้าง เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ มา ก่อนนอนเคยฝึกนั่งสมาธิบ่อย ๆ มาตอนนี้นั่งไม่ได้แล้ว จนต้องไปโรงพยาบาลภูมิพลเพราะน้องเป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น หมอตรวจแล้วให้ยามาทาน ๑ สัปดาห์ ถ้าไม่หายให้ไปเอ็กซเรย์อาจจะเป็นกระดูกทับเส้น ต้องผ่าตัดก็เลยไปปรึกษาคุณประสงค์เพราะบ้านใกล้กัน คุณประสงค์เคยพาเพื่อนบ้านไปหาหมอจับเส้นแล้วเขาว่าดีก็อยากไปบ้าง พอดีหมอ คนนั้นเขาไม่อยู่แล้วไม่รู้ทำอย่างไรดี ปวดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก็เลยมาปรึกษาอาจารย์อิศริยา นุตสาระ [8] ท่านก็บอกให้ดิฉันนั่งสมาธิด้วยการเจริญเมตตา เพราะอาจจะเป็นกรรมอันหนึ่งอันใดที่เราได้ทำไว้และกรรมอันนั้นอาจตามส่งผล ในตอนนี้ ให้เราทำจิตให้สงบ แผ่เมตตาไปถึงเจ้ากรรมนายเวรที่เราได้ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินเขาไว้ ขออโหสิกรรมเขาเรื่อย ๆ และเอายาและปัจจัยไทยทานทั้งหลายถวายสังฆทานกับพระสงฆ์รูปใดก็ได้ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ดิฉันก็มาทำตาม ที่อาจารย์บอก พยายามนั่งทำใจไม่นึกถึงความเจ็บปวด และพยายามแผ่เมตตา แต่บางครั้งก็ไม่ไหวปวดจนนั่งไม่ได้ เป็นอยู่หลายเดือน แต่ก็พยายามทำบุญอุทิศให้เขามาตลอด จนอยู่มาวันหนึ่งขณะนั่งสมาธิอยู่ก็เกิดมโนภาพขึ้นมาเห็นเป็นเจ้าอึ่งอ่าง ลอยมา มือกาง ตีนกาง จนตกใจลืมตาขึ้นมา ใจไม่ดีว่า เอ๊ะ! ทำไมจึงเห็นเป็นเจ้าตัวอึ่งอ่าง คิดไม่ออก พอนั่งหลับตาทีไรก็เห็น คิดกลัวเหมือนกัน แต่ทำไมจึงเห็นแต่อึ่งอ่าง จนวัน หนึ่งนอนครึ่งหลับครึ่งตื่น จะว่าฝันก็ไม่ใช่จะว่าเห็นจริงก็ไม่แน่ใจ เห็นบ้านหลังเก่าที่เคยอยู่ตอนเด็ก ๆ และเห็นเจ้าอึ่งอ่างถูกเชือกผูกที่หลั งแขวนอยู่หน้าบ้านขากางหมุนไปหมุนมาเหมือนกับเรายืนดูอยู่ แล้วเจ้าอึ่งอ่ างก็หันหน้ามาหาเราพอดีเกือบติดหน้าก็ตกใจกลัวแล้วตื่นลุกขึ้นมาแล้วนึกว่ า เอ๊ะ! เมื่อกี้เรายังไม่ได้หลับนี่นา แล้วทำไมเหมือนเราฝัน นอนคิดตลอดคืนไม่หลับเลยและก็คิดได้ทันทีว่า เจ้าอึ่งอ่างตัวนั้นเราเคยทำอย่างนี้กับเจ้าอึ่งอ่างตัวหนึ่ง สมัยเด็ก ๆนานมาแล้ว คือ ครั้งหนึ่งตอนเด็ก ๆ แม่เสียตั้งแต่อายุประมาณ ๑๐ ขวบ พ่อ ให้ทำงานบ้านเอง กวาดบ้าน ถูบ้าน วันหนึ่งกวาดบ้านอยู่ก็เจอเจ้าอึ่งอ่างนอนอยู่ตรงมุมบ้าน ข้างๆ เสาบ้าน พ่อชอบเอาขันน้ำล้างหน้าวางตรงนั้น มันไม่นอนเฉย ๆ นะซิ มันขี้ออกมาก้อนหนึ่งดำ ๆ เราเป็นเด็กแต่เราก็เกลียดไม่อยากเช็ด ก็เลยโมโหจับมันเหวี่ยงทิ้งไปแล้วเช็ดขี้ด้วยความแขยง พอ รุ่งขึ้นเรากวาดบ้านถูบ้านก็เจอมันอีก ก็โมโหอีกจับมันขว้างแรง ๆ ไปเลยแล้วบอกว่าอย่ามาขี้อีกจะเตะนะ พอรุ่งขึ้นกวาดบ้านอีกก็เจอมันอีกและก็ขี้เหมือนเดิมอีกและขี้เหมือนเดิม ดิฉันโมโหมากเลยจับมันมาแล้วโยนเตะเหมือนลูกบอลเลย ป๊าปเดียวกระเด็นไปไกล แล้วบอกว่าอย่ามาขี้อีกนะมึง ไม่นั้นเจอดีแน่ แต่พอรุ่งขึ้นมาขี้อีกจริง ๆ โมโหมากสุด ๆ เลย แต่ก็ไม่อยากฆ่ามันนะ หันมาเห็นเข็มเย็บผ้าเขาเสียบไว้ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร เอาเข็มเย็บหลังมันผูกไว้แล้วเอามาแขวนไหว้หน้าบ้าน มันก็กางขาหมุนไปหมุนมา ฉันก็บอกว่าอย่ามาขี้อีกนะจะเจอดีไม่เชื่อก็ต้องเจออย่างนี้แหละ พอตอนเย็น ฉันก็มาแกะมัน ปล่อยออกไปมันก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปพุ่มไม้หน้าบ้าน ฉัน ก็บอกว่า ถ้ามาอีกตายแน่พอมาดูอีกไม่เห็นมันอีกแล้วมันคงไปแล้ว พอรุ่งขึ้นฉันรีบมาดูก่อนเลยว่ามันขึ้นมาขี้อีกไหม แต่ก็ไม่เห็นมันและไม่เ ห็นมันอีกเลย และฉันก็ไม่ได้คิดถึงมันอีกเลย ลืมจนสนิทจนมาฝันเห็นอย่างที่เล่าให้ฟังนี้แหละ กว่าจะนึกออกได้ก็นานมาก ฉันรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเอง แต่ตอนนั้นเราเป็นเด็กก็ยังไม่มีความคิดอะไร พอคิดได้นึกออกอย่างนี้คิดทันทีเลยว่า ที่เราเจ็บปวดที่หลังนี้อาจเป็นเพราะเราทำเขานั่นหรือเปล่า ก็เลยเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็นัดว่าคืนนี้สองทุ่มให้ดิฉันนั่งสมาธิ แล้วเจริญเมตตาแผ่ไปให้เขา อาจารย์นั่งอยู่ทางบ้านก็จะนั่งทำที่บ้าน อาจารย์ส่งช่วยให้ตรงกันพอใกล้สองทุ่ม อาจารย์ก็โทรมาว่าพร้อมหรือยัง เมื่อพร้อมแล้วก็นั่งทำจิตให้นิ่งแล้วนึกถึงเขาคือเจ้าอึ่งอ่างแล้วแผ่เมตตาให้เขารู้สึกเย็น ซ่านและขนลุกไปหมด ลืมความเจ็บปวดชั่วขณะ และ หลังจากนั้นดิฉันก็ทำบุญใส่บาตรอุทิศให้เป็นประจำ เจริญเมตตาแผ่ให้เป็นประจำบางครั้งก็ปวดขึ้นมาแรง ๆ หาย ๆ ปวดมาเรื่อย ๆ จนกระทั้ง นึกว่าเขาคงไม่อโหสิ ให้เราถึงไม่หายสักที ฉันเลยทำใจและปลงว่าก็สมแล้วเราไปทำกับเขาขนาดนั้น เขาก็คงจะทุกข์ทรมานเหมือนกับเราตอนนี้ อยากทำกับเขาก็รับไปเสียให้เต็มที่ชดใช้เขาเสียให้หมดจะได้หมดเวรต่อกันเสยที เราจะไม่โกรธไม่อาฆาตแค้นเขาหรอก ขอให้เขาพ้นจากทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น เจ้าอึ่งอ่างจะเกิดเป็นใครหรือยังก็แล้วแต่ เราขอให้เจ้ามีแต่ความสุขให้ปราศจากความทุกข์ให้มีแต่ความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นเถิด แต่แปลกมากพอจิตคิดอย่างนั้นแล้วรู้สึกเย็นซ่าไปทั้งตัวไม่มีความเจ็บปวดใ ด ๆ เหลืออยู่เลย รู้สึกจิตสงบสบายเหมือนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้สบายมาก นั่งไปนานแค่ไหนไม่รู้หรอก รู้ว่า พอรู้สึกตัวก็ยังไม่อยากลืมตา เพราะรู้สึก สบายมาก ๆ นั่งอีกครู่ใหญ่ก็ตั้งจิตอุทิศบุญกุศลให้เขาอีกแล้วก็ลืมตากลับสู่สภาวะปกติ แต่ไม่เจ็บปวดเลย ไม่รู้หายเจ็บตอนไหน จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่ปวดหลังอีกเลยจนทุกวันนี้ ทำให้ดิฉันเชื่อ ๑๐๐ % ว่ากรรมทั้งหลายมีจริง เราทำกรรมใดเราก็จะได้รับผลของกรรมนั้นไม่ว่าดีหรือชั่ว ที่มา : http://board.palungjit.com/showthread.php?t=5418 ข่าวเดลินิวส์ : นักเลงขุดกรุพระตายคาที่ เมื่อคืนวันที่ ๑๓ มิ.ย. ๒๕๓๖ ชายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ไปที่วัดซุ้มกอ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร (ชาวบ้านเรียกกรุทุ่งเศรษฐี) ทั้ง สองนำรถไปซุ่มจอดอยู่ใต้ต้นมะม่วงซึ่งห่างจากเจดีย์ซุ้มกอประมาณ ๒๐ เมตร แล้วเดินมาขุดที่บริเวณฐานของเจดีย์ซุ้มกอ เพื่อหาพระซุ้มกอที่ยังมีหลงเหลือ ด้านบนของฐานเจดีย์ที่ทั้งสองลักลอบขุด มีจอมปลวกขนาดใหญ่ก่อตัวอยู่ ทั้งสองขุดชอนลึกลง ไปจนท่วมหัว สันนิษฐานว่าขุดกันมาหลายวันแล้ว โดยใช้ต้นหญ้าปิดปากหลุมไว้ ขณะที่กำลังใช้ชะแลงขุดลึกลงไปเรื่อยๆ นั้น ดินจอมปลวกและฐานเจดีย์ได้ถล่มพังทับร่างของทั้งสองชนิดตายทั้งเป็น รุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้านได้ช่วยกันขุดดินออก พบร่างชายสองคน คือ นาย ก. อายุ ๒๑ ปี อีกศพเป็นชายอายุประมาณ ๒๐ ปี ชื่อนาย น. พร้อมชะแลงเหล็ก ๑ อัน ขณะที่ กำลังขุดเอาศพออกมา หลายคนเห็นฝูงปลวกจำนวนนับล้านตัว บางตัวมีขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยเกาะ ติดศพขึ้นมา ต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน และบอกว่าฟ้าดินและเจ้าที่เจ้าทางลงโทษทันตาเห็น สำหรับกรุทุ่งเศรษฐีนั้น บรรดาเซียนพระใน จ.กำแพงเพชร ได้เล่าว่า เคยมีผู้ไปลักลอบขุดพระ ขณะที่ขุดลึกลงไปนั้น ได้เห็นว่ามีน้ำไหลทะลักออกมามากมาย ผู้ที่ลักลอบขุดต้องว่ายน้ำหนีจนหมดแรง กระทั่งรุ่งเช้ามีคนมาพบว่านอนเกลือกกลิ้งอยู่ใกล้หลุมดินนั้นเอง โดยบริเวณดังกล่าวไม่มีน้ำเลย ลักษณะที่เรียกว่าว่ายบกนี้ ทำให้เข็ดไปตามๆ กัน ที่มา ...น.ส.พ.เดลินิวส์ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๓๖ วิบากกรรมต้มลูกสุนัขทั้งเป็น เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมที่ต้องชดใช้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังที่โบราณกล่าวไว้ว่าภายใน 3 วัน 7 วัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว !! เรื่องนี้ ท่านดร.พระราชวรมุนี รองเจ้าคณะภาค 17 และรองเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม กทม. ได้นำมาเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเล่าว่า วัน หนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปสวดศพแม่ครัวที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม่ครัวคนนี้ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุที่ ไม่น่าเชื่อ คือตกหม้อข้าวต้มตาย แล้วท่านเจ้าคุณก็ขยายความต่อไปว่า แม่ครัวผู้นี้เป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง เธอเป็นแม่ครัวรับจ้างทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพที่วัดแห่งนี้แบบผูกขาด มานานจนร่ำรวย สามารถส่งเสียลูกๆ เรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ดีไปหลายคน กรรม ที่ทำให้เธอต้องมาพบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายนั้น เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง แม่ครัวผู้นี้เห็นว่า เนื้อหมูจำนวนมากที่นำมาสับ เพื่อเตรียมทำข้าวต้มหมูเลี้ยงแขกที่มาในงานศพนั้น หาย ไปอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่เพิ่งสับเสร็จไม่นาน แค่หันไปหยิบเครื่องปรุง หรือไปทำอย่างอื่นแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พอหันกลับมาอีกครั้ง เพื่อจะนำเนื้อหมูที่สับวางทิ้งไว้บนเขียงใส่ลงหม้อข้าว ต้ม ปรากฏว่าเนื้อหมูอันตรธานหายไปหมด โดยไม่มีร่องรอย พอถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง เพราะต่างก็วุ่นกับงานของตัวเอง แรกๆ เธอก็คิดว่าไม่เป็นไร แต่ครั้นเป็นอย่างนี้ติดต่อกันบ่อยครั้งเข้าใน ทุกครั้งที่เผลอ เธอจึงอดรนทนไม่ได้ ดังนั้นจึงได้วาง แผนที่จะจับเจ้าขโมยตัวดี เธอทำทีเป็นสับเนื้อหมูวางไว้บนเขียงไม้เหมือนเดิม แล้วก็แสร้งหันไปทำอย่างอื่นเหมือนเคย แต่ทว่าตาคอยแอบจับจ้องอยู่ที่เขียงไม้ตลอดเวลา ทันใดนั้นก็มีลูกสุนัขผอมโซตัวหนึ่ง ซึ่งแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำกับข้าวนั่นเอง ปีนขึ้นมากินเนื้อหมูสับจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็กระโดดวิ่งหนีไป เมื่อเห็นว่าเจ้าหัวขโมยเป็นลูกสุนัข เธอ จึงรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงได้วางแผนที่จะจัดการเจ้าลูกสุนัขตัวนี้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้นเธอก็ทำทีสับเนื้อหมูทิ้งไว้บนเขียงไม้เหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้เธอไม่ได้วางเขียงไม้ไว้ที่เดิม แต่กลับนำเขียงไม้ไปพาดกับปากหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ อยู่ แล้วเอาปลายไม้ข้างหนึ่งพาดหมิ่นๆ ไว้ที่ปากหม้อข้าว จาก นั้นเธอจึงเดินออกไปแอบดูอยู่ใกล้ๆ ฝ่ายเจ้าลูกสุนัขเมื่อเห็นไม่มีคนอยู่ตรงนั้น มันจึงกระโดดเต็มแรงเพื่อขึ้นมากินเนื้อหมูสับอย่างเคย แต่ทว่าปลายไม้ที่วางหมิ่นๆ พาดกับปากหม้อข้าวไว้นั้นได้กระดกขึ้นมา ทำให้เจ้าลูกสุนัขตกลงไปในหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพลั่กๆ ทันที ผลคือตายคาที่ โดยไม่มีโอกาสได้ร้องเลยสักแอะเดียว อนิจจา..เจ้าหมาน้อย เมื่อ จัดการกับเจ้าลูกสุนัขได้แล้ว เธอก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมาก เพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเนื้อหมูสับจะหายไปอีก เพียงไม่กี่วันเธอก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท ประกอบกับหลังจาก นั้นไม่มีงานศพที่วัด เธอจึงไม่มีงานที่ต้องมาทำอาหารเลี้ยงแขก เวลาผ่านไป ๗ วัน ครบวันที่ลูกสุนัขตายพอดี วันนั้นเผอิญมีงานศพที่วัด แม่ครัวคนนี้ก็เข้าไปรับงานจัดเลี้ยงเหมือนเดิม วันนั้นเป็นวันแรกของงานศพ เธอ จึงได้ต้มข้าวต้มหมูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ขณะที่ข้าวต้มกำลังเดือดพลั่กๆ อยู่นั้น เธอก็บอกคนงานให้มาช่วยยกหม้อข้าวลงจากเตาไฟ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หูหิ้วหม้อข้าวต้มข้างที่เธอถือนั้นเกิดหักหลุดจากมือ ตัวเธอจึงถลำลื่น หัวทิ่มลงไปในหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ นั้น ตายทันที โดยไม่ทันได้ร้องสักแอะเดียว เป็นชะตากรรมเดียวกับที่เธอทำกับเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน !! ชะรอย ลูกสุนัขกับแม่ครัวคนนี้คงจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาหลายภพหลายชาติ ผูกพยาบาทอาฆาตกันไม่จบสิ้น ในชาตินี้จึงมาสร้างกรรม ทำเวรซึ่งกันและกันเพิ่มเข้าไปอีก ผู้ เขียนขอย้ำว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง เป็นจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่คาดฝัน สุดแท้แต่ว่าจะให้อโหสิกรรมต่อกัน เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันและกันหรือไม่ หากไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน 4 ก็ จะไม่รู้ซึ้งถึงกฏแห่งกรรม จะไม่รู้ถึงการให้อภัยทาน การเลิกอาฆาตพยาบาทกันและกัน กฏแห่งกรรมนั้นนอกจากจะมีจริง เป็นจริงแล้ว ยัง เกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่อีกด้วย โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 กุมภาพันธ์ 2548 14:35 น. หัวข้อ: Re: เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ดีมากๆ เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ สิงหาคม 20, 2010, 03:45:41 PM อ่านมากเท่าไร ก็ไม่สู้รู้ด้วยตน(ปฏิบัติเอง)
หัวข้อ: Re: เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ดีมากๆ เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กันยายน 26, 2010, 01:01:12 PM เมื่อเริ่มเดินทางแล้ว(ตามมรรคมีองค์8) ปลายทางคือความพ้นทุกข์
พ้นทุกข์ไม่ยาก แต่ที่ยากคือไม่ทำ(หลวงปู่) ;D หัวข้อ: Re: เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ดีมากๆ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 01, 2012, 10:17:09 AM เป้าหมายสูงสุดจริงๆ คือการที่เราเจริญภาวนา ตามคำสอนอริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้า
จนแจ้งซึ่งสัมมาทิฏฐิ(มีความเห็นถูก ตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพบและถ่ายทอดมา) และแจ้งใน อริยมรรค ที่มีองค์ประกอบทั้งแปดตัว |