หัวข้อ: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ สิงหาคม 31, 2010, 02:39:50 AM ผมอยากจะเอาชนะลุงphonsakw ไปเพื่ออะไรกัน.......? ลุงรู้ใจผมไหม รีบเข้าฌานมา....? ปรมจารย์พระอรหันต์พลศักดิ์ ทายใจผมไปเลย....?
ถ้าทายผิดเป็นปรมจารย์พระอรหันต์พลศักดิ์ ของ เก๊....อวดอุตตริ...มั่วไปวันๆ ถ้าทายถูก ผมจะลงไปกราบแทบเท้าท่านทีเดียวเชียว.... ให้เวลาคุณลุงคิด ๒๔ ชม.นับจากนี้...๐๒.๓๒.๒๒น. แล้วมาดูกันถ้าไม่มาตอบผมปรับคุณลุงแพ้อยู่ดี....ผมรู้คุณลุงอ่านคำถามจบไปแล้ว ทายผิดกระทู้ทั้งหมดของคุณลุง จะถูกรวบรวมไว้เป็นกองเดียวกัน....จะได้ไม่เปะปะเลอะเทอะเว็บบอร์ดนะจ๊ะ.....เดี๋ยวจัดให้... ;) หัวข้อ: Re: phonsak(w).........AVATAR เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 02:45:56 AM TIME'S UP หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 07:52:05 PM ผมขออนุญาตรวรวมกระทู้ของคุณลุงphonsak(w)ทั้งหมดเอาไว้ในหัวข้อกระทู้เดียวกันครับ
เพื่อเอาไว้สำหรับท่านที่จะเข้ามาศึกษาในแนวทางของคุณลุงphonsak(w)จะได้ไม่ต้องโยกไปมาหลายกระทู้ สำหรับคุณลุงphonsak(w)มีอะไรจะนำเสนอตามแนวทางของท่านก็เข้ามาโพสต์ได้ตามปกติครับ ท่านที่จะเข้ามาศึกษาในแนวทางของคุณลุงphonsak(w) หรือมีคำถามสำหรับท่านก็เข้ามาที่นี่ได้เลยครับ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:02:45 PM สติปัฏฐาน 4 เป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
จิตเริ่มต้นของเราเป็นพุทธะ เป็นอมตะ ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร จิตพุทธะเริ่มต้นตัวนี้คือ "อสังขตธาตุ" ไม่มีจุดเกิด ไม่มีจุดตาย ใครจะเรียกว่า "พระเจ้า" ก็ไม่ผิด แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ต้องเรียกว่า "นิพพาน" หรือ "นิพพานจิต" จิตเริ่มต้น ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มันจึงเป็นอมตะ จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธคือ ให้เรากลับไปหา และไปเป็นจุดเริ่มต้น “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ...." "....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...." จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ = พระเจ้า =พระอรหันต์ - คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนแล้วแต่ถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ หลังจากที่เราเหล่าพุทธะให้อิสระกับจิตปกัสสรของพวกเรา สามารถเข้าไปอยู่ในภพภูมิอื่นๆที่ไม่ใช่นิพพานได้ อย่างไรก็ตาม ภพภูมิเหล่านั้นล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งนั้น แม้แต่ภพภูมิรูปพรหมและอรูปพรหมก็ไม่เที่ยง เพราะตั้งอยู่ได้นานช่วงหนึ่ง มากที่สุดคือ อรูปพรหม อยู่ได้นาน 84,000 มหากัป ก็ต้องตาย(จุติ) - สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง และสิ่งใดที่เป็นทุกข์ สิ่งนั้นแหละเรียกว่า "อนัตตา" ส่วนสิ่งใดที่เที่ยง เป็นนิจจัง และไม่มีทุกข์ ในอนัตตลักขณะสูตร พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า "อัตตา" ถ้าเรายังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ เราย่อมทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า - สติปัฏฐาน 4 เป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4 พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพานได้อย่างกระจ่าง เป็นพระอรหันต์ที่มีอภิญญาครบถ้วน แต่ถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน)อย่างเดียว แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพานได้เช่นกัน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างกระจ่าง เรียกว่า "อรหันต์แห้งแล้ง หรืออรหันต์สุกขวิปัสสโก" หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:03:38 PM อ้างจาก: golfreeze ที่ กรกฎาคม 13, 2010, 08:26:46 pm
ถ้าจิตเริ่มต้นของ เรานั้น ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ แล้วเพราะเหตุใดเราจึงต้องมาเกิด แล้วยังให้มี ราคะ โทสะ โมหะ ในชาติปัจจุบันหรอครับท่าน ดีครับที่สงสัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกกับสาวกฝ่ายเถรวาทว่า " ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โขอาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ " แปลว่า "ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาทำให้เศร้าหมองแล้ว" (เอกนิบาต อังคุตตรบาลี ฉบับฉัฏฐะ เล่มหนึ่ง หน้า ๙ ข้อ ๔๙/๕๐) จิตปภัสสร คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง ปภัสสรคือ ขาวบริสุทธิ์ เมื่อเป็นดังนั้น จิตปภัสสรเริ่มแรกจึงเป็นจิตที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เมื่อไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ = เราเคยเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะมาก่อน เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" ย้ำ!! เมื่อจิตเราเป็นประภัสสร ก็คือ มันไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ = เราเคยเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะมาก่อน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียกนิพพานว่า "กลับบ้านเก่า" หลวงพ่อสดบอกว่า "ช้าเร็วเราก็ต้องเข้านิพพานกันหมด" ต้นตอของอวิชชามาจากไหน??? ถึงได้มาหลอก จิตนิพพานเริ่มแรกของเราให้ติดใจหลงใหลในภพ 3 ได้ เพราะตัวจิตปภัสสรหรือนิพพานเอง มันเองเป็นจิตผู้รู้ แล้วมันจะมาเสียท่ากิเลสอวิชชาจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด นอกเสียจากว่า จิตปภัสสร หรือจิตนิพพานเริ่มแรก ที่เป็นจิตผู้รู้ พวกมันยอมไปเปิดสวิชท์ปล่อยให้กิเลสอวิชชาเช้ามาในจิตปภัสสรเอง ให้จิตปภัสสรเหล่านั้นลืมความเป็นพุทธะ(พระเจ้า)ของตัวเอง ในคัมภีร์อุปนิษัทระบุเหตุผลไว้ชัดเจนว่า "พระเจ้า(พุทธะ)ที่ไม่ทุกข์และเป็นอมตะ ไม่ยอมทรงสภาวะอมตะเอาไว้" นั่นแหละคือเหตุผล: พวกเราเหล่าพุทธะไม่ยอมทรงทรงภาวะที่ไม่ทุกข์และเป็นอมตะเอาไว้เอง เราทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันล่ะ ต้องไปอ่านต่อใน กระทู้ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์: พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร? หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:06:19 PM จิตมีดวงเดียว แต่นิยามของมันกลับมี 2
ธรรมะ คือธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว คือ จิต แต่ธรรมชาติหรือจิตนี้มี 2 ชนิด ได้แก่ 1. จิตสังขาร หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท จิตตัวนี้เป็นตัวที่อยู่ในโลกและจักรวาล เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ ที่พูดถึงในพุทธศาสนาก็คือ จิต หรือจิตสังขาร ตัวนี้นั่นเอง 2. จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต หรือจิตหลุดพ้น หรือจิตพ้นวิเศษ จิตพุทธะตัวนี้เป็นตัวที่เป็นที่พระพุทธเจ้าเจอและพบทางไปถึงได้ แล้วนำมาสอนให้พวกเราเข้าถึงให้ได้ จะได้พ้นทุกข์ทั้งปวง ธรรมชาติหรือจิตพุทธะตัวนี้ แหละที่เรียกว่า นิพพาน ซึ่งเป็น ธรรมชาติที่รู้แจ้ง(สัพพัญญู), สภาวะที่แจ่มใส และเป็นสุขอันหมดจด มีอานุภาพเหนือกว่าสุขทั้งปวง, ไม่จุดเกิด(จุดเริ่มต้น),ไม่มีการเสื่อม, ไม่มีความโศกไม่มีการเจ็บ, ตั้งอยู่ ไม่แปรปรวนมีเสภียรภาพสถาพรไม่มีความตาย(จุดสิ้นสุด) ) และไม่มีที่สุด อมตะนิรันดร์ พระสูตรในนิกายเซ็น: พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูกรกัสสปะ ท่านมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง เพราะนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี ” พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีจิตอันหลุดพ้นแล้วด้วยดีอย่างไร จิต ของภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นธรรมชาติหลุดพ้นแล้วจากราคะ หลุดพ้นแล้วจาก โทสะ หลุดพ้นแล้วจากโมหะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีจิตอันหลุดพ้นแล้วด้วยดี อย่างนี้แล ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 16 อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ นาถกรณวรรค อริยวสสูตรที่ ๒ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตาม นิยามแล้ว เหมือนกับว่าจิตมี 2 ตัว แต่แท้จริงจิตนั้นกลับมีตัวเดียว จิตที่เป็นแก่นบริสุทธิ์ อยู่ภายในจิตสังขารที่เป็นเปลือก นิพพานจิตอยู่ภายในจิต(กายทิพย์ หรืออทิสมานกาย) จิตพุทธะอยู่ภายในจิตที่สกปรกเละเทะของคุณ ดวงอาทิตย์ ไม่มีเมฆใดๆ บังอยู่ มันก็เป็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกับที่โดนเมฆบดบังแสง หากคุณเข้าใจ คุณก็ย่อมหาจิตพุทธะที่เป็นแก่นเจอเมื่อเอาจิตสังขารเฮงซวยของคุณออกไป เพราะจิตมี 1 เดียว ที่บดบังมันอยู่คือ กิเลสตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ คือ จิตสังขารเป็นจิตเก๊ มันเป็นเพียงสิ่งที่มาลวงตาลวงจิตคุณเท่านั้น แต่คุณอย่าไปบอกว่าพระไตรปิฎกบอกว่าจิตมี 89/121 ดวงนะ ไอ้นั่นมันตีความผิด, 89/121 ดวง เป็นอารมณ์ของจิต หรืออาการของจิต วันหลังจะเล่าให้ฟัง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:08:06 PM จิตมีดวงเดียว แต่นิยามของมันกลับมี 2 ดวง ภาค 2
ในภาคแรก http://www.kammatan.com/board/index.php?action=post;topic=765.0;num_replies=1 ที่ผมเขียนว่า: หากคุณเข้าใจ คุณก็ย่อมหาจิตพุทธะที่เป็นแก่นเจอเมื่อเอาจิตสังขารเฮงซวยของคุณออกไป เพราะจิตมี 1 เดียว ที่บดบังมันอยู่คือ กิเลสตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ คือ จิตสังขารเป็นจิตเก๊ มันเป็นเพียงสิ่งที่มาลวงตาลวงจิตคุณเท่านั้น ท่อนนี้ต้องอธิบายว่า จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต เป็นจิตที่เป็นแก่น และตัวนิพพานจิต/นิพพานธาตุนี้ เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่มีทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "พระตถาคตจะเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้นมีอยู่แล้ว" ธรรมธาตุ = นิพพานจิต/นิพพานธาตุ = อสังขตธาตุ บท สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ทุกบทในนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ขันธ์ 5 และสังขารทั้งสิ้น ( เช่น สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพธรรมมาอนัตตา) นอกจากนี้...พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า นิพพานเป็นอนัตตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะจิตบริสุทธิ์(จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต) มันอยู่เป็นนิรันดร ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย นั่นเอง = เที่ยง ไม่มีทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = อัตตา (ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ในอนัตตลักขณะสูตร) ในขณะที่ ธรรมชาติใน 3 ภพ มันเป็นสังขตธาตุ คุณสมบัติของมัน เป็นอนิจจัง = เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องดับไป เมื่อสังขตธาตุหรือธรรมชาติใน 3 ภพ อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง มันจึงหลีกหนีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้น มันจึงต้องเป็นทุกข์ทางกาย เมื่อต้องเผชิญกับสภาพทางกายภาพของมัน ที่ต้องแตกสลายเสื่อมและดับไป อย่างไรก็ตาม เมือจิตเก๊(จิตสังขาร)ของมัน สามารถยอมรับสภาพของการแตกสลายเสื่อมและดับไปได้ 100% ความทุกข์ทางใจของมันจะหมดไปเชิง ในคัมภีร์มหายานหมวดอวตังสกะระบุว่า: "พระพุทธองค์สอนอนัตตา ก็เพื่อให้เราค้นพบอัตตาที่แท้จริง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:15:37 PM AVATAR: คำถาม ภาค 1
ถ้าผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งใน "จิตสังขาร" และ "จิตพุทธะ" แต่ผมไม่ยึดถือ และพร้อม สลัดทิ้งไปทั้ง ๒ จิต นี้ คุณลุง phonsak จะ บัญญัติ ลักษณะเช่นนี้ว่าอย่างไรครับ...? จบคำถาม ภาค 1 --------------------------------------------------------------------------- หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คุณต้องสละอันใดอันหนึ่ง ถ้าตุณเลือกละ "จิตสังขาร" คือละกิเลสตัญหาทุกอย่าง คุณก็จะได้ "จิตพุทธะ" ...จิตสังขาร สร้างขันธ์ 5 หรือกายมนุษย์และสัตว์ =อายตนะภายในและภายนอกของสรรพสัตว์ ...จิตพุทธะ สร้างธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย = อายตนะนิพพาน คำถามของคุณคือ กูไม่เอาอะไรทั้งนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น มหายานเรียกว่า ธรรมศูนยตา บุคคลศูนยตาเป็นการละความยึดมั่นในขันธ์ 5 จะบรรลุอรหันต์ ได้ธรรมกาย หรืออายตนะนิพพาน ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่การละความยึดถือแม้ในพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมสำหรับภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง ผมคงยากจะตอบเรื่องนี้ ------------------------------------------------------------------------------ AVTAR:ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบขอรับ... "มหายาน เรียกว่า ธรรมศูนยตา ได้แก่การละความยึดถือแม้ในพระนิพพาน" "เถรวาท เรียกว่า มหาสุญญตา ได้แก่การไม่ยึดติดแม้ในพระนิพพาน" to be continue... คำถาม ภาค 2 มหาสุญญตสูตร และ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร มีความแตกต่างกันเช่นไรครับ..คุณลุง phonsak ? จบคำถาม ภาค 2 ------------------------------------------------------------------------------------------ ผู้เล็งเห็นทุกข์ :ประมาณว่า จิต+เจตสิก เป็นจิตทางโลก แต่จิต - เจตสิก( ที่เอาเจตสิกออก) เป็นจิตทางโลกุตร ------------------------------------------------------------------------------------------- phonsak :จิต+เจตสิก เป็นจิตทางโลก = จิตสังขาร หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท แต่จิต ที่เอาเจตสิกออก = จิตหลุดพ้น หรือ นิพพานจิต.................... ------------------------------------------------------------------------------------------- ผู้เล็งเห็นทุกข์:ประมาณว่า จะเอาอะไรไปเข้า/สัมผัส นิพพาน ถ้าไม่ใช่จิต -------------------------------------------------------------------------------------------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:21:27 PM หัวข้อที่ 1.เรื่องถ้านิพพานเป็นอนัตตา (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวน) เราจะเข้านิพพานไปทำไม? ผมลงไว้นานแล้ว แต่ถ้าไม่อ่านหัวข้อนี้ บางท่านอาจจะไม่เขาใจหัวข้อที่ 2 เรื่องกฎแห่งไตรลักษณ์ใช้ได้ใน 3 ภพ(สังขตธาตุ) แต่ใช้ไม่ได้กับพระนิพพาน(อสังขตธาตุ)
1. ถ้านิพพานเป็นอนัตตา (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวน) เราจะเข้านิพพานไปทำไม? ในอนัตตลักขณะสูตร พระพุทธองค์ตรัสให้นิยามอนัตตาไว้ว่า: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นตัวตนของเรา ? ควรหรือหนอ ที่จะเห็นว่า นั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา ? = อนัตตา ด้วยเหตุนี้ อนัตตา จึงเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ผมขอถามว่า ถ้านิพพานเป็นอนัตตา (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวน) เราจะเข้านิพพานไปทำไม? เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ไม่ดีหรือ? และก็ขอถามด้วยว่า ในบท สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ทุกบท ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ขันธ์ 5 และสังขารทั้งสิ้น ( เช่น สัพเพสังขารา อนิจา สัพเพสังขารา ทุกขา สัพเพธรรมมาอนัตตา) ไฉนคณะสงฆ์ผู้ปฏิบัติไม่ถึงขั้น นำเอาไปตีความรวมถึง นิพพาน ด้วย พุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า นิพพานเป็นอนัตตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว 2. กฎแห่งไตรลักษณ์ใช้ได้ใน 3 ภพ(สังขตธาตุ) แต่ใช้ไม่ได้กับพระนิพพาน(อสังขตธาตุ) ธรรมชาติใน 3 ภพ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องดับไป = สังขตธาตุ นิพพานเป็นสภาวะที่เที่ยง ไม่อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง และไม่อยู่ใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ = อสังขตธาตุ กฎแห่งไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ใช้ได้กับ 3 ภพ เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นใน 3 ภพ ย่อม เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ใช้ไม่ได้กับพระนิพพาน เพราะนิพพานมีคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับไตรลักษณ์ คือ.... พระนิพพาน เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย บท สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ทุกบท ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ขันธ์ 5 และสังขารทั้งสิ้น ( เช่น สัพเพสังขารา อนิจา สัพเพสังขารา ทุกขา สัพเพธรรมมาอนัตตา) ผมจึงเห็นว่า บทนี้เป็นบทที่หมายถึงขันธ์และสังขารอย่างเดียว สัพเพ = all ผู้พูดกำลังพูดถึง สรรพสิ่งในเมืองอยู่ all ก็คือทุกสิ่งในเมือง แต่สิ่งที่อยู่นอกเมือง หรืออยู่นอกโลก ย่อมไม่ใช่ฉันใด พระพุทธองค์กำลังพูดถึงเรื่องขันธ์และสังขารอยู่ สัพเพ =all ก็หมายถึงเฉพาะขันธ์และสังขารเท่านั้น หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:22:05 PM คุณสหายธรรม เว็บธรรมะไทย เขียน:
ถ้านิพพานเป็นอัตตา เราทุกคนก็คงเข้าใกล้นิพพานเข้าไปทุกขณะ เพราะ ทุกคนมีอัตตา เป็นพื้นเดืมอยู่แล้ว และ ก็คงต้องประกาศให้ทุกๆคนช่วยกันรักษาอัตตาที่มีอยู่ไว้อย่าได้ละเสีย เพราะจะไม่ได้เห็นนิพพาน ตรงกันข้ามต้องพยายามเพิ่มอัตตาที่ตนมีไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ สุนัข โคกระบือสุกร ตัวมันเองก็เห็นว่ามันเป็นอัตตาตัวตน มันคงไม่คิดว่าอันตัวมันนี้แท้จริงไม่ใช่อัตตาแต่เป็นอนัตตา สุนัข โคกระบือสุกร ก็คงจะเห็นนิพพานได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน ความจริงเมื่อมีสังขารธรรม ธรรมที่มีสิ่งปรุงแต่งก็ต้องมีวิสังขารธรรมที่ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง นิพพานจัดเป็นธรรมที่เป็นวิสังขารธรรม ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอัตตา แต่ไม่ได้หมายความว่ามีอนัตตาก็ต้องมีอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะของธรรมะ ไม่ใช่สังขารหรือวิสังขาร อัตตามีได้เพราะอุปาทานเป็นเหตุ ต้องละอัตตาเพื่เข้าถึงความเป็นอนัตตาเป็นวิสังขารจึงจะพ้นทุกข์พ้นความเวียนว่ายตายเกิดทางเดียวเท่านั้นทางเดียวจริงๆ ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี ตอบ คุณสหายธรรมครับ 1. เพราะความไม่เข้าใจในพุทธศาสนา และไม่ศึกษาให้กระจ่าง จึงทำสัทธรรมปฏิรูปได้ง่ายๆ อัตตาที่พระพุทธเจ้าพูดถึง เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา สิ่งนี้คือ อายตนนิพพาน(ธรรมกาย ธรรมธาตุ ธรรมขันท์) แต่อัตตาของท่านสหายธรรมกล่าว เป็นความเข้าใจผิด ไปเห็นว่าขันธ์ 5 ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = อนัตตา ท่านสหายธรรมกลับคิดว่า อนัตตา มันเป็นตัวตน ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็น อุปทาน หรือทิฏฐิ เท่านั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า อัตวาทุปาทาน หรือ อัตตานุทิฏฐิ = ทิฏฐิที่ไปยึดมั่นในสึ่งมายา สิ่งลวงตาใน 3 ภพว่า นี่ตัวกู นี่ของกู ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ 2. คุณสหายธรรมครับ ความหมายของ อัตตา ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง = สิ่งนั้นเที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วนิพพานเที่ยงหรือเปล่าครับ นิพพานมีทุกข์หรือเปล่าล่ะ นิพพานมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)หรือไม่ เมื่อ...นิพพานเที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา สิ่งนี้(พระนิพพาน)ก็คือ อัตตา นั่นเอง พวกที่ปฏิเสทอัตตา และใช้คำอื่นแทน เช่น วิสังขาร ก็คือพวกที่ไม่ปฏิบัติให้ถ่องแท้ จึงไม่เข้าใจ ***** อายตนนิพพาน(ธรรมกาย ธรรมธาตุ ธรรมขันท์) = อัตตา สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) "สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" พวกที่วินิจฉัยว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระ แม้แต่อรรถกถาจารย์ หรือฎีกาจารย์ พวกนี้ล้วนปฏิบัติไม่ถึงขั้นทั้งนั้น แล้วร่วมกันทำสัทธรรมปฏิรูป ร่วมกับมารยำใหญ่ศาสนาพุทธ จนศาสนาพุทธเถรวาทของเราเละตุ้มจนถึงทุกวันนี้ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:23:31 PM อนัตตา .... จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนา.... = ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)มันไม่ได้อาพาธ และเป็นไปตามความปราถนา มันจึง = อัตตา หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:24:18 PM มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้
อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร = ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย อัตตาในอนัตตลักขณะสูตร = เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา= ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตรงกันข้ามกับอนัตตา ลักษณะของอสังขตธาตุ ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :- ๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ; ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ; ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ?ิตสฺส อญฺ ญถตฺตํ ปญฺญายติ). ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม. ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗. อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ นิพพานธาตุ นิพพานธาตุ อันพระผู้มีพระภาคผู้มีจักษุ ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ ได้ประกาศไว้แล้ว มีอยู่ ๒ อย่าง เหล่านี้คือ นิพพานธาตุอย่างหนึ่ง (มี) เพราะความสิ้นไปแห่งภวเนตติ เป็นไปในทิฎฐธรรมนี้ (อิธ ทิฎฺฐธมฺมิกา) ยังมีอุปาทิเหลือ, และนิพพาน- ธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) ไม่มีอุปาทิเหลือ เป็นไปในกาลเบื้องหน้า(สมฺปรายิกา) เป็นที่ดับแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง. บุคคลเหล่าใดรู้ทั่วถึงแล้วซึ่งนิพพานธาตุสองอย่างนั่นอันเป็นอสังขตบท เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นพิเศษแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งภวเนตติ; บุคคลเหล่านั้น ยินดีแล้ว ในความสิ้นไป (แห่งทุกข์) เพราะการถึงทับซึ่งธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละแล้วซึ่งภพทั้งปวง, ดังนี้. อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๕๘-๒๕๙/๒๒๒. 1. สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) "สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" 2. เปมงฺกโร ภิกฺขุ ชี้ว่า ตัวธรรม(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นอัตตา " ในโลกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความจริง เกิดขึ้นแล้วสลายหมด เท็จทั้งสิ้น เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ส่วน สันตินิพพาน เป็นตัวสัจจะธรรม เที่ยงตรงมั่นคงอยู่เสมอ เป็นอสังขตะ ปราศจากเหตุ ไม่นอกไปจากจิตบริสุทธิ์ถึงขีดสุด เป็น ตัวธรรมที่รวมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอตฺตาตัวตนแท้ ......... .........." พระพุทธภาษิตว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนของตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตน(อัตตา)ในที่นี้หมายถึง จิตบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวตนพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ โดยประการดังนี้ฯ ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ-------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:25:05 PM เหล่าพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่า: นิพพานเป็นอัตตา
1. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓) ว่า "อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง" กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม = กายที่อยู่ภายในกาย เมื่อเรามีสัมปชัญญะ...มีสติ นั่นแหละ "อัตตา" 2. จากพรหมชาลสูตร " ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ " แล้วตรัสต่ออีกว่า "เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต." ....................................... ผมย้ำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป แต่คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต (มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว) ยังดำรงอยู่ มนุษย์ทั้ง หลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ = กายที่ยังดำรงอยู่ นี่แหละ "อัตตา" ... 3. คราวนี้มาดูอนัตตลักขณสูตรบ้าง ผมขอตัดตอนที่อำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด นะครับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่ พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อม บังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึง ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคล พึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ บุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ บุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย จะเห็นว่า สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่ง นั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา สรุป ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน (ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บ ไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย ย้ำ!!! สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ธรรมกายที่เป็นอายตนะนิพพาน ก็เป็นอัตตา อัตตานี้มีขันธ์ 5 เป็นธรรมที่เรียกว่า ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย 4. ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า: (๑) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย" ย้ำ! ! พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย หลักฐานนี้ชัดครับ อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา 5. ข้อ 5 นี่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรชัดกว่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพุทธพจน์ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด (อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)" อัตตา(ตน)นั้นแท้จริงก็คือธรรม « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2010, 11:07:20 am โดย phonsak » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:29:44 PM อ้างจาก:
ผู้เล็งเห็นทุกข์ ที่ สิงหาคม 27, 2010, 12:04:25 pm ประเมิน สถานการณ์ อนัตตา กับ อัตตาว่า ช่างมัน เถอะนะ ก็คำว่า "ช่างมัน เถอะนะ" ไอ้พวกที่ไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า มันก็ได้ใจใหญ่เลย ทำสัทธรรมปฏิรูป ทำของปลอมให้เกิดกับพระพุทธศาสนา ชาวพุทธบอกว่า "ช่างเถอะ ช่างมัน" แล้วอย่างนี้ศาสนาพุทธจะอยู่ครบ 5000 หลังพุทธกาลเหรอ 2700 ปีได้ก็เก่งแล้ว เพราะพุทธศาสนิกชนไม่ช่วยกันรักษาศาสนา ----------------------------------------------------------------------------------------------- AVATAR: สำหรับท่านที่ได้ ปัญญาญาน ของแท้นั้น(ไม่มีเสื่อม)....ท่านจะไม่มีข้อสงสัยเลยว่า "ศาสนาพุทธในสมัยพระโคดมพุทธเจ้านั้นคงอยู่ได้ครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปี" ผมถึงบอกคุณ phonsak เสมอว่า จะมีคุณ phonsak อยู่ หรือ ไม่มีคุณ phonsak อยู่....มี AVATAR อยู่ หรือ ไม่มี AVATAR อยู่ มันก็ไม่ใช่สาระให้ พระศาสนาดำรงอยู่หรือเสื่อมไปตามกำหนดวาระไว้แล้วหรอกครับ ผมเข้าใจครับท่าน...ผมจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา แต่.ผมก็ไม่เคยพูดว่า นิพพาน คือ อนัตตา นะครับ สำหรับท่านที่เข้าใจ "นิพพาน" แจ่มแจ้งแล้วจะเข้าใจครับ คงไม่ต้องมาหน้าดำหน้าแดงเถียงกันว่า"นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" เห็นเถียงกันมาไม่รู้กี่สมัยแล้ว...? แต่เราไม่อาจเข้าใจ"นิพพาน"ได้ ด้วยการ"คิด" พวกท่านเหล่านี้ใช้ "ภาวนามยปัญญา" ครับ ซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด (ขั้นรองลงมาคือ จินตามยปัญญาและสุตตมยปัญญา ตามลำดับ) จึงจะเข้าใจ สำหรับท่านที่หน้าดำหน้าแดงคิดและเถียงกันอยู่ว่า "นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา...?" บอกได้เลยครับว่าท่านเหล่านั้นยังไม่เข้าใจคำว่า "นิพพาน" อย่างแจ่มแจ้ง ----------------------------------------------------------------------------------- phonsak: 1. ศาสนาพุทธอยู่ครบ 5000 ปีแน่อยู่แล้วครับ เพราะพระพุทธเจ้าสามารถดูอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้ ปัญหาคือ พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกถึงสาเหตุที่ศาสนาพุทธอยู่ครบ 5000 ปี ด้วย เพราะกึ่งพุทธกาลพระศรีอริยะเมตตรัยมาช่วย และในอีก 500 ปี ราวปีพศ. 3000 พระศรีอริยะเมตตรัยก็จะมาช่วยอีก แต่ที่ข่วยนี้คือช่วยตีความตำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าให้....ผมก็กำลังทำอยู่ ไม่ใช่หรือครับ ผมอาจจะเป็นพระศรีอาร์ยมาเกิดก็ได้นะครับ 2. อัตตาหรืออนัตตา ต้องรู้นิยามก่อน อนัตตลักขณสูตร บอกไว้ชัดเจนครับ แต่มารมันมาบังจิต ทำให้ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจนิยามนั้นได้ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:34:04 PM โลก(ธาตุ)ต่างๆและทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ในจิตทั้งนั้น
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อันธวรรคที่ ๗ จิตตสูตรที่ ๒ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า " โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมด เป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ จิต " โลกที่ว่านี้ไม่ใช่โลกที่เราอยู่อย่างเดียว แต่เป็นโลกธาตุทั้งหมด พวกเราล้วนอยู่ในโลกแห่งมายาของจิต โลกมายาของจิต = ภวังค์จิต หรือจิตใต้สำนึก ด้วยเหตนี้ ผู้บรรลุธรรมแห่งนิกายเทียนไห้ จึงบอกว่า: "สุขาวดีห่างไกลจากโลกถึงแสนโกฐพุทธเกษตร แต่แท้ก็อยู่ในจิตขณะหนึ่งของเรานั่นเอง หาใช่ห่างไกลแตกต่างที่ใหนได้ พระอมิตาภะก็คือจิตตธาตุของเรา จิตตธาตุของเราเล่าก็คือพระอมิตตาภะ แต่เพราะสุขาวดีและพระพุทธเจ้าอมิตาภะในจิตของเราถูกอวิชากำบัง เราจึงไม่ได้อุบัติในสุขาวดี หรือรู้แจ้งว่าจริงแท้ แจ้งภาวะของตนเอง คือ ภาวะเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอมิตาภะนั่นเอง" ก็คือ ทุกอย่างอยู่ในจิตทั้งนั้น คุณxxl เขียน: "เขาพระสุเมร เป็นคนละเรื่องกับแดนสุขาวดี(นิพพาน) อย่าปนกันครับ...เขาพระสุเมร เป็นสถานที่ๆ อยู่ในภพ 3 เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์โลกทั้งในอบาย และสุคติโลกสวรรค์ รวมถึงพรหมโลก 16 ชั้น" แล้วคุณจะบอกได้อย่างไรว่า เขาพระสุเมรมิได้อยู่ในจิต อีกอย่าง...พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสว่า แดนสุขาวดี คือ พระนิพพาน พระพุทธองค์ตรัสว่า "แดนสุขาวดีเป็นกึ่งกลางระหว่างสังสารวัฏฏ์และพระนิพพาน" และตรัสว่า "แดนสุขาวดี เป็นโลกธาตุหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันตก ผ่าน โลกธาตุ มากมาย นับไม่ถ้วน" ผมย้ำว่า ภวังค์จิตนั่นแหละ เป็นประตูลับและเป็นทางเข้าไปสู่ทุกภพภูมิในสังสารวัฏฏ์ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น พึงพระหนักว่า โลกและจักรวาลอยู่ภายใต้อำนาจแห่งจิตสังขาร มีกิเลส ตัณหา อวิชชา หล่อเลี้ยง แต่พุทธเกษตรต่างๆอยู่ภาตใต้อำนาจแห่งจิตบริสุทธิ์แห่งพระพุทธเจ้านิรมิตขึ้น แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่า พุทธเกษตรสุขาวดีเป็นพระนิพพาน หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:36:06 PM ไม่เข้าใจนิยามของ อัตตา อนัตตา อัตตา(นุทิฏฐิ) ก็ตีความพุทธศาสนาผิดหมด
1. ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อนัตตา" ไว้ว่า: ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา( หรือสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา) 2. ในอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ โดยเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับอนัตตาแล้ว คือ สิ่งนั้นต้องเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังตรัสว่า: " ดูกรภิกษุทั้งหลาย.... ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย " 3. ส่วนอัตตานุทิฏฐิ พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า"อัตตานุทิฏฐิ" ดังนี้: ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ...(พูดแบบเดียวกันทุกอัน) เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ. สรุป อัตตา = สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา= นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? อนัตตา = สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา= นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่เป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือมั่นผิดๆเอาเอง ... ตัวอย่างผู้ที่เข้าใจผิด ไปเอาอนัตตาที่เป็นอัตตานุทิฏฏิมาเป็น "อัตตา" คุณสหายธรรม เว็บธรรมะไทย เขียน: ถ้านิพพานเป็นอัตตา เราทุกคนก็คงเข้าใกล้นิพพานเข้าไปทุกขณะ เพราะ ทุกคนมีอัตตา เป็นพื้นเดืมอยู่แล้ว และ ก็คงต้องประกาศให้ทุกๆคนช่วยกันรักษาอัตตาที่มีอยู่ไว้อย่าได้ละเสีย เพราะจะไม่ได้เห็นนิพพาน ตรงกันข้ามต้องพยายามเพิ่มอัตตาที่ตนมีไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ สุนัข โคกระบือสุกร ตัวมันเองก็เห็นว่ามันเป็นอัตตาตัวตน มันคงไม่คิดว่าอันตัวมันนี้แท้จริงไม่ใช่อัตตาแต่เป็นอนัตตา สุนัข โคกระบือสุกร ก็คงจะเห็นนิพพานได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน ความจริงเมื่อมีสังขารธรรม ธรรมที่มีสิ่งปรุงแต่งก็ต้องมีวิสังขารธรรมที่ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง นิพพานจัดเป็นธรรมที่เป็นวิสังขารธรรม ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอัตตา แต่ไม่ได้หมายความว่ามีอนัตตาก็ต้องมีอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะของธรรมะ ไม่ใช่สังขารหรือวิสังขาร อัตตามีได้เพราะอุปาทานเป็นเหตุ ต้องละอัตตาเพื่เข้าถึงความเป็นอนัตตาเป็นวิสังขารจึงจะพ้นทุกข์พ้นความเวียนว่ายตายเกิดทางเดียวเท่านั้นทางเดียวจริงๆ ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี ตอบ คุณสหายธรรมครับ 1. เพราะความไม่เข้าใจในพุทธศาสนา และไม่ศึกษาให้กระจ่าง จึงทำสัทธรรมปฏิรูปได้ง่ายๆ อัตตาที่พระพุทธเจ้าพูดถึง เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา สิ่งนี้คือ อายตนนิพพาน(ธรรมกาย ธรรมธาตุ ธรรมขันท์) แต่อัตตาของท่านสหายธรรมกล่าว เป็นความเข้าใจผิด ไปเห็นว่าขันธ์ 5 ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = อนัตตา ท่านสหายธรรมกลับคิดว่า อนัตตา มันเป็นตัวตน ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็น อุปทาน หรือทิฏฐิ เท่านั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า อัตวาทุปาทาน หรือ อัตตานุทิฏฐิ = ทิฏฐิที่ไปยึดมั่นในสึ่งมายา สิ่งลวงตาใน 3 ภพว่า นี่ตัวกู นี่ของกู ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ 2. คุณสหายธรรมครับ ความหมายของ อัตตา ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง = สิ่งนั้นเที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วนิพพานเที่ยงหรือเปล่าครับ นิพพานมีทุกข์หรือเปล่าล่ะ นิพพานมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)หรือไม่ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:39:46 PM พุทโธ=รู้แล้ว ตื่นแล้ว=ตื่นจากความฝันในโลกมายา(จินตนาการ)« เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 12:09:40 am »
[๔๔๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่ง พึงมีโครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูก ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้ ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้ และกระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก็ไม่พึงหมดไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ *** แค่กัปเดียวเท่านั้น กองกระดูกคนๆเดียว ยังใหญ่เท่าภูเขา ตลอดสังสารวัฏฏ์ กองกระดูกจึงไม่สามารถนับได้ว่าเยอะขนาดไหน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควร แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์ เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น ......... *** ในทางเถรวาท พระพุทธองค์ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตรัสสอนแค่ จุดเริ่มต้นของสังสารวัฏฏ์มาจากอวิชชาของจิตประภัสสร แต่ถ้าศึกษาให้ลึกจริงๆจะพบว่า พระนิพพานเป็นผู้สร้างสังสารวัฏฏ์(โลกและจักรวาล) อ่านกระทู้พระพุทธองค์เฉลยว่า "นิพพานเป็นผู้ให้กำเนิดจักรวาลและโลก" http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=482.0 *** ในทางมหายาน พระพุทธองค์ผู้ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด ตรัสสอนถึงต้นกำเนิดก่อนสังสารวัฏฏ์ว่ามาจาก อาทิพุทธ(เจ้า) ซึ่งหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ประถม พวกเราทุกจิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอาทิพุทธ พวกเราจึงหาเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่ได้ (อสังขตธาตุ) จากอสังขตธาตุที่เป็นอมตะ พวกเราได้สร้างสังขตธาตุที่ไม่เป็นอมตะขึ้นมา เมื่อเราเบื่อสังสารวัฏฏ์ ต้องการทิ้งความทุกข์และความไม่เป็นอมตะ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) เราก็ต้องเข้านิพพานไป พระพุทธเจ้าตรัสบอกเรื่องนี้กับเราทุกวันในคำบริกรรม "พุทโธ" = รู้แล้ว ตื่นแล้ว = เอ็งกำลังฝันอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ที่มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความฝันของเอ็ง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:46:17 PM 1. ผมเพียงแต่นำคำสอนของพระพุทธองค์มาบอกต่อ พระพุทธเจ้าท่านวิปัสสนูกิเลสหรือเปล่าล่ะครับ
2. ในโลกนี้ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนสอนผมได้หรอกครับ เพราะพวกท่านไม่ไดอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ความจริง...หลวงพ่อหลวงปู่คนไหนผมสอนได้ทุกคน ทิฏฐิมานะ ฟ้งุซ่าน หรือวิปัสสนูกิเลส ย่อมไมรู้ และรู้ไม่ได้ถึงระดับผม แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังรู้ได้แค่บางส่วนของผมเท่านั้น เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำบุญบารมีสะสมมา ฟ้าจึงจะเปิดทางให้รู้ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ 1. ผมเพียงแต่นำคำสอนของพระพุทธองค์มาบอกต่อ พระพุทธเจ้าท่านวิปัสสนูกิเลสหรือเปล่าล่ะครับ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าท่านเข้าสู่วิปปสนูปกิเลสแล้วออกไม่ได้ พระองค์จะทรงตรัสรู้ ไม่ได้นะครับ 2. ในโลกนี้ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนสอนผมได้หรอกครับ เพราะพวกท่านไม่ไดอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ความจริง...หลวงพ่อหลวงปู่คนไหนผมสอนได้ทุกคน ทิฏฐิมานะ ฟ้งุซ่าน หรือวิปัสสนูกิเลส ย่อมไมรู้ และรู้ไม่ได้ถึงระดับผม แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังรู้ได้แค่บางส่วนของผมเท่านั้น เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำบุญบารมีสะสมมา ฟ้าจึงจะเปิดทางให้รู้ ผู้ที่ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับในยุคนี้ ท่านก็เรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเพิ่งทะนงตนว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้วดีกว่าตน นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การดูถูกพระอรหันต์สาวกนั้น เป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง ท่านได้บารมีธรรมอันยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายหรือ มีใครอนุโมทนาและรับรองท่านหรือ ? และฟ้าฝนที่ไหนก็เปิดทางให้ท่านไม่ได้หรอกครับ นอกจากตัวท่านเอง พระพุทธเจ้าตรัสบอกเรื่องนี้กับเราทุกวันในคำบริกรรม "พุทโธ" = รู้แล้ว ตื่นแล้ว = เอ็งกำลังฝันอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ที่มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความฝันของเอ็ง คุณรู้ตัวเองนี่ครับว่ายังฝันอยู่....ฝันไปไกลแล้วครับ...และท่าจะยังไม่ตื่นเสียด้วย « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2010, 01:20:10 am โดย AVATAR » ------------------------------------------------------------------------------------------------- ตอบคุณAVATAR 1. ผู้ที่ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับในยุคนี้ ท่านก็เรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเพิ่งทะนงตนว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้วดีกว่าตน นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การดูถูกพระอรหันต์สาวกนั้น เป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง ท่านได้บารมีธรรมอันยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายหรือ มีใครอนุโมทนาและรับรองท่านหรือ ? และฟ้าฝนที่ไหนก็เปิดทางให้ท่านไม่ได้หรอกครับ นอกจากตัวท่านเอง อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ขั้นเป็นสัพพัญญู เป็นพระพุทธเจ้า ผมไม่เถียง แต่น้องๆอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน หรือน้องๆสัพพัญญู พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านรู่นะครับ แล้วคุณAVATARก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมอาจจะเป็นอวตารของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ก็ได้นะครับ อีกอย่างผมไม่ทะนงตนหรอกครับ แต่ผมมั่นใจว่าบารมีธรรมของผมยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ถ้าผมบอกคุณว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระสารีบุตร ต่างเรียกผมว่า "เมตตรัยโย" และพระพุทธองค์เรียกผมว่า "บารมีธรรมโพธิสัตว์" นอกจากนี้ ชาวคริสต์คนหนึ่งที่เคยคิดว่าผมเป็นซาตานมาล่อลวงเขาเรื่องศาสนา ก่อนตาย เขาพบพระบิดาในศาสนาคริสต์(ยะโฮว่า) พระบิดาบอกกับเขาว่าผมเป็นพระบุตรของพระเจ้า เหมือนกับพระเยซูคริสต์ เขาเพ้อตลอดตอนเข้าห้องไอซียูว่า "พลศักดิ์ พลศักดิ์ บุตรของพระเจ้า" ผมบอกความจริงกับคุณ แต่ความจริงนี้ คุณอาจจะไปคิดปรุงแต่งว่า "โม้ อวดเก่ง ทะนงตน" นั่นเป็นเรื่องของใจคุณ ผมไม่เกี่ยว 2. คุณรู้ตัวเองนี่ครับว่ายังฝันอยู่....ฝันไปไกลแล้วครับ...และท่าจะยังไม่ตื่นเสียด้วย ปัญหาคือ ผมตื่นแล้ว และพยายามปลุกให้คนอื่นรวมทั้งคุณด้วยตื่น แต่ผมกลับโดนคุณถีบกระเด็น ที่เข้ามากวนควาฝันของคุณ « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 21, 2010, 12:44:03 am โดย phonsak » --------------------------------------------------------------------------------------------------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:49:23 PM ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ไม่ใช่ศาสนาอเทวนิยาม
« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2010, 10:41:00 am »ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะบอกวิธีการเข้าไปเป็นเทพเจ้าและเทวะในทุกชั้นภูมิ 1. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ = พระพุทธเจ้าต่างๆ ศาสนาอื่นเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระบิดา ศาสนาพุทธเรียกว่า "พระธรรม" ...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต " (ที.ปา. 11/51/91) หมายความว่า: - พรหมชั้นภูมิสูงสุด = ธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต พรหมภูต - พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นพระธรรม และล้วนเกิดจากพระธรรม นอกจากนี้..พระธรรมนั้นยังเป็นผู้สร้าง หรือ เป็นพระเจ้าผู้สร้าง ที่เรียกันว่า พรหม หรือพรหมัน หรือ ตรีมูรติ "พรหม ศิวะ นารายณ์". ซึ่งเป็นพรหมที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีกิเลสตัณหาใดๆ ศาสนาอิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์" อนึ่ง...การเป็นพระพุทธเจ้านั้นมีหลายประเภท แต่ละประเภทแบ่งจากการสร้างสมบารมีของมนุษย์คนนั้น พูดให้ชัดคือ พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ ๑. พระปัญญาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป ๒. พระสัทธาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี ๔๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป ๓. พระวิริยาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี ๘๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป 2. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ก็ต้องสะสมบารมีด้วยเช่นกัน - ที่เป็นอุคฆติตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า ปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญาฯ - ที่เป็นวิปจิตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๘ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า สัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธาฯ - ที่เป็นเนยยโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า วิริยาธิกะ ยิ่งด้วยความเพียรฯ 3. วิธีการเข้าสู่ความเป็นเทพชั้นรองๆลงมา เช่น วิสุทธิเทพ (พระอรหันต์) ศาสนาพุทธก็สอน โดยให้ละราคะ โทสะ โมหะ ออกจากใจทั้งหมด “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" พระอรหันต์ถือว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า(พระธรรม)องค์ใดองค์หนึ่ง ท่านเป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สาวกพุทธะ เพราะพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นพุทธะที่เป็นสัพพัญญูพุทธะ 4. วิธีการเข้าสู่ความเป็นเพรหมชั้นโลกุตตระรองลงมาอีก - พรหมชั้นสุทธาวาส ได้แก่ พระอนาคามีต่างๆซึ่งมีอยู่ ๕ ชั้น เป็นพรหมชั้นที่ 12 – 16 ซึ่งจะบรรลุเป็นพรหมได้ ต้องสามารถขจัดกิเลสจน กำจัดกิเลสขั้นต้นและขั้นกลางได้เด็ดขาด ยังเหลือแค่กิเลสขั้นละเอียดเท่านั้น พรหมชั้นสุทธาวาส ชั้น 12. อวิหา, ชั้น 13. อตัปปา, ชั้น 14. สุทัสสา, ชั้น 15. สุทัสสี, ชั้น16. อกนิฏฐา ในโลกใบนี้ ก่อนมีพระพุทธศาสนา ยังไม่มีผู้เข้าถึงความเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส พรหมในชั้นสุทธาวาสที่พระพุทธเจ้าไปพบเจอ ล้วนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ซึ่งอยู่ในโลกธาตุอื่น 5. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นโลกียะ ทางไปเกิดเป็นพรหมนั้น ต้องมีฌานเป็นหนทางไป บุคคลที่จะทำฌานให้บังเกิดขึ้นได้นั้น ได้แก่ ผู้ฏิบัติสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ เช่น พวกโยคี แล้วท่านเหล่านี้ได้ตายในฌาน อรูปพรหม มี 4 ชั้น คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ศาสนาพุทธก็สอนวิธีเข้าถึงความเป็นอรูปพรหมในแต่ละชั้นด้วย อากาสานัญจายตนภพรหม ได้ยึดเอา อากาศอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ วิญญาณัญจายตนพรหม ได้ยึดเอา วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอารมณ์ อากิญจัญญายตนพรหม ได้ยึดเอา ภาวะความไม่มีอะไรเลย ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ได้เข้าถึงภาวะมี สัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (ภาวะที่มีสัญญาไม่ปรากฏชัด) รูปพรหม ผู้ที่ตายในปฐมฌาน ผู้ที่ตายในทุติยฌาน ผู้ที่ตายในตติยฌาน และผู้ที่ตายในจตุตถฌาน ย่อมเกิดเป็นรูปพรหม ....ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากปฐมรูปฌาน ก็เป็นรูปพรหมชั้น 1-3 ....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากทุติยรูปฌาน ก็เป็นรูปพรหมชั้น 4-6 ....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากตติยฌาน ก็จะได้มาบังเกิดเป็นพรหมชั้น 7-9 ....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากจตุตถฌาน(ฌาน ๔) ก็จะได้มาบังเกิดเป็นพรหมชั้น 10 (เวหัปผลาภูมิ) เป็นภูมิของเวหัปผลพรหม อย่างไรก็ตาม ในบางตำรา แบ่งจตุตถฌานเป็นอย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีต และยังแบ่งฌานออกเป็นฌาน 5(ปัญจมฌาน)ด้วย ฌาน 5 เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก ท่านจะแยกตัวเอกัคตากับตัวอุเบกขาออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นฌานที่ ๕ การจำแนกภูมิก็จะต่างออกไป กลายเป็นว่า จตุตถฌานเป็นอย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีต ก็จะไปตกในพรหมชั้น 7-9 แต่ผมจะไม่จำแนกอะไรเพิ่ม ณ ที่นี้ เดี๋ยวจะสักสนกันไปใหญ่ เอาเป็นว่า ผู้ที่แบ่งฌานออกเป็นฌาน 5 ผู้มาเกิดในเวหัปผลาภูมิ ก็จะมาจากอำนาจของปัญจมฌานกุศลเท่านั้น (เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก) ผู้ที่ได้จตุตถฌานยังเข้ามาไม่ได้ พรหมในเวหัปผลาภูมิ มีอายุ ๕,๐๐๐ มหากัป เป็นภูมิที่พ้นจากโลกาวินาศ คือการที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ-น้ำ-ลม พรหมในขั้นที่ 10 ภูมินี้ นับว่าเป็นยอดภูมิ และเป็นภูมิที่ประเสริฐกว่าพรหมปฐมฌาน-ทุติยฌาน-ตติยฌานภูมิ ซึ่งย่อมไม่พ้นจากโลกาวินาศ สรุป พวกที่เรียนทางภาคทฤษฎี หรือสายปริยัติ ย่อมไม่ได้ปัญญาทางศาสนา เกิดมิจฉาทิฏฐิได้ ทำให้มีความเชื่อที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ทั้งๆที่ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะบอกวิธีการเข้าไปสู่ความเป็นเทวะในทุกชั้นภูมิ ชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ (พระพุทธเจ้าต่างๆ) ไล่ลงมาถึงขั้นพระวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์) ต่อเนื่องลงไปถึงชั้นพรหมโลกุตตระและพรหมโลกียะ รวมทั้งเทพในสวรรค์ชั้นต่างๆด้วย หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:50:22 PM โคตมีสูตร
“ดูก่อน อานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็จะตั้งอย่ได้นาน สัทธรรมพึงอย่ได้ 1,000 ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน มันจะดำรงอย่เพียง 500 ปี” โคตมีสูตร ชี้ชัดว่า พระสัทธรรมของแท้เสื่อมไปแล้วล่ะครับ สัทธรรมปฏิรูปบังเกิดขึ้นหลังจากพุทธกาล 500 ปี ช่วงนั้นมีเหตุการณ์สำคัญดังนี้: 1. ในประวัติวิชชาธรรมกายบอกว่า วิชชาธรรมกายสูญหายไปหลังพุทธกาลราว 500 ปี ซึ่งไปตรงกับพุทธทำนายว่า “สัทธรรมจักจำดำรงอยู่เพียง 500 ปีเท่านั้น” 2. ศาสนาพุทธนิกายมหายานทุกนิกาย รวมตัวกันได้ แยกตัวออกจากเถรวาทอย่างชัดเจน เหตุผลหนึ่ง คือ สงฆ์ในนิกายเถรวาทมือไม่ถึงขั้น ปฏิบัติไม่ได้ถึงอรหันต์ แล้วก็ไปตีความเองว่า พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระเจ้า และศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ทั้งๆที่ในปฐมสังคายนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรทั้งเถรวาทและมหายานว่า พระพุทธองค์เป็นพระเจ้า(พรหมภูต พรหมกาย)=พระธรรม และยืนยันด้วยว่า ท่านเองเป็นพระราม(อวตารของพระเจ้า)มาเกิด แต่ผมแสดงหลักฐานออกมาทีไร พระยามารร้อนก้นทันที ครั้งก่อนไล่ผมออกอย่างถาวรพร้อมกันในวันเดียวกัน 3 เว็บ คือ เว็บdhammakaya.org เว็บdhammajak.net และเว็บพลังจิต หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:52:26 PM อ้างจาก:
golfreeze ที่ กรกฎาคม 15, 2010, 10:17:41 am ใจเย็นนะครับท่าน ผมเองก็อ่านข้อมูล ที่ท่านโฟสขึ้นมาเหมือนกัน อยากจะขอฝาก ในฐานะกัลยาณมิตรผู้น้อย แล้วกันนะครับ ขอบพระคุณท่าน phonsak ที่มีข้อมูลในศาสนาพุทธ มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในบอร์ดแห่งนี้ ได้ทราบกัน แต่ถ้ารบกวนท่านเน้นพูดเรื่อง ที่เกี่ยวกับธรรมะจากการปฏิบัติ ตามองค์มรรคทั้ง 8 โดยมีสัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ เป็นตัวนำ ....... กอล์ฟ@kammatan.com ----------------------------------------------------------------------------------------------- ผมเข้ามาในเว็บธรรมะด้วยจุดมุ่งหมายเดียว คือ ฟื้นฟูพุทธศาสนา ให้ออกจากลัทธิมารที่เรียกว่าสัทธรรมปฏิรูป เรื่องที่คุณกล่าวเป็นเรื่องทั่วไปที่มีคนสอนคนถกอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ผมต้องเข้าไป ยกเว้นในบางครั้ง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:55:15 PM AVATAR:
กล่าวถึงให้ทราบกันเพื่อรู้ แต่ไม่ได้บอกว่าให้ไป และนี่แค่เปลือกของศาสนาเท่านั้น... แก่นของศาสนาจึงไม่ได้สอนว่าให้ไปที่ไหนทั้งนั้นในภพภูมิทั้ง ๓๑ ไม่ว่าจะเป็นพรหม หรือ อรูปพรหม หรือ เทวดา ชั้นต่างๆหรือในอบายภูมิ จะไม่ไปได้อย่างไร...? ก็ด้วยรู้แจ้งในอริยสัจสี่ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้แล้ว จึงประกาศพระศาสนา เพื่อบอกถึงแนวทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิ นี่ไงเล่าครับ ให้สาวกรับทราบและเดินตามเพื่อหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษากับ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘ (สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะ) ทำไมพระองค์ได้ถึงสมาบัติ ๘ แล้ว เก่งกว่าอาจารย์เนื่องจากเรียนด้วยเวลาอันสั้น และยังมีความสามารถพิเศษด้านอื่นอีกเป็นอันมากที่อาจารย์ไม่มี ยังไม่ประกาศพระศาสนา? เพราะถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิอยู่ดี ใช่ไหมครับเพราะยังติดอยู่ในภูมิอรูปพรหม.... จนพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แจ้งในอริยสัจสี่ แล้วอันเป็นหนทางแห่งหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิ พระองค์จึงแสดงธรรมและประกาศพระศาสนา สั่นสะเทือนไปทั่ว ๓ โลกธาตุ เทวดา พรหม ต่างสรรญเสริญและนมัสการ ตลอดจนเทวดา พรหม ต่างสรรญเสริญและนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกพระองค์อีกในการต่อมาจวบจนปัจจุบัน ( ส่วนถ้าใครยังไม่สรรญเสริญและนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกนั้น คงไม่ต้องบอกกล่าวกันนะครับว่ายังเป็นไปเช่นไร...) นี่คือแก่นแท้ของศาสนาพุทธนะครับ พยายามอย่าจับโน่นนิดนี่หน่อยในพระไตรปิฎก มาผสมปนเป ตีความเอาเอง สรุป เอาเอง และประกาศออกไปเอง เพราะตัวเองก็เรียนรู้มาจากพระศาสดา เดินตามพระศาสดามา ไม่ได้ตรัสรู้เอง ระวังอย่าให้ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ยิ่งผิดเพี้ยนเท่าใดก็ยิ่งห่างออกจากแก่นเท่านั้น ด้วยความปรารถดีและปรารถนาให้ศาสนาดำรงอยู่ครบถ้วนตามวาระสืบไปครับ ---------------------------------------------------------------------------------------------- คุณ AVATAR ครับ "ระวังอย่าให้ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ยิ่งผิดเพี้ยนเท่าใดก็ยิ่งห่างออกจากแก่นเท่านั้น" กรุณาช้มาเลยครับว่า จุดไหนผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก คำกล่าวลอยๆประเภทนี้ผมได้รับมาทุกเว็บแหละครับ หาว่าบิดเบือนพุทธศาสนาบาง สอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าบ้าง พอผมถามว่า บิดเบือนตรงไหน ไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าตรงไหน ..... เท่านั้นแหละจนตรอกเลย แล้ววิ่งไปหาคำพูดของอรรถกาถาจารย์ ฎีกาจารย์มาแย้งกับผม ผมจึงบอกว่า อรรถกาถาจารย์ และฎีกาจารย์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พวกนั้นโดนมารสิงทั้งนั้นให้ทำสัทธรรมปฏิรูป ทำของปลอมให้เกิดกับพุทธศาสนา --------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 01:10:49 pm 1. วิธีการเข้าสู่ ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด เอาคำเดียวก่อน เอาเป็นพระไตรปิฎกภาษาไหนก็ได้ ว่าอยู่ที่ไหนในพระไตรปิฎก เล่มที่เท่าไร หน้าไหน ?แปลแล้วต้องได้คำว่า หรือมีความหมายว่า วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด ผมบอกแล้วว่า ถ้าไอคิวต่ำๆ คิดอะไรไม่ออกหรอกครับ นิยามของ พรหม ใน ภควัทคีตา สิ่งที่บุคคลควรรู้สูงสุดคือ พรหม พรหมคือสภาวะอันสูงสุด ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย เป็นอมตะ ไม่เป็นทั้งสิ่งมีอยู่และสิ่งไม่มีอยู่ พรหมหยั่งรู้ถึง อารมณ์ โลภ โกรธ หลง แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง พรหมคือสภาวะอยู่เหนือความดีและความชั่ว พรหมมิอาจหยั่งรู้ได้ด้วยการคิดและใช้เหตุผล 1. พรหมในทางพุทธศาสนา ล้วนเป็นพรหมในชั้นโลกียะทั้งหมด ยกเว้นพระนิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าก็เรียกตัวของท่านเองว่า "พรหมกาย พรหมภูต ธรรมกาย ธรรมภูต" ....เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต " (ที.ปา. 11/51/91) 2. นอกจากนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทว่า ไม่มีพรหมชั้นอื่น และไม่เคยปฏิเสทนิยามคำว่า "พรหม" ซึ่งหมายถึงพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ในหนังสือ นิพพานในความหมายของหลวงพ่อ....ว่า "โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้น" พรหมในชั้นโลกุตตระ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น นิพพานพรหมหรือนิพพานโลก..... ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดแล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไป" อ่านเรื่องเมืองพระนิพพานในคิริมานาทสูตรเอาเองนะครับ http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=135 3. "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" =อมตะ 4. นินามข้ออื่นๆของศาสนาพราหมณ์ เช่น พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง = อรหันต์ พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น = นิพพาน = ธรรมหรือธาตุที่ปราศจากอารมณ์ สรุป พรหม ที่ศาสนาพราหมณ์พูดถึง = สภาวะอันสูงสุด(พระเจ้า) และตามคำนิยามของศาสนาพราหมณ์ ในทุกนิยามก็หมายถึง นิพพาน+พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งนั้น พรหมในชั้นโลกียะไม่ได้เป็นพระเจ้า เพราะทุกชั้นมีอายุจำกัด แม้แต่อรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น แล้วก็ต้องตาย(จุติ) ส่วนพรหมในชั้นโลกุตตระ เป็นอมตะนิรันดร ที่ต้องเรียกว่า "พรหมในชั้นโลกุตตระ" เพราะท่านได้กำจัดราคะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงออกแล้วนั่นเอง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1.นิพพาน ก็คือ พรหมสูงสุด พรหมสูงสุด? คือ นิพพานพรหม หรือพรหมในโลกุตตระ ...หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ในหนังสือ นิพพานในความหมายของหลวงพ่อ....ว่า "โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้น" พรหมในชั้นโลกุตตระ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น นิพพานพรหมหรือนิพพานโลก..... ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดแล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไป" อ่านเรื่องเมืองพระนิพพานในคิริมานาทสูตรเอาเองนะครับ http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=135 2.ถ้าเป็นไปตามข้อ 1.มิต้องเวียนว่าย ตาย เกิด หรือครับ (เพราะเท่าที่ผมรู้พรหม ก็ยังต้องเวียนว่าย ตาย เกิด) ...พรหมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด คือ พรหมในชั้นโลกียะ แม้แต่อรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000มหากัป ก็ต้องตาย(จุติ) แต่พรหมวิสุทธิเทพ และพรหมอดิเทพ พวกท่านเป็นพระอรหันต์ที่เป็นอมตะ จึงไม่ต้องตาย(จุติ) เมื่อไม่ตาย จึงไม่เกิด พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" พรหมวิสุทธิเทพ และพรหม อดิเทพ พวกท่านเป็นพระอรหันต์ ได้กำจัดราคะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ออกจากใจไปหมดแล้วยังไงล่ะครับ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:58:38 PM ตอบคำถาม ไฟหมดเชื้อ(กิเลส+กรรม) ไฟนั้นหายไปไหน « เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2010, 03:30:47 pm »
ไฟไม่มีเชื้อเพลิงเติมแล้ว ไฟย่อมดับไป ถามว่าไฟนั้นหายไปไหน? พระพุทธองค์ทรงถกกับวัจฉะถึงพระอรหันต์ที่ขุดรากโคนที่ก่อให้เกิดขันธ์ 5 และสังขาร คือ กิเลสตัณหาและความยึดมั่นถือมั่น ออกหมดแล้ว พระอรหันต์รวมทั้งพระพุทธเจ้านั้นเมื่อตายไป หายไปไหน? นี่เป็นปริศนาธรรม เพราะว่า ไฟย่อมเกิดจากเชื้อเพลิง คือ ไฟนั้นอาศัยเชื้อ เช่น หญ้าและไม้จึงลุก พอเชื้อนั้นหมดสิ้นไป เมื่อไฟดับ = ตัวจุดไฟ(จิตสังขาร)ก็ดับ พร้อมกับเชื้อของมัน =กิเลส+กรรม ยมบาลจึงหาตัวไม่พบ แต่ไอ้ตัวที่สร้างจิตสังขาร คือ จิตพุทธะ หรือ นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน หรือจิตประภัสสร จิตว่างบริสุทธิ์ตัวนี้มันไม่ได้ดับไปแต่อย่างไร มันยังคงอยู่ในความว่างหรือสุญญตา ถ้ามันไม่สร้างจิตสังขาร(ตัวจุดไฟ)ออกไปรับเชื้อเพลิง คือ กิเลส+กรรม อีก ภพชาติของจิตสังขาร มันก็ไม่มี และไม่เกิด คำว่า ‘เกิด’ หรือ ‘ไม่เกิด’ ใช้ไม่ได้ กับพระอรหันต์และตถาคต เพราะการเกิดหรือไม่เกิดเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ (จิตสังขาร+กิเลส+กรรม) เท่านั้น ส่วนวิสังขารคือ จิตพุทธะ หรือ นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน หรือจิตประภัสสร = พระอรหันต์และตถาคต เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม ที่บริสุทธิ์ เที่ยงแท้ ยั่งยืน ตลอดไป ดำรงอยู่ในสุญญตา(ความว่าง) ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้. สรุป ไฟ = จิตสังขาร+กิเลส+กรรม = สังขตธาตุ(โลกและจักรวาล) เมื่อไฟไม่มีเชื้อเพลิงแล้ว ไฟย่อมดับไป พอไฟดับก็ไม่มีจิตสังขาร+กิเลส+กรรม อีก แต่ไอ้ตัวสร้างจิตสังขาร+กิเลส+กรรม มันก็ยังมีอยู่ในความว่างหรือสุญญาตานั้น เรียกว่า "นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน" ศาสนาอื่นเรียกว่า "พระผู้เป็นเจ้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน มันมีอายตนะด้วย เรียกว่า "อายตนะนิพพาน" หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 08:59:24 PM อ้างจาก: hoticey;10306
ครับ ขอบคุณครับ เเต่ยังไง ผมก็ยัง เอ่ะใจ อยู่ว่า อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ ทำไมถึงต้องมีหรือเกิดมาได้ยังไงหรอครับ ขอบคุณครับ คุณกำลังถามคำถามที่ทั่วโลกยังตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัพพัญญู ตรัสตอบทางมหายานว่า จิตเดิมแท้ หรือ "ธรรมญาณ" มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" ผมต้องถามคุณกลับว่า ไฟมันลุกเพราะมีเชื้อเพลิงใช่ไหม? ถ้าเชื้อเพลิงมันดับหมด หรือไม่มีแล้ว ไฟนั้นไปไหนล่ะ? เชื้อเพลิงของจิตเดิมแท้ หรือธรรมญาณ ก็คือความคิดปรุงแต่งทั้งหลายแหล่นั่นเอง เมื่อคุณไม่มีความคิดปรุงแต่งทั้งหลายแหล่อีกแล้ว ไฟ(ภพชาติของคุณ)มันก็ไม่มี...ใช่ไหม? แล้วไอ้ตัวจิตเดิมแท้ หรือธรรมญาณมันก็ยังอยู่ของมันตามเดิมชัวนิรันดร มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" ใช่หรือไม่ เมื่อเชื้อเพลิงของไฟคือกิเลส มันเข้าไปในนิพพานไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จิตเดิมแท้ หรือธรรมญาณมันจึงต้องสร้างจิตสังขารขึ้นมา ถ้าจิตสังขารมันหลงกลอวิชชา ไปติดกิเลสตัณหา ภพชาติ(ไฟ)ก็เกิดขึ้น ตอนนี้คุณรู้หรือยังว่า พระเจ้า หรือจิตเดิมแท้ หรืออสังขตธาตุก็คือ จิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีความคิดปรุงแต่ง ส่วนคุณhoticeyในชาตินี้ และคุณในชาติก่อนๆ รวมทั้งตัวของคุณในชาติต่อๆไป = สังขตธาตุ มันเกิดขึ้นจากความคิดปรุงแต่งจากกิเลสตัณหาของคุณทั้งนั้น สังขตธาตุ = จิตสังขาร หรือจิตเสือกคิดปรุงแต่ง อสังขตธาตุ = จิตหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่ง หรือจิตวิสังขาร คุณหาที่มาของจิตเสือกคิดปรุงแต่งได้ แต่คุณจะหาที่มาของจิตหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่งนั้นทำไม่ได้ มนุษย์จะไปหาที่มาของพระเจ้าได้ยังไง? พระเจ้าเป็นจิตที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ ขุดหามันให้เจอซิครับ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:03:16 PM ในทางพุทธศาสนา: ใครเป็นผู้สร้างสวรรค์นรก? « เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2010, 01:01:47 am »
ตอบ ศาสนาพุทธเถรวาท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ทางเถรวาทว่า 1. ธรรมเป็นผู้นิรมิต หรือเป็นผู้สร้างทุกอย่างขึ้น และ 2. พระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม "...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต " (ที.ปา. 11/51/91) ศาสนาพราหมณ์เขาเรียก ธรรมว่าพระเจ้า และเรียกพระเจ้าว่า พระพรหม ดังข้อความนี้ "พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม" พระพุทธเจ้าเปลี่ยนคำว่า "พรหม" มาเป็นตัวพระองค์คือ "พระพุทธเจ้า" แทน หลักฐานนี้ก็ชัดอยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้า = พระเจ้า และบางครั้งพระองค์ก็ใช้คำว่า "ธรรม" และยังบอกต่อว่า พรหมที่เป็นพระเจ้า คือ พรหมกาย, พรหมภูต, ธรรมภูต, ธรรมกาย ศาสนาพุทธมหายาน ชาวพุทธมหายานจำนวนมากเชื่อว่า พระไวโรจนะพุทธเจ้าเป็นอาทิพุทธะหรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม นอกจากนี้ หลักของศาสนาพุทธมหายานโดยทั่วไปอธิบายว่า: พระไวโรจนะพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นมูลธาตุของสรรพสิ่งในโลกนี้และในสากลจักรวาล สรรพสิ่งล้วนมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ อยู่ทุกหนทุกแห่ง และอยู่ในตัวคนทุกคน เพียงแต่อวิชชามาบังจิตเอาไว้ ทำให้ไม่เห็นความเป็นจริง สวรรค์นรกจึงเป็นเพียงมายาของจิต สวรรค์นรก มันมีอยู่ เป็นอยู่เพราะการคิดของจิต จิตบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นผู้ทำให้มายาของจิตที่เรียกว่า นรกสวรรค์ดูเหมือนเป็นของจริง ด้วยเหตุที่...จิตบริสุทธิ์ของพวกเราทุกคนล้วนเป็น อณูของพระไวโรจนพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม (ศิวะ ยะโฮวา ปรมาตมัน พระพุทธเจ้า ฯลฯ) พวกเราจึงเป็นผู้ร่วมกันสร้างนรกสวรรค์ขึ้นมา เพื่อรองรับการกระทำของจิตที่เป็นอกุศล(นรก) และจิตที่เป็นกุศล(สวรรค์)ของพวกเรา สรุป โคตมพุทธเจ้าตรัสไปทางเถรวาทว่า พระธรรมได้นิรมิตทุกสรรพสิ่งขึ้นมา(รวมทั้งนรกสวรรค์ด้วย) และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้าต่างๆ โคตมพุทธเจ้าตรัสไปทางมหายานว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม(พระไวโรจนะพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธะ) เป็นมวลจิตพุทธะซึ่งมีจิตพุทธะแต่ละดวงของพวกเรารวมอยู่ด้วย ได้สร้างสิ่งที่เป็นมายา(ทุกสวรรพสิ่งในจักรวาล รวมทั้งสวรรค์นรก) ขึ้นมาให้เสมือนจริง ทั้งๆที่มันเป็นของปลอม ไม่มีอยู่ เป็นอนัตตา หรือเป็นมายาของจิต เพียงแต่พวกเราโดนอวิชชาปิดบังความจริงเอาไว้ ทำให้พวกเราไม่รู้ มองไม่เห็นความจริงว่า พวกเรากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝันหรือโลกแห่งมายาของจิต(พุทธะ) ที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้นมา หลังจากจิต(พุทธะ)มวลรวมสร้างทุกอย่างแล้ว พวกเราก็ลงมาในโลกและในปรโลกเพื่อมาแสดงหนัง แสดงละคร ให้ตวเองดู เมื่อเรายังอยากดูหนังและแสดงละครอยู่ในโลกและในปรโลก(สวรรค์ นรก พรหมโลก)ต่อไป พวกเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏฺเช่นทกวันนี้ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:04:05 PM สรุปสั้นๆ
จิตบริสุทธิ์ของพวกเราเหล่าพุทธะ ต้องการให้มันมี อายตนะภายนอก = สวรรค์นรก ไว้รองรับอายตนะภายใน = วิญญาณธาตุ หรือจิตสังขาร ที่คิดปรุงแต่งและทำกรรมลงไป ถ้าทำกรรมที่เป็นบุญกุศล วิญญาณธาตุ หรือจิตสังขาร หรือกายทิพย์ ก็ไปสวรรค์ ถ้าทำกรรมที่เป็นบาปอกุศล วิญญาณธาตุ หรือจิตสังขาร หรือกายทิพย์ ก็ไปนรก หรือ จิตบริสุทธิ์ของพวกเราเหล่าพุทธะ ต้องการให้มีสถานที่ต่างๆไว้รองรับ จิตสังขารที่คิดปรุงแต่ง และทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลลงไป เพราะที่อยู่ของจิตพุทธะที่บริสุทธิ์คือนิพพาน ซึ่งที่นั่น ผู้จะเข้าไปได้มีแต่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลส สละทิ้งทั้งบุญและบาป เท่านั้น จึงจะเข้าไปได้ จิตสังขารที่ยังคิดปรุงแต่งอยู่จะเข้าไปไม่ได้ จึงต้องมีที่อยู่ให้จิตสังขารเหล่านี้ คือ ภพ 3 31-33 ภูมิ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เทศน์ว่า: "นรก สวรรค์ มีมาตั้งแต่สิ่งที่มีวิญญาณ เกิดขึ้นในโลก" = เมื่อมีปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นนั่นเอง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:15:38 PM พระพุทธเจ้าบัญญัติว่า นิพพาน คือ อัตตา แต่ต้องใช้สมองคิด ไอคิวต่ำๆคิดไม่ออก
« เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 10:52:45 am » อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 01:19:07 pm พระพุทธเจ้าไม่ บัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา คุณคิดเอง เออ เอง สรุป เอาเองอีกแล้ว... มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้นะครับ อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร = ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย อัตตาในอนัตตลักขณะสูตร = เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา= ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตรงกันข้ามกับอนัตตา ลักษณะของอสังขตธาตุ ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :- ๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ; ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ; ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ?ิตสฺส อญฺ ญถตฺตํ ปญฺญายติ). ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม. ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗. อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ นิพพานธาตุ นิพพานธาตุ อันพระผู้มีพระภาคผู้มีจักษุ ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ ได้ประกาศไว้แล้ว มีอยู่ ๒ อย่าง เหล่านี้คือ นิพพานธาตุอย่างหนึ่ง (มี) เพราะความสิ้นไปแห่งภวเนตติ เป็นไปในทิฎฐธรรมนี้ (อิธ ทิฎฺฐธมฺมิกา) ยังมีอุปาทิเหลือ, และนิพพาน- ธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) ไม่มีอุปาทิเหลือ เป็นไปในกาลเบื้องหน้า(สมฺปรายิกา) เป็นที่ดับแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง. บุคคลเหล่าใดรู้ทั่วถึงแล้วซึ่งนิพพานธาตุสองอย่างนั่นอันเป็นอสังขตบท เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นพิเศษแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งภวเนตติ; บุคคลเหล่านั้น ยินดีแล้ว ในความสิ้นไป (แห่งทุกข์) เพราะการถึงทับซึ่งธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละแล้วซึ่งภพทั้งปวง, ดังนี้. อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๕๘-๒๕๙/๒๒๒. 1. สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) "สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" 2. เปมงฺกโร ภิกฺขุ ชี้ว่า ตัวธรรม(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นอัตตา " ในโลกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความจริง เกิดขึ้นแล้วสลายหมด เท็จทั้งสิ้น เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ส่วน สันตินิพพาน เป็นตัวสัจจะธรรม เที่ยงตรงมั่นคงอยู่เสมอ เป็นอสังขตะ ปราศจากเหตุ ไม่นอกไปจากจิตบริสุทธิ์ถึงขีดสุด เป็น ตัวธรรมที่รวมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอตฺตาตัวตนแท้ ......... .........." พระพุทธภาษิตว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนของตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตน(อัตตา)ในที่นี้หมายถึง จิตบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวตนพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ โดยประการดังนี้ฯ ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ-------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:21:46 PM พระพุทธเจ้าบัญญัติว่า นิพพาน คือ อัตตา แต่ต้องใช้สมองคิด ไอคิวต่ำๆคิดไม่ออกนะครับ คุณอวตาร
เหล่าพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่า: นิพพานเป็นอัตตา 1. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓) ว่า "อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง" กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม = กายที่อยู่ภายในกาย เมื่อเรามีสัมปชัญญะ...มีสติ นั่นแหละ "อัตตา" 2. จากพรหมชาลสูตร " ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ " แล้วตรัสต่ออีกว่า "เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต." ....................................... ผมย้ำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป แต่คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต (มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว) ยังดำรงอยู่ มนุษย์ทั้ง หลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ = กายที่ยังดำรงอยู่ นี่แหละ "อัตตา" ... 3. คราวนี้มาดูอนัตตลักขณสูตรบ้าง ผมขอตัดตอนที่อำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด นะครับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่ พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อม บังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึง ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคล พึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ บุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ บุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย จะเห็นว่า สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่ง นั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา สรุป ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน (ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บ ไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย ย้ำ!!! สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ธรรมกายที่เป็นอายตนะนิพพาน ก็เป็นอัตตา อัตตานี้มีขันธ์ 5 เป็นธรรมที่เรียกว่า ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย 4. ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า: (๑) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย" ย้ำ! ! พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย หลักฐานนี้ชัดครับ อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา 5. ข้อ 5 นี่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรชัดกว่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพุทธพจน์ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด (อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)" อัตตา(ตน)นั้นแท้จริงก็คือธรรม ---------------------------------------------------------------------------------------------------- อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ นั้น ไม่ปรากฏมีการเกิด ไม่ปรากฏมีการเสื่อม เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = ไม่อาพาธ(ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) ด้วยเหตุนี้ อสังขตธาตุ (นิพพานธาตุ) จึงเป็น "อัตตา" ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้นะครับ แล้วคุณอวตารเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ล่ะ จึงไปเชื่อว่านิพพานเป็นอนัตตา ถ้านิพพานเป็นอนัตตา เราจะไปหานิพพานหาพระแสงของ้าวอะไรกัน ในเมื่อนิพพานมันก็ยังมีความทุกข์ และเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ ผมสงสัยว่าคุณอวตารจะอวตารจากสัตว์มาเป็นมนุษย์ จึงคิดไม่ออก เชื่อตามพระสงฆ์ครูอาจารย์ที่เป็นพวกปริยัติ หัดฟังพระสงฆ์ครูอาจารย์ที่เป็นพวกปฏิบัติบ้างนะ จะได้กลับเป็นมนุษย์กับเขาสักที « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2010, 01:56:41 pm โดย phonsak » ------------------------------------------------------------------------------------------------------- ชาติก่อนๆโน้นคงใช่ แต่ชาติที่แล้วคงไม่ เพราะคุณแม่ผมท่านอุ้มพระพุทธรูปสีทอง เหลืองอร่าม สวยงาม สว่างไสว เอาไว้ตอนที่ผมเกิดอะครับ และอย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลยครับ สัตว์นรกทุกขุม ผมก็ลงไปเล่นมาหมดแล้วครับ...ท่านปัญญาอันประเสริฐยิ่ง... พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา คุณไม่ต้องบังอาจมาบัญญัติ ไว้ให้(อาจจะ)ถึงคิวคุณเองก่อนเถิด ตอนนั้นมีปัญญาเท่าไหร่ ก็บัญญัติไปเลย...ตอนนี้รู้จักกาละเทศะหน่อยท่าน คนที่เก่งกว่าคุณ ปัญญา บารมี และวาสนา มากกว่าทั้งคุณและผมเองนั้นยังมีอีกเป็นอันมาก...ลดมานะลงมาอีกนิดนะครับ จะได้สาวกตามไปอีกเยอะเลยทีเดียวเชียว...เตือนด้วยความหวังดีและบริสุทธิ์ใจ « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 03:39:37 pm โดย AVATAR » ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผมย้ำอีกครั้ง: มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้นะครับ อย่างไรก็ตาม....ผมได้แสดงหลักฐานในทุกระดับแล้ว แต่คุณไม่มีปัญญาเห็นว่า "นิพพานเป็นอัตตา" อันนี้ผมก็จนใจ เพราะมันเป็นเรื่องของทิฏฐิมานะ เช่น พระธรรมปิฎก กับ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก พวกนี้ล้วนถูกมารหลอกใช้ให้ทำสัทธรรมปฏิรูป ทำสัทธรรมของเก๊ให้เกิดกับพระพุทธศาสนา ผมต้องปล่อยวาง ปล่อยคุณไปตามบุญตามกรรม พระพุทธรูปสีทอง เหลืองอร่าม สวยงาม สว่างไสว ที่คุณแม่ของคุณอุ้มเอาไว้ตอนคุณเกิด อาจจะเป็นผมก็ได้นะครับ แต่พระพุทธรูปสีทองอะไรก็เข้าไปในจิตคนที่มีทิฏฐิมานะไม่ได้หรอกครับ เอาพระพุทธรูปสีทองมาให้คุณ เด็กมันก็ถีบทิ้งเปล่าๆ เพราะมันจะกินนมอย่างเดียว เรื่องนี้สมดังคำเทศน์ของอดีตสมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) ว่า: "สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 05:49:48 pm โดย phonsakw » ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผมเข้าใจครับท่าน...ผมจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา แต่.ผมก็ไม่เคยพูดว่า นิพพาน คือ อนัตตา นะครับ สำหรับท่านที่เข้าใจ "นิพพาน" แจ่มแจ้งแล้วจะเข้าใจครับ คงไม่ต้องมาหน้าดำหน้าแดงเถียงกันว่า"นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" เห็นเถียงกันมาไม่รู้กี่สมัยแล้ว...? แต่เราไม่อาจเข้าใจ"นิพพาน"ได้ ด้วยการ"คิด" พวกท่านเหล่านี้ใช้ "ภาวนามยปัญญา" ครับ ซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด (ขั้นรองลงมาคือ จินตามยปัญญาและสุตตมยปัญญา ตามลำดับ) จึงจะเข้าใจ สำหรับท่านที่หน้าดำหน้าแดงคิดและเถียงกันอยู่ว่า "นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา...?" บอกได้เลยครับว่าท่านเหล่านั้นยังไม่เข้าใจคำว่า "นิพพาน" อย่างแจ่มแจ้ง ขอบพระคุณท่าน phonsakw เป็นอย่างสูงสุดครับ ที่ชื่นชม คุณแม่ผม...ขอบพระคุณครับ « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2010, 03:23:03 am โดย AVATAR » --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 28, 2010, 03:03:12 am ผมเข้าใจครับท่าน...ผมจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา แต่.ผมก็ไม่เคยพูดว่า นิพพาน คือ อนัตตา นะครับ สำหรับท่านที่เข้าใจ "นิพพาน" แจ่มแจ้งแล้วจะเข้าใจครับ คงไม่ต้องมาหน้าดำหน้าแดงเถียงกันว่า"นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" เห็นเถียงกันมาไม่รู้กี่สมัยแล้ว...? สมัยที่เขาเถียงกัน ไม่มีผมอยู่นะครับ เพราะผมเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครเถียงผมด้วยเหตุผลได้ มีแต่การด่าว่า ตำหนิ ติเตียน เจอเหตุผลผมเข้าไปข้อเดียวก็น๊อคแล้ว คือ ในอนัตตลักขณะสูตร นิยามอัตตา อนัตตาว่าอย่างไร อนัตตา = ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา ถ้านิพพานเป็นอนัตตา เชิญแม่งเข้านิพพานไปคนเดียวซิวะ ข้าอยู่ตรงนี้ไม่ดีกว่าหรือ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ใจเย็นครับท่านผู้เจริญ...วาจาอันสุภาพของท่านนั้นหายไปไหนหมดแล้วครับ...ตบะแตก หรือ ฌานเสื่อม กันล่ะนี่...! « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 05, 2010, 03:21:02 am โดย AVATAR » ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผมเป็นคนพูดตรงๆ และใจของผมเย็นอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าเอาความคิดหรือใจของคุณ เอามาเป็นของผมเลย มันคนละใจกัน คุณจะสุภาพแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของคุณ ผมมีนิสัยสันดานต่างจากคุณ มันก็แค่นั้นเอง ผมจำได้ว่า...เคยมีคนว่าผมว่าตบะแตกแบบคุณเมื่อหลายปีก่อน เป็นคนมีวิชาไสยเวทของพราหมณ์ด้วย ผมเลยแกล้งอวตาร ใช้ชื่ออื่นไปต่อว่าเขา จะดูว่า คนที่ไม่ตบะแตกเป็นอย่างไร เพราะผมใจเย็นเป็นน้ำแข็ง เขายังบอกว่าผมตบะแตก อาจารย์(มีวิชาคนนั้น) เลือดขึ้นหน้าทันที ผมก็เลยแซวเขาว่า ผมเห็นแล้วครับว่า: "คนตบะไม่แตกเป็นอย่างไร? โดนคำต่อว่านิดหน่อย เลือดขึ้นหน้าเลย" นอกจากนี้ ผมก็บอกว่า ไอ้คนที่แกล้งว่าท่าน ไว้เวรคนนั้นแหละ....มันก็คือผม หลังจากนั้น อาจารย์ผู้นี้(ชื่อกฤษณะ) ก็ขู่ผมว่า "ระวังจะไหลตาย" คืนนั้นเขาส่งกุมารทองมาดึงวิญญาณธาตุผมออกจากร่าง นึกว่าผมไม่มีวิชาสู้ ผมก็ทำสมาธิและแผ่เมตตาออกไป กุมารทองปล่อยผมทันที วันต่อมา อาจารย์กฤษณะก็ส่งหนังควายหรือยันต์อะไรเข้าท้องผม ผมก็แผ่เมตตาทำลายอำนาจไสยศาสตร์นั้น ที่ต้องทำลายอำนาจไสยศาสตร์นั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คุณไสยกลับเข้าไปเล่นงานอาจารย์กฤษณะ อาจารย์กฤษณะแทนที่จะรู้สำนึกคุณ ดันส่งกุมารทองเข้ามาเล่นงานผมอีก ผมทำสมาธิแล้วเห็น ดวงตาแดงกล่ำใหญคู่หนึ่งกำลังมองผมอยู่ ผมเลยแผ่เมตตาออกไปเหมือนเดิม กุมารทองเลยกลายร่างเป็นเด็กเล็กน่ารักมานอนข้างๆผม ผมเอ็นดู เลยเอามือลูบผมเขา ครั้งสุดท้าย อาจารย์กฤษณะเล่นอัญเชิญเทพกฤษณะมาจัดการผม ผมนั่งสมาธิอยู่ รู้สึกว่าหนักๆที่หัวเข่า และคำบริกรรมภาวนาใดๆที่ออกไป ก็กลับกลายเป็นภาพพระกฤษณะหมด นอกจากนี้ผมยังเห็นมีเทพองค์หนึ่งยืนอยู่มุมห้องผม ผมก็เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น "โอม พระศิวะ โอม พระกฤษณะ" ไปเรื่อยๆสัก 5 เที่ยว เพื่อให้ท่านรู้ว่า ผมรู้ความจริงสูงสุดเรื่องศาสนาแล้ว..ว่า พวกท่านเป็นอวตารและเป็นความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่วนเวียนอยู่ใน 3 ภพ ผมเห็นในจิตว่า พระกฤษณะยิ้มให้ผม และทำมือแบบให้พร ผมรู้ในจิตว่า ท่านให้พรว่า "ขอให้สำเร็จ ขอให้สำเร็จ" แล้วก็หายจากไป ตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ ผมไม่ได้ข่าวอาจารย์กฤษณะผู้นี้อีกเลย ....เล่นเน็ตแล้วใช้ชื่อจริง ที่อยู่ เบอร์อีเมล เบอร์โทรศัพท์จริง ก็โดนของได้นะคุณavatar ดีแล้วที่คุณavatarไม่ใช้ชื่อจริง -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โห...ตื่นเต้น อย่างกะในหนังเลย... ...ขอโทษนะครับที่มาตอบช้าไปหน่อย พอดีเพิ่งกลับมาจากไปทำเครื่องบินพระราชพาหนะที่กองบิน ๖ ดอนเมืองอะครับ เลยไม่ค่อยมีเวลา แค่เห็นพวกเขมรมันเล่นกัน ก็เอือมระอาแล้ว...เราคนไทยอย่าไปเล่นเลย มนต์ดำด้านมืดทั้งนั้น ...และนี่เป็นกับดักอีกอย่างหนึ่งของพวกมารครับ จัดอยู่ในจำพวกอวิชชา เข้าฌานมาอวยพรผมมั่งก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องใช้ชื่อ,ที่อยู่,เบอร์โทรหรืออีเมล์ ให้เมื่อยตุ้ม...เสียเวลา...ขอบพระคุณครับ คืนนี้นอนหลับฝันดีนะครับ แต่อย่าฝันเพลิน จนอยากกลับไปนอนฝันต่อล่ะครับ...จะเช้าแล้ว... « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 06, 2010, 04:29:16 am โดย AVATAR » -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:25:16 PM ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์: พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร? « เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2010, 12:22:31 am »
พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร? มีบางท่านถามผม ผมเห็นว่าดีมาก เลยนำมาตั้งกระทู้ในเว็บนี้ด้วย ถ้าคุณจะอ้างเรื่องพระเจ้า ผมว่าคุณไปหาคำตอบให้ผมก่อนดีกว่า ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาทำไม ถ้าสร้างก็ทำให้ดีๆ เสมอภาคสิ ทำไมต้องเหลื่อมล้ำกันด้วย หรือไม่ก็ไม่ต้องสร้างกิเลส อวิชชาขึ้นมา จะได้ไม่มีคนหลง ไม่ต้องสร้างความไม่ดี จะได้มีแต่คนดี พระเจ้าสร้างเอง ไม่พอใจก็ทำลายเอง ถ้าไม่สร้างอะไรเลย คงสงบสุขตั้งแต่แรกแล้ว ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์ พวกเราแท้จริงเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร ศาสนาพุทธเถรวาท ตอบได้เพียงแต่ว่า เกิดมาเพื่อใช้กรรม เราจะไปหาจุดเริ่มต้นมันไม่ได้ว่าเราเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร พระพุทธองค์ตรัสบอกในนิกายนี้เพียงว่า เริ่มต้นของเริ่มต้นเลย พวกเราเป็นจิตประภัสสร และตรัสเล่าว่า เราเหมือนคนโดนลูกศรปักอก ต้องรักษาตัวเองให้หายอ่าน ยังไม่ต้องถามถึงใครเป็นผู้ยังลูกศรใส่เรา อย่างไรก็ตาม...พระพุทธองค์ไม่เคยปฏิเสทว่า ไม่มีใครยิงลูกศรนะครับ พระพุทธองค์ต้องการให้เราดับทุกข์ให้ได้ก่อน เมื่อเราเข้าถึงความเป็นอรหันต์ เราจะรู้ความจริงเองว่า ผู้ยิงลูกศรเป็นใคร พึงสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์และสัตว์ ย้อนไปได้ไม่สิ้นสุด พระองค์ทรงตรัสกับสาวกฝ่ายเถรวาทว่า “ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส ………………… เราย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง……. ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมาก ตลอดวิวัฏฏวิวักัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏวิวักัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เราได้มีชื่ออย่างนั้น…………ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น …………ครั้นจุติจากภพโน้น แล้วมาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก ” สุดท้าย พระพุทธองค์ก็ตรัสบอกกับสาวกทางเถรวาทว่า โลกนี้หรือจักรวาลนี้เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน พระองค์เปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า ซากศพของเราแต่ละคน ที่วิญญาณดวงนั้นเข้าไปเกิดเป็นมนุษย์ และสัตว์ นำมากองรวมกันแล้ว ยังมีขนาดสูงกว่าภูเขาลูกใหญ่เสียอีก พระพุทธองค์จึงทรงเบื่อที่จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ดังนั้นพระองค์จึงตัดสินใจเข้านิพพานในชาตินั้น ก่อนเข้านิพพานพระองค์ก็ยังตรัสสอนวิธีให้ทุกจิตรู้ทางเข้านิพพานด้วย การที่พระพุทธเจ้าต้องการสอนให้ฝ่ายเถรวาทดับทุกข์โดยเร็วที่สุด พระพุทธองค์จึงเน้นที่การรู้วิธีการดับทุกข์เท่านั้น พระพุทธองค์จึงสอนไปทางเถรวาท ให้เริ่มต้นที่ อวิชชา และปฏิจจสมุปบาท ก่อนหน้านั้น พระพุทธองค์ตรัสสอนเพียงว่า พวกเราจิตเดิมเป็นจิตประภัสสรเท่านั้น เพื่อไม่ให้จิตอยากรู้อยากเห็นและฟุ้งซ่าน ทางฝ่ายมหายาน พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเถรวาท ถ้าไม่รู้ถึงจุดเริ่มต้นจริงๆ พวกเขาจะไม่ยอมหาทางดับทุกข์ พระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้ เริ่มต้นที่ พระพุทธเจ้าต้นธาตุ หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า พวกเราทุกจิตล้วนออกมาจากพระพุทธเจ้าต้นธาตุทั้งนั้น พวกเราจึงมีพุทธะอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่อวิชชามันมาปิดบังจิตเราเอาไว้ ทำให้พวกเราไม่รู้ตัวเองว่า พวกเราเป็นใคร คราวนี้มาถึงคำตอบที่ว่า พวกเราเกิดมาทำไม คำตอบนี้ผมตอบออกไป บางคนอาจจะเชื่อ บางคนอาจจะไม่เชื่อก็ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง และต้องตั้งจิตอธิษฐานขอรู้ความจริงด้วย ซึ่งคงต้องรออีกหลายสิบ หลายร้อย หลายพันชาติ จนกว่าเราจะสั่งสมบุญบารมีถึงระดับ ฟ้าจึงจะเปิดทางให้เรารู้ ผมตอบเลยดีกว่า พวกเราเกิดมาเพื่อ.... 1. เล่นเกมค้นหาตัวเอง ถ้าเราค้นหาตัวเองไม่พบ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏต่อไปไม่มีสิ้นสุด พวกเราก็คือ พุทธะ หรือพระอรหันต์ ศาสนาคริสต์เรียกว่า พระบุตรของพระเจ้า ศาสนาอิสลามเรียกว่า อัลล่าร์ หรือ พระเจ้า เมื่อพวกเราค้นหาตัวเองพบแล้ว เราทุกจิตก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือนเดิมก่อนออกมาเล่นเกม พูดง่ายๆ พวกเราจะกลับไปเป็นพุทธะ หรือ อรหันต์ หรือ พระบุตรของพระเจ้า หรือ พระเจ้าเหมือนเดิมนั่นเอง หลวงพ่อฤาษีลิงดำเรียก นิพพานว่า “กลับบ้านเก่า” หลวงพ่อสดเทศน์ว่า “ช้าเร็วทุกคนก็ต้องเข้านิพพานกันหมด” นั่นเป็นเพราะอะไรล่ะครับ ก็เพราะว่า จิตเดิมของเราทุกจิตเป็นจิตประภัสสร ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า พวกเราเคยอยู่ในนิพพานมาแล้วทั้งนั้น พวกเราเพียงแต่ออกมาเล่นเกมค้นหาตัวเองให้พบเท่านั้น ใครค้นหาตัวเองเจอแล้ว ก็เข้านิพพานไปก่อน ถ้ายังหาตัวเองไม่เจอ ก็ต้องเล่นเกมกันต่อไป 2. พวกเราเกิดมาเพื่อรับรู้สุขทุกข์ในภพภูมิต่างๆทั้ง 31-32 ภูมิ เปรียบเทียบกับความไม่ทุกข์ในนิพพาน และเปรียบเทียบความสุขและความทุกข์จากการใช้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือขันธ์ 5 ของเรา รับรู้ความสุขทุกข์จากอายตนะภายใน 6 และภายนอก 6 เมื่อเปรียบเทียบกับ ความไม่ทุกข์หรือความสุขบริสุทธิ์ในนิพพานของเรา 3. พวกเราเกิดมาเพื่อลองใช้สิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือขันธ์ 5 และสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อมตะ ลองเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในภพภูมิต่างๆดู เทียบกับการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย หรือความเป็นอมตะภาวะของเราในนิพพาน เกมส์ค้นหาตนเองให้พบ จะเริ่มต้นขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่ให้อิสระกับตัวเองในการมีสิทธิเสรีภาพในการเลือก และไม่ยอมปล่อยให้อวิชชาเข้ามาลวงจิตของเรา นอกจากนี้ ยังไม่ยอมสร้างภพภูมิอื่นๆขึ้นมาเปรียบเทียบกับนิพพาน สรุป ตอนนี้.... พวกท่านคงรู้แล้วว่า พวกเราจิตบริสุทธิ์ในนิพพานทั้งหมดเป็นพระเจ้า พวกเราพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้เล่นเกมส์ค้นหาตัวเอง ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความไม่เสมอภาค ฯลฯ เป็นผลจากกรรมที่เรากระทำลงไปในอดีตส่งผลมา ทุกจิตต้องได้รับสิทธิและเสรีภาพ และต้องมีอิสระภาพในการเลือกเองว่า จิตใดจะติดกิเลส อวิชชา หลงทำไม่ดี หรือหลงทำดี ก็ได้ หรือจะไม่หลงกิเลส อวิชชาก็ได้ เราเป็นผู้เลือกเอง ถ้าไม่สร้างอะไรเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ภาวะนิพพานของเราเป็นภาวะสงบสุขนั้นดีที่สุดแล้ว มีสีขาวก็ต้องมีสีดำและสีอื่นๆเปรียบเทียบ เราจึงจะรู้ว่า นี่สีขาว ฝรั่งเขาเรียก "สัมพันธภาพ" ต้องมีอีกสิ่งมาเปรียบเทียบ จึงจะรับรู้ความจริง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:26:00 PM อ้างจาก: golfreeze ที่ กรกฎาคม 13, 2010, 08:26:46 pm
ถ้าจิตเริ่มต้นของ เรานั้น ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ แล้วเพราะเหตุใดเราจึงต้องมาเกิด แล้วยังให้มี ราคะ โทสะ โมหะ ในชาติปัจจุบันหรอครับท่าน ดีครับที่สงสัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกกับสาวกฝ่ายเถรวาทว่า " ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โขอาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ " แปลว่า "ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาทำให้เศร้าหมองแล้ว" (เอกนิบาต อังคุตตรบาลี ฉบับฉัฏฐะ เล่มหนึ่ง หน้า ๙ ข้อ ๔๙/๕๐) จิตปภัสสร คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง ปภัสสรคือ ขาวบริสุทธิ์ เมื่อเป็นดังนั้น จิตปภัสสรเริ่มแรกจึงเป็นจิตที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เมื่อไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ = เราเคยเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะมาก่อน เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" ย้ำ!! เมื่อจิตเราเป็นประภัสสร ก็คือ มันไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ = เราเคยเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะมาก่อน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียกนิพพานว่า "กลับบ้านเก่า" หลวงพ่อสดบอกว่า "ช้าเร็วเราก็ต้องเข้านิพพานกันหมด" ต้นตอของอวิชชามาจากไหน??? ถึงได้มาหลอก จิตนิพพานเริ่มแรกของเราให้ติดใจหลงใหลในภพ 3 ได้ เพราะตัวจิตปภัสสรหรือนิพพานเอง มันเองเป็นจิตผู้รู้ แล้วมันจะมาเสียท่ากิเลสอวิชชาจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด นอกเสียจากว่า จิตปภัสสร หรือจิตนิพพานเริ่มแรก ที่เป็นจิตผู้รู้ พวกมันยอมไปเปิดสวิชท์ปล่อยให้กิเลสอวิชชาเช้ามาในจิตปภัสสรเอง ให้จิตปภัสสรเหล่านั้นลืมความเป็นพุทธะ(พระเจ้า)ของตัวเอง ในคัมภีร์อุปนิษัทระบุเหตุผลไว้ชัดเจนว่า "พระเจ้า(พุทธะ)ที่ไม่ทุกข์และเป็นอมตะ ไม่ยอมทรงสภาวะอมตะเอาไว้" นั่นแหละคือเหตุผล: พวกเราเหล่าพุทธะไม่ยอมทรงทรงภาวะที่ไม่ทุกข์และเป็นอมตะเอาไว้เอง เราทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันล่ะ ต้องไปอ่านต่อใน กระทู้ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์: พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร? หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:26:53 PM ในศาสนาพราหมณ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า(พระศิวะ)ตรัสว่า :
"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่ง และดำรงอยู่ ทั้งจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมา ทำให้ผันแปรได้ เราคืออมตะ แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ เราสามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และ ไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม" เพราะว่าสัจธรรมมีเพียงหนึ่งเท่านั้น คราวนี้เรามาดู หลักฐานในคัมภีร์อัลกุรอาน กันบ้างว่า พุทธจิต ปล่อยให้อวิชชาเข้ามาทำให้เหล่าจิตปภัสสรของพระองค์ เศร้าหมองและไม่บริสุทธิ์ทำไม? มีข้อความตอนหนึ่งในอัลกุรอานบันทึกไว้ว่า: “.แท้จริงการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มิใช่อื่นใด เว้นแต่เป็นการละเล่นและการสนุกสนานร่าเริง และเครื่องประดับและความโอ้อวดระหว่างพวกเจ้า และการแข่งขันกันสะสมในทรัพย์สินและลูกหลาน .......” และอีกข้อความหนึ่งบอกว่า “ พวกเจ้าคิดว่า เรา(พระเจ้าที่เป็นพระบิดา)ให้พวกเจ้าเกิดมา โดยไร้แก่นสาร และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไป หาเรากระนั้นหรือ” ท่อนนี้ไปสอดคล้องกับคำสอนของหลวงพ่อสด ท่านก็เคยบอกว่า “ช้าเร็วเราทั้งหมดก็ต้องเข้านิพพาน” และสอดคล้องกับคำสอนของหลวงพ่อฤาษี "นิพพานคือกลับบ้านเก่า" เห็นหรือยังครับว่า แท้จริงเราแค่มาเล่นเกมกันเท่านั้น เกมนี้เป็นเกมค้นหาตัวเองว่า: "แท้จริงพวกเราก็เป็นพุทธะ (พระเจ้า) แต่เราอยู่ในจักรวาลตามลำพัง เราจึงไม่ยอมทรง ภาวะอมตะและไม่ทุกข์เอาไว้ เพื่อลองดูว่าภาวะอื่นใน 31-33 ภูมิเป็นอย่างไร" « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 23, 2010, 12:22:39 pm โดย phonsak » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:28:16 PM ความจริงเรื่องเกี่ยวกับศาสนา มันก็เป็นเรื่องที่พ้นจินตนาการของมนุษย์นะครับ
และบางครั้งอาจจะพูดยากและอธิบายยากมากเต็มที การพูดถึงเรื่องศาสนา แม้จะศาสนาใดก็ตามเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ในศาสนาพุทธนั้น พระบรมศาสดา ท่านทราบดีแต่ก็เปิดโอกาสอิสรภาพเต็มที่ ตามหลักกาลามสูตร เราจึงไม่ควรเอาเรื่องของศาสนามาเป็นเรื่องถกเถียงกันด้วยความมัน ด้วยความสนุก ด้วยความท้าท้าย ด้วยความอวดรู้ ว่าใครรู้มากกว่า ดีกว่า เสมอกัน หรือ ด้อยกว่ากัน ท่านphonsak ดูตัวท่านเองก่อนนะครับ ก่อนจะไปมองอื่นไกล ท่านphonsak ท่านเล่นเกมส์นี้ให้จบรอบแรกก่อนเถอะครับ แล้วค่อยโพนทนา ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว เมื่อไหร่ท่านphonsak จะเล่นจบรอบแรกเสียที ผมคาดว่าท่านคงจะเล่นอีกไม่นานคงจบเกมรอบแรก เพราะท่านปรารถไว้ว่าจะเล่นเกมรอบแรกจบ เมื่อ อายุขัยท่านที่ 80,000 ปี "คำถาม คือ อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย... อีกกี่ปีเอ่ยกว่า phonsakจะเล่นเกมจบรอบแรก...? ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว ผมทราบคำตอบดี แต่ถ้าท่านphonsak ตอบ ผิด หรือ ตอบ มั่ว ผมปรับท่านphonsakตกไปอยู่อบายภูมิ ตามปีที่ท่านตอบผิดหรือตอบมั่วครับ.... « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 24, 2010, 09:21:11 am โดย AVATAR » ------------------------------------------------------------------------------------------------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:28:56 PM ตอบคุณ AVATAR
ท่านphonsak ดูตัวท่านเองก่อนนะครับ ก่อนจะไปมองอื่นไกล ท่านphonsak ท่านเล่นเกมส์นี้ให้จบรอบแรกก่อนเถอะครับ แล้วค่อยโพนทนา ผมมีหน้าที่ 1.ส่งคนอื่นเข้านิพพานก่อน 2. ชนกับมาร ป้องกันรักษาพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป(ของปลอม) ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว เมื่อไหร่ท่านphonsak จะเล่นจบรอบแรกเสียที ผมคาดว่าท่านคงจะเล่นอีกไม่นานคงจบเกมรอบแรก เพราะท่านปรารถไว้ว่าจะเล่นเกมรอบแรกจบ เมื่อ อายุขัยท่านที่ 80,000 ปี "คำถาม คือ อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย... อีกกี่ปีเอ่ยกว่า phonsakจะเล่นเกมจบรอบแรก...? ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว ผมทราบคำตอบดี แต่ถ้าท่านphonsak ตอบ ผิด หรือ ตอบ มั่ว ผมปรับท่านphonsakตกไปอยู่อบายภูมิ ตามปีที่ท่านตอบผิดหรือตอบมั่วครับ.... 1. ถ้าคุณเคยเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว = คุณคือพระยามาร ทำหน้าที่ล่อหลอกจิตมนุษย์ 2. ตามหมายกำหนดกาล ผมต้องเข้านิพพานเมื่อเผาร่างพระมหากัสสปะแล้วในอีก 86000 ปี หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:29:36 PM _/l\_..._/l\_..._/l\_...ครูบาอาจารย์ผมซะขนาดนี้ผม...สบายใจได้ผมไม่ใช่พญามารอะไรหรอก เพราะพญามารนั้นทะนงตนไม่เคารพและดูถูก แม้สัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์และพระอรหันต์สาวก พวกที่ไม่เคารพพระอรหันต์สาวกแถมดูถูกและถือทะนงตนอย่างนี้จะได้ไปเกิดเป็นอสุรกาย ใครแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ก็รับไม่ได้และไม่ได้รับ เพราะทะนงตนว่าตัวเองเก่งเหนือใคร
ลูกสมุนพญามาร(อสุรกาย)นั้นเกรงจะเป็นคุณเองนาคับ...เนื่องจากคำตอบของคุณเองที่ตอบคำถามผมซึ่งดูถูกเหล่าพระอาจารย์ผมทั้งนั้นดังนี้ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- "ตอบคุณAVATAR ผมถาม-1. ผู้ที่ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับในยุคนี้ ท่านก็เรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเพิ่งทะนงตนว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้วดีกว่าตน นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การดูถูกพระอรหันต์สาวกนั้น เป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง ท่านได้บารมีธรรมอันยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายหรือ มีใครอนุโมทนาและรับรองท่านหรือ ? และฟ้าฝนที่ไหนก็เปิดทางให้ท่านไม่ได้หรอกครับ นอกจากตัวท่านเอง คุณตอบ-อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ขั้นเป็นสัพพัญญู เป็นพระพุทธเจ้า ผมไม่เถียง แต่น้องๆอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน หรือน้องๆสัพพัญญู พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านรู่นะครับ แล้วคุณAVATARก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมอาจจะเป็นอวตารของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ก็ได้นะครับ อีกอย่างผมไม่ทะนงตนหรอกครับ แต่ผมมั่นใจว่าบารมีธรรมของผมยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย คุณตอบข้อ-2. ในโลกนี้ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนสอนผมได้หรอกครับ เพราะพวกท่านไม่ไดอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ความจริง...หลวงพ่อหลวงปู่คนไหนผมสอนได้ทุกคน ทิฏฐิมานะ ฟ้งุซ่าน หรือวิปัสสนูกิเลส ย่อมไมรู้ และรู้ไม่ได้ถึงระดับผม แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังรู้ได้แค่บางส่วนของผมเท่านั้น เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำบุญบารมีสะสมมา ฟ้าจึงจะเปิดทางให้รู้ " ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- เหล่านี้ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมนับถือและมีพระคุณประสิทประสาทวิชชาและปัญญาให้ผมทั้งสิ้น พระมหาเเถรคันฉ่อง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี หลวงปู่ทวด จังหวัดปัตตานี หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล จังหวัดอุบลราชธานี หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จังหวัดสกลนคร หลวงพ่อเงิน จังหวัดพิจิตร หลวงปู่ขาว อนาลโย จังหวัดหนองบัวลำภู หลวงปู่แหวน สุจิณโณ จังหวัดเชียงใหม่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กรุงเทพมหานคร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จังหวัดอุดรธานี พระมหาวีระ ถาวโร(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) จังหวัดอุทัยธานี หลวงปู่บุดดา ถาวโร จังหวัดสิงห์บุรี หลวงปู่จันทา ถาวโร จังหวัดพิจิตร หลวงปู่อ่ำ ธัมมกาโม จังหวัดเพชรบูรณ์ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย จังหวัดนครราชสีมา หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จังหวัดหนองคาย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร จังหวัดเลย พระอาจารย์วัน อุตตฺโม จังหวัดสกลนคร หลวงพ่อลี ธัมมธโล จังหวัดสมุทรปราการ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช จังหวัดชลบุรี หลวงปู่จันทร์แรม จังหวัดบุรีรัมย์ หลวงปู่บุญเพ็ง จังหวัดขอนแก่น หลวงปู่คำบ่อ จังหวัดสกลนคร หลวงปู่เจริญ จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่สรวง จังหวัดยโสธร หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท จังหวัดสกลนคร หลวงพ่อทอง จังหวัดสมุทรปราการ พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ จังหวัดอุดรธานี พระอาจารย์คำ จังหวัดหนองคาย พระอาจารย์ไพบูลย์ จังหวัดพะเยา พระอาจารย์จิรวัฒน์ จังหวัดเพชรบูรณ์ พระครูบาจิตโต (มิได้เรียงตามลำดับพรรษา)และที่ยังมิได้เอ่ยอีกอเนกอนันต์....∞ ผมให้ปัญญาคุณอีกเล็กน้อย ไปศึกษา เรื่อง กัป อสงไขยปี และ อสงไขยกัป มาก่อน คำตอบของคุณจะใกล้เคียงขึ้น ถึงอาจถูกเลย แล้วคุณจะรู้ด้วยตัวเองว่า คุณตอบถูกแค่ นิดเดียวจริงๆ กล้าๆตอบคำถามผมหน่อย...จะลงมาสร้างบารมีทั้งที "อย่ากลัว" แค่ลงไปรอในอบายภูมิ แทนที่จะไปรออยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เหมือนท่านอื่นๆ ที่คุณตอบข้างบนนั่น ไม่ใช่คำถามผม ...อย่าเฉไฉ ไถลไปเรื่อย คำถามผมคือ "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย..." ตอบคำถามนี้ของผมครับ...? « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 25, 2010, 09:49:17 pm โดย AVATAR » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:30:16 PM "ผมมีหน้าที่ 1.ส่งคนอื่นเข้านิพพานก่อน "
คุณบอกเองว่า อายุขัยคุณไม่เกิน 86,000ปี (8.6x10 ยกกำลัง 4)แค่เนี๊ยะ คุณก็จะเอาตัวรอดซะแล้ว....! และถ้าพวกกระผมอายุซักแค่จิ๊บๆ 1,000,000 ปี(1x 10 ยกกำลัง6) คุณไม่ห่วงพวกกระผมหรือไร...? และยังมีอีกตั้ง อสงไขย(1x10 ยกกำลัง 140) คุณไม่ห่วงหรือ...? เอาตัวรอดนี่...? แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ วาสนาบารมี ต่างกัน ผมเข้าใจ... แล้วไม่ต้องไปสร้าง ชื่อผู้ใช้ สำรอง ไว้ให้มากมายหรอกครับ...ใครๆก็รู้ว่าเป็นคุณ สมุน พญามาร (กลัวโดน บล็อกหรือ...!) คำถามผมคือ "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย..." ตอบคำถามนี้ของผมครับดีกว่า...? ขออนุญาตเหล่ากัลยาณมิตรทุกท่านปราบ สมุน พญามาร เอาบุญสร้างบารมีอีกซักเล็กน้อย ก่อนเข้าพรรษา « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2010, 01:35:49 am โดย AVATAR » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:31:14 PM ..สงสาร ไม่อยากให้ คุณพลศักดิ์ ไปรอในอบายภูมิ นานตั้งแปดล้านกว่าปี ด้วยความห่วงใยและเมตตาอย่างที่สุดครับ...
คำตอบคือ คุณอาจจะเล่นเกมจบในอีก 8,605,447 ปี คำตอบใช้แนวคิดดังนี้... กรมอนามัยโลก (World Health Organization)วิเคราะห์ว่ามนุษย์ตอนนี้มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 75 ปี ( ของคนไทย ผู้ชายอยู่ที่ 68 ปี ผู้หญิง 72 ปี ) ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง”อันตรกัป ”ว่า ทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี ตัวอย่าง... ศาสนาพุทธผ่านมาประมาณเกือบครบ 2553 ปี อายุเฉลี่ย= 2500 หาร 100 =25 ปี 100 ปี(อายุเฉลี่ยของคนในยุค 2500 ปีที่แล้ว) - 25 ปี =75 ปีพอดี อายุขัยลดลงจากปัจจุบัน ๗๕ ปี จนเหลืออายุขัย ๑๐ ปี ใช้เวลา (๖,๕๐๐ - ๕๓) เท่ากับ ๖,๔๔๗ ปี อายุขัยเพิ่มขึ้นจาก ๑๐ ปี จนได้อายุขัย ๘๖,๐๐๐ ปี (อายุขัยที่คุณสมมุติว่าจะเล่นจบเกมส์น่ะครับ) ใช้เวลาเท่ากับ ๘,๕๙๙,๐๐๐ ปี นำเวลาที่ได้ทั้งสองมารวมกัน...๘,๕๙๙,๐๐๐ + ๖,๔๔๗ เท่ากับ ๘,๖๐๕,๔๔๗ ปี และนั่นเป็นคำตอบที่ผมถามคุณพลศักดิ์จากคำถาม... "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย..." คนที่เก่งกว่าคุณ ปัญญา บารมี และวาสนา มากกว่าทั้งคุณและผมเองนั้น ยังมีอีกเป็นอันมาก... ลดมานะลงมาอีกนิดนะครับ จะได้สาวกตามไปอีกเยอะเลยทีเดียวเชียว...เตือนด้วยความหวังดีและบริสุทธิ์ใจ อ้อ...แล้วที่คุณบอกว่าผมไปถีบคุณกระเด็นออกมาจากความฝันผมนั้น คุณคิดปรุงแต่งเอาเองนาครับ... ผมอยู่ของผมดีๆแต่คุณดันวิ่งเอาหน้ามาชนส้นเท้าผมเอง...ดีนะเนี่ย ไม่ห้อโลหิต ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า สำหรับผมไม่เป็นไรหรอก...ผมอโหสิให้ครับ « แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 03:13:44 pm โดย AVATAR » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:37:15 PM 2 พระสูตรที่ยืนยัน: ธรรมธาตุ อสังขตธาตุ หรือนิพพาน เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง « เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 01:56:03 pm »
1. วชิราสูตร ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์ วชิราสูตร พุทธพจน์ และ พระสูตร ๔๑. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ สัตว์นี้ ใครสร้าง ? ปฏิจจสมุปบันธรรม เป็นผู้สร้างสัตว์ ตลอดจนสังขตธรรมทั้งปวง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน ? ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา สัตว์บังเกิดในที่ไหน ?ทุกแห่งหน ที่เกิดขึ้นแห่ง ปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือเมื่อมีเหตุมาเป็นปัจจัยครบองค์ สัตว์ดับไปในที่ไหน ?ทุกแห่งหน ซึ่งเป็นที่ดับไปแห่งปฏิจจสมุปบันธรรมหรือการดับไปแห่งเหตุปัจจัย หรือหลักอิทัปปัจจยตา สรุปวชิราสูตร ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล ที่เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์ ศาสนาอื่นเรียกว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า" หรือพระเจ้า 2. (อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55) ยืนยันว่า: "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" เป็นผู้สร้างโลกและจักวาล นอกเหนือจากวชิราสูตร แล้ว ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ก็ยืนยันว่า สิ่งที่เป็นผู้สร้างเป็นสิ่งที่มีมาก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด คือ "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า: “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้นมีอยู่ ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้” ย้ำ!!!... ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง (นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง(สรรพชีวิต,โลกและจักรวาล) ก็จะปรากฏไม่ได้ หรือ ถ้าไม่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ก็จะปรากฏไม่ได้ ย้ำ!!!... เพราะเหตุที่ มี ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง(นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้” หรือ เพราะเหตุที่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) ความเป็นไปของโลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ จึงเกิดขึ้น สรุป 2 พระสูตร ธรรมธาตุ หรือ อสังขตธาตุ หรือ นิพพาน เป็นผู้สร้างโลก จักรวาล และสรรพสัตว์ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: Owner board ที่ กรกฎาคม 23, 2010, 01:30:39 pm แล้วคุณพลศักดิ์รู้ได้อย่างไรว่า "ที่คุณพลศักดิ์อ้างมานี้คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า?" คำสอนที่ออกจากปากพระพุทธเจ้า และสาวกช่วยกันจดจำ และสังคายนากันมาเรื่อยๆอาจผิดได้ แต่คำสอนแท้จริงของพระพุทธเจ้าถูกบันทึกลงในจิตครับ เมื่อได้ปัญญาทางโลกียะและโลกุตตระ ย่อมเข้าถึงสิ่งนั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และในอดีต แม้แต่ในอนาคต ท่านจึงรู้อย่างเดียวกัน แต่อธิบายต่างกันไปตามวิวัฒนาการของสังคมในแต่ละยุคสมัย ความรู้นั้นเรียกว่า "โพธิ" ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------- ผู้เล็งเห็นทุกข์ : หาก การรู้ในสิ่งที่ควรรู้ คือเป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ควรทำ -------------------------------------------------------------------------------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:42:29 PM พระรัตนตรัยที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ « เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 01:14:13 am »
"ถ้าไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ถูกต้องแล้ว เราจะสืบทอดพระศาสนากันได้ลำบากยิ่ง" พระพุทธ = อาทิพุทธ ยืนยันจากคำสอนของมหายาน = พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม ยืนยันจากคำสอนของหลวงพ่อสด = พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ ยืนยันจากคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ = พระยะโฮวา อัลเลาะห์ พระอิศวร หรือองค์พระผู้เป็นเจ้า GOD ตามการเรียกของศาสนานั้นๆ พระธรรม = องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(องค์ปัจจุบัน) ยืนยันจากคำสอนของพระอริยะสงฆ์ต่างๆ 1. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เทศน์ว่า " ธรรมนั้นคือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมได้เสกสรรค์ปั้นให้ พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบุคคลเรา ระลึกถึงพระองค์ ท่านก็ควรระลึกถึงพระธรรม……..ได้เข้าถึงธรรมกาย คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ” 2. หลวงพ่อชา สุภัทโท เทศน์ว่า "...พระธรรมนั้นแหละเรียกว่า พระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า " 3. หลวงตามหาบัว เทศน์ว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ตถาคตแท้ ๆ คือธรรม"....... ยิ่งกว่านี้ พระพุทธองค์ยังตรัสกับพระวักกลิว่า " .... ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม " พร้อมทั้งทรงยืนยันกับพระวักกลิว่า " วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม เห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม " พระสงฆ์ = พระอรหันต์สาวกต่างๆของพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ในกัปต่างๆ ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรียกว่า พระรัตนตรัย ต่างก็เป็นธรรมธาตุ หรืออสังขตธาตุ หรือนิพพานธาตุ หลวงตามหาบัวเทศน์บ่อยๆว่า " มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ ...เป็นธรรมแท้ ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน.... พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..." สรุป พระพุทธ = พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม พระธรรม = พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ถ้าองค์ปัจจุบันคือ พระศรีอริยะเมตตรัย พระธรรมก็จะเปลี่ยนเป็นพระศรีอริยะเมตตรัย พุทธเจ้า พระสงฆ์ = พระอรหันต์สาวกต่างๆของพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ในแต่ละยุคไม่ใช่เฉพาะในโลกธาตุนี้เท่านั้น หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:44:42 PM การล้างบาปในศาสนาพุทธทำได้ เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม"
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 02:58:50 pm » พระสงฆ์ฝ่ายปริยัติ มักสอนกันผิดๆว่า บาปล้างไม่ได้ การแก้วิบากกรรม ทำได้โดยต้องทำความดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนบาปตามไม่ทัน เรียกว่า ทำบุญหนีบาป โดยพระเหล่านั้นมักยกตัวอย่างว่า บาปที่เราทำในอดีตชาติที่อยู่ในสังสารวัฏฏ์มีมากมหาศาลเหมือนน้ำทะเลที่เค็ม เราจะล้างหมดได้อย่างไร พระบางท่านก็แนะวิธีว่า ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้ภายในชาตินี้ เพราะพระโสดาบันจะไม่ตกนรก ยิ่งถ้าเป็นพระอรหันต์ได้ กรรมทั้งหมดก็ถือว่าเป็นอโหสิกรรม ไม่มีอีกต่อไป คำตอบของพระสงฆ์ฝ่ายปริยัติเหล่านั้นถูกบางส่วน แต่ไร้สาระอย่างมากในประเด็นสำคัญที่สุด พระพุทธองค์ตรัสถึงวิธิล้างบาปในศาสนาพุทธไว้ เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม" ซึ่งสามารถทำได้ตอนที่เรายังเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน และต้องเป็นบาปที่เราทำลงไปในชาติปัจจุบันเท่านั้น ผลของการทำการก้าวล่วงบาปกรรม จะทำให้เรารับผลกรรมแค่เศษกรรมเท่านั้น ไม่รับเลยไม่ได้ เพราะผิดกฎแห่งกรรม ส่วนบาปในอดีตชาติไม่เกี่ยว เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บาปในอดีตชาติ เราต้องทำบุญหรือทำกรรมฐานอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะครับ การสารภาพบาปในศาสนาคริสต์ = การก้าวล่วงบาปกรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน มีพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าอยู่บทหนึ่งที่อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร สัจจภังคสูตร 22/542-546(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า: " กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด " ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แต่ก็ยังมีผลอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นกฎแห่งกรรมก็จะผิด หรือมีไม่ ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป ตัวอย่าง พระองคุลิมาล แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาดแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลอยู่บ้าง คือ เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น = ต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะเราไปทำกับขันธ์ 5 คนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5 ของเรา แต่กรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"(รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก) ผมอธิบายเรื่องนี้ได้ว่า 1. จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)เป็นตัวเก็บกรรมดำ-กรรมขาวเอาไว้ การสารภาพบาปอย่างจริงใจ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่ทำบาปกรรมนั้นอีก เป็นเหมือนเราdeleteอกุศลจิตนั้นออกจากใจ กรรมชัวหรือกรรมดำที่เราบันทึเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) ก็จะสลายไปจนหมดสิ้น ก็เหมือนคุณลบเทปนั้นในจิตทิ้งไป 2. แม้ว่าอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) หรืออาทิสมานกาย(กายทิพย์, วิญญาณธาตุ)จะถูกลบทิ้งแล้ว แต่เทปที่บันทึกอยู่ในขันธ์ 5 มีวิญญาณขันธ์ รวมอยู่ด้วย ยังไม่ได้ถูกลบทิ้ง เราจึงต้องรับผลกรรมที่บันทึกอยู่ในวิญญาณขันธ์(ในขันธ์ 5) สรุป พระองคุลิมาลไม่ต้องตกนรกเพราะเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นเพราะพระองคุลิมาลทำการก้าวล่วงบาปกรรม ลบอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ออกไปแล้ว และยังรับผลกรรมที่บันทึกอยู่ในวิญญาณขันธ์(ในขันธ์ 5)ไปแล้วด้วย ลองอ่านคำพูดของพระพุทธเจ้าที่บอกองคุลิมาลใหม่ใหม่นะครับ "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปีไม่มีแล้ว เพราะลบอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ออกไปแล้ว เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน คือถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 02, 2010, 03:15:16 pm โดย phonsak » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:45:14 PM มีผู้ถามพระพุทธเจ้าเรื่องที่เราต่างทำบาปมากบ้างน้อยบ้างว่า ผู้ที่ทำบาปต่างๆ ก็ต้องตกอบายตกนรกทั้งนั้นน่ะซิ
พระพุทธเจ้าตอบดังนี้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค .......พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์ มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้(สำนึกบาป ยอมรับความผิด) เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย(แล้วตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้นอีก ขบวนการทั้งหมดเรียก การก้าวล่วงบาปกรรม) เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ [๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน(การลักทรัพย์)โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทานทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทานต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:48:15 PM อ้างจาก: AVATAR ที่ สิงหาคม 04, 2010, 12:49:11 am
ผมถึงบอกคุณ phonsak เสมอว่า จะมีคุณ phonsak อยู่ หรือ ไม่มีคุณ phonsak อยู่....มี AVATAR อยู่ หรือ ไม่มี AVATAR อยู่ มันก็ไม่ใช่สาระให้ พระศาสนาดำรงอยู่หรือเสื่อมไปตามกำหนดวาระไว้แล้วหรอกครับ คุณ phonsak 1. ไม่มีผมอยู่ ศาสนาพุทธอยู่ในครบ 5000 ปีแน่นอน เพราะมารเขาครองเมืองแล้ว 2. ผมมาไม่ใช่เพื่อเจรจาออมชอมกับเหล่ามาร ที่สิงใจทีมงานเว็บธรรมะต่างๆ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่โดนไล่ออกจากเว็บศาสนาต่างๆเต็มไปหมดหรอกครับ ผมมาเพื่อชนมารสถานเดียว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: AVATAR ที่ สิงหาคม 04, 2010, 01:33:15 am อย่าน้อยใจเลยครับที่โดนไล่ออกจากเว็บศาสนาต่างๆเต็มไปหมด...กลับไปสร้างบารมี ผูกมิตรหรือหาสาวกอีกก้ได้ครับ ไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ...ถ้าคุณตั้งใจจริง มาถูกทางและปฏิบัติเป็น ไม่มีมารที่ไหนมาสิงใจพวกทีมงานเว็บธรรมทั้งหลายเหล่านั้นหรอกนะครับ...ต้องกลับมาพิจารณาตนเอง เพราะมารนั้น มันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลหรอกครับ...มันอยู่ในจิตคุณนั่นเอง 1. คุณทำไมชอบเอาความคิดของคุณ เอาสันดานและนิสัยของคุณ ไปบอกว่า เขาจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าผมน้อยใจที่โดนไล่ออกจากเว็บศาสนาต่างๆเต็มไปหมด ก็เท่ากับผมแพ้มาร ผมมาเพื่อชนมาร มารนั้นจะมาในรูปไหน ถ้าไม่คุยเรื่องธรรม และโต้เถียงกันเรื่องธรรม ผมชนทั้งนั้น 2. คุณยังไม่รู้ มารที่อยู่ในจิต นั้นมีตัวตนจริงๆ พระพุทธองค์ พระเยซู ต่างเจอมาแล้วทั้งนั้น ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: Owner board ที่ สิงหาคม 04, 2010, 07:17:28 am พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน เรื่องบาป บุญเป็นเรื่องไม่ควรสนใจ ศาสนาไหนๆเขาก็มีสอน นรก-สวรรค์เป็นเรื่องเอาไว้สอนคนป่าคนดงที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เรื่องดับทุกข์เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่พิสูจน์ได้ ไม่งมงาย 1. เรื่องดับทุกข์ถาวร เป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันถึงในชาติเดียว พระอรหันต์ในแต่ละยุคจึงมีไม่มาก เรื่องดับทุกข์ชั่วคราว เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินฝันถึง เพียงแต่พระฝ่ายปริยัติของเรา ถูกมารครอบงำจิต จึงไม่เปิดเผยความจริงเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรมให้ประชาชนรู้ว่า มีวิธีทำให้วิบากกรรมในปรโลกเป็นเศษกรรมด้วย ในขณะที่วิบากกรรมในโลกเบาบางลงมาก 2. เรื่องดับทุกข์ถาวร เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจในทางทฤษฎี คนปฏิบัติถึงขั้นดับทุกข์ถาวรน้อยมากๆ เรื่องดับทุกข์ชั่วคราว เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจในทางปฏิบัติ มีศูนย์บำบัดอาการทางจิตเต็มไปหมดทั่วโลก -------------------------------------------------------------------------------------------------------- Ooto อ้างอิงข้อความ: อ้างถึง ในพระสูตร อังคุตตระสูตร กล่าว่า "บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น" ตามความเข้าใจของผมน่ะครับ บุคคลที่ประพฤติไตรสิกขา ผลกรรมก็จะให้ผลไม่มากแต่เห็นชัดเจนในชาตินี้ คงเหมือนกับที่ คุณtuenum พูดถึงการก่าวล่วงกรรม ก็คือการกลับตัวกลับใจมาประพฤติธรรมนั่นเอง เพราะอย่างนี้นี่เองคนทั่วไปผู้ไม่ใฝ่ศึกษาหรือมีกิเลสบังตา กลับคิดว่าทำดีกลับได้รับผลร้าย (ผลกรรมให้เห็นในปัจจุบัน)ทำชั่วไม่เห็นมีบาปกรรมอันใด(ผลกรรมส่งผลในนรก) คุณtuenum เก่งนะครับ จะว่าอะไรใหมครับหากบางครั้งจะขอรบกวนรับฟังความคิดเห็นบ้าง เพราะมีหลายเรื่องยังสงสัย และอยากฟังคำอธิบายครับ 1. พุทธพจน์นี้เป็นภาวะปกติ ทำบาปกรรมก็ต้องได้รับผล พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทเรื่องนี้ แต่ในภาวะไม่ปกติที่เราได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา = เราทำการก้าวล่วงบาปกรรม ผลกรรมที่จิตใต้สำนึกของเรานำมาให้เรา มันจึงเบาบางลงไปนั่นเอง อสังขาสูตร สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่(และบาปอย่างอื่น) แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยัง ไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมา ขังไว้ 2. พระพุทธเจ้าบอกทางแก้ที่จะไม่ตกนรกในพระสูตรนี้ให้ด้วย ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(และบาปอย่างอื่น) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ อย่างไรก็ตาม พญามารเขาไม่ยอมให้ผู้คนทั่วไปรู้ในเรื่องการแก้กรรมหรอก เขาจึงให้เหล่ามารสิงใจสงฆ์ฝ่ายปริยัติและปถุชนทั่วไปไม่ให้พบเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม ถึงพบก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งๆที่พระสูตรที่ผมยกมาก็หลายพระสูตรแล้ว และเป็นพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เช่น คุณsmile072 ที่เขียนว่า ไม่ว่าจะคำว่าล้างบาปก็ดีหรือก้างล่วงบาปก็ดี ทำไม่ได้ครับไม่ว่าจะหยิบยกตำราเล่มใดมาก็ไม่มีกล่าวถึง 3. เราทุกคนต่างล้างบาปของตัวเองในชาตินี้ได้ทั้งนั้น ด้วยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม ส่วนบาปในชาติอื่นๆก็แก้ได้เช่นกันเมื่อเราบรรลุธรรม เราจะรู้ว่าตัวเราตัวเขาล้วนไม่มีจริง เป็นแค่สิ่งมายามาลวงเราเท่านั้น เราทุกคนยกเว้นพระอรหันต์ต่างกำลังฝันที่เสมือนจริงอยู่ แต่เราไม่รู้ว่า เรากำลังฝันอยู่ -การทำบาป ทำให้เราฝันร้ายมากๆที่เสมือนจริง และเราก็ต้องรับโทษของผลบาปที่เสมือนจริงด้วย...ในนรก -การทำบุญ ทำให้เราฝันดีมากๆที่เสมือนจริง และเราก็ต้องรับคุณของผลบุญที่เสมือนจริงด้วย...ในสวรรค์ แต่ทั้งนรก-สวรรค์ก็ล้วนเป็นของปลอม ที่ทำเสมือนจริงที่สุด แม้แต่ในโลก ทุกอย่างแม้แต่ตัวเรา ลูก เมีย รถยนต์ ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ของปลอม ที่ทำเสมือนจริงที่สุด ทำให้มนุษย์หลงคิดว่า ทุกอย่างเป็นของจริง บาป-บุญ สวรรค์-นรก มันอยู่ที่ไหน? บาป-บุญ สวรรค์-นรก มันอยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของเรานั่นเอง จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของเราต่างฝังข้อมูลความจำในการทำชั่วทำดีเอาไว้ในจิตใต้สำนึก เมื่อเราลบข้อมูลการทำชั่วนั้นไปแล้ว โดยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม(สำนึกบาป)แบบจริงใจ (กายทิพย์,อาทิศมานกาย)จึงไม่สร้างนรกให้เราเพื่อไปรับโทษ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในวิญญาณขันธ์ หนึ่งในขันธ์ 5 ของเรา มันก็มีตัวสัญญา(ความจำ)อยู่ด้วย เมื่อขันธ์ 5 ของมันทำบาปกรรมเอาไว้ มันจึงต้องรับผลกรรม ตามกฎแห่งกรรม แต่วิบากกรรมที่เกิดกับขันธ์ 5 จะเบาบางลงด้วยเพราะเราได้สำนึกในบาปกรรมนั้นแล้ว นั่นคือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าตรัสกับองคุลิมาลว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" - กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี ขององคุลิมาล อยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของวิญญาณธาตุโดนลบทิ้งไปแล้ว - เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน เพราะขันธ์ 5 มันมีตัวสมองและวิญญาณขันธ์อยู่ แม้องคุลิมาลdeleteข้อมูลความชั่วออกไป แต่มันก็ออกไปไม่ได้ เพราะได้กระทำกรรมกับคนอื่นไปแล้ว มีโจทย์(เจ้ากรรมนายเวร)ที่ต้องการให้เขารับผลกรรมในขันธ์ 5 หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:54:40 PM สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จริงๆ แต่ของจริงทางกายภาพก็มีด้วย « เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 04:06:19 pm »
"สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จริงๆ แต่ของจริงทางกายภาพก็มีด้วย" เราต้องตระหนักก่อนว่า พระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ แล้วบรรลุอนุสัมมาสัมโพธิญาณที่นั่น และท่านจะไปเห็นสวรรค์-นรกที่ไหนล่ะ นอกจากเห็นในจิต จิตที่ว่าคือ ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก หลังจากนั้น พระองค์ท่านก็ตรัสบอกต่อสาวกในนิกายเถรวาทว่า คนหรือสัตว์เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว จิตหรือวิญญาณ(ธาตุ)หรืออาทิสมานกายมีทางไป ๕ สายคือ 1. อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน 2. เกิดเป็นมนุษย์ 3. เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ 4. เกิดเป็นพรหม 5. ไม่เกิดแล้ว ไปพระนิพพานเลย แล้วยังจำแนกภพภูมิออกเป็น 3 ภพ 31-32 ภูมิ ไม่นับภพภูมิพิเศษที่เกิดขึ้นจากจิตของพระพุทธเจ้าในอดีตสร้างขึ้นมาเพื่อให้สรรพจิต(วิญญาณธาตุ)ได้อยู่ ไม่ต้องไปอยู่ใน 3 ภพ 31 ภูมิอีก ที่เรียกว่า พุทธเกษตร เช่น พุทธเกษตร สุขาวดีที่เกิดจากอำนาจจิตจากการตั้งปณิธานของพระพุทธเจ้านาม "อมิตาภพุทธเจ้า" สรรพจิต(วิญญาณธาตุ)ที่ไปเกิดในพุทธเกษตรต่างๆ จึงเป็นทางที่ 6 ที่อาทิสมานกาย(จิต)สามารถไปได้ ซึ่งพุทธเกษตรนี้ไม่ใช่สังสารวัฏฏ์และไม่ใช่นิพพาน หรือที่เรียกว่า เป็นกึ่งกลางระหว่าง สังสารวัฏฏ์และพระนิพพาน อย่างไรก็ตาม เรื่องพุทธเกษตรนี้นิกายเถรวาทมักไม่สอน สอนแต่ในพุทธศาสนามหายาน เอ้า! โม้ออกนอกเรื่องแล้ว เข้าประเด็นเลย ผมกำลังจะบอกว่า ทางไปสวรรค์-นรก-นิพพาน และภพภูมิอื่นๆทั้งหมด 5 ทาง จำแนกตามเถรวาท และ 6 ทางจำแนกตามมหายาน นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในจิต(ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก)ของสรรพชีวิตนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ทางไป 5 ทาง จำแนกตามเถรวาท และ 6 ทางจำแนกตามมหายาน นอกจากจะอยู่ในจิต(ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก)แล้ว ทางกายภาพ นรก-สวรรค์-พรหมโลก-อบายภูมิ-โลกมนุษย์-พุทธเกษตร ยังก็อยู่ในบรรยากาศและในอวกาศด้วย เช่น พรหมโลก หรือไม่ก็อยู่ใต้พื้นโลก นรกภูมิ เป็นดินแดนที่อยู่ลึกที่สุด(ใต้พื้นโลก) ส่วนเดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และพวกเทพบางพวกในสวรรค์ชั้นล่างๆ เช่น รุกขเทวดา พระภูมิเจ้าที่ พวกนี้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่อยู่ต่างมิติเท่านั้น ตามความละเอียดของจิต ถ้าจิตใจสกปรกกว่ามนุษย์ภูมิโดยเฉลี่ย ก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต ถ้าจิตในสะอาดกว่ามนุษย์ภูมิโดยเฉลี่ย ก็ไปอยู่ในรุกขเทวดาภูมิ และพระภูมิเจ้าที่ ส่วนสวรรค์ทางกายภาพนั้น ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นสวรรค์ชั้นต้น อยู่สูงกว่าแต่ไม่ไกลจากภูมิมนุษย์นัก ส่วนสวรรค์ชั้นอื่นๆล้วนวัดจากความสูงที่สูงกว่าพื้นโลก สวรรค์ทางกายภาพต้นๆยังอยู่ในบรรยากาศของโลก สวรรค์ภูมิที่ ๓ คือ ยามา อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ภูมิที่ ๔ คือ ดุสิต อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นยามา สวรรค์ทางกายภาพขั้นสูงๆอยู่ในอวกาศ พรหมโลกชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรก คือ ชั้นต่ำที่สุด แต่ก็ตั้งอยู่เบื้องบน สูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ นับว่าไกลจากโลกมนุษย์มาก ไม่สามารถ นับได้ พูดง่ายๆก็คืออยู่ในอวกาศห่างไกลออกไปอีก ขึ้นอยู่กับเป็นพรหมชั้นไหน มนุษย์ยังไม่มีเทคโนโลยี่ที่จะสร้างวัตถุทางกายภาพ เข้าไปสำรวจมิติที่ละเอียดหรือสกปรกกว่าภพภูมิมนุษย์ มนุษย์สามารถเข้าไปสำรวจมิติที่ละเอียดหรือสกปรกกว่าภพภูมิมนุษย์ โดยการทำสมาธิเข้าถึงฌานเท่านั้น โดยเฉพาะฌาน 4 จิตจะสามารถล่วงรู้ และเข้าไปในมิติอื่นที่เป็นนรก-สวรรค์-พรหมโลก-อบายภูมิ-โลกมนุษย์ได้ ผมยกพุทธเกษตรออก เพราะเป็นภพภูมิที่อยู่ห่างไกลมาก ต้องมีพระโพธิสัตว์นำทางไป ผมเคยไปมาครั้งหนึ่ง กะจะเข้าไปในพุทธเกษตรนั้น แต่เทพผู้รักษาประตูไม่ให้เข้าไป คณาจารย์จีนชื่อ ฮิวโดย แห่งนิกายเทียนไห้ อธิบายว่า ที่ว่าพุทธเกษตรสุขาวดีที่อยู่นอกขอบจักรวาลนั้น "สุขาวดีห่างไกลจากโลกถึงแสนโกฐพุทธเกษตร แต่แท้ก็อยู่ในจิตขณะหนึ่ง ของเรานั่นเอง หาใช่ห่างไกลแตกต่างที่ใหนได้" แท้จริง..จิตใต้สำนึกของเราซ่อนโลกหรือมิติลึกลับไว้ในภวังค์จิต พูดง่ายๆ..ในภวังค์จิตของเรา มันมีภพภูมิต่างๆอยู่ เรียกว่า "ปรโลก" แม้แต่จักรวาลและดวงดาวต่างๆก็ล้วนแล้วแต่ซ่อนอยู่ในภวังค์จิตหรือในจิตใต้สำนึกทั้งสิ้น เพียงแต่เราเข้าถึงฌานโดยเฉพาะฌาน 4 เราก็สามารถเข้าไปดูจักรวาลและดวงดาวต่างๆ รวมทั้งภพภูมิในสังสารวัฏฏ์ได้ ส่วนภพภูมินอกสังสารวัฏฏ์ เช่น พุทธเกษตรสุขาวดีของพระอมิตาพุทธเจ้า พุทธเกษตรโลกแก้วไพฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต สรวงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ เราจำเป็นต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เจ้าของสถานที่ระบุไว้ จึงจะเข้าไปได้ สรุป จักรวาลและดวงตาวต่างๆ รวมทั้งนรกสวรรค์พรหมโลก สามารถแสดงออกให้ปรากฎได้ 2 ทาง คือ 1. ทางจิต หรือ ภายในจิตใต้จิตใต้สำนึกหรือในภวังค์จิตของสรรพชีวิต ผู้ที่จะรู้และเข้าถึงจักรวาลและดวงตาวต่างๆ รวมทั้งเข้าถึงนรกสวรรค์และพรหมโลก ต้องทำสมาธิหรือสมถะกรรมฐานให้ถึงฌาน 4-8 เท่านั้น จึงจะรับรู้ได้มากหน่อย 2. ทางกายภาพ หรือทางอายตนะต่างๆ โดยเฉพาะทางตาและทางวัตถุ มนุษย์เรายังไม่สามารถพัฒนาวัตถุหรือยานอวกาศเข้าไปสำรวจจักรวาลทางกายภาพได้ พัฒนาได้แค่วัตถุที่เข้าไปสำรวจจักรวาลได้ทางตาเท่านั้น « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 04, 2010, 12:29:09 am โดย phonsak » ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: Owner board ที่ สิงหาคม 04, 2010, 07:24:28 AM สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี้เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ใครๆก็ยอมรับ แต่นรก สวรรค์ที่เป็นสถานที่นั้นเป็นเรื่องไม่ควรสนใจ เพราะพิสูจน์ม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่มาสอนเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เป็นแน่ ถึงสอนไปก็อายคนมีปัญญาเขาจะว่า งมงาย พระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น ส่วนเรื่องอจินไตย(ไม่ควรสนใจ)จะไม่ทรงสอนเด็ดขาด สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พิสูจน์ได้จากการทำวิปัสสนา นรก สวรรค์ที่เป็นสถานที่ ก็พิสูจน์ได้เช่นกัน โดยการทำสมถะกรรมฐานหรือสมาธิ เมือ owner เล่นทำแต่วิปัสสนา แล้วมันจะไปพิสูจน์สิ่งที่พวกทำสมถะเจอได้อย่างไรกํนล่ะ คิดซิครับ โง่อย่างเดียวก็ไม่ไหวนะครับท่านowner หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:57:35 PM มารู้จักพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ากัน+คำยืนยันว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์มีจริง
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2010, 04:10:34 pm » อ้างจาก: love@mind ที่ สิงหาคม 06, 2010, 01:17:29 PM phonsak เขียน: พึงรู้ว่า พระเยซูผู้นี้คือ สาวกในนิกายพุทธศาสนามหายาน และพระบิดาหรือพระยะโฮวา= พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นพระจิตที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกคน พระเยซูเป็นพระอรหันต์ที่เป็นพระบุตร จึงไม่สามารถสร้างพุทธเกษตรเองได้ และต้องขอให้พระบิดาหรือพระยะโฮวา(พระพุทธเจ้าองค์ปฐม)ประธานสรวงสวรรค์ให้ ซึ่งอาจจะเรียกว่า พุทธเกษตรก็ได้ พระเยซูทรงใช้ร่างกายและโลหิตของพระองค์รับโทษแทนมนุษย์ที่ตัดสินใจเดินตามทางพระองค์ โดยยอมรับพิธีมิสซา ซึ่งทำให้ไม่ต้องรับโทษในบาปก่อนๆที่ทำในสังสารวัฏฏ์ แต่บาปในชาติปัจจุบัน จำเป็นที่จะต้องทำพิธีสารภาพบาปเช่นกัน ใครที่ยังมีบาปอยู่ จะต้องโดนชำระล้างด้วยไฟ คุณlove เขียนโต้และถามว่า: อิอิ 1. ป๋าพอลล์คร๊าบ พระสมณโคดม ก็สร้างพุทธะเกษตรเองไม่ได้หรอกนะ คร๊าบ ก่อนมาประสูติ ก็ตรวจลักษณะของโลกห้าอย่าง โลกและพุทธเกษตรนี้ มีมาก่อนที่จะเลือก มีมาก่อนที่จะมาประสูติแล้ว น๊าคร๊าบ และตกลง นี่เป้นพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้า พระองค์ใดกันแน่เล้าคร๊าบ 2. และพระเยซูก็ไม่ได้เป้นพระสาวกแบบที่ป๋าพอลล์ โมเมมาบอกหรอกคร๊าบ ไม่มีสักคำในพระวจนะของพระเยซู ที่แสดง ถึงครูบาอาจารย์เช่นพระอมิตภะ พระรัตนสัมภวะ หรือเจ้าแม่กวนอิม ถ้าเป้นพระสาวก จริงๆแบบที่ป๋าพอลล์โมเมมาบอกคร๊า�ตอบ คุณยังรู้น้อยนัก..... 1. พระเยซูเรียกตัวเองว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า) ส่วนหลักฐานว่าพระเยซูเป็นชาวพุทธ ผมจะนำมาแสดงในอีก 3 วัน พระเยซูแสดงอภิญญาหลายอย่าง คุณก็ได้บอกมาแล้วบางส่วน คือ พระเยซูรู้ล่วงหน้าว่า เปรโตจะปฏิเสธไม่รู้จักพระเยซูสามครั้ง ก่อนไก่ขันในวันรุ่งขึ้น ที่สำคัญ คือ พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกับพระโมคคัลลานะ เราชาวพุทธบอกว่า พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ แต่ดาวเกรดพระเยซู ในขณะที่ชาวคริสต์อัพเกรดพระเยซูเป็นพระเจ้า โดยหารู้ไม่ว่า พระอรหันต์ นั่นแหละคือ พระเจ้า 2. พระพุทธเจ้าสอนไปทางเถรวาท เน้นที่การปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อเข้านิพพาน แต่สอนไปทางมหายาน เน้นช่วยคนที่ไม่สามารถปฏิบัติเพื่อตนเองจนเข้าสู่นิพพาน ต้องพึ่งบารมีพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ พุทธเกษตรของพระพุทธเจานาม พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภทคุรุฯ ผมก็ได้แสดงไว้ในบางเว็บแล้ว ส่วนพุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้าของเราก็มีด้วย ไม่เพียงแค่นั้น พุทธเกษตร(สรวงสวรรค์)ของพระคริสต์) หลักฐาน: ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร .....พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง ++++ พุทธเกษรของพระเยซูคริสต์ หรือสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ ก็สามารถสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ เพื่อประโยชน์แห้งสรรพสัตว์นั่นเอง สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับแสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ ณ สวนอัมพปาลีวัน ณ กรุงเวสาลี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๘,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์อีก ๓๒,๐๐๐ องค์ .......... ตรัสสรุปว่า “เพราะฉะนั้นแล รัตนกูฏ ! พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจักบรรลุถึงวิสุทธิเกษตรดังกล่าว ! พึงชำระจิตแห่งตนให้บริสุทธิ์สะอาด เมื่อจิตบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว พุทธเกษตรก็ย่อมบริสุทธิ์สะอาดตามไปด้วย.” ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรเถรเจ้าโดยการบันดาลดลแห่งพุทธานุภาพได้บังเกิดปริวิตกอย่างนี้ขึ้นว่า “ถ้าจิตของพระโพธิสัตว์บริสุทธ์พุทธเกษตรก็พลอยบริสุทธิ์ด้วยไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระผู้มีพระภาคของเรา เมื่อยังสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ จักมีจิตไม่บริสุทธิ์กระมังหนอ พุทธเกษตรของพระองค์จึงไม่สะอาดหมดจดดั่งประกฎอยู่ ณ บัดนี้ ?” พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า “สารีบุตร ! เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน ? บุคคลผู้มีจักษุบอดมองไม่เห็นความสุกสว่างหมดจดแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นั้นเป็นความผิดของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ฤๅหนอ ?” พระสารีบุตรทูลว่า “หามิได้ข้าแต่พระสุคต เป็นความบกพร่องของบุคคลผู้มีจักษุบอดเอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักมีโทษด้วยก็หาไม่” ตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้นนะสารีบุตร ! เป็นความผิดของสรรพสัตว์เอง ! ที่มองไม่เห็นความบริสุทธิ์สะอาดในโลกธาตุเกษตรแห่งเราตถาคต จักเป็นความผิดของตถาคตด้วยก็หาไม่ สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”....... ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.” พระบรมศาสดาตรัสว่า “โลกธาตุของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์เป็นปกติอยู่เป็นนิตย์ แต่เพื่อโปรดบรรดาชนผู้มีอินทรีย์ต่ำ ตถาคตจึงสำแดงให้ปรากฏเห็นเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้น เหมือนดังปวงเทพยาดาต่างร่วมเสวยสุทธาโภชน์ในทิพยภาชน์อันเดียว ด้วยอำนาจแห่งบุญสมภารของแต่ละองค์ไม่เสมอกัน ทิพย์โภชน์จึงปรากฏหาคล้ายกันไม่ ฉันใดก็ฉันนั้นนะ สารีบุตร! ถ้าบุคคลมีจิตบริสุทธิ์ไซร้ เขาย่อมเห็นคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้ได้.” สรุป 1. สรวงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ คือพุทธเกษตรแห่งหนึ่ง เพราะพระเยซูคริสต์เป็นสาวกพุทธศาสนานั่นเอง หลักฐานผมจะเอามาแสดงในอีก 3 วัน 2. พุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้าก็มีด้วย เพียงแต่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสสอนไปทางเรวาท เพราะจุดมุ่งหมายของนิกายเถรวาทและมหายานต่างกัน เถรวาทไม่ต้องอาศัยบารมีของใคร พึ่งตัวเองเพื่อเข้าสู่นิพพาน มหายานพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า(พระเจ้า)ช่วย -------------------------------------------------------------------------------------------------------- dhandham เขียน: เอาเหนือ ใต้ ออก ตก ผสมกัน มีลูกออกมาได้นะ คิกๆๆ สัจธรรมสูงสุดมีเพียง 1 ผู้ที่ไม่เห็นสัจธรรมสูงสุดนั้น ย่อมคิดว่ามี 2, 3, 4 เพราะเขาคิดปรุงแต่งไปเอง เมื่อไม่คิดปรุงแต่งใดๆ เหนือ ใต้ ออก ตก มันก็ไม่มี และไม่ผสมกัน สัจธรรมสูงสุดจึงมีอันเดียว และเราก็เป็นหนึ่งในหนึ่งในสัจธรรมสูงสุดอันนั้น ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต ผู้ใดใกล้เห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นบทความของเรา....พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 09:59:26 PM หลักฐานต่างๆชี้ว่า: พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 02:32:20 pm » หลักฐานต่างๆชี้ว่า: พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน จากกระทู้ มารู้จักพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ากัน+คำยืนยันว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์มีจริง http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=794.0 ผมบอกว่าจะนำหลักฐานที่ชี้ว่าพระเยซูเป็นชาวพุทธมาแสดงใน 3 วัน บังเอิญได้หลักฐานมาก่อน ผมจึงถือโอกาสแสดงหลักฐานเลย 1. ตามประวัติของพระเยซู เมื่อพระเยซูอายุได้ประมาณ 13-14 ปี ได้ไปนมัสการที่วัดยิวในกรุงเยรูซาเล็ม หลักจากนั้นประวัติพระเยซูก็หายไป ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลย มาปรากฏอีกที ก็ตอนที่ พระเยซูอายุประมาณ 30 ปีแล้ว เป็นตอนที่...พระเยซูได้ไปพบกับท่าน จอห์น เดอะบั๊บติสต์ (john the baptist) ผุ้เป็นอาจารย์โดยได้ถือศีลจุ่มที่แแม่น้ำจอร์แดน พอพระเยซูได้ถือศิลจุ่มเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าท่านได้บรรลธรรมโดยทันที ปรากฏ....มีแสงแล้วมีเสียงบอกให้พระเยซูไปเผยแผ่พระบัญญัติของพระเจ้า การบรรลุธรรมแบบนี้ก็เช่นเดียวกับที่พระมหากัสสปบรรลุธรรมทันทีเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าชูดอกบัวขึ้นมา ที่สำคัญ...คุณรู้ไหม?..... จอห์น เดอะบั๊บติสต์ก็เป็นนักบวชนิกายเอสเซนส์ ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งไปเผยแผ่ในดินแดนตางๆ 2. ในหนังสือเรื่อง JESUS LIVES IN INDIA ระบุว่า ที่พระเยซูหายไปตอนอายุได้ประมาณ 13-14 ปีนั้น พระเยซูได้ออกเดินทางไปประเทศอินเดียที่รัฐโอริสา ไปเรียนศาสนาเชน ศาสนาพราหมณ์ แล้วก็ได้สอนขัดแย้งกับนักบวชเหล่านั้น เช่น คัดค้านเรื่องวรรณะ ต่อมาได้เดินทางไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาด้วยเช่นกัน แต่ความขัดแย้งก็ยังรุนแรงเช่นเดิม จนลูกศิษย์ได้พาพระองค์ไปยังเนปาลและได้เรียนภาษาบาลีคำสอนพุทธศาสนาที่นั่นจนมีความเชี่ยวชาญด้วย เมื่อพระองค์อายุได้ประมาณ 30 ปี ก็มีคนส่งข่าวมายังพระองค์ว่า นางมาเรียป่วย พระองค์จึงเดินทางกลับ 3. ในหนังสือชื่อ Commerce Between the Roman Empire and India กล่าวถึงความมีอยู่ของพุทธศาสนานิกายมหายานว่ามีความเจริญแพร่หลายที่สุดในปาเลสไตน์และอียิปต์ รากฐานของมหายานคือความเชื่อเรื่อง อาทิพุทธ คำว่า ก๊อด (God) ก็หมายถึงอาทิพุทธ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม God เป็นภาษาต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในภาษาซีเรียน ซึ่งเป็นภาษาพูดของมารดาพระ เยซู และคำนี้พระเยซู ท่านนำมาใช้ในการเทศน์สอนประชาชน อธิบายชัดๆ... คำว่า ก๊อด ในพระคัมภีร์ใหม่จริง ๆ แล้วหมายถึง พระพุทธเจ้า [/b] ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า คำนี้ย่อมมาจากคำว่า ก๊อตตะมะ (Godtama) ซึ่งเป็นชื่อโคตรของพระพุทธเจ้า แม้คำว่า อิลิยาห์ (Elijah) ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เลือนมาจากคำว่า อริยะ ว่าไปทำไมมี คำว่า บุตรพระเจ้า (The Son of God) ก็เลียนแบบการพูดถึงพระในพระพุทธศาสนาว่า “พุทธบุตร” นั่นเอง แล้วพระเยซูเรียกตัวท่านเองว่า บุตรพระเจ้า = พุทธบุตร นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้กำเนิดหรือศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู ท่านก็เป็นชาวพุทธ เช่นเดียวกับ ผู้ให้กำเนิดหรือศาสดาของศาสนพุทธ คือ พระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นคนในศาสนาพราหมณ์ ชื่อตอนบวชชื่อ "มุนีสมณะ" ย้ำ!!! คำว่า ก๊อด ในพระคัมภีร์ใหม่จริง ๆ แล้วหมายถึงพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า คำนี้ย่อมมาจากคำว่า ก๊อตตะมะ (Godtama) แท้จริง พระเยซูผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนา(พระสงฆ์ - อรหันต์) คำว่า The Son of God ก็คือบุตรของพระพุทธเจ้า หรือ พุทธบุตร 4. แล้วทำไมผมถึงบอกว่า พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายานล่ะ ถ้าคุณยังมองไม่เห็น ลองคิดดู ...... คนที่สามารถห้ามพายุได้ รู้ล่วงหน้าเหตุการณ์ต่างๆได้ ทำนายแบบเป๊ะๆเลยทั้งนั้น นอกจากนี้ ยังรักษาคนป่วยด้วยฤทธิ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนง่อย, คนแขนขาพิการ, คนตาบอด, คนใบ้ และคนเป็นโรคเรื้อน นอกจากนี้ พระเยซูยังแสดงปาฏิหาริย์ ขนาดชุบชีวิตคนตายได้ เรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้ เรียกได้ว่า พระเยซูผู้นี้ได้อภิญญา 5 ครบถ้วนแล้วแน่นอน แต่ที่สำคัญคือ - พระเยซูฟื้นขั้นมาจากความตายได้เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ เราบอกว่า พระโมคคัลลานะ เป็นพระอรหันต์ แล้วพระเยซูล่ะ ทำไมจึงจะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ - ที่สำคัญที่สุด นาทีสุดท้ายก่อนพระเยซูจะตายบนไม้การเขน พระเยซูได้พูดในประโยคสุดท้ายว่า : " โอ้พระบิดาเจ้า ทรงอภัยให้พวกเขาเถิด พวกเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป " แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลง คุณยังไม่เห็นอีกหรือว่า พระเยซูผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีเมตตาขนาดไหน แม้ว่าโดนทารุณสุดโหดจนตาย ท่านมิได้โกรธเลย กลับให้อภัยต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน 5. พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า: “พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง” ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:02:10 PM สำเร็จอรหันต์ กับ ไปสู่นิพพาน เหมือนกันหรือไม่? พระอรหันต์โพธิสัตว์คืออะไร? « เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 01:06:38 am »
สำเร็จอรหันต์ กับ ไปสู่นิพพาน เหมือนกันหรือไม่? พระอรหันต์โพธิสัตว์คืออะไร? สำเร็จอรหันต์ คือ ละราคะ ละโทสะ ละโมหะ ละกิเลสตัณหาในใจ ได้หมดแล้ว แต่ยังมีร่างกายหรือขันธ์ 5 อยู่ เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ" ไปสู่นิพพาน คือ ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์อีก(=ดับร่างกายหรือขันธ์ 5 คือ ร่างกายหรือขันธ์ 5 ตายไปพร้อมกับกิเลสตัณหา) สิ่งที่เขาไปสู่นิพพาน คือ ธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน ซึ่งเป็นแก่นของธรรม เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ถ้าธรรมกาย(อรหันต์)ใดอยากอยู่ช่วยงานสรรพสัตว์ต่อไป ก็ย่อมทำได้ โดยการตั้งปณิธานอย่างหนึ่งอย่างใดเอาไว้ เรียกว่า พระอรหันต์โพธิสัตว์(มหายาน) หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เรียกว่า "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" ท่านว่าจัดเป็นอนาคามีชั้นพิเศษ เป็นอรหันต์แล้วแต่ท่านไม่เอา เอาความเมตตากรุณาไว้ในใจดีกว่า เพราะฉะนั้น...พระอรหันต์โพธิสัตว์ หรือ "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" = ท่านสามารถละกิเลสทั้งหยาบและละเอียดออกจากใจแล้ว ไม่มีความโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่ท่านไม่ยอมเข้านิพพาน โดยทั่วไป พระอรหันต์โพธิสัตว์มหายานต้องการอยู่ช่วยสรรพสัตว์ต่อไป ท่านจึงต้องนำความเมตตากรุณามาใส่ลงในใจใหม่ แต่บางท่านก็ตั้งปณิธานอย่างอื่นเอาไว้ พูดง่ายๆ ก็แล้วแต่พวกท่านแต่ละคนว่า พวกท่านจะตั้งปณิธานไว้ว่าอย่างไร ตัวอย่างของพระอรหันต์โพธิสัตว์ พระมหากัสสปะ จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะอยู่รอพระศรีอริยะเมตตรัย และเข้านิพพานพร้อมกับพระศรีอริยะเมตตรัย หลวงพ่อสด จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะเดินวิชาปราบมารเพื่อช่วยงานพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม พระครูเทพโลกอุดร จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะอยู่รักษาพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี เจ้าแม่กวนอิม... จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาหรือปณิธานเอาไว้ว่า "หากยังมีสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ จักไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ" การตั้งความปราถนาหรือปณิธานของพระอรหันต์เหล่านี้ ทำให้กายทิพย์ที่เป็นกายธรรม(ธรรมกาย) เนื่องจากละกิเลสตัณหาหมดแล้ว ยังคงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป 2. ส่วนที่คุณบอกว่า พระเยซูเป็นแค่พระโสดาบัน ผมว่าพระเยซูไม่ใช่พระโสดาบันหรอกครับ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงเรียกตัวเองว่า พระบุตรของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ศาสนาคริสเตียนหรือศาสนาคริสต์นิกายอื่น ระบุชัดเลยว่า ท่านไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้ว ซึ่งเท่ากับพระอรหันต์ไม่ใช่หรือครับ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ...." "....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...." « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 12, 2010, 01:09:50 am โดย phonsak » ------------------------------------------------------------------------------------------------ คุณพลศักดิ์ ครับ "ภูตพระเจ้า" คืออะไร ใครบัญญัติขึ้นมา ขอที่มาด้วย 1. แหม! คุณจิ๊กเป๋ง ผมก็บอกแล้วว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เรียกว่า "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" ท่านว่าจัดเป็นอนาคามีชั้นพิเศษ ถ้าคุณต้องการดูฉบับเต็ม ก็ไปค้นในgoogle.co.th ใส่คำว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ คำว่า "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" หรือ จะค้นคำว่า อนาคามีชั้นพิเศษ ก็เจอแล้ว หลานผมค้นเป็นตั้งแต่ป.2 ผมคงฃ่วยคุณได้แค่นี้นะครับ ถ้าภูมิปัญญาคุณต่ำกว่าป.2 ผมจะค้นให้ 2. อีกอย่าง...คำว่า "วันพระเจ้าเปิดโลก" ไอ้พวกแก๊งค์หัวล้านห่มผ้าเหลือง ที่เรียกตัวเองว่า สงฆ์ฝ่ายปริยัติ มันก็ไปเปลี่ยนเป็น "วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก" พวกนี้โง่จริงๆ....ใครจะเปิดภพภูมิสวรรค์นรกพรหมโลกทุกชั้นให้สรรพชีวิตเห็นกันจะจะขนาดนี้ได้? ผู้ที่ทำได้ขนาดนี้ มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พวกนี้ยังไม่รู้อีกว่า พระพุทธเจ้า คือ พระเจ้า ที่อวตารเกิดมาเป็นมนุษย์ "...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต " (ที.ปา. 11/51/91) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ฤษีโลกียะ อ้างอิงข้อความ: อันนี้อีกอัน เอามาจากไหนเหรอ เฮ้อ ความรู้ของเรานี้มาจากจิตที่หยุดนิ่งและบุญบารมีตั้งแต่ชาติปางก่อน ถ้าเธออธิษฐานขอรู้ความลับของฟ้า แล้วจิตเธอหยุดได้แล้ว+บุญบารมีเธอทำมาถึงแล้ว ฟ้าย่อมเปิดทางให้เธอรู้ - เรื่อง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นข้อมูลทั่วไป - เรื่อง "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" จัดเป็นอนาคามีชั้นพิเศษ หลวงปู่ดู่ สอนไว้ - เรื่อง พระอรหันต์โพธิสัตว์(มหายาน) อยู่ในตำรามหายานทั่วไป เพียงแต่มารเขาปิดบังจิตเธอไม่ให้รู้ ถึงอ่านก็ไม่เข้าใจ - เรื่องพระเยซู ก็เช่นกัน เห็นกันอยู่ว่าท่านมีอภิญญา 5 ครบ และไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 แสดงว่าท่านเข้าถึงอรหันต์แล้ว เพียงแต่มารเขาปิดบังจิตเธอไม่ให้รู้ ถึงอ่านก็ไม่เข้าใจ แม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านยังโดนมารปิดบังจิตเลย ไม่ให้รู้ความจริงเรื่องพระยซูอย่างทะลุปรุโปร่ง ให้รู้เพียงบางส่วน ตามสมควรแก่ความเป็นอรหันต์เถววาทของท่าน - เรื่องหลวงพ่อสด พระมหากัสสปะ พระครูเทพโลกอุดร เจ้าแม่กวนอิม ข้อมูลก็มีอยู่ทั่วไป แต่ก็อีกนั่นแหละ มารปิดบังจิต ไม่ให้ใครรู้ความจริง อ่านก็ไม่เข้าใจ หรือเลยข้ามไป มารเขาปิดบังจิตเราไม่ได้แล้ว พระพุทธองค์จึงให้เรามาบอกพวกเธอให้รู้ความจริง หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:04:57 PM ทำหมันแมว บาปไหมหนอ???
« เมื่อ: สิงหาคม 13, 2010, 12:46:07 am » ผมตอบว่า: บาป = การกระทำด้วยจิตเจตนาอกุศล คนที่ทำหมันสัตว์เกือบทั้งหมด ล้วนไม่มีจิตเจตนาอกุศล ส่วนใหญ่จึงไม่บาป เขาต้องการเลี้ยงแมวตัวนั้น และเขาไม่ต้องการให้ลูกๆของมันที่ออกมาต้องอดอยาก กลายเป็นแมวจรจัด แล้วอดอยากตายในที่สุด เพราะแมวตัวหนึ่งอาจออกลูกได้ในช่วงชีวิตของมัน 15-20 ตัว จะไปเลี้ยงไหวได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้ มันชัดเจนอยู่แล้วว่า คนที่ทำหมันสัตว์มีเจตนาจิตเป็นกุศล ปัญหาคือ คนในเว็บธรรมะส่วนใหญ่ เป็นผู้ไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจที่มาของศีล 5 จึงแนะนำผิดๆถูกๆ ทำให้คนทำหมันแมวมีความสับสน คุณkoongKTMกล้ายอมทำผิดศีล 5 เพื่อส่วนแมวและลูกๆของมันในอนาคต ถือว่าทำกุศลใหญ่มาก คุณ gum โต้ว่า: ศีล 5 คือ ฐานทั้ง 5 ของชีวิต ศีล หรือ ศีละ แปลว่า ปกติ นั่นย่อมหมายความไปด้วยว่า ปกติของมนุษย์นั้น มีสิ่งที่ควรทำอยู่ 5 อย่าง นั่นคือ 1. ไม่เบียดเบียนผู้อื่น 2. ไม่นิยมในทรัพย์ของผู้อื่น 3. ไม่นิยมในของรักของหวงของผู้อื่น 4. ไม่พูดจาโป้ปด 5. ไม่กินหรือดื่นของมึนเมาหมักดอง แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เราเอาศีล 5 มาแปลความผิด จากคำว่า "ไม่" กลายเป็น "ไม่ควร" จากคำว่า "ไม่ควร" กลายเป็น "เว้น" จากคำว่า "เว้น" กลายเป็น "ตามความเหมาะสม" ขนาดแพทย์ที่ผู้ป่วยยินยอมให้ทำแท้ง เพราะลูกไม่สมบูรณ์นั้น ก็ยังจัดว่าบาป บาปเพราะไปห้ามการเกิดของผู้อื่น บาปที่ไปห้ามการชดใช้กรรมของผู้อื่น จะทำหมัน หรือทำแท้ง ก็คือการห้ามการเกิดของผู้อื่น แมวพูดไม่ได้เหมือนคน ว่าอยากจะทำหมัน สัตว์สมสู่แค่ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง และการสมสู่กันนั้นก็เพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์ แต่คนเรานั้น สมสู่กันได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ หากว่าต้องการ ลองพิจารณาดูเองครับ ผมตอบว่า: 1. คุณ gum ครับ ผมว่าคุณ gum กำลังเข้าใจผิดอย่างแรงที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำผิดศีล 5 เป็นบาป ก็ต่อเมื่อมีจิตเจตนาเป็นอกุศลขณะกระทำ ถ้าทำผิดศีล 5 ด้วยจิตเจตนาเป็นกุศล นั่นคือกุศล ครับ เพราะฉะนั้น การที่ใครจะพูดว่า ไม่..ไม่ควร..งดเว้น หรือ "ตามความเหมาะสม" เป็นเรื่องความเข้าใจศาสนาของเขาเอง ถ้าคุณเป็นคนเคร่งแบบผิดๆ ยึดเอาว่า ผิดศีล 5 ทุกอย่างบาปทั้งนั้น = คุณต้องใช้คำว่า"เว้น หรืองด" ถ้าคุณเป็นคนที่พอมีเหตุผลบ้าง ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ทำเช่นนั้น เช่น โกหก เพื่ออะไร? ถ้าเพื่อไม่ให้ผู้ฟังเสียใจ = คุณต้องใช้คำว่า "ตามความเหมาะสม" ถ้าคุณไม่แน่ใจในเรื่องศีล 5 = คุณต้องใช้คำว่า "ไม่ควร" 2. คุณ gum ครับ(ต่อ) ผมคิดว่า คุณน่าจะยังเข้าใจพุทธศาสนาผิดพลาด และเคร่งครัดแบบผิดๆ - ทำแท้ง ก็คือการห้ามการเกิดของผู้อื่น ส่วนใหญ่ 98% มีจิตเจตนาเป็นอกุศลขณะกระทำ = บาป ที่สำคัญ คุณเออออเอง และสรุปเองนะครับว่า: ขนาดแพทย์ที่ผู้ป่วยยินยอมให้ทำแท้ง เพราะลูกไม่สมบูรณ์นั้น ก็ยังจัดว่าบาป นี่เป็นความเข้าใจพุทธศาสนาที่ไม่ถูกต้อง มันเห็นชัดๆว่า ครอบครัวของเด็กทำมหากุศลครั้งใหญ่ตัวต่อเอง และลูก ไม่ต้องการให้เขาเกิดมาพิกลพิการ ยอมเสียสละชีวิตลูกที่ตนรักที่สุด เพื่อไม่ให้ลูกต้องอดอยาก พิกลพิการ ทุกรูปแบบ ....คุณว่า แม่และพ่อเด็กยอมเสียสละชีวิตลูกที่ตนรักที่สุดด้วยจิตเจตนาอกุศล แล้วทำแท้งเด็กหรือ บาปคือจิตอกุศลนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาคือกรรม เจตนานี้คือเจตนาทางใจ เพราะตรัสด้วยว่า ใจเป็นใหญ่ ในเป้นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ถ้าคุณเอาเจตนาทางกายและวาจามาเป็นใหญ่ เหนือกว่า เจตนาทางใจ = คุณยังไม่เข้าใจพุทธศาสนาดีพอ - ทำหมัน ก็คือการห้ามการเกิดของผู้อื่นเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ของผู้ไปทำหมันให้แมวหมา มีจิตเจตนาเป็นกุศลขณะกระทำ = บุญ และเป็นมหากุศลด้วย และบุญนี้ถือเป็นมหากุศลด้วย เพราะทั้งๆที่รู้ว่าผิดศีล 5 เขาก็ยังทำ ด้วยจิตที่เมตตา กรุณา สงสารสัตว์อื่น กลัวว่าลูกหลานของมันจะอดอยาก เป็นแมว หมาเร่ร่อน และเป็นภาระสังคม สัตว์สมสู่ได้ปีละ 2 ครั้ง แต่ออกลูกได้ครั้งละ 3-7 ตัวนะครับ 5 ปีออกลูกมา 20 ตัว ใครจะหาอาหารให้พวกมัน เป้นเหตุให้มีหมาเร่ร่อน แมวเร่ร่อน เต็มเมือง เพราะคนที่ไม่รู้จักศีลธรรมแบบคุณ มันมีเต็มเมือง ไม่มีการคุมกำเนิดสัตว์ คนออกลูกได้ครั้งละหนึ่ง แต่ด้วยความยากจน ความอาย สุดท้ายก็ทิ้งลูก ถ้าคนเรายังไม่มีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ เขาผู้นั้นย่อมไม่เข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้า หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:08:29 PM พระศรีอริยะเมตตรัย และพระอวโลกิเตศวร มี 2 องค์ « เมื่อ: สิงหาคม 13, 2010, 05:43:45 pm »
พระศรีอริยะเมตตรัย และพระอวโลกิเตศวร มี 2 องค์ คำว่า "พระพุทธเจ้า" มีพระนามปรากฏอยู่ใน 3 ภาวะด้วยกัน คือ พระธรรมกาย พระสัมโภคกาย และพระนิรมาณกาย พูดง่ายๆ...ธรรมกาย สัมโภคกาย นิรมาณกาย เหล่านี้ คือ พระกายของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแหล่ "ธรรมกาย" เป็นมูลฐานสร้างของสัมโภคกาย และสัมโภคกายเป็นมูลฐานสร้างนิรมาณกาย พระพุทธเจ้าองค์แรก หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ในโลกทั้งปวงหรือในจักรวาล คือ อาทิพุทธ ( จีนเรียก ออ ที้ หุก ท้อ ) ทรงเป็นองค์สยัมภูมิ ( เกิดขึ้นเอง ) อาทิพุทธจึงเป็นต้นกำเนิดของอำนาจพลังแห่งจักรวาลที่เรียกว่า "พระธรรม" จริงๆ อาทิพุทธก็คือพระธรรม ไม่มีต้นไม่มีปลาย นั่นเอง ย้ำ!!! พระอาทิพุทธเจ้า เป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าอื่นๆ รวมทั้งพระโพธิสัตว์และสรรพสิ่งต่างๆ อาทิพุทธ เป็นผู้เกิดเองไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย แล้วอาทิพุทธ ซึ่งเป็นธรรมกาย และเป็นสภาวะอันเป็นอมตะ เป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ด้วยอำนาจสัมผัส ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด อย่างไรก็ตาม ท่านต้องอยู่ตามลำพังในจักรวาล อาทิพุทธ จึงแตกกระจายตัวเองออกไปเป็นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มากมาย รวมทั้งสร้างสรรพชีวิตขึ้นในจักรวาลด้วย พระพุทธเจ้ามากมาย ล้วนเกิดขึ้นจากอำนาจฌานของพระอาทิพุทธเจ้า เรียกว่า ฌานิพุทธเจ้า หรือธยานิพุทธะ กายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามากมายนั้น ไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะที่เป็นทิพย์ อยู่ชั่วนิรันดร์กาล เรียกว่า "สัมโภคกาย" สัมโภคกาย-ในโลกทั้งปวงที่อยู่ในจักรวาลนั้น มีพุทธลักษณะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค แตกต่างกันในด้านชื่อเสียงเรียงนาม ในบุคคลิกลักษณะรูปร่างและประสบการณ์ อนึ่ง ธยานิพุทธะ หรือ สัมโภคกาย ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้ลงมาสร้างบารมีเหมือนพระมานุสสพุทธะ (พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์) อธิบายให้ชัดๆเลย...พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า (จีนเรียก เซกเกียม้อหนี่ฮุด) เป็นกายเนื้อหรือ นิรมานกาย ของสัมโภคกายพระอมิตภะพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นแค่ตำแหน่งหรือยศเท่านั้น เมื่อมีมนุษย์คนใดบำเพ็ญบุญบารมีจนเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า "พระสัมโภคกาย"ของพระพุทธเจ้าก็จะมาสิงสถิตในเขา ความจริงแล้ว "พระโคดมพุทธเจ้า" ที่โปรดเวไนยสัตว์อยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วนั้น ก็ไม่ใช่เป็นองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง แต่เป็นเพียงรูปมายา ในการแผ่พุทธบารมีลงมาโปรดมนุษย์ของพระพุทธเจ้า ที่อยู่ในพุทธภาวะ "พระสัมโภคกาย" จากพุทธเกษตร เป็นการชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไหนๆก็เปิดเผยความลับของฟ้าแล้ว ก็ขอเปิดต่ออีกหน่อย - พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นกายทิพย์ที่มีรัศมีรุ่งโรจน์ หรือ สัมโภคกาย ของพระสัทธรรมวิทยาตถาคต - พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นกายเนื้อหรือ นิรมานกาย ของสัมโภคกายของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งกำเนิดเนิดจาก "พระสัทธรรมวิทยาตถาคต(พุทธเจ้า)" อย่างไรก็ตาม พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะถือว่าเป็นตำแหน่งหรือยศก็ได้ เมื่อมีมนุษย์คนใดบำเพ็ญบุญบารมีจนเข้าถึงความเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ "พระสัมโภคกาย" ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จากพุทธเกษตร ก็จะมาประทับอยู่กับเขา ด้วยเหตุนี้ จึงมี"พระสัมโภคกาย" ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จากพุทธเกษตร มาประทับอยู่กับมนุษย์คนอื่นด้วย เช่น คุณ ชิงไห้ ที่ลือว่าเป็นอวตารของพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วพระศรีอริยะเมตตรัยล่ะ ประทับอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ใช่ไหม? และต่างอะไรกับพุทธเกษตรล่ะ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์มี 2 องค์ครับ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ที่เป็นมนุษย์ที่ชื่อ "อชิตะ" นั้นอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ของมนุษย์ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ที่เป็น"พระสัมโภคกาย" หรือธยานิพุทธจากพุทธเกษตร นั้นอยู่ในพุทธเกษตร ชื่อ ดุสิต เหมือนกัน สรุป ในพุทธศาสนามหายาน ได้จำแนกกายของพระพุทธเจ้าเป็น 3 กาย ๑. นิรมาณกาย คือ กายที่ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนมนุษย์ทั่วไป มหายานเชื่อว่า พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลกในสภาวะนิรมาณกายนี้ เพราะนิรมาณกายถูกเนรมิตจากสัมโภคกาย ๒. สัมโภคกาย คือ กายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนนับไม่ถ้วน ดำรงพระองค์อยู่ประจำใน"พุทธเกษตร"หลากหลาย ซึ่งไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะที่เป็นทิพย์ อยู่ชั่วนิรันดร์กาล ๓. ธรรมกาย คือ พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล เป็นต้นกำเนิด ก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งปวงที่เป็นจักรวาล ธรรมกายเป็นสภาวะอันเป็นอมตะ เป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ด้วยอำนาจสัมผัส ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด "พุทธเกษตร" หลากหลาย มีจำนวนมากมาย พุทธเกษตรเหล่านี้ ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ของโลกมนุษย์ แต่อยู่เหนือสรวงสวรรค์ชั้นบนโลกมนุษย์ขึ้นไป สัมโภคกาย-เป็นการแผ่ขยายอำนาจพุทธบารมีของ"พระธรรมกาย"ออกมาปรากฏให้เห็น "สัมโภคกาย"จัดเป็นพุทธภาวะขั้นที่ 2 ส่วน "ธรรมกาย" เป็นพุทธภาวะขั้นปฐม-ขั้นที่ 1 มีอยู่เดิมตามธรรมชาติ ในขณะที่ "นิรมาณกาย"นั้น เป็นพุทธภาวะขั้นที่ 3 เกิดจากการแผ่อำนาจพุทธบารมีของ"สัมโภคกาย"ลงมาปรากฏพระองค์อยู่ในพุทธภาวะเป็นมนุษย์ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ เนื่องจาก พระพุทธเจ้าของเราเป็นสัมโภคกายของพระอมิตภะพุทธเจ้า แล้วผมพูดถึงสัมโภคกายและนิรมานกายของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์เท่านั้น บางท่านจึงอยากรู้ถึงสัมโภคกายของพระพุทธเจ้า ที่จะมาเกิดเป็นพระศรีอริยะเมตไตรพุทธเจ้าในอนาคต ผมพูดได้แค่....บางตำราบอกว่าพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้าในอนาคตคือ สัมโภคกายของพระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า ที่จะแบ่งภาตลงมาจุติในโลกมนุษย์ « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 13, 2010, 05:47:58 pm โดย phonsak » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:12:17 PM พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม)เคยเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่? « เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 03:29:47 pm »
ภุมมวารี อ้างอิงข้อความ: สาธุค่ะ ขอรบกวนท่านผู้เจริญอธิบายเพิ่ม พระสัทธรรมวิทยาตถาคต ค่ะ ......ขอบคุณค่ะ........ พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) เคยเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่? จากพระโอษฐ์ของโคตมะพุทธเจ้า 1. ในคัมภีร์สหัสภุชสหัสเนตร อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไวปุลยสมบูรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตร ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ทรงแสดงอภิญญาฤทธิ์พร้อมกับการกล่าวแสดงมหากรุณาธารณีมนตร์อันทรงอานุภาพแล้ว พระอานนท์เถระเจ้า ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์นี้มีนามอักษราเช่นใดฤๅ ถึงอาจกล่าวแสดงธารณีได้ปานฉะนี้ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้มีนามว่า อวโลกิเตศวร, อโมฆบาศโลเกศวร,สหัสประภาเนตร ดูก่อนกุลบุตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพไพศาลเหนือการคาด คะเนตรึกคิด ในอดีตกาลล่วงมานับประมาณกัลป์มิได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ ตรัสรู้พระสรรเพชุดาญาณ พระนามว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงมีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อยังความสุขศานติให้สําเร็จแก่สรรพสัตว์ แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว ) ย้ำ! สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาล แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว ) มีบทสรรเสริญสดุดีพระสัทธรรมวิทยาตถาคตใน บทมหากรุณาขมากรรม ว่า “นโมพระสัทธรรมวิทยาตถาคตเจ้าในอดีต ซึ่งคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในปัจจุบัน” 2. ในมหากรุณาธรณีสูตร องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงมีพระดำรัสสรุปความแก่บรรดา พุทธโพธิสัตว์ และทวยเทพในที่ประชุมว่า "แท้ที่จริงแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้ ได้สำเร็จธรรมในขั้น "พุทธะ" เมื่อครั้งหลายแสนกัปป์มาแล้ว ทรงพระนามว่า "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" แต่ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะโปรดเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้มาร่วมกันฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ในทะเลทุกข์ พระองค์จึงทรงหวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีก" ย้ำ! "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" จึงทรงหวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีกเป็นพระอวโลกิเตศวร" สรุป จากคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าในมหากรุณาธรณีสูตร และในคัมภีร์สหัสภุชสหัสเนตร อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไวปุลยสมบูรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตร จึงยืนยันได้ว่า 1. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) เป็นพระพุทธเจ้านามว่า "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" หรือ “พระสัทธรรมวิทยาตถาคต” แต่พระองค์ท่านไม่ยอมเข้านิพพาน พระองค์นำความกรุณาอันยิ่งใหญ่เข้ามาไว้ในใจอีก ทั้งนี้เพื่อจะได้อยู่ในภพ 3 คอยช่วยเวไนยสัตว์มากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ในทะเลทุกข์ 2. "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" หรือ “พระสัทธรรมวิทยาตถาคต” ทรงเนรมิต(อวตาร)หวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีกเป็น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:14:34 PM พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า พระองค์ท่านเป็นตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)
« เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 08:44:23 pm » อ้างถึง ผมจะเป็นคนดี ถามว่า: พอมีท่านใดทราบไหมครับว่า พระพุทธศาสนาของพระอรหันตสัมาสัพุทธเจ้า เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าฮินดูต่างๆหรือไม่ ครับ ตอบ เกี่ยวซิครับ พระอรหันตสัมาสัพุทธเจ้าท่านบอกเองว่า ท่านเป็นพรหมสูงสุดของฮินดู ดูหลักฐานนะครับ ยกมาให้แค่ 2 พระสูตรในพระไตรปิฎกที่ชี้ว่า พระพุทธเจ้าคือ พระพรหมสูงสุด และพระราม(อวตารพระนารายณ์) และ 1 พระสูตรของมหายานที่ชแสดงว่า พระศากยะมุนีพุทธเจ้า เทียบได้กับพระอีศวร เมื่อรวม 3 พระสูตรนี้ คุณจะเห็นเองว่าพระพุทธเจ้าของเรา คือ ตรีมูรติ(พระพรหม/ศิวะ/นารายณ์) *** 1. หลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพรหมสูงสุด และเป็นพระราม(อวตารพระนารายณ์)มาเกิด*** ในยุคพุทธกาลนั้น ศาสนาพราหมณ์เขาเรียก พระเจ้า ว่า พระพรหม ดังข้อความนี้ "พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม" แต่โคตมะพุทธเจ้าเปลี่ยนคำว่าพรหมออก แล้วเรียกพรหมเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง พระธรรมบ้าง ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า: "ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่น ในตถาคต เกิดขึ้นแล้ว แต่รากแก้ว คืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้หนึ่งผู้ใดในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)" ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร หรือ พระไตรปิฎกของเถรวาท เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 150 เรื่อง อัคคัญญสูตร *** 2. หลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระราม(อวตารพระนารายณ์)มาเกิด*** พระรามในศาสนาฮินดูคืออวตารของพระนารายณ์ใช่ไหมครับ แล้วถ้าพระพุทธเจ้าตรัสว่าทานเป็นพระรามมาเกิด ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ จริงไหมครับ มาจาก เล่ม ๖๐อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ตอนท้ายของอรรถกถานี้มีดังนี้: พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็นสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็นพระมหามายา สีดาได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็นอานนท์ เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตแล. *** 3. หลักฐานในพระสูตรที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้ามีความบริสุทธิเทียบกับพระอีศวร*** มาจาก วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ปริเฉทที่ 1 พุทธเกษตร แปลโดยเสถียร โพธินันทะ .......สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”....... ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.” « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 17, 2010, 09:00:24 pm โดย phonsakw » --------------------------------------------------------------------------------------------------- ศิษย์หน่ำเทียนมึ้ง แย้งว่า: แล้วการอ้างอิงพระไตรปิฏก ควรรูว่ามีกี่เล่นเท่าที่ผมรู้มีเพียง 45 เล่มนะครับ อ้างอิงจากเว็ป http://www.84000.org/ แล้วเล่มที่ 60 นี่ตกลงใครแต่งครับ ด้วยความเคารพขอทราบความรู้หน่อยครับ หรือผู้ที่แต่งเล่มที่ 60 คือร่างทรงพระพุทธองค์ ตอบ ขอประทานโทษครับ บางครั้งผมทำอะไรรีบร้อน ลงอ้างอิงผิดไป ถ้าหาไม่เจอ ลองไปหาในทสรถชาดก ใน 2 บรรทัดสุดท้ายเขียนไว้ชัดเจนเลยครับ http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-08-13/chadok-110107.htm อย่างไรก็ตาม ถ้าไปหาในชาดก - เอกาทสกนิบาตชาดก - ๗. ทสรถชาดก http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81_-_%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81_-_%E0%B9%97._%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81 น่าจะมีการตัดทอนหรือบิดเบือนอะไรสักอย่าง อันนี้ผมก็ไม่รู้นะ เพราะเขาลงถึงแค่ ๑๕๗๖] พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหาใหญ่ ทรงครอบครอง ราชสมบัติอยู่ตลอด ๑๖,๐๐๐ ปี. จบ ทสรถชาดกที่ ๗. ส่วน http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-08-13/chadok-110107.htm ลงเต็มเลยครับ ลองดูนะครับ [๑๕๗๖] พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหาใหญ่ ทรงครอบครอง ราชสมบัติอยู่ตลอด ๑๖,๐๐๐ ปี. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็นสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น พระมหามายา สีดาได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น อานนท์ เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน รามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตแล. จบทสรถชาดก เพื่อความsureผมเลยไปค้นในhttp://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=271564 มีข้อความดังนี้ พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหาใหญ่ ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่ตลอด ๑๖,๐๐๐ ปีดังนี้ ย่อมประกาศเนื้อความนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺพุคิโว ความว่า มีพระศอ เช่นกับแผ่นทองคำ. จริงอยู่ ทองคำเรียกว่า กัมพุ. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา สีดาได้มาเป็น พระมารดาพระราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น พระอานนท์ เจ้าลักขณ์ได้มาเป็น พระสารีบุตร บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต แล. จบอรรถกถาทสรถชาดกที่ ๗ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:18:29 PM ฆ่าสัตว์หยาบช้า ตกนรกแน่นอน ยกเว้นสำนึกบาป ตั้งใจเว้นการกระทำแบบนั้นอีกอย่างเด็ด « เมื่อ: สิงหาคม 22, 2010, 12:48:52 am »
ฆ่าสัตว์หยาบช้า ตกนรกแน่นอน ยกเว้นสำนึกบาป ตั้งใจเว้นการกระทำแบบนั้นอีกอย่างเด็ด อ้างจาก: love@mind ที่ สิงหาคม 15, 2010, 08:11:44 AM ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ หยาบช้า มีมือ ชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ที่มีชีวิต ทั้งปวง บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรม ของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาก็คด อุบัติของเขาก็คด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือกำเนิดดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสน ของบุคคลผู้มีคติคด ผู้มีอุบัติอันคด ฯ อิอิ ตอบ พุทธพจนที่คุณยกมาเป็นภาวะปกติ ทำบาปกรรมก็ต้องได้รับผล พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทเรื่องนี้ แต่ในภาวะไม่ปกติที่เราได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา หรือ เราทำการก้าวล่วงบาปกรรม ผลกรรมที่จิตใต้สำนึกของเรานำมาให้เราในโลก มันจึงเบาบางลงไป และในนรกมันสลายไป อสังขาสูตร สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่(และบาปอย่างอื่น) แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้ 2. พระพุทธเจ้าบอกทางแก้ที่จะไม่ตกนรกในพระสูตรนี้ให้ด้วย ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(และบาปอย่างอื่น) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ แต่เรื่องตามพุทธพจน์ที่คุณยกมา เขาไม่ได้ละ ลด เลิก ปาณาติบาต แต่อย่างใด และยังทำปาณาติบาตด้วยจิตอกุศลอย่างชัดเจนอีก ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง เขาจึงต้องไปใช้กรรมในนรก ผมชี้ทางไม่ให้คุณลงนรกเพราะความเข้าใจพุทธพจน์ในภาวะปกติที่ทำบาปอย่างเดียว ไม่เข้าใจพุทธพจน์แบบครบถ้วนว่า กรรมเหล่านี้แก้ได้โดยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม สำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป แต่ถ้าคุณต้องการจะลงนรกต่อไปให้ได้ ยังไงๆกูก็จะลงให้ได้ อย่ามายุ่งเรื่องของกู... อันนี้ผมก็คงไม่ว่าอะไร ตามสบายครับ ไปอาบไฟร้อนๆในนรกสัก 100 ปี คงจะทำให้คุณเลิกบิดเบือนพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า โดยพูดแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ไม่พูดให้ครบถ้วน --------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: ผู้เล็งเห็นทุกข์ ที่ สิงหาคม 22, 2010, 11:43:20 am หยุดทำชั่ว ไม่ทำชั่วอีก ทำความดี และรักษาความดีนั้นไว้ **** ด้วยไหม ตอบ ความชั่วมี 10 ชนิด(อกุศลกรรมบท 10) "หยุดทำชั่ว ไม่ทำชั่วอีก ทำความดี และรักษาความดีนั้นไว้" เป็นความพูดที่กว้างมาก ไม่ได้ช่วยให้ไม่ต้องรับกรรมในนรก ต้องระบุให้ชัดว่าความชั่วชนิดไหน หรือไม่ก็การสมาทานศีล หมายถึง การรับศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ ต้องงดเว้นจากการประพฤติผิดต่างๆ ซึ่งจะเกิดผลดังนี้สำหรับบาปที่เคยทำมาแล้ว "บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น" "ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก บางคนทำบาปเพียงเล็กน้อยเหมือนกัน แต่บาปกรรมให้ผลเพียงในปัจจุบันชาติเท่านั้น (ทิฏฺฐธมฺมเวทนีย์)(แล้ว)ไม่ปรากฎผลอีกต่อไป" “บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก? คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก" “บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่บาปนั้นให้ผลอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันแล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป? คือบุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้" พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระองคุลิมาล ที่เลิกฆ่าคนเด็ดขาด หลังจากพระองคุลิมาลไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี แล้วถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก) "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" = องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เพราะว่าท่านสำนึกบาป(ทำการก้าวล่วงบาปกรรม) ทำให้ท่านรับผลกรรมเป็นอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นวิบากกรรมที่เบาบางลงมาก แล้ววิบากกรรมก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้..พระองคุลิมาลองคุลิมาลจึงไม่ตกนรกเพราะจึงไม่ตกนรกเพราะการสำนึกบาปตั้งใจเลิกฆ่าคนอีกตลอดไป ไม่ใช่เพราะว่า องคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะการบรรลุอรหันต์แต่อย่างใด ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"[/b องคุลิมาลยังเป็นพระบวชใหม่อยู่ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:23:06 PM ทำสมาธิมือใหม่ อย่าใช่บทแผ่เมตตาที่พระสอน...เจอผีแน่ « เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 01:24:25 pm »
ทำสมาธิมือใหม่ อย่าใช่บทแผ่เมตตาที่พระสอน...เจอผีแน่ คุณtalasa แนะนำว่า: โดยปรกติแล้ว หลายท่านเวลาที่แผ่เมตตา มักจะใช้บทแผ่เมตตาบทนี้ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ - ขอสัตว์ทั้งปวง อย่าได้มีเวรให้แก่กันเลย อัพพะยาปัชฌา โหนตุ - ขอสัตว์ทั้งปวง อย่าได้เบียดเบียนทำร้ายกันเลย อะนีฆา โหนตุ - ขอสัตว์ทั้งปวง อย่าได้มีความทุกข์ทางกายและความทุกข์ ทางใจใด ๆ เลย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ - ขอให้มีความสุข รักษาตัวเองให้รอดพ้นไปได้ด้วยเถิด ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อแผ่เมตตา หลายท่านจะกล่าวบทเหล่านี้ รวมกันไป ผมไม่แนะนำให้ใช้บทแผ่เมตตาใดๆของคุณทั้งนั้น เพราะอะไรรู้ไหมครับ 1. บทเหล่านั้นเป็นบทของพระภิกษุทั่วๆไป ประชาชนนำไปใช้ ผมรับประกันเลยครับ เจอผีหลอกแน่นอน ผีที่ได้รับกุศลจากการแผ่เมตตาของคุณ พวกมันไม่หลอกคุณแน่ ไอ้ผีที่หลอกเป็นพวกที่ไม่ได้รับกุศลจากคุณ สัพเพ สัตตา = ทั้งหมด หรือทุกดวง แล้วคุณมีผลบุญขนาดไหนกัน จึงเรียกทุกสรรพชีวิตทั้งหมดมารับส่วนแบ่งกัน เหมือนคุณมีข้าวจานเดียว เสือกไปตะโกนว่า "พวกเราทั้งหมดมากินอาหารกัน" ...มันบ้าไหม 2. น้องผมเคยอยู่อิหร่าน มันทะลึ่งใช้บทสัพเพ สัตตา พอมันนอน นอนไม่ได้เลย ผีตัวนั้นตัวนี้มาอำ ไอ้ผีที่ได้รับส่วนบุญจากการแผ่เมตตา มันก็มาดี ขอบคุณใหญ่ บอกด้วยว่ามันอิ่มจากบทสวดนี้ ไอ้ผีที่ไม่ได้รับส่วนบุญจากการแผ่เมตตาน่ะซิ มันจะเอาตาย ขยี้พลังลงมาใส่ 3. ผมแผ่เมตตาตอนที่อยู่ในฌานเลย จะหวะนั้นพลังจิตจะสูงที่สุด แผ่ระบุไปเลยว่าให้ใคร ญาติเราคนไหน อย่าไประบุทุกคนที่เป็นญาติเรานะ มันมีมากมายมหาศาล เดี๋ยวเจอดีแบบเดียวกัน 4. พอสมาธิเราแข็งแกร่งขึ้น วิญญาณที่เขาเดือดร้อนเขาจะมาให้เรารู้เองตอนอยู่ในสมาธิ บางทีมากันเป็นแสนดวง ก็พายุนากิสที่ฆ่าประชาชนพม่านั่นไง วิญญาณเหล่านั้นมาหาผม(รู้ในจิต) ผมเห็นแล้วรู้เลยว่าน่าจะเป็นแสนดวง ผมเลยบอกพวกเขาว่า ช่วยไม่ไหวในวันเดียว ใครรับกุศลจากการแผ่เมตตาของผมแล้วก็ไปเลย ไม่ต้องมาขอบคุณ และไม่ต้องมาหาอีก มาเฉพาะที่ยังไม่ได้รับกุศล พวกเขาก็ทำตามนั้น กว่าวิญญาณพวกพม่าจะรับผลบุญครบ ผมต้องแผ่เมตตา 6 วัน วันสุดท้ายผมขอให้เขาส่งตัวแทนมาคนหนึ่ง ให้ผมเห็นทางจิตเลย และให้มาสัมผัสตัวผมได้ ผมจะได้รู้ว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เพราะตอนที่พวกเขามา ผมเห็นแต่หัวในความมืด เยอะมากเหลือเกิน วิญญาณพวกพม่าก็ส่งตัวแทนมาคนหนึ่งจริงๆ เป็นผู้ชายนุ่งสโร่งแบบพม่า อ้วนนิดๆพองาม มาจับมือขอบคุณผมใหญ่ ผมเห็นจะจะ วิญญาณของเขามาจับมือ สัมผัสตัวผม(กายทิพย์,วิญญาณ)ด้วย จึงรูว่าไม่ใช่ความฝัน ครั้งนั้นผมประเมินว่า กระแสเมตตาของผม วิญญาณที่ได้รับประมาณ 20,000 ดวง ต่อครั้ง แล้วก็ต้องชาร์ตพลังใหม่ 5. เมื่อปีก่อนผมไปอุดร พอเข้าไปในโรงแรม ก็รู้ทันทีว่า โรงแรมนี้มีผี ผมก็คิดในใจว่า ผีพวกนี้โชคดีจริงๆที่ผมมานอนที่นี่ ตกดึกผมก็นั่งทำสมาธิ พอทำไปสักครึ่งชั่วโมง ก็แผ่เมตตาให้เหล่าผีทั้งหมดในโรงแรม หลังจากนั้นมาคิดดู เดี๋ยวผมนั่งสมาธิอีก 15 นาที และแผ่เมตตาออกไปให้บรรดาสรรพวิญญาณระบุไปว่าทั้งหมดในจังหวัดนั้นเลย ดูว่าเขาจะได้รับจำนวนสักกี่ดวง เพราผมบอกให้เขามาหาด้วย ปรากฏว่าตอนผมนอน มีเทวดาคนหนึ่งมาปลุก บอกว่า "ท่านมีวิญญาณมาหาท่านเยอะแยะเลย" ผมก็ถามว่าสักกี่ดวง เทวดาตอบ "200,000 ดวง" ตอนนั้นผมง่วงมาก เลยให้เทวดาช่วยไปบอกพวกเขาว่า "กลับไปได้แล้ว ผมไม่ไหวแล้ว ต้องนอน" เทวดากลับมาอีกทีบอกว่า "เขาไม่ยอมกลับ ต้องมาขอบคุณท่าน" ผมก็สวนคำไปว่า "วิธีขอบคุณผมที่ดีที่สุด คือ ให้ผมนอน พรุ่งนี้ผมจะไปธุระ" คราวนี้วิญญาณเหล่านี้ จะขอบคุณ หรือโกรธ หรืออย่างไงไม่รู้ เล่นดับไฟ ดับแอร์ ห้องผมหมดเลย ผมจึงต้องตื่น ไปเข้าห้องน้ำ ผมสังเกตดู ไฟข้างนอกห้องผมยังติดอยู่นี่หว่า พอผมกลับมา ก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้วิญญาณเหล่านั้นอีกครั้ง บอกพวกเขาว่า "เปิดไฟ เปิดแอร์ได้แล้ว ให้ผมอยู่ในความมืดสนิท ผมยังไม่บรรลุอรหันต์นะ ความกลัวยังมี แล้วไอ้ความกลัวนี่แหละ มันจะทำให้จิตเสียสมาธิ แผ่เมตตาให้พวกท่านไม่ได้" ทันทีที่ผมพูดในจิตเสร็จ ทั้งไฟทั้งแอร์ก็ติด แล้วผมก็นั่ง-นอนทำสมาธิแผ่เมตตาให้เหล่าวิญญาณที่มาหาอีกครั้งหนึ่ง ระบุก่อนเลยว่า ...ให้วิญญาณที่ยังไม่ได้รับผลบุญ รับไปก่อนเลย วิญญาณที่รับไปแล้ว รับทีหลัง ผมก็แค่เตือนและแนะนำเท่านั้นนะครับ เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกท่าน ถ้าทำสมาธิแล้วจิตอ่อนไสว ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด ฯลฯ เบาบางลง เหมือนผมในทุกวันนี้ ผมใช้บทแผ่เมตตาอย่างที่ท่านtalasaและพวกพระสอนได้ครับ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ อ้างจาก: AVATAR ที่ สิงหาคม 29, 2010, 11:36:21 pm คุณtalasa แนะนำบทแผ่เมตตาบทนี้ แม่ชีเทเลซ่าของศาสนาคริสต์ก็มาด้วยหรือครับงานนี้คุณลุงphonsak ....ไปดื้อหัวรั้นกับแม่ชีด้วยหรือ...? ล้อเล่นน่า... รู้น่าคุณลุงไม่โกรธหรอก.... คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี ที่กล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็น และพูดจากับผีได้ เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครู เป็นอาจารย์ ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใดที่ให้ผีในป่าช้าหัวเราะเยาะเย้ยเล่นเช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้นถ้ามีขึ้น ก็เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญไม่ได้ ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดีมากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็น แลได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคตเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนาไม่ควรเชื่อถือ เอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขาเป็นคนเจ้าอุบาย เจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริง เห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็น ในอนาคตกาลข้างหน้า จักเกิดพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา อวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้ พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จักเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไป ด้วยวาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จักเกิดระส่ำระสาย หาความสบายมิได้ เขาจักสอนทิฏฐิวัตรอย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัต ภายหลังก็จักเกิดพระบ้านพระป่ากันขึ้น แล้วก็จักแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไป เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ เห็นแก่ลาภยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมวิเศษก็จักไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจักเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรม อันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อย ก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้นล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้า จักมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้า ผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายามละเว้น ก็จักได้ประสบความสุข ใครไม่กลัวผีก็เฉยเสียกับคุณลุง...และใช้บทแผ่เมตตานั้นได้ตามปกติครับ... อย่าลืมไปช่วยพวกที่ตายเมื่อครั้งเกิดสึนามีด้วยนาครับ...เผื่อเค้ารอคนใจบุญอย่างคุณลุงอยู่...! ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- คุณยกพระสูตรนี้มาก็ดีแล้ว ตอนต้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า: อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์ และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็น การลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุข ในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือน ดังคนตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญก็คือให้ดับกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเสีย กิเลส๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ๑ มานะ๑ ทิฏฐิ๑ โลภะนั้น คือ ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอยากได้กิเลสกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ๑ อยากได้วัตถุกาม คือสมบัติข้าวของ ซึ่งมีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้๑ เหล่านี้ชื่อว่าโลภะ, โทสะนั้นได้แก่ความเคืองแค้น ประทุษร้ายเบียดเบียน ท่านผู้อื่น ชื่อว่าโทสะ, โมหะนั้นคือความหลงมีหลงรัก หลงชังหลงลาภหลงยศเป็นต้น ชื่อว่าโมหะ, มานะ, นั้นคือ ความถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นท่านผู้อื่น ชื่อว่ามานะทิฏฐินั้น คือความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิและ สัสสตทิฏฐิไป ปล่อยวางความเห็นผิดไม่ได้ชื่อว่าทิฏฐิ ถ้า ดับกิเลสทั้ง ๕ นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นทั้ง ๑,๕๐๐ ถ้าดับกิเลส ++++ คุณเป็นผู้มีมานะทิฏฐิมากทีเดียว เถียงข้างๆคูๆ เพียงแค่ต้องการเอาชนะคะคานกับผมเท่านั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าพูด ท่านก็พูดชัดเจน แต่เพราะความอยากเอาชนะ คุณจะไม่พูดข้อความให้เต็มหมด พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้มิใช่หรือ? ที่มีความรู้จริง เห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น......... ++++บทความทางศาสนาทั้งหมดของผม ไม่มีเรื่องใดที่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ใช่พุทธศาสนา ผมนำเรื่องที่ตีความกันผิดๆในพุทธพจน์มาแสดงให้ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่พุทธสาวกสมควรกระทำ แต่ที่ผ่านมาสาวกมารที่นำผ้าเหลืองมาห่ม แต่มิได้ปฏิบัติ ไม่ได้ปัญญาทางพุทธศาสนา พวกนี้นำพระสูตรและพุทธพจน์ไปตีความเป็นอย่างอื่นโดยใช้ลูกเล่นของมาร ส่วนผมจะเป็นพระอรหันต์ หรือสูงกว่าพระอรหันต์ ผมก็เคยบอกในเว็บนี้แล้วว่า ผมสอนได้แม้แต่พระอรหันต์ สิ่งที่ผมรู้ มันเกินกว่าความรู้ของพระอรหันต์มากมายนัก « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 30, 2010, 10:52:55 pm โดย phonsakw » หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:26:14 PM ทำไมองคุลิมาลหนีนรกได้ เทวทัตหนีนรกไม่ได้ 2 มาตรฐานหรือเปล่า? « เมื่อ: สิงหาคม 28, 2010, 03:50:09 pm »
ทำไมองคุลิมาลหนีนรกได้ เทวทัตหนีนรกไม่ได้ ความยุติธรรม 2 มาตรฐานหรือเปล่า? ผมตอบไปในกระทู้หนึ่งว่า การหนีนรกในทางพุทธศาสนาเถรวาทนั้นง่ายมาก ไม่ต้องเข้าถึงอารมณ์ของโสดาบันหรอก เอาไป 2 วิธี 1. ให้ทำการสมาทานศีล หมายถึง การรับศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ ต้องงดเว้นจากการประพฤติผิดต่างๆ ซึ่งจะเกิดผลดังนี้สำหรับบาปที่เคยทำมาแล้ว "บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น " "ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก บางคนทำบาปเพียงเล็กน้อยเหมือนกัน แต่บาปกรรมให้ผลเพียงในปัจจุบันชาติเท่านั้น (ทิฏฺฐธมฺมเวทนีย์)(แล้ว)ไม่ปรากฎผลอีกต่อไป" “บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก? คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก" 2. ให้ทำการก้าวล่วงบาปกรรม ผลกรรมที่จิตใต้สำนึกของเรานำมาให้เราในโลก มันจึงเบาบางลงไป และในนรกมันสลายไป อสังขาสูตร สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่(และบาปอย่างอื่น) แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้ พระพุทธเจ้าบอกทางแก้ที่จะไม่ตกนรกในพระสูตรนี้ให้ด้วย ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(และบาปอย่างอื่น) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ (อธิษฐานสำนึกบาปในเรื่องนั้น) แต่เรื่องตามพุทธพจน์ที่คุณยกมา ถ้าเขาไม่ได้ละ ลด เลิก ปาณาติบาต แต่อย่างใด และยังทำปาณาติบาตด้วยจิตอกุศลอย่างชัดเจนอีก ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง เขาจึงต้องไปใช้กรรมในนรก ผมชี้ทางไม่ให้พวกคุณลงนรกแล้วนะ บาปกรรมใดๆแก้ได้โดยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม สำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป เท่านี้ก็ไม่ต้องตกนรกแล้วนะ รับแค่กรรมเล็กน้อยบนโลกเท่านั้น แต่ถ้าใครก็ตามต้องการจะลงนรกต่อไป ยังไงๆกู..ก็จะลงให้ได้ อย่ามายุ่งเรื่องของกู... อันนี้ผมก็คงไม่ว่าอะไร ตามสบายเลยครับ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดของการหนีนรก องคุลิมาล เลิกฆ่าคนเด็ดขาดแล้ว และมาบวชเป็นพระ หลังจากนั้น พระองคุลิมาลไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี กลับถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น พอพระองคุลิมาลไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า: "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก) "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" = องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เพราะว่าท่านสำนึกบาป(ทำการก้าวล่วงบาปกรรม) ทำให้ท่านรับผลกรรมเป็นอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นวิบากกรรมที่เบาบางลงมาก แล้ววิบากกรรมก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้..พระองคุลิมาลองคุลิมาลจึงไม่ตกนรกเพราะการสำนึกบาป ตั้งใจเลิกฆ่าคนอีกตลอดไป ไม่ใช่เพราะว่า องคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะการบรรลุอรหันต์แต่อย่างใด เนื่องจาก..ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" ตอนนั้นพระองคุลิมาลยังเป็นพระบวชใหม่อยู่ ยังเป็นพระสดซิงๆอยู่เลย กลิ่นคาวเลือดที่ฆ่าคนตัดนิ้วมือ 999 ศพ เพิ่งหายไปเท่านั้น อ้างอิง:๓๖. อังคุลีมาลสูตร สูตรว่าด้วยพระองคุลิมาล www.baanjomyut.com/pratripido...pidok/504.html สรุป เรื่องการทำผิดศีล 5 ข้อใดข้อหนึ่ง และไม่ต้องรับผลกรรมในนรกนั้น พระพุทธองค์อธิบายว่า: ผู้ที่จะตกนรกก็เพราะเหตุที่เขาไม่ยอมละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ สละความเห็นนั้น ดังข้อ 614 ในอสังขาสูตรที่ว่า "สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่ แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้" แต่เขาจะไม่ตกนรก เพราะเขาได้ละวาจา ละความคิดนั้น สละความเห็นนั้น = ก้าวล่วงบาปกรรม ดังข้�"ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(บาปข้ออื่นก็แบบเดียวกัน) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ" ทำไมเทวทัตตกนรกอเวจีล่ะ ทั้งๆที่สำนึกบาปเหมือนองคุลิมาล? คำถามที่มาหาผมใน 2 เว็บ มีดังนี้: ....ตอนสุดท้ายถูกธรณีสูบลงมหานรกไปเลย ทั้งๆที่ก่อนท่านจะมรณะท่านได้สำนึกผิดและได้กล่าวขอขมาโทษ และถวายคางเป็นพุทธบูชายังลงนรกเลย(นี้ขนาดสำนึกอย่างจริงใจนะครับ) ....คุณบอกว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะสำนึกบาป ไม่ใช่เพราะเป็นอรหันต์ แต่ผมว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะเป็นอรหันต์ เห็นได้จากพระเทวทัตฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นอรหันต์ จึงยังถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรกได้ แม้จะสำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป พระเทวทัตก็สำนึกบาปเด็ดขาดเหมือนกัน แต่จีวรคนละสี สองมาตรฐาน ๆ" ตอบ คุณเอาความคิดของตนเองมาพูด และกำลังยัดเยียดเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า ต้องเอาพุทธพจน์มาดูซิ ผมจะอธิบายให้ชัดเลย คัดจาก :www.bloggang.com/viewblog.php?id=travela...;group=37&page=4 “ พระผู้มีพระภาค เป็นอัครบุรุษ ยอดแห่งมนุษย์และเทพดาทั้งหลาย พระองค์เป็นสารถีฝึกบุรุษอันประเสริฐ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญญลักษณ์ถึงร้อย และบริบูรณ์ด้วยสมันตจักษุญาณ หาที่เปรียบมิได้ ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ...” เห็นหรือยังครับ พระเทวทัตเอาแต่อารัมภบท พอจะเข้าตอนขอขมาโทษ พระเทวทัตขอขมาโทษไม่ทัน ได้แค่ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะเท่านั้น พูดง่ายๆ เทวทัตได้สำนึกผิดเมื่อช้าไป กล่าวคำขอขมาในบาปหลายเรื่องไม่ทันสักเรื่อง ไม่มีสักเรื่องเดียวที่เทวทัตขอขมาต่อพระพุทธเจ้าทัน การสำนึกผิดโดยรวมในใจใช้ไม่ได้นะครับ ต้องสำนึกผิดเป็นเรื่องๆ แล้วปฏิญานว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก การสำนึกผิดโดยรวมในใจใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการสมาทานศีล 5 หมายถึง การรับศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ ต้องงดเว้นจากการประพฤติผิดต่างๆ ซึ่งจะเกิดผลทำให้บาปที่เคยทำมาแล้ว ไม่ต้องรับผลในนรก รับเพียงผลวิบากกรรมเล็กน้อยในชาตินี้เท่านั้น แค่การถวายคางเป็นพทธบูชาในขณะถูกแผ่นดินสูบเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อพระเทวทัตชดใช้กรรมในนรกหมดสิ้นแล้ว จะมาเกิดเป็นพระอัฏฐิสระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต อ่านตอนที่เทวทัตถูกธรณีสูบอีกที่ซิครับ มีตอนไหนที่ท่านขอขมากรรมในบาปในเรื่องไหนทันบ้าง ไม่มีเลย..ใช่ไหม กรรมของเทวทัตทำไว้เป็นอนันตริยกรรมหลายเรื่อง คือ ทำสังฆเภท ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด กรรมเหล่านี้ทำให้เทวทัตอารัมบทนานไปหน่อย จึงทำการก้าวล่วงบาปกรรมไม่ทัน ผมขอจบบทความนี้ด้วยพุทธพจน์คำก้าวล่วงบาปกรรมต้นฉบับของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า: " กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด " [COLOR="Red"]สุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร 22/542-546[/COLOR] « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 28, 2010, 04:50:45 pm โดย phonsak » ------------------------------------------------------------------------------------------------------- ยังไงๆ...ก็น่าจะเป็นเพราะองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์นะครับ ก้าวข้ามบ่วงกรรมหลุดพ้นออกไปได้ ก็ต้องพ้นนรก ผมแสดงหลักฐานในพระไตรปิฎก เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าล้วนๆตอนองคุลิมาลเป็นพระบวชใหม่ ตอนนั้นท่านไม่ได้เป็นอรหันต์ คุณจะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็ตามใจคุณ ผมขอหลักฐานคำพูดของคุณที่ว่า องคุลิมาลสำเร็จอรหันต์จึงพ้นบ่วงกรรมไม่ต้องตกนรกจากการฆ่า 999 ศพด้วยครับ เพราะหลักฐานของผมพระพุทธเจ้าตรัสเองตอนที่องคุลิมารก้าวล่วงบาปกรรมแล้ว ใครทำอะไรท่าน ท่านก็ไม่ตอบโต้ด้วยการฆ่าตอบ บทที่ 63 เมตตาแทนอาวุธ (ตอนที่ 2) พระองค์ปล่อยให้พระบวชใหม่ นามว่า องคุลิมาล ออกไปบิณฑบาตเพียงลำพัง ทุกหนทุกแห่งที่พระองคุลิมาลบิณฑบาตผ่านไป มีแต่คนเอาไม้ไล่ทุบตีและเอาก้อนหินขว้างปา ทั้งเนื้อตัว และบาตร จีวรเต็มไปด้วยเลือดสดๆ แต่พระองคุลิมาลก็เจริญเมตตาอย่างแข็งขันอดทนได้ไม่หวั่นไหว บัดนี้พระองคุลิมาลได้ทิ้งอาวุธแบบเก่า คือเครื่องมือเข่นฆ่าคร่าชีวิตมนุษย์มาเป็นความเมตตา คือความรักเพื่อนมนุษย์แทนอย่างกล้าหาญ แม้ตัวเองจะต้องตายก็ไม่มีวันโกรธหรือเกลียดเพื่อนมนุษย์ที่ด่าทอ และขว้างปาหรือทำร้ายด้วยวิธีการต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ท่านบิณฑบาตผ่านหมู่บ้านหนึ่ง ประชาชนพากันออกมาเอาก้อนหินก้อนดินและท่อนไม้ทำร้ายท่าน และด่าท่านด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพียงแต่ท่านหันไปมองเท่านั้น คนเหล่านั้นก็วิ่งหนีด้วยความกลัวในกิตติศัพท์ว่าถ้าท่านโมโหขึ้นมาเมื่อไร การสังหารหมู่ชาวบ้านอย่างเหี้ยมโหดจะเกิดขึ้นทันที http://www.thaitownusa.com/New-0912000444-1.aspx หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:31:26 PM พระเจ้า=พระพุทธเจ้า=นิพพาน คือ แสง... « เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2010, 09:00:04 pm »
พระเจ้า=พระพุทธเจ้า=นิพพาน คือ แสง... 1. พุทธศาสนามหายาน อาทิพุทธะเป็นพระพุทธเจ้า โดยเชื่อว่าอาทิพุทธะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ถือกำเนิด ขึ้นพร้อมกับโลก อยู่ในโลกชั่วนิรันดร์ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลก และเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อาทิพุทธะ ปรากฏพระกายในแสงสว่าง บางตำราว่า อาทิพุทธะจะปรากฏพระกายในแสง แห่งเปลวเพลิง ที่มีรัศมีพุ่งจากดอกบัว 1. A พุทธศาสนามหายาน นิกายสุขาวดี พระพุทธเจ้าอมิตาภะเป็นพระพุทธเจ้าที่สำคัญอย่างยิ่งพระองค์หนึ่งของมหายาน “อมิตาภะ” แปลว่า “แสงสว่างอันหาที่สุดมิได้” 1. B พุทธศาสนามหายาน นิกายอื่น ในมหาไวโรจนสูตร ยกให้พระองค์เป็นศูนย์กลางมณฑล เป็นตัวแทนของความจริงสากล ในอวตังสกสูตร ที่มีรากฐานมาจากคัณวยูหสูตรและทศภูมิกสูตร กล่าวว่า พระไวโรจนะพุทธะเป็นพระพุทธเจ้าในโลก แห่งแสงสว่าง 2. พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท พระพุทธเจ้าได้ซ่อนความหมายนี้ใว้ในชื่อตระกูลหรือชื่อโคตรของพระองค์ โคตม โคตะมะ โคดม ซึ่งมีความหมายถึง แสงสว่างอันรุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์ หลวงปู่ดุลย์เทศน์ไว้เรื่องจิตคือพุทธะว่า “.....ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน ” “ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์และสว่าง” = สนิพพานของจิตแต่ละดวง ศาสนาพราหมณ์เขาเรียกว่า “อาตมัน” อาตมันจึงเป็น “อายตนะนิพพาน” “รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" = “นิพพานของจิตมวลรวม” ศาสนาพราหมณ์หเขาเรียกว่า “ปรมาตมัน” 3. ในศาสนาพราหมณ์ นิยามของ พรหม ใน ภควัทคีตา สิ่งที่บุคคลควรรู้สูงสุดคือ พรหม พรหมคือสภาวะอันสูงสุด ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย เป็นอมตะ ไม่เป็นทั้งสิ่งมีอยู่และสิ่งไม่มีอยู่ = อสังขตธาตุ พรหมหยั่งรู้ถึง อารมณ์ โลภ โกรธ หลง แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น = นิพพานธาตุ หรือ อสังขตธาตุ ซึ่งเป็นนามธรรมที่ไม่มีอารมณ์ พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง = นิพพาน พรหมคือสภาวะอยู่เหนือความดีและความชั่ว = ภาวะอรหันต์ พรหมมิอาจหยั่งรู้ได้ด้วยการคิดและใช้เหตุผล = ปัญญาทางโลกุตตระธรรม พรหมคือแสงสว่างเหนือแสงสว่างทั้งปวง 4. ในศาสนาคริสต์ จากคำบรรยายของคริสตจักรแห่งหนึ่ง ในพระคัมภีร์(คริสต์)บอกว่า พระเจ้าเรียกยอห์นเข้าไปเพื่อจะให้เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากสิ่ง เหล่านั้น ก็คือบทที่ 3 …….. “ ภาพที่ยอห์นเห็นคือภาพของสวรรค์ ก็จะมีพระที่นั่งอยู่พระที่นั่งหนึ่งแต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือยอห์นเห็น พระเจ้าเป็นแสง พระคัมภีร์สอนว่า พระเจ้าคือความสว่าง เพราะฉะนั้นเราอย่าคาดหมายว่า เห็นพระเจ้าแบบคุณลุงผมขาว ถือไม้เท้า ” ข้อความตอนหนึ่ง จากพระคัมภีร์และบทเทศน์ คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร “...แสงสว่างแห่งพระเจ้าจะเป็นแสงนำทางสำหรับมนุษยชาติทั้งมวลอย่างครบครัน.” พระวจนะของพระเจ้า ท่านให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นแสงส่องนำเดินไปข้างหน้าพระเจ้าทรงสำแดงการ ทรงนำของพระองค์ทางพระคัมภีร์แก่คนของพระองค์เป็นวิสุทธิมรรค 5. ในวิชาราชาโยคะ ท่านบราห์มาได้หลุดพ้นเป็นอิสระจากบ่วงกรรม และข้อจำกัดต่างๆบรรลุถึงขั้นที่สมบูรณ์พร้อม ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) อันเป็นวันที่ท่านได้ละร่างไปที่ถือว่าเป็นบทเรียนสุดท้ายของ การเปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นเทพ ท่านบราห์มาเห็นรูปลักษณะของ พระเจ้าเป็นแสงที่ไม่มีตัวตน หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:34:58 PM พระพุทธเจ้ากับสิ่งสูงสุดของศาสนาอื่น(ศิวะ อัลเลาะห้ ยะโฮวา ฯลฯ)เป็นพุทะเหมือนกัน « เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 02:07:10 am »
มีผู้มาถามว่า : ผู้ใดมีความเห็นว่า พระพุทธเจ้า กับศาสดาในลัทธิอื่นใดๆ ก็เหมือนๆกัน หรือคำสอนของลัทธิอื่นใดๆ ก็เหมือนกันกับพระธรรมของพระพุทธองค์ที่สอนนิพพานเหมือนกัน ตอบ พระพุทธเจ้ากับศาสดาลัทธิศาสนาอื่นไม่เหมือนกันหรอกครับ คำสอนของพวกท่านก็ต่างกัน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นตถาคต ผู้เป็นสัพพัญญู จะมีศาสดาองค์อื่นมาเป็นพระพุทธเจ้าในยุค 5000 ปี หลังพุทธกาลไม่ได้ ศาสดาองค์อ่นจึงยังสอนคนให้เข้าถึงนิพพานไม่ได้ อย่างไรก็ตาม..พระพุทธเจ้ากับสิ่งสูงสุดของลัทธิศาสนา(พระศิวะ อัลเลาะห้ ยะโฮวา พ่อเกิดแม่เกิด ฯลฯ) เหมือนกัน คือเป็นธรรมธาตุ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือเป็นพระเจ้าเหมือนกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกันเท่านั้น ธรรมธาตุ ที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เรียกว่า อรหันต์ หรืออาตมัน หรือพุทธะ 1. พุทธะผู้ที่เป็นพระบิดา(หรือต้นธาตุต้นธรรม หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม(อาทิพุทธ) หรือพระธรรม) เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง = พระพุทธ 2. พุทธะที่พระธรรมสอนอยู่ในจิตมนุษย์ คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน(โคตมะพุทธเจ้า)ท่านเป็นอวตารสิ่งสูงสุด (ที่เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง) แต่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นตถาคตผู้สอนและชี้ทางให้เรากลับบ้านเก่าหรือนิพพาน = พระธรรม 3. พุทธะที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า(ตถาคต) คือ พระอรห้นต์สาวก = พระสงฆ์ พระรัตนตรัยของแท้ ที่เป็นสิ่งสูงสุดเป็นอย่างนี้ครับ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพียงแต่ว่าแยกกันทำหน้าที่เท่านั้น หลวงตามหาบัวและพุทธทาสภิกขุ เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความเห็นเหมือนกับผมว่า พระพุทธเจ้ากับสิ่งสูงสุดของลัทธิศาสนา(พระศิวะ อัลเลาะห้ ยะโฮวา พ่อเกิดแม่เกิด ฯลฯ) เหมือนกัน คือเป็นธรรมธาตุ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือเป็นพระเจ้าเหมือนกัน หลวงตามหาบัว เทศน์บ่อยๆว่า " มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ ...เป็นธรรมแท้ ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน.... พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..." พุทธทาสภิกขุ จากหนังสือ ไกวัลยธรรม สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลย์" ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีความสิ้นสุด จึงอยู่ในฐานะที่เป็น สิ่งมีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และอยู่ภายหลังสิ่งทั้งปวง หมายความว่า สิ่งทั้งปวง มีความหมุนเวียน เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ท่ามกลาง อาณาจักรแห่งความไม่เปลี่ยนแปลงของ "ไกวัลย์" นั้น. ......... ในความหมายที่กล่าวถึง "พระเจ้า" ในฐานะเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง ก็ควรหมายถึง "ไกวัลย์" เพราะว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และสิ่งทั้งปวงก็ออกมาจาก "ไกวัลย์" อาศัยไกวัลย์ตั้งอยู่ ในลักษณะอย่างนี้ ย่อมกล่าวได้ว่า ไกวัลย์ เป็นมารดา ของสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นลูก ที่คลอดออกมาจากไกวัลย์ เปรียบด้วย ฟองน้ำ อันเกิดจากน้ำ ฉันใด ก็ฉันนั้น. (๑๑) ......... ครั้นมาถึง สมัยศาสนาคริสเตียน เกิดหลังพระพุทธศาสนา ประมาณ ๕๐๐ ปี ก็มีการรับรองว่า God หรือพระเจ้า เป็นสิ่งที่ "มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง" คือ มีอยู่ตลอดอนันตกาล สิ่งทั้งปวงนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยน้ำมือของพระเจ้าทั้งสิ้น อันมีลักษณะ ที่ตรงกันกับ สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม". (๒๙) « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 26, 2010, 09:09:12 pm โดย phonsakw » --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: mankho2001 ที่ สิงหาคม 25, 2010, 10:08:56 pm แล้วเหตุใดพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ไม่มีพระเจ้า ไม่มีผู้สร้างโลก 1. มาอีกรายหนนึ่งแล้ว ทำไมมีคนแบบคุณเยอะเหลือเกินในทุกเว็บ คิดเองเอง เออออเอง แต่ไปยัดเยียดความคิดของตนเองให้พระโอษฏ์ของพระพุทธเจ้า พอให้ไปเอาหลักฐานมา ก็ไม่มี แล้วหายหน้าไปเฉยๆ กรุณานำหลักฐานมาว่า "พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ไม่มีพระเจ้า ไม่มีผู้สร้างโลก" ผมเจอแต่หลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านเองเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง บางพระสูตรก็ตรัสว่านิพพานเป็นผู้สร้าง ...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต " (ที.ปา. 11/51/91)= พระพุทธเจ้านั่นแหละคือพรหมสูงสุดที่เป็นผู้สร้าง ลองดูหลักการสูงสุดของศาสนาฮินดูนะครับ "พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม" วชิราสูตร ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์ วชิราสูตร พุทธพจน์ และ พระสูตร ๔๑. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน ? ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา (อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55) ยืนยันว่า: "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" เป็นผู้สร้างโลกและจักวาล อ่าน 2 พระสูตรที่ยืนยัน: ธรรมธาตุ อสังขตธาตุ หรือนิพพาน เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=784.0 2. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนชื่อ พระเจ้า ผู้สร้างโลก เป็นพระพุทธเจ้า ผู้สร้างโลกแทน ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลไม่มีจริง เป็นแค่ความว่างเปล่า แต่เมื่อสัตว์โลกหลงติดในกิเลสอวิชชา และหลงยึดติดกับภาพมายา เห็นทุกอย่างเป็นของจริงหมด การสร้างโลกจึงง่ายนิดเดียว สะกดจิต---สั่งให้จิตประภัสสรหรือจิตพุทธะทุกจิตลืมไปให้หมดว่า ตัวมันเองเป็นอณูของพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม แล้วปล่อยใวรัสกิเลสอวิชชาเข้าไป พอจิตบริสุทธิติดไวรัสกิเลสอวิชชาแล้ว เท่านั้นแหละมันก็จะหลงไปว่า ทุกอย่างที่มันพบเจอเป็นของจริงทั้งนั้น พระพุทธเจ้าต่างๆเป็นเพียงเหล่าผู้พบโปรแกรมฆ่าไวรัสกิเลสอวิชชาเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าของเราใช้วิปัสสนาหรือสติปัฏฐาน 4 ฆ่ากิเลสอวิชชาเหล่านั้น พอกิเลสอวิชชาโดยฆ่าตายหมด เราก็จะเป็นผู้รู้แล้ว ผู้ตืนแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว....ก็ต้องกลับบ้านเก่าคือ นิพพานตามเดิม หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:37:15 PM คำตอบของพระพุทธเจ้าและอดีตพระสังฆราชว่า นิพพานเป็นอัตตา และเจโตวิมุตรักษาโรคได้
« เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2010, 07:12:29 pm » +++ จากเรื่องเคล็ดลับการรัษาโรคและอายุยืนในพระไตรปิฎก ผมกล่าวว่า: การทำสมาธิ หรือทำสมถะกรรมฐาน หรือเจโตวิมุติ ถ้าทำจนถึงระดับอรหันต์ ละความโลภ โกรธ หลงได้หมด เขาจะรักษาความเจ็บป่วยได้ และยังสามารถยึดอายุไปได้นานเป็นกัปเป็นกัลป์ด้วย....ถ้าเขาต้องการ ตัวอย่างเช่นพระครูเทพโลกอุดรที่มีอายุยืนนานมาหลายพันปีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานนท์! ผู้อบรมอิทธิบาท 4 มาอย่างดีแล้ว ทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง 1 กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์, ไม่ใช่ 120 ปีแบบที่สมมุติสงฆ์มั่วตีความ)ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ " นี่เป็นเคล็ดลับอายุยืนและไม่เจ็บป่วยจากพระไตรปิฎก วันนี้ผมข้อเจอ บทความพิเศษ "นิพพานเป็นอัตตา" จากหนังสือเถรบัญญัติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๒ http://reocities.com/Tokyo/field/1244/interest/isp05304.htm พระพุทธเจ้าตรัสชัดเลยว่า: ดูกรอานนท์ ก็เมื่อเราใช้ อนิมิตตเจโตสมาธิวิหาร ทุกขเวทนาได้สงบลง อาพาธนั้นก็ทุเลาไป นับว่า ไม่สู้กระไรนักในการป่วยของเรา แล้วก็ตรัสต่อไปว่า ตสฺมาตีหานนฺท อตฺตทีปา วิหรถอตฺตสรณา อนญฺญสรณา เป็นต้น ความว่า เพราะเหตุนั้นแล อานนท์ ท่านทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ ที่ยึด จงมีตนเป็นที่พึ่งอาศัย อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดังนี้เป็นอาทิ ตามที่ได้ยกมาพูดนี้ ควรพิจารณาดูว่า อะไรเป็นเหตุให้พระองค์ ตรัสกับพระอานนท์ว่า เพราะเหตุนั้นแล อานนท์ ท่านทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะที่ยึด จงมีตนเป็นสรณะที่พึ่ง (สมเด็จพระสังฆราช) เพ่งพินิจไปก็จะเห็นว่า (1)เพราะได้ทรงใช้ อนิมิตตเจโตสมาธิ วิหาร สำหรับระงับทุกขเวทนา อนิมิตตเจโตสมาธิวิหาร นั้นเป็นอะไร ก็คือตัว อสังขตธาตุที่ได้ความบริสุทธิ์เป็นนิพพาน ซึ่งนับว่าเป็นตัว อัตตา ดังกล่าวมาแล้วนั้นแล (2)เพราะฉะนั้น อัตตาในพระพุทธภาษิตนี้คือ พระนิพพาน ฯ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:40:47 PM ทำบุญ-ทำบาป ก็ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น มีแต่รู้อริยะสัจ 4 จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2010, 12:23:52 am » ทำบุญ-ทำบาป ก็ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น มีแต่รู้อริยสัจ 4 จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด หรือเป็นทิฏฐิปาทาน คือความยึดมั่นด้วยทิฏฐิ ถ้าพิจารณาแบบโลกุตระ ทั้งบุญ-บาป ล้วนเป็นความยึดมั่นด้วยทิฏฐิ หรือ ทิฏฐิปาทาน หรืออุปทานทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ในทางโลกหรือโลกียะ การเห็นชั่วว่าเป็นดี เห็นดีว่าเป็นชั่ว เห็นบาปว่าเป็นบุญ เห็นบุญว่าเป็นบาป เรียกว่า "สมาทานมิจฉาทิฏฐิ" อันนี้ไปทุคติแน่นอน เพราะเป็นความเห็นผิดที่วิปริต ผิดจากทำนองคลองธรรม ผิดมโนธรรมที่อยู่ในจิต แต่ถ้าเป็นทิฏฐิปาทาน คือความยึดมั่นด้วยทิฏฐิ ที่ถูกทำนองคลองธรรม แล้วมีเจตนาทำตามมโนธรรม ที่เรียกว่า "กุศล หรือบุญ" ความยึดมั่นตามมโนธรรมที่ถูกทำนองคลองธรรม และทำกุศลกรรมต่างๆ ก็จะนำไปสู่สุคติภูมิหรือสวรรค์ พระยามารที่เป็น"สมาทานมิจฉาทิฏฐิ" ฝรั่งเขาเรียกว่า ซาตาน ที่อยู่ คือ นรก พระยามารที่เป็น"มิจฉาทิฏฐิ" ทางด้านโลกุตตระ แต่เป็นสัมมาทิฏฐิทางด้านโลกียะ คือ ทำถูกต้องทำนองคลองธรรม ทำแต่บุญไม่ทำบาป เรียกว่า "พญามาราธิราช หรือ วสวัตตีมาร " ที่อยู่ คือ สวรรค์ชั้น 6 หรือสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัสตี สรุป ในระดับโลกหรือโลกียะ การทำบุญถือเป็นสัมมาทิฏฐิ การทำบาปถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในระดับโลกุตตระ บุญและบาป ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิมีเพียงได้ปัญญา ทำให้ละทั้งบุญ ทั้งบาป ทีเป็นความยึดมั่นถือมั่น หรือเป็นอุปทาน พญามารไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ก็ล้วนเป็นผู้ทำให้มนุษย์หลงทางอยู่ในสังสารวัฏฐ์ออกมาไม่ได้ จึงเป็นพวกที่มีมิจฉาทิฏฐิ ส่วนความเห็นชอบ หรือสัมมาทิฏฐิ ที่พระพุทธองค์ตรัสถึง คือ ผู้ที่ทำจิตหลุดพ้นจากอุปาทาน ภิกษุ ท.! ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) เป็นอย่างไร? ภิกษุ ท.! ๑) ความรู้ในทุกข์ ๒) ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ๓) ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ๔) ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใดนี้ เราเรียกว่า ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ อย่าเพิ่งพึงกล่าวเช่นนี้ ........."ทำบุญ-ทำบาป ก็ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น"......... บุคคลอันยังไม่แยบคายในธรรมแล้ว ยังให้สับสนและเสียประโยชน์ในการไปสู่เส้นทางแห่งการดับทุกข์(มรรค) พึงกล่าว ........."ทำบุญ-ละบาป เพื่อสร้างสัมมาทิฏฐิ อันเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์"......... จะยังประโยชน์ต่อมหาชนให้เข้าถึงอริยสัจได้มากกว่า...AVATAR หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:43:13 PM กรวดน้ำ/เผากระดาษเงินกระดาษทอง อุทิศกุศลได้ทั้งนั้น « เมื่อ: สิงหาคม 15, 2010, 06:16:44 pm »
กรวดน้ำ/เผากระดาษเงินกระดาษทอง อุทิศกุศลได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้รับ/ผู้ส่ง จากเรื่อง 49 วัน หลังความตาย เจ็ดวันรอบที่ สี่ เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษ เงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ย ากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูก หลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม ้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์ ตอบ ผู้ที่เขียนเรื่องนี้เข้าใจผิดอย่างแรง เพราะไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้ คงเป็นชาวพุทธเถรวาท หรือเป็นคนจีนที่เกิดในเมืองไทย จริงๆ การเผากระดาษเงินกระดาษทอง คนจะทำการ ถ้าเขาไม่เชื่อ และวิญญาณผู้รับก็ไม่เชื่อ สิ่งนั้นย่อมเป็นขยะไป แต่ถ้าเขาเชื่อและวิญญาณผู้รับก็เชื่อด้วย ย่อมเห็นผล เพราะเขาจะควักเงินตัวเอง = การเสียสละ จึงเป็นกุศล ย่อมส่งกุศลนั้นผ่านกระดาษเงินกระดาษทองโดยใช้ธาตุไฟ เป็นตัวส่งกุศลนั้นไปถึงผู้ตายได้ คนไทยทำบุญตักบาตร ส่ง(อุทิศ)ผลบุญให้เหล่าวิญญาณโดยใช้น้ำ - กรวดน้ำ น้ำ และ ไฟ เป็นสิ่งกลางที่ใช้เป็นสื่อไนทุกภพภูมิ การกรวดน้ำ และ ใช้ไฟเผาวัตถุ จึงสามารถอุทิศส่งผลบุญไปให้วิญญาณผู้ตายได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อและวัฒนธรรม(ศาสนา)ของเขาด้วย คนในศาสนาอิสลาม เขาจะรับกุศลผลบุญจากคนที่ยังไม่ตายช่วยส่งไปให้ได้อย่างไร ตอบ อิสลามเขาเชื่ออย่างไรล่ะครับ เขาเชื่อว่า มีพระเจ้าองค์เดียว และพระเจ้าองค์นั้นสามารถช่วยเหลือวิญญาณผู้ตายได้ น้องผมเคยอยู่อิหร่าน เขาเล่าว่า วิญญาณคนอิหร่านเคยมาหาเขาเพื่อขอบคุณ ที่เขาสวดมนต์บทแผ่เมตตาของชาวพุทธ สัพเพ สัตตาอะไรสักอย่าง วิญญาณคนอิหร่านได้รับ เขาบอกว่า "เขาอิ่มนานเลย ไม่หิวอีก" ที่อิหร่านในพิธีทำบุญขอบคุณพระเจ้า อะไรสักอย่าง มีการบูช่ายัณ แล้วพระเจ้าส่งของที่ชาวบ้านบูชายัณมาให้เหล่าวิญญาณคนอิหร่าน วิญญาณได้กินเหมือนกัน แต่กินแล้ว อิ่มไม่นานก็หิวอีก ผมเลยตอบน้องชายไปว่า การแผ่เมตตาจากสมาธิออกให้วิญญาณ สามารถทะลวงอบายภูมิ แม้แต่นรกอเวจี ไปช่วยวิญญาณบาปได้ ขึ้นอยู่กับสมาธิเขาอยู่ในฌานไหน การสวดมนต์ ก็เป็นอุบายในการทำสมาธิแบบหนึ่ง ย่อมส่งให้วิญญาณได้ บทสัพเพ สัตตา จะมีกำลังส่งไปถึงวิญญาณได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับจิตของผู้นั้นนิ่งถึงระดับไหน คนอิสลามเชื่อว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยวิญญาณต่างๆได้ ด้วยเหตุนี้อาหารบูชายัญนั้น จึงต้องส่งผ่านพระเจ้า แต่ถ้าชาวพุทธเถรวาทไปอุทิศกุศลโดยการกรวดน้ำให้วิญญาณคนอิสลามที่เคร่งครัดมากๆล่ะ.... เขาย่อมไม่ได้รับกุศลผลบุญนั้น เพราะเขาไม่เชื่อ เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวที่ทำได้ วิญญาณคนอิสลามนั้นอยู่ในเมืองไทยมาตลอดชีวิต และไม่ได้เคร่งครัดมากล่ะ.... เขาย่อมได้รับกุศลผลบุญนั้น เพราะเขาเชื่อ หรือแม้ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้สนิทใจ แต่ถ้าเป็นการแผ่เมตตา ไม่ว่าเขาจะเป็นพุทธ เป็นคริสต์ หรืออยู่ศาสนาใด เขาย่อมได้รับผลบุญทั้งนั้น ผมเคยอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง มีวิญญาณคนอิสลามอยู่มาก ผมแผ่เมตตาจนวิญญาณเหล่านั้นไปหมดทั้งหมู่บ้าน เพื่อนสนิทผมคนหน่งที่ตายไปแล้วเป็นคริสต์ เกิดเป็นเปรต ผมยังแผ่เมตตาช่วยเขาได้ มันดีใจมาก กระโดดขี่หลังผมเลย ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- คุณ สำนึกความเลว เขียนว่า: ถึงเขาจักได้รับก็มิมีอันจะใช้ได้เลยเเม้เเต่น้อย อย่าเพิ่งมั่นใจอย่างนั้น ไอ้แบ๊งค์ร้อยเมืองไทย คนในโลกโดยเฉพาะเมืองไทยยังรับ และใช้ซื้อของได้เลย แล้วแบ๊งค์กงเต๊กหรือแบ๊งค์เผาผีของคนจีน จีนปรโลกเขารับรอง ทำไมจะใช้ไม่ได้ กุศล สร้าง การยอมรับในแบ๊งค์ร้อย แบ๊งค์ดอลล่าร์ฉันใด กุศล ก็สร้าง การยอมรับในแบ๊งค์กงเต๊กหรือแบ๊งค์เผาผีของจีนฉันนั้น หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:46:11 PM นิพพาน กับ อายตนะนิพพาน ไม่เหมือนกัน « เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 11:04:49 pm »
นิพพานมี 2 อย่าง 1. อายตนะนิพพาน 2. นิพพาน 1. อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย สิ่งนี้เป็นอัตตา พระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ "ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด " (อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา) อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย) มีทั้งอายตนะภายในของแต่ละบุคคล(ธรรมกายแต่ละคน) และมีทั้งอายตนะนิพพานกายนอก(ธรรมกายภายนอก) = เมืองพระนิพพาน ในทางมหายานเรียกตัวอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)แต่ละบุคคลว่า "สัมโภคกาย" และเรียกอายตนะนิพพานกายนอก(ธรรมกายภายนอก) หรือ เมืองพระนิพพาน ว่า "พุทธเกษตร" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึง อายตนะนิพพาน ว่า: " ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญ จายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็น การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิ ได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ" พระอวโลกิเตศวรยืนยันกับพระสารีบุตรว่า ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรตรัสสอนพระสารีบุตรว่า " ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง " สรุป สภาวธรรมแห่งการตรัสรู้ของพระตถาคต (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)ซึ่งเป็นแก่น คือ ธรรมกาย=อายตนะนิพพาน ในขณะที่มหายานเรียกธรรมกายตัวนี้ว่า "สัมโภคกาย" เป็นกายทิพย์ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร คัมภีร์เถรวาทเรียกกายทิพย์ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดรว่า "กายธรรมหรือธรรมกาย" 2. นิพพาน คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่มหายานเรียกว่า "อาทิพุทธ" หรือธรรมกาย เถรวาทเรียก "นิพพาน" ส่วนมหายานเรียกนิพพานว่า "ธรรมกาย" อายตนะนิพพาน เถรวาทเรียก "ธรรมกาย" ส่วนมหายานเรียกนิพพานอายตนะนิพพานว่า "สัมโภคกาย" ธรรมกายตามความหมายของมหายาน = พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล = แสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่า(สุญญตา) = ท้องฟ้าอันเวิ้งว่างสุกใสแห่งบรรยายกาศ = ธรรมธาตุทั้งหมด = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ = ธรรมชาติอันเปลือยเปล่าแห่งสรรพสิ่ง มีแสงสว่างในตัวเองเพราะเป็นธาตุรู้ (ธรรมธาตุ) หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า: "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า : " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย) รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน ในศาสนาพราหมณ์ นิพพานหรือโมกษะ คือ การที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมัน เข้ารวมเป็น เอกภาพกับพรหมัน ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" อาตมันย่อย = อายตนะนิพพาน เอกภาพกับพรหมัน = นิพพาน หรือ อาทิพุทธ หรือ ธรรมกายตามความหมายของมหายาน สรุป เถรวาท เรียก อายตนะนิพพานว่า "ธรรมกาย" เรียก พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ที่เป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่าว่า "นิพพาน" มหายาน เรียก อายตนะนิพพานว่า "สัมโภคกาย" เรียก พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ที่เป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่าว่า "ธรรมกาย" หรือ "อาทิพุทธ" แท้จริงแล้ว อาทิพุทธ ก็คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ปรมาตมัน ก็คือ สัมโภคกายแต่ละดวง(เรียกแบบมหายาน) ที่ว่างและสว่าง ไปรวมกับ ความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- eye เขียน: อิอิ เป็นแบบป๋าพอลก็มีพุทธเกษตรเดียวนะจิ่ "พุทธเกษตรเมืองพระนิพพาน" พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ไปเป็นศาสดาเอกอยู่ในพุทธเกษตรเดียวกัน ตอบ หาใช่เช่นนั้นไม่ มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานโดยง่าย ต้องปฏิบัติแบบหลวงปู่มั่น ซึ่งล้านคนจะเข้าถึงสักคน จึงด้องอาศัยพุทธบารมีพระองค์ต่างๆเข้าช่วย เพื่อไปเกิดในพุทธเกษตรต่างๆเอาไว้ก่อน และค่อยๆละกิเลสที่นั่น ไม่ต้องไปอยู่ในสวรรค์นรกของสังสารวัฏฏ์ และมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกอีก ซึ่งก็ต้องเผชิญกิเลสและรับวิบากกรรมต่างๆอีก ทำให้ยากต่อการเข้านิพพาน แต่ถ้าอาศัยพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า หรือบารมีของพระโพธิสัตว์ที่มีพุทธเกษตร เช่น พระเยซู เราก็ไม่ต้องไปวนเวียนในสวรรค์นรกในสังสารวัฏฏ์อีก แล้วค่อยๆฝึกละกิเลสที่นั่น ด้วยเหตุนี้ ศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธมหายานนิกายสุขาวดี พวกเขาเกิดครั้งเดียวบนโลกนี้ และก็ตายครั้งเดียว และไปเกิดในพุทธเกษตรที่ตนเลือกไว้แล้ว ตามความเชื่อของตน พอละกิเลสหมดแล้ว เราก็เลือกเอาว่าจะเข้านิพพานที่เป็นพุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ซึ่งเป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่า(สุญญตา) = ธรรมกายตามความหมายของมหายาน(นิพพานตามความหมายเถรวาท) หรือเราจะคงอยู่เป็นสัมโภคกายในพุทธเกษตรต่อไป เพราะนิพพานมี 2 อย่าง 1. อายตนะนิพพาน มีเมืองพระนิพพาน พุทธเกษตรต่างๆรองรับ บุคคลต้องละราคะโทสะโมหะให้หมด ละความยึดมั่นในขันธ์ 5 จึงจะได้ ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนะนิพพานของพระอรหันต์ สิ่งนี้เรียกว่า "บุคคลศูนยตา" 2. นิพพานแท้ แสงสุกสกาวที่เป็นกาวะดั้งเดิมของจักรวาล อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย) ต้องละความยึดถือแม้ในพระนิพพานตัวแรก ซึ่งเป็นเมืองพระนิพพาน ฟรือพุทธเกษตร และละธรรมกายของตนเองด้วย สิ่งนี้เรียกว่า "ธรรมศูนยตา" « แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 28, 2010, 09:51:55 pm โดย phonsakw » ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- นิพพาน รออยู่ รอ ผู้รู้ ทฤษฎี ให้ปฏิบัติไป สัมผัส แล้วจะเลิกอ้างโน่น นี่ นั่นเทียว .........ผู้เล็งเห็นทุกข์ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 10:48:15 PM พระพรหมที่เอราวัณเป็นคนไทยนะครับ « เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:24:48 pm »
คุณต้องเล่าว่า....เมื่อดิฉันทำบาปอะไร มักจะได้รับผลกรรมนั้น ในทันที หรือในระยะใกล้นั้นเลย อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าดีใจค่ะ เพราะแสดงว่าเราได้ชดใช้กรรมที่เบาในชาตินี้เลย แล้วเราก็กลัวที่จะกระทำบาปด้วย เพราะมันจะตอบสนองเราอย่างทันตาเห็น ในโลกนี้ไม่เคยมีใครไม่เคยทำบาปมาก่อน การสำนึกผิดและงดเว้นจากการประพฤติผิดต่างๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะเกิดผลดังนี้สำหรับบาปที่เคยทำมาแล้ว "บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น" "ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก บางคนทำบาปเพียงเล็กน้อยเหมือนกัน แต่บาปกรรมให้ผลเพียงในปัจจุบันชาติเท่านั้น (ทิฏฺฐธมฺมเวทนีย์)(แล้ว)ไม่ปรากฎผลอีกต่อไป" “บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก? คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก" “บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่บาปนั้นให้ผลอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันแล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป? คือบุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้" มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนที่ทำงานเกิดอุบัติเหตุแขนหัก หรือเดาะไม่ทราบ เขาโทรมาขอร้องให้ดิฉันรับภาระในดรวจเวรที่ทำงานแทนเขา เพราะเขาอาจต้องไปรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลหากว่าผลตรวจออกมาว่าจะต้องผ่าตัด เขาก็จะต้องผ่าตัดในวันที่เขาจะต้องมาตรวจเวร ซึ่งดิฉันคิดว่าธุระไม่ใช่ เพราะหากดิฉันลืมไปตรวจ ก็จะต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน ดิฉันจึงปฏิเสธไป แต่ก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่า ถ้าไม่มีใครจริง ๆ ก็บอกแล้วกัน (แต่เจตนาคือไม่อยากยุ่ง) ภายหลังทราบว่าเขาเข้ารับการผ่าตัดวันนั้นจริง แต่คงให้คนอื่นตรวจเวรให้ ......................... คุณต้องครับ 1. เมื่อ 20 กว่าปีก่อนผมนั่งซ้อนท้ายมอร์เตอร์ไซค์รับจ้าง แล้วไปชนกับมอร์เตอร์ไซค์อีกคัน ผมกระดูกหัวเข่าร้าว จังหวะที่ชนกันนั้น จิตของผมเห็นภาพตอนที่ผมไปทำร้ายตนอื่นบาดเจ็บหนักสมัยวัยรุ่น...งง.ว่าภาพเหล่านั้นมันเข้ามรในหัวในเวลานั้นได้อย่างไร 2. ตอนผมอายุ 30 ปี ผมอกหักจากผู้หญิงคนหนึ่ง ผมสงสัยเหลือเกินว่า คนที่ดีขนาดผม ทำบุญมานับคั้งไม่ถ้วน แล้วยังทำสมาธิทุกวัน เหตุใดฟ้าจึงกลั่นแกล้งผมอย่างนี้ บังเอิญผมเป็นคนที่สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณได้ ผมจึงไปที่ศาลพระพรหมโรงแรมเอราวัณ ขอให้ท่านช่วยตอบคำถามของผมที จากนั้นไม่นาน ตอนบ่ายวันเสาร์ ผมนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น(ภวังค์) แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ จิตผมเห็นชายคนหนึ่งอยู่หน้าประตูบ้าน มีรังสีรอบตัว ใจของผมเหมือนมีคนบอกว่าพระพรหมมาหา ผมสงสัยว่าทำไมพระพรหมองค์นี้ไม่มี 4 หน้า และเป็นคนไทย ตอนหลังผมไปค้นคว้าดู จึงพบความจริงว่า หลวงสุวิชชาอัญเชิญ พระปิ่นเกล้า ซึ่งเกิดไปเป็นพรหมมาอยู่ที่ศาลพระพรหมโรงแรมเอราวัณ แต่เรื่องนี้ขอผ่านไปก่อนนะครับ ท่านหายตัวเข้าบ้านผม มายืนอยู่ข้างๆผม ท่านให้ผมเห็นกรรมที่ผมก่อไว้กับผู้หญิงหลายคนมากสมัยเป็นหนุ่ม ช่วงนั้นผมจัดได้ว่าเป็นเสือผู้หญิง แล้วท่านให้ผมรู้ว่า ตายไปผมจะไปลงนรกของพวกลักเพศ โดนเล่นประตูหลังซะน่วม แล้วยังอาจต้องเกิดใหม่มาเป็นขวัญใจพวกลักเพศด้วย จังหวะที่ผมเห็นกรรมและวิบากกรรมเหล่านั้น ผมไม่แก้ตัวอะไรกับพระพรหมเลย ผมยอมรับผิดอย่างเดียว และบอกว่ากรรมที่ผมต้องหักถือว่าเบามากเหลือเกิน ถ้าต้องลงนรกไปรับกรรม ผมก็น้อมรับ ไม่ขอหลีกเลี่ยง เพราะเราทำขั่วเช่นนั้นจริงๆ กลับไปแก้ตัวใหม่ก็ไม่ได้ แม้ว่าพอเราโตแล้ว เราไม่มีพฤติกรรมแบบนั้นอีกก็ตาม จู่ๆ...พระพรหมก็บอกผมว่า กรรมในนรกและกรรมเรื่องนี้ของเจ้าสลายไปแล้ว ผมสงสัย เลยถามว่า "อะไรกัน บาปกรรมของผมหายไปได้อย่างไร ก็ผมยอมรับผิดแล้ว จะลงโทษอย่างไรในนรก ผมก็เต็มใจ แต่ผมจะไม่เป็นเสือผู้หญิงแบบนั้นอีก" ผมยังไม่ทันพูดจบ พระพรหมก็ตอบกลับมาว่า "ให้ไปค้นในพระไตรปิดฎก อีกหน่อยเจ้าจะรู้เอง" นี่เป็นที่มาที่ผมเข้าไปในเว็บไหน ผมก็ต้องนำเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม (การสำนึกบาปและตั้งปณิธานว่าจะไม่ทำบาปข้อนั้นอีก)ออกเปิดเผยให้ชาวพุทธทุกคนรับรู้ว่า มันทำให้วิบากกรรมบนโลกของเราเบาบางลง ส่วนวิบากกรรมในนรกไม่มีอีก หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กันยายน 01, 2010, 11:00:25 PM .....................ขอเชิญคุณลุง phonsak(w) และท่านที่เป็นแฟนคุณลุง phonsak(w) เชิญโพสต์กันต่อได้ตามอัธยาศัยครับ.................. หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กันยายน 30, 2010, 08:34:18 PM เมตตัญจะสัพพโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย
อะปะริมานังอุทธัง อะโธ.. ;D หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: mcgar ที่ ตุลาคม 11, 2010, 12:32:03 AM ผมอยากจะเอาชนะลุงphonsakw ไปเพื่ออะไรกัน.......? ลุงรู้ใจผมไหม รีบเข้าฌานมา....? ปรมจารย์พระอรหันต์พลศักดิ์ ทายใจผมไปเลย....? ถ้าทายผิดเป็นปรมจารย์พระอรหันต์พลศักดิ์ ของ เก๊....อวดอุตตริ...มั่วไปวันๆ ถ้าทายถูก ผมจะลงไปกราบแทบเท้าท่านทีเดียวเชียว.... ให้เวลาคุณลุงคิด ๒๔ ชม.นับจากนี้...๐๒.๓๒.๒๒น. แล้วมาดูกันถ้าไม่มาตอบผมปรับคุณลุงแพ้อยู่ดี....ผมรู้คุณลุงอ่านคำถามจบไปแล้ว ทายผิดกระทู้ทั้งหมดของคุณลุง จะถูกรวบรวมไว้เป็นกองเดียวกัน....จะได้ไม่เปะปะเลอะเทอะเว็บบอร์ดนะจ๊ะ.....เดี๋ยวจัดให้... ;) เวบนี้ดีนะครับ แอดมินใจดี รวมกระทู้ให้ ทั้งที่เวบอื่นพากันแบนคน ๆ นี้ไปหมดแล้ว หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 11, 2010, 01:42:09 AM เก็บไว้ให้เราได้เปรียบเทียบว่าอันไหน
ธรรมของแท้ และธรรมของปลอมเลียนแบบแอบอ้าง ผมคิดว่าคนมีปัญญาคงต้องแยกแยะออกครับ โดยเฉพาะท่านที่ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและถูกทาง :) ;) หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:44:45 AM พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ไม่ใช่ พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม « เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 02:00:27 pm »
ในทางมหายาน 1. พระอวโลกิเตศวร เป็นสัมโภคกาย เกิดจากฌานของพระพุทธเจ้า นาม พระสัทธรรมวิทยาตถาคต หรือ เป็นธยานิโพธิสัตว์ ในคัมภีร์สหัสภุชสหัสเนตร อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไวปุลยสมบูรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตร โคตมะพุทธเจ้าได้ตรัสว่า: " ดูก่อนกุลบุตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพไพศาลเหนือการคาดคะเนตรึกคิด ในอดีตกาลล่วงมานับประมาณกัลป์มิได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ตรัสรู้พระสรรเพชุดาญาณ พระนามว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงมีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อยังความสุขศานติให้สําเร็จแก่สรรพสัตว์ แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว ) ย้ำ! สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาล แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว) " 2. ส่วนพระมหาโพธสัตว์กวนอิม เป็นนิรมาณกาย(กายเนื้อที่เป็นมนุษย์)ของพระอวโลกิเตศวร ซึ่งเป็นสัมโภคกาย ในมหากรุณาธรณีสูตร องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงมีพระดำรัสสรุปความแก่บรรดา พุทธโพธิสัตว์ และทวยเทพในที่ประชุมว่า "แท้ที่จริงแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้ ได้สำเร็จธรรมในขั้น "พุทธะ" เมื่อครั้งหลายแสนกัปป์มาแล้ว ทรงพระนามว่า "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" แต่ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะโปรดเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้มาร่วมกันฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ในทะเลทุกข์ พระองค์จึงทรงหวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีก" ย้ำ! "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" จึงทรงหวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีกเป็นพระอวโลกิเตศวร" สรุป พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ เป็น สัมโภคกาย เกิดจากฌานของพระพุทธเจ้า นาม พระสัทธรรมวิทยาตถาคต ที่นิรมิตขึ้นมา พระอวโลกิเตศวรจึงเป็นธยานิโพธิสัตว์ของธยานิพุทธเจ้า พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม เป็น นิรมาณกาย หรือ กายเนื้อ ที่เกิดเป็นมนุษย์ บำเพ็ญเพียรเอง จนบรรลุธรรมเป็นพุทธะ แต่ทิ้งพุทธภูมิมาอยู่โพธิสัตว์ภูมิใหม่ อนึ่ง...อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คล้ายยศตำแหน่งแบบหนึ่ง ที่ให้กับมนุษย์ที่ทำบารมีถึงขั้นนั้น พระพุทธเจ้าเช่นกัน เปรียบเสมือนยศตำแหน่งแบบหนึ่งเหมือนกัน พระศรีศากยมุนีบำเพ็ญบารมีถึงขั้นปัญญาพุทธเจ้า คือ 20 อสงไขยกำไรแสนกัป ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าแบบนี้ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ เกิดจากฌานของพระพุทธเจ้า(ธยานิพุทธ)เช่นเดียวกับพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์จึงเป็นสัมโภคกาย อยู่ที่พุทธเกษตรดุสิต เมื่อมนุษย์คนใดบำเพ็ญบารมีถึงขั้น ก็จะได้ยศตำแหน่งพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ พระอชิตะซึ่งเป็นมนุษย์ ในชาตินั้นบำเพ็ญบารมีถึงขั้น พระอชิตะก็ได้ยศตำแหน่งพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ไปครอง พระอชิตะอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ท่านมีชื่อว่า "นาถะเทวโพธิสัตว์" พุทธเกษตรเป็นดินแดนพิเศษ เกิดจากปณิธานของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ทำให้เกิดขึ้น อยู่ห่างไกลจากสวรรค์ 6 ชั้นในสังสารวัฏฏ์ลิบลับ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขอบจักรวาล (พ้นจากขอบจักรวาลก็เป็นแดนพระนิพพานที่พระอรหันต์อยู่กัน) บางตำรากล่าวว่า พุทธเกษตรดุสิตอยู่ทางทิศตะวันตกของพุทธเกษตรสุขาวดี บังเอิญ...พุทธเกษตรดุสิต ใช้ชื่อดุสิต แบบเดียวกับสวรรค์ชั้นดุสิต คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจผิดว่าเป็นที่แห่งเดียวกัน จตุคามรามเทพ และคุณชิงไห้(สาวเวียตนามที่พาฝรั่งมาเมองไทย 50000 คน เมื่อหลายปีก่อน) เป็นมนุษย์ผู้มีจิตเมตตากรุณา และทำสมาธิจนได้บารมีจนได้ยศตำแหน่งกวนอิม ใครๆจึงพูดว่าพวกท่านเป็นอวตารปางหนึ่งๆของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:46:04 AM พระอริยะต่างชี้ว่า จิตบริสุทธิ์เป็นอัตตา พึ่งพิงได้ « เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 02:21:08 pm »
พระอริยะต่างชี้ว่า จิตบริสุทธิ์เป็นอัตตา พึ่งพิงได้ เปมงฺกโร ภิกฺขุ ชี้ว่า ตัวธรรม(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นอสังขตะ เป็นอัตตา ในโลกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความจริง เกิดขึ้นแล้วสลายหมด เท็จทั้งสิ้น เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ส่วน สันตินิพพาน เป็นตัวสัจจะธรรม เที่ยงตรงมั่นคงอยู่เสมอ เป็นอสังขตะ ปราศจากเหตุ ไม่นอกไปจากจิตบริสุทธิ์ถึงขีดสุด เป็น ตัวธรรมที่รวมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอตฺตาตัวตนแท้ ......... .......... พระพุทธภาษิตว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนของตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตนในที่นี้หมายถึง จิตบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวตนพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ โดยประการดังนี้ฯ อดีตสมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) ชี้ว่าจะเจออัตตาได้อย่างไร " สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่า ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร: .... (จิต)ท่านว่ามันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน จิตของเรา จิตของเราถ้ามันเที่ยง ไม่แปรผันโยกย้ายไปมา, ก็พึ่งพาอาศัยได้. นี่มันพึ่งไม่ได้จิตใจของเรา. ให้ตั้งอยู่นี่.,ไปโน้น. ให้ตั้งตรงโน้นไปตรงนี้ = อนัตตา สรุป จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นอนัตตา จิตเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ = ตัวตน(อัตตา) พึ่งพิงได้ = จิตบริสุทธิ์ คือ นิพพาน(อสังขตะ) หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:49:30 AM จิตบริสุทธิ์ เป็นอัตตา เป็นผู้สร้าง จิตไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็น อนัตตาขึ้นมา « เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 10:32:40 pm »
จิตบริสุทธิ์ เป็นอัตตา เป็นพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เป็นผู้สร้าง จิตไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็น อนัตตาขึ้นมา อ้างจาก: Meka326 ไม่ปรากฏความเกิด ๑ = ไม่เกิด = ไม่มีตัวตน ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย ๑ = ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = ไม่มีตัวตน (และ) เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ = อมตะ = ไม่มีตัวตน = นิพพาน 1. คุณmeka ยังใช้คำยังไม่ถูกต้อง และยังเข้าใจไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าเรียกว่า ไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) และใช่ตัวตน(อัตตา) อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน โดยสิ่งนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน และดับไป = จิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร อัตตา แปลว่า ใช่ตัวตน โดยสิ่งนั้นมันมีอยู่ตลอดกาล = พระเจ้า(พระพุทธเจ้า)+พระอรหันต์ทั้งหลาย = จิตบริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสกับพระอานนท์ซึ่งเป็นพระอริยะชั้นโสดาบันว่าดังนี้ ตสฺมา ตีหานนฺท อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา แปลว่า ด้วยเหตุนี้แหละอานนท์ เธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ทั้งนี้แสดงว่า พระองค์ทรงสอนเรื่องตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนจริงๆดังที่สอนกันอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว พระองค์ย่อมนำมาตรัสสอนพระอานนท์ไม่ได้เลย พระพุทธองค์เพียงแต่ทรงปฏิเสธ รูปนาม (อารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์)ที่เกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์(จิตสังขาร) ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นอัตตาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร ถ้าหากปล่อยวางเสียได้ จิตก็จะบรรลุเข้าสู่สภาพธรรมที่ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ เป็นที่พึ่งอันเที่ยงแท้ถาวรอย่างแท้จริง มีพระบาลีในปัณฑิตวัคคแห่งพระธรรมบทกล่าวไว้ ดังนี้คือ ปริโยทเปยฺย อตฺตานํ จิตฺตกฺกิเลเสหิ ปณฺฑิโต แปลว่า บัณฑิตพึงชำระตนคือจิต ให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส แสดงว่า จิตที่บริสุทธิ์นี้ คือ ตน 2. อัตตา(ใช่ตัวตน) เป็นผู้สร้าง อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน)ขึ้นมา หรือ = สิ่งที่เที่ยง(อมตะ) เป็นผู้สร้าง สิ่งที่ไม่เที่ยง(ไม่เป็นอมตะ)ขึ้นมา หรือ = สิ่งที่ไม่เคยทุกข์ เป็นผู้สร้าง สิ่งที่เป็นทุกข์ขึ้นมา = นิพพานธาตุ หรือ พระเจ้า เป็นผู้สร้าง โลก จักรวาล และสรรพชีวิต ซึ่งไม่เที่ยง เป็นอนิจจังขึ้นมา การสร้างนี้เป็นเพียงการสะกดจิตให้จิตไม่บริสุทธิ์เห็นว่า โลก จักวาล และทุกอย่างล้วนเป็นของจริง ทั้งๆที่มันเป็นความว่างเปล่าเท่านั้น การสร้างสิ่งลวงเหล่านี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้อณูของพระเจ้าทุกๆอณูได้เรียนรู้ว่า ภาวะนิพพานที่ไม่เป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว ถ้าอณูพระเจ้าอณูไหนต้องการอยู่เป็นเทวดา เป็นโลกีย์พรหม เป็นมนุษย์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ฯลฯ ก็มีสิทธิ์จะเลือกเป็นสิ่งเหล่านั้นที่ได้ จากการทำบุญทำบาปของตน พระ(พุทธ)เจ้า เป็นแก่นแท้ ที่อยู่ในจิตของมนุษย์และสรรพชีวิตทั้งหลาย ที่เป็นจิตไม่บริสุทธิ์ หรือ จิตบริสุทธิ์ที่สุด เป็นแก่นแท้ ของจิตไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายแหล่ พวกท่านทั้งหมดล้วนเป็น(อณู)พระเจ้า พวกเราเหล่าพระเจ้าลงมาเพื่อรับรู้ประสพการณ์ในภพภูมิต่างๆ ที่พวกเราร่วมกันสร้างกับพระบิดาของเรา ซึ่งพระบิดานี้จะเรียกว่า พระพุทธเจ้าต้นธาตุ ต้นธรรม, อาทิพุทธ, ยะโฮวา, อัลเลาะห์, พ่อเกิดแม่เกิด. เต๋า,สมเด็จปฐมพุทธเจ้า, พระวิสุทธิพุทธรังสีบรมบิดา ฯลฯ แล้วแต่จะเรียก Re: จิตบริสุทธิ์ เป็นอัตตา เป็นผู้สร้าง จิตไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็น อนัตตาขึ้นมา mankho2001 « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 06:48:16 pm » ขอเติมตามที่เข้าใจด้วยปัญญาที่น้อยนิด ที่ท่านทั้งหลายชอบแปลคำว่า อนัตตา=ไม่ใช่ตัวตนก็จริงอยู่ เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจแต่ถ้าจะให้ดีควรเติมไปอีกหน่อยว่า ไม่ใช่ตัวตนหรือไม่เป็นตัวตนด้วยตัวของมันเอง ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาเป็นเหตุปัจจัย(เข้าหลักปฏิจจสมุปบาทเป๊ะ) หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:51:36 AM พระโมคคัลลานะตายแล้วฟื้น หรือสงบไปเท่านั้นเอง « เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 12:56:57 am »
พระโมคคัลลานะที่ฟื้นขึ้นมาอีกนั้นก็เพราะยังไม่ตาย ถึงกระดูกจะแตกละเอียดหมดก็จริง แ่ต่จิตวิญญาณนั้นยังไม่ได้ทำหน้าที่จุติจิตและกัมมชรูปก็ยังมีการเกิดดับอยู่ พระโมคคัลลานะจึงเข้าฌานประสารกายให้เป็นปกติได้เพื่อที่จะไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน มารมันลวงเราทุกทางครับ เรื่องไร้สาระที่คนถูกทุบจนเละที่สุด กระดูกแหลกละเอียด มันจะให้เราเชื่อว่าไม่ตาย อภินิหารไม่มีจริง เพื่อบิดพริ้วตีความพระไตรปิฎกผิด มันก็ทำ แต่ผมมาเพื่อชนมาร มารมันจะหลอกผมได้อย่างไร 1. จิตของพระอรหันต์ไม่มีจุติจิตและกัมมชรูปเกิดดับ บ้าๆบอๆอะไรของคุณแล้วครับ มีแต่จิตบริสุทธิ์ที่เป็นอมตะนิรันต์ สามารถสำแดงปาฏิหาริย์ได้ 2. พระมหาโมคคัลลานะ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ ............... พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้งในครั้งที่ 3 พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป 3. มารพยายามทำลายหลักฐานในพระไตรปิฎก ทำลายไม่ได้ ก็ใช้วิธีล่อลวง เช่น เข้าสิงในสมองผู้ที่ยังไม่เข้าถึงธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสให้ตีความผิดๆ และเผยแพร่ความคิดงี่เง่าของพวกเขาสู่สาธารณะชนในทุกทาง เพื่อสืบทอดมรดกความรู้ผิดๆต่อไปเรื่อยๆ ถ้าคุณmaimiphaiคิดว่า แน่กว่าโจร บอกว่าพระโมคคัลลานะยังไม่ได้ตาย ลองฟังพระอรหันต์ที่มีตำแหน่งพระสังฆราชเทศน์นะครับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก "...... ไม่มีอะไรให้สงสัยว่าเป็นสิ่งสุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มีเรื่องของท่านพระโมคคัลาน์เป็นเครื่องยืนยันรับรอง คือเมื่อปฏิบัติธรรมถึงจุดปรารถนาสูงสุดแล้ว ท่านถูกโจรเจ้ากรรมในอดีตพยายามหาทางทำลายชีวิตของท่าน ท่านพยายามใช้อิทธิฤทธิ์หลบหนี แต่โจรก็ติดตามไม่หยุดยั้ง จนท่านเบื่อหน่ายที่จะหลบหนีต่อไป จึงยอมให้โจรจับได้ และทุบท่านจนร่างกายแหลกเหลว นิพพานในที่สุด เมื่อนิพพานแล้ว ท่านได้รวมร่างเข้าอีกครั้งหนึ่งเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ แล้วกราบทูลลา เรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์เป็นเครื่องให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มชัดว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี แม้ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ท่านก็เพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น " 4. ยังดีนะนี่ มารมันสิงคุณให้เขียนว่า พระโมคคัลลานะไม่ได้ตาย นี่ถ้ามารสิงคุณให้เขียนว่า คนที่ตายแล้วก็ตา่ยเลย จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน แล้วบอกว่าพระเยซูไม่ได้ตายจริง สาวกช่วยกันโกหก รับรองกลายเป็นเรื่องใหญ่ทางศาสนาแน่ เพราะศาสนาคริสต์ดำรงอยู่ได้เพราะพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:05:44 AM หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว « เมื่อ: กันยายน 05, 2010, 05:58:01 pm »
หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว หลายคนเขียนว่า: ผมว่าอย่างเนี้ยต้องเรียกว่า เละเทะ ไปหมดแล้วครับ ยังงัยก็อ่านไปสนุกๆ ก็แล้วกัน เพราะท่านอรหันต์ Tuenum มาโปรดแล้วครับ เอ้าทุกท่านมาร่วมสาธุๆ[/quote] พระอรหันต์ เช่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำยังไม่รู้เลย รู้แค่พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำไม่รู้ว่า พระเยซูถึงอรหันต์แล้ว เพราะหลวงพ่อมีมิจฉาทิฏฐิ ไม่คิดว่าศาสนาอื่นเข้าถึงอรหันต์ได้เช่นกัน เพราะหลวงพ่อไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นพุทธ[/quote] อย่าปรามาสหลวงพ่อฤาษีลิงดำเลยนะคะ ตอบ ปรามาสกับพูดความจริงนั้นแตกต่างกัน แล้วแต่มุมมอง คุณมองคนในแง่ร้าย จึงบอกว่าผมปรามาส...ผมไม่ถือครับ หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู" ตอนหนึ่งว่า "...พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิต พอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม? 1. พระโพธิสัตว์มีแต่ในศาสนาพุทธ แล้วพระเยซูจะเป็นใครได้ล่ะนอกจากชาวพุทธ 2. หลักความเชื่อของคริสเตียนระบุว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตร ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย 1.4 พระเจ้า...ทรงเป็นอมตะ ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ดำรงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ 3. หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็เคยบอกท่านแล้วว่า ถ้าสงสัยในเรื่องใดให้ถาม เรื่องสำคัญขนาดพระเยซู หลวงพ่อก็ไม่ได้ถาม 4. บังเอิญ..ผมเป็นคนที่สนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆ พอบรรลุธรรมพ้นจากอำนาจมารที่จะมาหลอกผม ผมก็ค้นคว้าต่ออีกนิด จึงพบความจริงว่า - คนที่เป็นอมตะ ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ดำรงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ มีแต่พระอรหันต์ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" หลักฐานนี้ ชี้อย่างชัดเจนที่สุดว่า พระเยซูเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายแล้ว และเป็นอมตะ - พระเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าเป็นอสังขตธาตุ " ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตธรรมมีอสังขตลักษณะ ๓ อย่างนี้ คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ = ไม่เกิด ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย ๑ = ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย (และ) เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ = อมตะ Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว phonsakw « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 05, 2010, 10:54:39 pm » bhunyaphorn อ้างอิงข้อความ: อ้างถึง แล้วแต่คุณจะตีความคำว่าปรามาสของเราละกันค่ะ แต่ที่คุณว่า เพราะหลวงพ่อมีมิจฉาทิฏฐิ นี่ล่ะค่ะที่เราว่าอย่าปรามาสท่านเลย ขอไม่ดูกระทู้นี้ต่อแล้วกันนะคะ พอดีกว่า คุณbhunyaphornพอดีกว่า แต่ผมยังไม่พอนะครับ เรื่องใหญ่ๆระดับเสี่ยงลงนรกอย่างนี้ ผมต้องพูดให้ชัด เพราะผมคนเดียวที่พูดได้ คนอื่นพูดและวิจารณ์อาจหนีนรกไม่พ้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ผมพูด ถือว่าสงวนลิขสิทธิ์ ห้ามเลียนแบบโดยเด็ดขาด บรรดาพระอรหันต์มีสัมมาทิฏฐิเรื่องอริยสัจจ์ 4 หรือในเรื่องโลกุตตระธรรมเท่านั้น แต่บรรดาพระอรหันต์ไม่มีสัมมาทิฏฐิในเรื่องโลก และเรื่องใบไม้นอกกำมือของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์อาจมีความเข้าใจผิดในเรื่องเหล่านี้ได้ เนื่องจากเองที่ใช้สมองคิดทั้งหมด มารเขามีอำนาจ ถ้าพระอรหันต์ไม่มีมิจฉาทิฏฐิในเรื่องโลก และเรื่องใบไม้นอกกำมืออื่นๆ พระอรหันต์ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้วซิครับ หลวงตามหาบัว มีมิจฉาทิฏฐิในเรื่องการเมือง ฝึกไฝ่เข้าข้างลูกศิษย์คือนายสนธิ ลิ้มทองกูล และเชื่อคำยุยงของนายสนธิ จนด่าทักษิณจนเละ และยังคว่ำบาตร...ความเป็นอรหันต์ของท่านเป็นเหตุให้ทักษิณฉิบห..จนถึงทุกวันนี้ พูดง่ายๆ หลวงตามหาบัวเป็นผู้มีส่วนทำลายระบอบประชาธิปไตย และระบบความยุติธรรมในเมืองไทย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไปใช้สมองคิดในเรื่องพระเยซู ท่านจึงสับสน ตีความไม่ออก ทั้งๆที่หลักฐานมีอยู่ตรงหน้า ท่านก็มองไม่เห็น โดนมารบังตาเอาไว้ หลักฐานเหล่านี้คือ 1. พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต 2. พระเยซูบอกเองว่า ท่านเป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตร 3. พระเยซู(พระเจ้าที่อยู่ภายใน)ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว « ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 12:20:18 am » หลักฐานต่างๆชี้ว่า: พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน จากกระทู้ มารู้จักพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ากัน+คำยืนยันว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์มีจริง http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=794.0 ผมบอกว่าจะนำหลักฐานที่ชี้ว่าพระเยซูเป็นชาวพุทธมาแสดงใน 3 วัน บังเอิญได้หลักฐานมาก่อน ผมจึงถือโอกาสแสดงหลักฐานเลย 1. ตามประวัติของพระเยซู เมื่อพระเยซูอายุได้ประมาณ 13-14 ปี ได้ไปนมัสการที่วัดยิวในกรุงเยรูซาเล็ม หลักจากนั้นประวัติพระเยซูก็หายไป ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลย มาปรากฏอีกที ก็ตอนที่ พระเยซูอายุประมาณ 30 ปีแล้ว เป็นตอนที่...พระเยซูได้ไปพบกับท่าน จอห์น เดอะบั๊บติสต์ (john the baptist) ผุ้เป็นอาจารย์โดยได้ถือศีลจุ่มที่แแม่น้ำจอร์แดน พอพระเยซูได้ถือศิลจุ่มเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าท่านได้บรรลธรรมโดยทันที ปรากฏ....มีแสงแล้วมีเสียงบอกให้พระเยซูไปเผยแผ่พระบัญญัติของพระเจ้า การบรรลุธรรมแบบนี้ก็เช่นเดียวกับที่พระมหากัสสปบรรลุธรรมทันทีเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าชูดอกบัวขึ้นมา ที่สำคัญ...คุณรู้ไหม?..... จอห์น เดอะบั๊บติสต์ก็เป็นนักบวชนิกายเอสเซนส์ ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งไปเผยแผ่ในดินแดนตางๆ 2. ในหนังสือเรื่อง JESUS LIVES IN INDIA ระบุว่า ที่พระเยซูหายไปตอนอายุได้ประมาณ 13-14 ปีนั้น พระเยซูได้ออกเดินทางไปประเทศอินเดียที่รัฐโอริสา ไปเรียนศาสนาเชน ศาสนาพราหมณ์ แล้วก็ได้สอนขัดแย้งกับนักบวชเหล่านั้น เช่น คัดค้านเรื่องวรรณะ ต่อมาได้เดินทางไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาด้วยเช่นกัน แต่ความขัดแย้งก็ยังรุนแรงเช่นเดิม จนลูกศิษย์ได้พาพระองค์ไปยังเนปาลและได้เรียนภาษาบาลีคำสอนพุทธศาสนาที่นั่นจนมีความเชี่ยวชาญด้วย เมื่อพระองค์อายุได้ประมาณ 30 ปี ก็มีคนส่งข่าวมายังพระองค์ว่า นางมาเรียป่วย พระองค์จึงเดินทางกลับ 3. ในหนังสือชื่อ Commerce Between the Roman Empire and India กล่าวถึงความมีอยู่ของพุทธศาสนานิกายมหายานว่ามีความเจริญแพร่หลายที่สุดในปาเลสไตน์และอียิปต์ รากฐานของมหายานคือความเชื่อเรื่อง อาทิพุทธ คำว่า ก๊อด (God) ก็หมายถึงอาทิพุทธ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม God เป็นภาษาต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในภาษาซีเรียน ซึ่งเป็นภาษาพูดของมารดาพระ เยซู และคำนี้พระเยซู ท่านนำมาใช้ในการเทศน์สอนประชาชน อธิบายชัดๆ... คำว่า ก๊อด ในพระคัมภีร์ใหม่จริง ๆ แล้วหมายถึง พระพุทธเจ้า [/b] ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า คำนี้ย่อมมาจากคำว่า ก๊อตตะมะ (Godtama) ซึ่งเป็นชื่อโคตรของพระพุทธเจ้า แม้คำว่า อิลิยาห์ (Elijah) ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เลือนมาจากคำว่า อริยะ ว่าไปทำไมมี คำว่า บุตรพระเจ้า (The Son of God) ก็เลียนแบบการพูดถึงพระในพระพุทธศาสนาว่า “พุทธบุตร” นั่นเอง แล้วพระเยซูเรียกตัวท่านเองว่า บุตรพระเจ้า = พุทธบุตร นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้กำเนิดหรือศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู ท่านก็เป็นชาวพุทธ เช่นเดียวกับ ผู้ให้กำเนิดหรือศาสดาของศาสนพุทธ คือ พระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นคนในศาสนาพราหมณ์ ชื่อตอนบวชชื่อ "มุนีสมณะ" ย้ำ!!! คำว่า ก๊อด ในพระคัมภีร์ใหม่จริง ๆ แล้วหมายถึงพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า คำนี้ย่อมมาจากคำว่า ก๊อตตะมะ (Godtama) แท้จริง พระเยซูผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนา(พระสงฆ์ - อรหันต์) คำว่า The Son of God ก็คือบุตรของพระพุทธเจ้า หรือ พุทธบุตร 4. แล้วทำไมผมถึงบอกว่า พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายานล่ะ ถ้าคุณยังมองไม่เห็น ลองคิดดู ...... คนที่สามารถห้ามพายุได้ รู้ล่วงหน้าเหตุการณ์ต่างๆได้ ทำนายแบบเป๊ะๆเลยทั้งนั้น นอกจากนี้ ยังรักษาคนป่วยด้วยฤทธิ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนง่อย, คนแขนขาพิการ, คนตาบอด, คนใบ้ และคนเป็นโรคเรื้อน นอกจากนี้ พระเยซูยังแสดงปาฏิหาริย์ ขนาดชุบชีวิตคนตายได้ เรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้ เรียกได้ว่า พระเยซูผู้นี้ได้อภิญญา 5 ครบถ้วนแล้วแน่นอน แต่ที่สำคัญคือ - พระเยซูฟื้นขั้นมาจากความตายได้เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ เราบอกว่า พระโมคคัลลานะ เป็นพระอรหันต์ แล้วพระเยซูล่ะ ทำไมจึงจะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ - ที่สำคัญที่สุด นาทีสุดท้ายก่อนพระเยซูจะตายบนไม้การเขน พระเยซูได้พูดในประโยคสุดท้ายว่า : " โอ้พระบิดาเจ้า ทรงอภัยให้พวกเขาเถิด พวกเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป " แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลง คุณยังไม่เห็นอีกหรือว่า พระเยซูผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีเมตตาขนาดไหน แม้ว่าโดนทารุณสุดโหดจนตาย ท่านมิได้โกรธเลย กลับให้อภัยต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน 5. พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า: “พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง” ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว the suffering « ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 03:44:15 pm » การไปรับรองสิ่งใดยการเทียบเคียงและประมาณการ ใช้ได้ กี่ % ;D Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว mankho2001 « ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 07:03:42 pm » ท่านสำเร็จตอนกี่ขวบครับ แล้วใยท่านไม่สอนเรื่องศีล-ธรรม ที่ปุถุชนควรเข้าใจ ท่านสอนว่าจงรักผู้อื่นเหมือนที่เรารักตนเองแต่ท่านไม่ได้อธิบายว่าทำไม แล้วอีกอย่างคำสอนของท่านไม่กระชับ เหมือนของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ที่เราพอจะรู้จัก แล้วใยท่านไม่เอยถึงศาสดาของท่านว่าเป็นใครหมายถึง ชื่อ ได้แต่เอ่ยว่าพระบิดา อีกอย่างผมก็เป็นคนทั่วไปที่ยังมีกิเลสอยู่โสดาบันยังเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้คงไม่มีความสามารถที่คนธรรมดาอย่างผมจะไปรู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นอรหันต์ถึงรู้ก็ใช่ว่าชีวิตเราจะดีขึ้นหรือเลวลงเพราะพระพุทธองค์ก็บอกแนวทางไว้แล้ว หงายของที่คว่ำให้แล้ว จุดตะเกียงให้แล้ว เหมือนตอนที่ท่านสุภัททะปริพาชกถามพะรพุทธองค์ว่า บรรดาอาจารย์ทั้งหลายที่ตั้งตนเป็นศาสดาของศาสนานั้นๆต่าสำเร็จจริงตามที่พูดหรือเปล่าหรือว่าเป็นอรหันต์บ้างไหม พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าข้อนั้นอย่าไปรู้เลย แม้แต่พระอานนท์ซึ่งตอนนั้นยังไม่สำเร็จเป็นอรหันต์ยังรู้เลยว่านี่เป็นคำถามที่ไร้สาระและเสียเวลาที่จะตอบเปล่าๆ บุคลลใดเข้าถึงแค่โสดาบันได้แล้วย่อมเห็นคุณโทษในสังสารวัฏ และปฏิบัติตามแนวทางมรรคมีองค์8ขึ้นอย่กับว่าจริงจังจริงใจแค่ไหน ขอแสดงความคดิเห็นตามสติปัญญาที่มีครับ Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว phonsak « ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 12:25:03 am » - พระเยซูอยู่ในยุคสงครามสุดโหด จึงต้องใช้ชีวิตเข้าแลก เพื่อให้ผู้คนเห็นความเมตตากรุณา ค่อยๆกลับมาเป็นคนไม่เถื่อน - พระพุทธเจ้าอยู่ในยุคที่คนจำนวนมากมีศีลธรรมระดับสูงพอสอนพอที่จะสอนธรรมระดบสูงได้ Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว AVATAR « ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 01:28:47 am » ไม่มั้งครับลุง...สมัยพระพุทธเจ้าพระองค์มาก่อนพระเยซู ผู้คนโหดและเถื่อนกว่าอีกครับ...โดยเฉพาะพวกทางตะวันออกนิยมบูชายัญและกินเนื้อคนด้วย พระสงฆ์ที่จะเดินทางมาเผยแพร่ในทางตะวันออกพระพุทธเจ้าทรงเตือนและให้หนักแน่นก่อนออกเดินทาง...ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ดูนะครับ เมื่อภิกษุถูกเบียดเบียนทำร้าย ทางพระพุทธศาสนาสอนให้พิจารณาอย่างไร ? หากชนเหล่าอื่นจะพยายามทำร้ายภิกษุนั้น ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ คือด้วยการประหารด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยการประหารด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยการประหารด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยการประหารด้วยศัสตราบ้าง ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายนี้เป็นสภาพที่เป็นไปด้วยการประหาร ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง.... ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพระโอวาทอันเปรียบด้วยเลื่อยดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ว่าพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า พึงตัดทอนอวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายด้วยเลื่อยอันมีด้ามสองข้างไซร้ ภิกษุผู้ที่ยังใจให้ประทุษร้ายในโจร แม้พวกนั้นย่อมไม่เชื่อว่าทำตามคำสอนของเรา..... อนึ่ง ความเพียรอันเราปรารภแล้ว จักไม่ย่อหย่อน สติอันเราตั้งไว้มั่นแล้วจักไม่หลงลืม กายอันเราให้สงบแล้ว จักไม่กระวนกระวาย จิตอันเราตั้งไว้มั่นแล้ว จักมีอารมณ์อย่างเดียว การประหารด้วยฝ่ามือ.... ด้วย ก้อนดิน.... ด้วยท่อนไม้.... ด้วยศัสตราทั้งหลาย จงเป็นไปในกายนี้เถิด คำสอนของพระพุทธเจ้า .... เราจะทำให้จงได้ดังนี้ ฯ ” มหาหัตถิปโทปมสูตร มู. ม. (๓๔๒) ตบ. ๑๒ : ๓๕๑ ตท.๑๒ : ๒๙๑ ตอ. MLS. I : ๒๓๒ พระองค์โพธิสัตว์ที่ลงมาสร้างบารมีมักจะมีคำพูดเด็ดๆแบบนี้ ใครตบหน้าทางขวาฉัน ฉันจะยื่นหน้าทางซ้ายให้ตบอีก ใครตัดแขนขวาฉัน ฉันจะยื่นแขนซ้ายให้ตัดอีก ใครมายิงอกขวาฉัน ฉันจะยื่นอกซ้ายให้ยิงอีก แต่คงไม่ใช่... ใครมาแขวะฉันเว็บโน้น...ฉันจะมาแอบแขวะเธอคืนเว็บนี้อีก ...ถ้าอย่างนี้คงไม่ใช่แล้วครับ...อย่าว่าแต่แค่ 8,605,447 ปีเลยครับ คงวนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารนี้อีกนานนนนนเป็นนิรันดร์แหละครับ....ว่างั้นมั๊ยครับคุณลุง phonsak... ;) Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว the suffering « ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 09:24:30 am » เดินทางสายกลาง...ไม่สุขหรือทุกขืเกินไป จึงจะประสบผลสำเร็จ เหมือนกรรมกรหากินลำบากยากแค้นกลับบ้านก็หมดแรง แต่คนชั้นกลางมีพอกิน เหลือเวลาป.ธรรม ได้ ส่วนคนรวยเกิน(ส่วนมาก)ก็ติดโลภ แหละ เฮ้อ....รุ้ว่าทุกข์ ท่วมกาย ท่วมใจ (ลูกศรปักอก) มัวมาถามกันอยู่ได้ว่า ใครยิงลูกศรมา ยิงมาทำไม ตูไปทำให้มรึง โกรธเคืองมาแต่ชาติปางไหน ไม่ยอมให้หมอผ่าเอาลุกศรออกสักที ;D Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว AVATAR « ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 19, 2010, 12:45:48 am » ท่าน ผู้เล็งเห็นทุกข์ ไม่ทราบหรือครับว่า คุณลุง phonsak รู้ว่าใครยิงลูกศรมา และทำไมจึงยิง...!!! ;) Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว the suffering « ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 19, 2010, 10:58:15 am » เฮา ขอเรียนเสอทุก ๆท่านดังนี้ 1.ปลีกวิเวก ให้มากๆ 2.ปฏิบัติให้มากๆ 3.แล้วมาส่งอารมณ์/สอบความก้าวหน้าทางจิตกันดีกว่ามั๊ย ด้วยความเคารพ ;D Re: หลวงพ่อฤาษีบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ ผมบอกว่าพระเยซูเป็นอรหันต์แล้ว AVATAR « ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 08:03:53 am » ชอบจริงเลยครับคำนี้ "ปลีกวิเวก" โดยส่วนตัวแล้วผมก็ชอบอยู่คนเดียวแบบนี้จริงๆครับ...งั้นขออนุญาตไปก่อนล่ะครับท่าน... :) :D ;D :D :) ;) หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:08:26 AM พรหมชาลสูตรที่ ๑ ชี้ว่า กายของตถาตตยังดำรงอยู่ « เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 01:03:05 pm »
[quote name='ไร้สังกัด' timestamp='1286071539' post='5923'] พรหมชาลสูตรที่ ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต. ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป หรือ กาย ก็ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะไปเหลือจิตบริสุทธิ์ อะไรที่ไหน [/quote] เอาพรหมชาลสูตรที่ 1 มาลง แต่คุณไม่เข้าใจความหมายอะไรเลย พรหมชาลสูตรที่ ๑. พระพุทธพจน์ " ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่" พรหมชาลสูตรที่ ๑.ชี้ชัดว่า กายของตถาคต......... ยังดำรงอยู่ = กายนี้เป็นกายแท้ ที่เป็นอัตตา(เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ = กายอนัตตาท่ตายไป เพราะมันไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย ปรมัตถธรรม มี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตหมายถึงจิตสังขาร นิพพานหมายถึงนิพพานจิต พระสูตรในนิกายเซ็น: พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูกรกัสสปะ ท่านมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง เพราะนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพงรักษาไว้ให้ดี ” คาถาพระนิพพานนิมิต " นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา [size="4"][/size]" ... ส่วนตถาคตเป็นผู้ถอนตัญหาอันจะนำให้เวียนอยู่ในภพได้แล้ว (ถ้า)กายยังดำรงอยู่ตราบใด ก็มีผู้แลเห็น (แต่)เมื่อกายทำลายไปแล้ว ก็ไม่มีผู้แลเห็น. พระพุทธเจ้าตรัสสอนมาทางเถรวาทว่า กายพระองค์มี 2 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนไปทางมหายานว่า กายพระองค์แยกให้ละเอียดแล้วมี 3 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย และสัมโภคกาย(กายทิพย์ที่วนเวียนอยู่ในปรโลกให้ผู้คนพบเห็นได้) คุณครูนภา ไม่มีทางเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อกายเนื้อ(นิรมานกาย)ของพระองค์ตายไปแล้ว เพราะคุณยังไม่ตาย และยังเข้าไม่ถึงโลกุตตระธรรม เพราะพระพุทธองค์บอกวิธีพบเห็นพระองค์ไว้แล้วว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม" แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคง หลวงพ่อสด หลวงปู่ดู่ ฯลฯ ท่านสามารถพบพระพุทธเจ้าได้ เพราะพวกท่านได้เข้าถึงโลกุตตระธรรมแล้ว แต่ถูกไอ้พวกปริยัติที่ไม่ปฏิบัติ ไปกล่าวหาพวกท่านว่า "วิปัสสนูกิเลส" หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:11:37 AM เจาะลึกที่สุดเรื่องพระเวสสันดร กัณหา-ชาลี และมัทรี « เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 01:23:51 am »
หนู ไม่เข้าใจค่ะ ตอนที่ท่าน บริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่ ในภพนั้น... การที่ท่านให้ลูก และจะให้ภรรยา อันนี้ .. ข้องใจ ตรงที่..ชีวิตของผู้อื่นไม่ใช่ของท่าน พระพุทธเจ้าสามารถตัดสินจะให้กับใครก็ได้ด้วยหรือค่ะ แล้วความทุกข์ที่เกิดจากลูก และ ภรรยา จะไม่เป็นบาปกับพระพุทธเจ้าหรอค่ะ เป็นการทำความดีบนทุกข์ของคนอื่นหรือเปล่า ช่วยอธิบายให้หนูเข้าใจที หนูโง่เขลาเบาปัญญามากค่ะ :'( เรื่องที่คุณstudent gig สงสัยเป็นเรื่องที่ลึกซึ๊งที่สุด ถ้าคุณเข้าใจ คุณจะเข้าใจพระศาสนาทั้งหมดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตทั้งสิ้น คุณพูดถูกที่สุดเลย พระพุทธเจ้าไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของคนอื่น ชีวิตของกัณหาชาลี และนางมัทรี เป็นชีวิตของผู้อื่นไม่ใช่ของท่าน การกระทำทางกายของพระพุทธเจ้าทำแบบนี้ ไม่ต่างจากชาวบ้านในเมืองไทยที่ขายลูกเมียกิน เหตุใดพระพุทธเจ้าทำกลายเป็นมหากุศล แต่ชาวบ้านทำกลายเป็นโคตรบาปเลย ขายลูกเมี่ยกัน? ความแตกต่างอยู่ที่จิตของผู้กระทำครับ จิตของชาวบ้านเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน จึงทำชั่วลงไปได้ ส่วนจิตของพระพุทธเจ้าเห็นแก่ชาวโลก จึงยอมเสียสละสิ่งที่เป็นที่รักดังดวงใจของตนเอง คือ ลูกและเมีย....ชาวบ้านไม่มีจิตแบบนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ" พระเวสสันดร ปากท่านโคตรชั่วเลย ยกลูก ยกเมีย ให้เป็นทาสคนอื่น แต่เรามาดูใจของพระเวสสันดรซิ ใจของท่านคิดเสียสละสิ่งที่รักที่สุดของตน คือ ลูกเมีย เพื่อตัวท่านจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า เพื่อจะได้ช่วยโปรดสอนสรรพชีวิตทั้งปวงใน 3 ภพ....ใจของท่านมีแต่เสียสละอย่างเดียว คราวนี้มาดูชาวบ้านที่ขายลูกเมียกันบ้าง ทั้งปากของชาวบ้านคนนั้น และใจของเขา ล้วนคิดและทำทุกอย่างแบบเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น ไม่เห็นแก่ลูกเมียเลย นอกจากนี้ กัณหาชาลี และนางมัทรี ล้วนเห็นแก่พระเวสสันดร ต้องการให้พระเวสสันดรสำเร็จกิจในการเป็นพระพุทธเจ้าช่วยทุกคนต่อไป พวกเขาจึงเสียสละตัวเอง แม้ว่ากายของพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ยอม แต่ใจล้วนยอม สรุป บาปคือ ความเห็นแก่ตัว บุญคือ การเสียสละ สิ่งที่พระเวสสันดรทำ ปากของท่านโคตรชั่วเลย แต่บาปไม่ได้เกิดขึ้นจากกายและวาจา บาป-บุญล้วนเกิดจากใจเท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เป็น "มหากุศล" ... คุณstudent gig ครับ คำตอบข้างบนผมวิเคราะห์เน้นที่พระเวสสันดร เพื่อให้เห็นภาพถึงคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ" ไม่ว่าวาจาแสนชั่วของพระเวสสันดรจะเป็นอย่างไร แต่ใจพระเวสสันดรมีแต่คิดเสียสละอย่างเดียวจึงเป็นมหากุศล คราวนี้มาดูที่กัณหาชาลี และนางมัทรีว่า แม้กายของพวกลูกเมียพระเวสสันดรจะไม่ยอม และไม่พอใจในการกระทำของพระเวสสันดรตอนแรก แต่ใจของทั้งกัณหาชาลี และนางมัทรีตอนหลัง ยินยอมสมัครใจเพื่อช่วยพ่อให้สำเร็จโพธิญาณทั้งสิ้น จากwww.kalyanamitra.org/daily/.../index.php?option... ชาลี .....พระเวสสันดรได้กล่าวสุนทรวาจาไว้ว่า "ดูก่อนพ่อชาลีลูกรัก พ่อจงมาเพิ่มพูนบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นชุ่มฉ่ำ ลูกรัก ขอลูกจงทำตามคำของพ่อ ขอลูกทั้งสองจงเป็นดังยานนาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ เมื่อพ่อข้ามฝั่งคือชาติแล้ว จักยังมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายให้ข้ามพ้นด้วย" พระชาลีราชกุมารได้ทรงสดับพระดำรัสของพระราชบิดาเช่นนั้น จึงตัดสินใจเด็ดขาด ปรารถนาจะให้ความประสงค์ของพระบิดากลายเป็นจริง ทรงคิดว่า พราหมณ์เฒ่าคนนี้จง ทำตามใจชอบเถิด จะเอาเราไปเป็นข้าทาสบริวาร ทำร้ายร่างกาย หรือทรมานเราอย่างไร ก็จะยอมทนทุกอย่าง แต่เราจะไม่ทำให้พระบิดาลำบากพระทัยเด็ดขาด จากนั้นพระกุมารได้โผล่พระเศียรแหวกใบบัวออกมา ขึ้นจากน้ำ หมอบลงแทบพระบาทเบื้องขวาของพระบิดา สวมกอดข้อพระบาทไว้มั่น ทรงกันแสงด้วยความรักที่มีต่อพระองค์ กัณหา ..........."ลูกกัณหาเอ๋ย ลูกจงออกมาเถิด จงมาเพิ่มพูนทานบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยรดหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ ขอลูกจงเป็นดังยานนาวาของพ่อ พ่อจักข้ามฝั่ง คือ ชาติ จักยกทั้งมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ให้ข้ามพ้นจากภัยในสังสารวัฏ" พระกัณหาชินาราชกุมารีทรงสดับพระดำรัสของพระราชบิดา ก็ตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยวเช่นกัน ได้ขึ้นจากสระน้ำ มาหมอบลงแทบพระบาทเบื้องซ้ายของพระบิดา แล้วกอดข้อพระบาทไว้มั่น พร้อมกับกันแสงด้วยความอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจากพระบิดาไป พระเวสสันดรแนะนำพระโอรสว่า ชาลีลูกรัก ถ้าลูกปรารถนาจะเป็นไท ลูกควรให้ทองคำ ๑,๐๐๐ ลิ่มแก่พราหมณ์ชูชกจึงจะเป็นไทได้ ส่วนน้องสาวของลูกเป็นผู้ทรงอุดมรูป หาหญิงใดในชมพูทวีปเสมอเหมือนได้ยาก ถ้าใครปรารถนาจะทำน้องสาวของเธอให้เป็นไท ก็พึงให้ทาสชาย ทาสหญิง ช้าง ม้า โค อย่างละ ๑๐๐ และทองคำ ๑๐๐ ลิ่ม แก่ชูชก น้องของเธอจึงจะเป็นไทได้ นางมัทรี จากhttp://iam.hunsa.com/gamekadid/article/22595 บัดนี้ลูกรักทั้งคู่ไปไหนเสีย จึงมิมารับแม่เล่า ครั้นเข้าไปถามพระเวสสันดรก็ถูกตัดพ้อต่อว่าต่าง ๆ จนพระนางมัทรีถึงวิสัญญีภาพสลบลง พระเวสสันดรทรงปฐมพยาบาลจนพระนางมัทรีฟื้น แล้วจึงแจ้งความจริงว่า พระองค์ได้ทรงยกลูกรักชายหญิงทั้งสอง มอบให้แก่ชูชกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน พระนางก็อนุโมทนาซึ่งทานนั้นด้วย บริจาคมัทรี http://www.jarun.org/v6/th/lrule09p0901.html (http://www.jarun.org/v6/th/lrule09p0901.html) อีกตอนหนึ่งพระอินทร์แปลงเป็นตาเฒ่า มาขอพระราชทานพระมัทรี พระเวสสันดรก็ลองใจพระมัทรีว่า มัทรีเอ่ย เจ้าจะเห็นเป็นไฉน พระราชสวามีก็เสียดายพระมัทรี สู้อุตส่าห์ลำบากมาด้วยกันนะ มัทรีเอ่ย ก็จะยกให้เป็นทานแก่ตาเฒ่าวนิพกยาจกเข็ญใจ เอาไปเป็นเมียหรือเป็นคนใช้เขา เป็นอย่างไรหรือพระมัทรีเอ่ย พระมัทรีกราบถวายบังคมทูลว่า ยินดีพระเจ้าค่ะ เพื่อพระราชสวามีหวังสัมโพธิญาณ ข้าพระพุทธเจ้าขอรับใช้ละออกธุลีพระบาททุกประการ สรุป เห็นหรือบังครับว่า ทั้งกัณหาชาลี และนางมัทรี ล้วนลำบากทางกาย กายไม่เต็มใจทั้งนั้น แต่ใจของกัณหาชาลี และนางมัทรี ล้วนเต็มใจทำ เพื่อให้พ่อและผัวบรรลุสัมโพธิญาณ จะได้ช่วยยกทั้งมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ให้ข้ามพ้นจากภัยในสังสารวัฏ ... คราวนี้มาลองวิเคราะห์ตัวอย่างเรื่องศีล 5 เหล่านี้ดูบ้าง เมื่อไรที่คุณเข้าใจเรื่องพระเวสสันดร คุณจะเข้าใจเรื่องบาปบุญ และเรื่องศีล 5 แบบทะลุถึงจุดทันที ลองดูตัวอย่างเหล่านี้ซิ กายและวาจาเป็นบาป ผิดศีล 5 ทั้งสิ้น แต่เพราะ "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ" การกระทำของเขาเหล่านั้นจึงล้วนเป็นบุญใหญ่ 1. เมียยอดรัก ไม่ยอมยื้อชีวิตยอดรักเอาไว้ ให้หมอถอดเครื่องช่วยชีวิตยอดรักออก เพราะไม่ต้อง การให้ยอดรักต้องทนทรมานต่ออีกวันสองวัน เจตนาในใจคือ ให้ยอดรักพ้นจากการทรมาน ไม่ได้ ต้องการฆ่ายอดรัก แม้การกระทำเช่นนั้น จะมีผลให้ยอดรักจึงตายไวกว่าที่ควร 1-2 วัน ก็หาใช่บาปไม่ 2. หลวงพี่เท่งตะโกนโกหกว่า "ตำรวจมา ตำรวจมา" เจตนาเพื่อช่วยคนที่ถูกรุมกระทืบ การโกหก เช่นนั้น คนร้ายที่รุมกระทืบคนๆนั้นจึงหนีไป คนนั้นเลยรอดตาย นอกจากการโกหกจะไม่บาปแล้ว ยังเป็นบุญใหญ่ด้วย 3. พระภิกษุสองรูปเดินไปด้วยกัน พบหญิงตกน้ำ ... พระคนหนึ่งกระโดดลงไปช่วยแบกหญิงคน นั้นขึ้นมา เจตนาต้องการช่วยชีวิตคน(หญิง) แม้ว่าจะผิดวินัยสงฆ์ ท่านก็ทำ เจตนาทางใจคือกรรม ไม่ใช่เจตนาทางกายเป็นตัวกรรม ด้วยเหตุนี้ พระคนนี้จึงได้บุญใหญ่ ไม่ใช่ได้บาป ... พระอีกคนไม่ลงไปช่วย เจตนาไม่ต้องการผิดวินัยสงฆ์ เกาะยึดคัมภีร์พระวินัยไว้แน่น เจตนา ทางใจคือกรรม พระคนนี้จึงน่าจะได้บาปใหญ่ เพราะจิตไม่มีความเมตตากรุณา มีแต่ความเห็นแก่ตัว เองเท่านั้น ตายไป น่าจะเอาพระไตรปิฎกเล่มยักษ์ให้กอด แล้วเอาไปถ่วงน้ำให้ตาย 500 ชาติ ถ้าคุณเข้าใจเรื่องที่ผมเขียน คุณก็เป็นผู้ที่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ว่า บุญบาปล้วนอยู่ในจิตของเราว่าจะคิดปรุงแต่งเป็นกุศลหรืออกุศล Re: เจาะลึกที่สุดเรื่องพระเวสสันดร กัณหา-ชาลี และมัทรี mankho2001 « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 07:20:21 pm » ท่านยอมเสียทั้งลูกเมียและบ้านเมือง เอาเป็นว่าถ้าตอนนั้นท่านไม่ยอมเสียอะไรเลย ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าที่มีนามว่า โคตม หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:20:29 AM พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า? « เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 01:05:35 pm »
อัตตา = อนัตตา ในจุดที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวน เพราะไม่มีอารมณ์กิเลสอยู่ owner board : คุณพลศักดิ์นี้พูดจาวกวน กลับกลอกอยู่เสมอ อย่างเช่นครั้งนี้... คือตอนแรกยอมรับว่า "เมื่อเป็นสิ่งปรุงแต่ง มันก็ไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และเป็นอนัตตา " แต่ตอนหลังกลับมากลับคำใหม่ว่า " สิ่งปรุงแต่ง ที่มันเที่ยง อยู่เป็นอมตะ และเป็นอัตตา มันมีนะครับ " ตอบ " สิ่งปรุงแต่ง มันก็ไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และเป็นอนัตตา " = สิ่งปรุงแต่งที่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลง = สังขตธาตุ " สิ่งปรุงแต่ง ที่มันเที่ยง อยู่เป็นอมตะ และเป็นอัตตา มันมีนะครับ " = สิ่งปรุงแต่งที่ไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลง สิ่งปรุงแต่งเหล่านี้อยู่ในเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตร เรียกว่า "สัมโภคกาย หรือธรรมกาย(เถรวาท)" = อสังขตธาตุ สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง เที่ยง และอมตะ ไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา ก็มีเช่นกัน คือ มันอยู่ตรงกลาง = พุทธภาวะเบื้องต้น ที่เป็นแสงสุกสกาว เรียกว่า "ธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน)" หรือนิพพานจิต หรือ พระเจ้า หรือพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม ซึ่งเป็นผู้ทำให้เกิดทั้งสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ เลือกกันเอาเองว่า คุณอยากเป็นสิ่งปรุงแต่งที่เที่ยงหรือไม่เที่ยง หรือเป็นสิ่งไม่ปรุงแต่ง ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสิ่งปรุงแต่งที่เที่ยงและไม่เที่ยง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" มนุษย์มีอายุสั้นลงเรื่อยๆ ก็เพราะไปปรุงแต่งด้วยอารมณ์โลภ โกรธ หลง เมื่อมนุษย์เริ่มทำความดี รักษาศีล และปฎิบัติธรรมกัน การคิดปรุงแต่งด้วยอารมณ์โลภ โกรธ หลงก็ค่อยๆลดลง เป็นเหตุให้อายุคนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 10ปี ก็เป็น 20ปี เป็น 100ปี เป็นพันปี เป็นหมื่นปี เป็นแสนปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไปถึงอสงขัยปี - พวกที่อายุยืนถึงอสงขัยปี ด้วยเหตุที่ใจของเขาไม่มีอารมณ์ราคะ โทสะ โมหะ นั่นเอง พระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทแก่พระเจ้า ปเสนทิโกศล ว่า: “คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา รู้จักประมาณในการบริโภค ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า ครองอายุอยู่ได้นาน” คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา = พระอรหันต์ ที่วิปัสสนาตลอด หรือ พระอรหันต์วิปัสสโก นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ด้วยว่า: “อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔ มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑ กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้” ซึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่ทำทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน แต่สมถะแบบไหนผมไม่รู้ เพราะมีหลายวิชามากมาย อาจจะเป็นพระอรหันต์ที่มีวิชาต่อธาตุขันธ์(ดิน น้ำ ลม ไฟ)หรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปค้นคว้า ตอนนี้owner board ก็มีอายุน้อยลง 3 วัน เพราะอารมณ์โกรธ ไม่พอใจผม ส่วนผมมีอายุยืนขึ้น 3 วัน เพราะไม่มีอารมณ์โกรธ และไม่มีอารมณ์ไม่พอใจท่านowner board ไว้ผมอายุ 125 ปี จะไปเยี่ยมคารวะหลุมศพหลวงพี่ หรือถ้าผมพบวิธีการในพระไตรปิฎกว่าต้องทำกรรมฐานแบบไหน อายุจะได้ยืนถึงอสงขัยปี ผมจะไปเยี่ยมท่านowner board ตอนอายุ 2000 ปี 1 ครั้ง ไปเยี่ยนตอนอายุ 3000 ปี อีก 1 ครั้ง สรุป อนัตตา = ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวน เปรี่ยบเสมือนเป็นเส้นโค้งที่โค้งไปโค้งมา อัตตา = เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวน อัตตา คือ อนัตตาในจุดหรือภาวะอารมณ์ปรุงแต่งด้วยกิเลสเป็น 0 เปรียบเหมือนเป็นเส้นตรงที่เรียบตลอด ความจริง เส้นตรง = เส้นโค้งในจุดที่แบนราบ Re: พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า? the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 04:01:42 pm » แค่ ความไม่รู้เนอะ ก็หาหลักฐาน มาคุยกัน แต่เมื่อเดินทางไปถึงจุดรู้แล้ว *** ก็ มองตากัน ก็ รู้ทั้ง 2ฝ่าย ;D Re: พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า? phonsak « ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 11:27:25 pm » พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแบบที่หลวงพี่กำลังบอกนะครับว่า "สิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และไม่ใช่อัตตา" เริ่มต้นสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายมันไม่ติดอวิชชา ไม่หลงกลกิเลสตัณหา มันจึงเที่ยง ไม่ทุกข์ และเป็นอัตตา สิ่งนี้เป็นจิตประภัสสร อย่างไรก็ตาม หลังจากจิตประภัสสรมันหลงกลกิเลสตัณหา อวิชชา ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น สังขาร หรือสิ่งปรุงแต่งที่มีกิเลสอวิชชา กิเลสอวิชชา เปรียบเสมือนโคลนตมที่หมักหมมเน่าเปื่อยอยู่ในจิตปภัสสร ทำให้เกิดความไม่เที่ยง ความทุกข์ และอนัตตา เมื่อเราถอนกิเลสอวิชชาออกหมดจากสังขารแล้ว จิตเราจึงจิตปภัสสรขึ้นมาใหม่ แล้วจิตปภัสสรนั้น ก็จะปรุงแต่ง สร้างอายตนะที่เที่ยง ที่เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย ขึ้นมารองรับ แต่เพราะว่าเดิมเริ่มต้น จิตเราเป็นปภัสสรอยู่แล้ว เราจึงมีอายตนะนิพพานอยู่แล้วนั่นเอง แต่พวกเราดันเสือกทะลึ่งไปติดกิเลสอวิชชา เราเลยต้องลงมาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับอายตนะที่ไม่เที่ยง คือ ขันธ์ 5 "สิ่งปรุงแต่งนั้นจะดีหรือเลวจะมีกิเลสตัณหาหรือไม่มีกิเลสตัณหาก็ตาม ก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความไม่เที่ยง ต้องทนอยู่และไม่ใช่อัตตาทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้น" ผมก็สอนหลวงพี่มาหลายครั้งแล้ว นำพุทธพจน์มาลงเป็นสิบๆครั้ง แต่หลวงพี่ก็ไม่เคยอ่านสักที คราวนี้ช่วยอ่านช้าๆนะครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" สังขาร หรือสิ่งปรุงแต่งชนิดนี้แหละที่ไม่มีกิเลสอวิชชา(โลภ-โกรธ หลง) มันจึงเที่ยง ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือไม่ใช่อนัตตา แต่เป็นอัตตา " ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีเลย อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มิใช่ โลกนี้ก็มิใช่ โลกอื่นก็มิใช่ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งสองก็มิใช่ อนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวเลยซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการยืน เป็นการจุติ เป็นการเกิด อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นั่นแลที่สุดแห่งทุกข์ " นี่คือ....อายตนะหรือสิ่งปรุงแต่งที่ไม่มีกิเลสอวิชชา(โลภ-โกรธ-หลง) อยู่ เรียกแบบเถรวาท = ธรรมกาย(อายตนะนิพพาน)แต่ละท่าน อูย่ในเมืองพระนิพพาน เรียกแบบมหายาน = สัมโภคกายแต่ละท่าน อยู่ในพุทธเกษตร Re: พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า? the suffering « ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 06:06:43 pm » ขอบคุณข้อมูลที่ค้นคว้ามา;D แล้ว ข้อมูล ในตน มีอะไรมั่ง.... ;D Re: พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า? AVATAR « ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 03:36:55 am » ...................................................... มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ..................................................................:) Re: พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า? the suffering « ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:32:37 pm » ต้องการพ้นทุกข์ (รึเป่า) ก็ทำแต่หาข้อมูล ไม่ลงมือทำซะที แล้ว จา พ้นทุกข์ มั๊ยละ ปู่ 5 5 5 เนี่ยะเป็นประมาณที่เค้าเรียกว่า จิต ติดนิวรณ์ ความสงสัย ความฟุ้งซ่าน ... เนอะ ;D หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:30:01 AM หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต « เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 06:11:24 pm »
หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต ศีลข้อ 3 เป็นเรื่องของการละเมิดเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ก็เป็นกรรมสิทธิ์ของสามี ผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ก็เป็นกรรมสิทธิ์ของภรรยา - ถ้าภรรยาหลวงอนุญาตให้สามี เอาผู้หญิงอื่นได้... ก็ไม่บาป - ถ้าสามีหลวงอนุญาตให้ภรรยา เอาผู้ชายอื่นได้... ก็ไม่บาป - ถ้าชายหญิงนั้นยังหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ อยู่ภายใต้ผู้ปกครอง หญิงชายอื่นไปเอาเขา ก็เป็นการละเมิดผู้ปกครอง - ในต่างประเทศ ผู้ปกครองเขาถือว่า ชายหญิงอายุถึงวันแล้ว เช่น 18ปีขึ้นไป เป้นสิทธิ์ของเขาที่จะเอาใครก็ได้ เป็นเรื่องของธรรมชาติ จึงไม่บาป บาปจะเกิดขึ้น เมื่อชายหญิงคนนั้นแต่งงานแล้ว ห้ามเด็ดขาด ในภวคีตา อรชุน ผัวหลวงของนางเทราปตี อนุญาตให้เมียตัวเอง เอากับพี่น้องได้ทุกคน เธอจึงมี 5 ผัว...บาปก็ไม่เกิด เพราะผัวหลวงอนุญาต ศาสนาอิสลามอนุญาตให้สามีมีภรรยาได้ 5 คน โดยที่ภรรยาหลวงต้องอนุญาต...บาปจึงไม่เกิด ในเมืองไทย แม้นับถือศาสนาอิสลาม แต่ภรรยาไม่อนุญาตให้สามีมีเมียคนอื่น...บาปจึงเกิด ถ้าสามีฝืนจะไปเอาหญิงคนอื่น ศีล 5 เป็นเรื่องของการละเมิดกรรมสิทธิ์ บาปคือคนที่ถูกละเมิดไม่เต็มใจให้ละเมิด ถ้าเต็มใจก็ไม่บาป Re: หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต mankho2001 « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 07:06:32 pm » ที่อิสลามให้มีเมียเยอะได้แต่ต้องเลี้ยงดูได้ด้วยและเป็นการอ้างว่าเป็นคำสอนของศาสดา และเป็นการรักษาศาสนาให้อยู่นาน ถ้ามีเมีย 5 คน ก็มีลูกอย่างน้อย 5 คนอิสมลามเพิ่มมอีก5 เป็นการขยายประชากรครับ Re: หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต the suffering « ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 09:26:30 am » แค่มักมากในกามราคะ (ความติดสุขทาง อายตนะ6) ก็ไม่ผ่านหนทางขวางการรอดพ้นจากโลกแล้ว ...ง่ะเนอะ ก็ *คน* หาข้ออ้างแก้ตัวไปวันๆ ;D Re: หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต phonsak « ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 01:21:47 pm » พระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ไปอ่านประวัติสิ มักมากในกามทั้งนั้น มีแต่พระพุทธเจ้าของเรา ที่ไม่มีใครกล้าลงประวัติว่า สมัยแตกเนื้อหนุ่มมีสนมกี่ร้อยคน แต่มีปราสาท 3 ฤดูปรนเปรออยู่ ปราสาทหนึ่งก็น่าจะมีสนมไม่ตำกว่าร้อย เผลอๆท่านร่วมเพศกับผู้หญิงจนเบื่อ จึงสอนว่า "กามราคะคือยอดแห่งอริยะมรรค" Re: หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต the suffering « ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 03:57:51 pm » ไม่รู้ ...เหรอว่า เพศฆราวาส และเพศบรรชิต....มันต่างกัน เหมือนอาหารเก่าและอาหารใหม่ มันก็อันเดียวกันแต่ผ่านขบวนการแปรรูปไปแล้ว 5 5 5 5 มันจบไปแล้ว ด้วยมิติของกาลเวลา ;D Re: หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต mcgar « ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:28:40 am » พระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ไปอ่านประวัติสิ มักมากในกามทั้งนั้น มีแต่พระพุทธเจ้าของเรา ที่ไม่มีใครกล้าลงประวัติว่า สมัยแตกเนื้อหนุ่มมีสนมกี่ร้อยคน แต่มีปราสาท 3 ฤดูปรนเปรออยู่ ปราสาทหนึ่งก็น่าจะมีสนมไม่ตำกว่าร้อย เผลอๆท่านร่วมเพศกับผู้หญิงจนเบื่อ จึงสอนว่า "กามราคะคือยอดแห่งอริยะมรรค" ขึ้นหิ้ง จะ้่เทียบอะไรก็หัดให้มันมีความพอดีมั่ง พูดจาไม่รู้กาละเทศะ Re: หญิงจะมี 5 ผัว 10 ผัวก็ไม่บาป ถ้าผัวหลวงอนุญาต the suffering « ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:30:06 am » ให้ดู ปฏิคะที่เกิดขึ้น ที่จิตเมื่อผ่านสัมผัสทางตา ;D หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:39:25 AM ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปคำสอนโหลยโท่ยของคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติหรือยัง? « เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:54:36 pm »
ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปคำสอนโหลยโท่ยของคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติหรือยัง? นี่...คุณรู้ไหมว่าถ้าคุณจะปฎิรูปพุทธศาสนาก็ต้องแก้พระไตรปิฎกด้วยน๊ะ...เพราะพุทธศาสนาเรายึดตามหลักในพระไตรปิฎก.. ทำไมคุณป้าฉลาดน้อยอย่างนี้ล่ะครับ พระไตรปิฎกไม่ผิด และไม่เกี่ยวเลย ไม่ต้องปฏิรูป แต่ที่ต้องปฏิรูปศาสนาพุทธ คือ ปฎิรูปคำสอนของไอ้พวกมารศาสนา ที่เรียกว่า พวกปริยัติ พวกนี้ไม่ปฏิบัติ จึงไม่ได้ปัญญาทางศาสนา เมื่อไม่ได้ปัญญาทางพุทธศาสนา พวกนี้จึงตีความพระไตรปิฎกผิดๆ แล้วทะลึ่งเอาการตีความพระไตรปิฎกขั้นหายนะของพวกมัน เอาไปเผยแพร่ให้คนไทยและชาวโลกรับรู้ = ทำลายพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า มันใช้ไม่ได้ครับ เราต้องปฏิรูปยกเครื่อง ยกคำสอนโหลยโท่ยในพุทธเถรวาทของสมมุติสงฆ์ ที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ออกไป เพราะมารมันคุมฝ่ายปริยัติ ทำให้เกิดของปลอมที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปพุทธศาสนาขึ้น ผมตัวอย่าง 3 เรื่องที่ต้องยกเครื่องคำสอน ที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ออกไป 1. นิพพานเป็นธรรมกาย และธรรมกายเป็นอัตตา แก๊งค์มารผ้าเหลือง ดันทะลึ่งสอนว่า นิพพานเป็นอนัตตา ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าพูดถึงสิ่งที่เป็นอนัตตา คือ ขันธ์ 5 หรือสังขตธาตุ หรือจิต(สังขาร) เท่านั้น อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ครับ มีอย่างที่ไหน - ไปบอกว่า นิพพานเป็นอนัตตา แล้วเราจะไปนิพพานหาพระแสงอะไรล่ะ เพราะมันก็ยังทุกข์ และเกิดแก่เจ็บตายอยู่ แล้วคำนิยาม อัตตา ของพระพุทธเจ้าในอนัตตลักขณะสูตร ก็ชัดเจ้นอยู่แล้วว่า อัตตา = สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = อสังขตธาตุ(นิพพาน) 2. นอกจากไปทะลึ่งสอนว่า นิพพานเป็นอนัตตาแล้ว ยังอวดฉลาด เอาคำสอนซื่อบื่อของตน ไปบอกชาวโลกว่า ศาสนาพุทธไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า และไม่มีพระเจ้า และศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ทั้งๆที่ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ชนิดที่สมบูรณที่สุด เพราะบอกถึงวิธีการเข้าไปเป็นเทวะในทุกชั้น รวมถึงชั้นพระเจ้า(วิสุทธิเทพ) เก่งจริงๆเลยนะเรื่องฉลาดน้อยอย่างนี้ ไม่มีความรู้เลยว่า พระเจ้าที่แท้ก็คืออสังขตธาตุ หรือพุทธะ หรือพระอรหันต์ แต่เรื่องเหล่านี้ไว้ค่อยถกกันในกระทู้อื่น 3. พระพุทธเจ้าไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ ผมได้แสดงพระสูตรในพระไตรปิฏกแลปิฎกมหายานไปล้ว ที่ชัดเจนเลยคือ พรหมชาลสูตรที่ ๑. " ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่" แต่พวกปริยัติ ปฏิบัติไม่ถึงขั้น จึงโดนมนตราของมาร ให้อ่านเท่าไร ก็ตีความพุทธพจน์นี้ไม่ได้ มันเป็นความผิดของพระไตรปิฎก หรือความผิดของสมมุติสงฆ์ล่ะครับ สรุป ปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎก แต่ต้องแก้คนตีความพระไตรปิฎก ผมขอเสนอตัวเองเป็นแกนนำฝ่ายฆราวาสในการปฎิรูปพุทธศาสนา....ขอผู้รับรองด้วยครับ อ้อ! ไม่มีเลยหรือ? ก็อย่างว่าล่ะครับ มารมันคุมใจของพุทธศาสนิกชนไว้หมดแล้ว แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับผม ก็หดตัว หดหัว ไม่กล้าแสดงตัวให้เห็น Re: ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปคำสอนโหลยโท่ยของคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติหรือยัง? « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 07:16:45 pm » love@mind เขียน: สรุป ปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎก แต่ต้องแก้คนตีความพระไตรปิฎก ผมขอเสนอตัวเองเป็นแกนนำฝ่ายฆราวาสในการปฎิรูปพุทธศาสนา....ขอผู้รับรองด้วยครับ อ้อ! ไม่มีเลยหรือ? ก็อย่างว่าล่ะครับ มารมันคุมใจของพุทธศาสนิกชนไว้หมดแล้ว แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับผม ก็หดตัว หดหัว ไม่กล้าแสดงตัวให้เห็น อิอิ ยกมือคนแรกเลย เห็นด้วยครับ ต้องแก้ที่คนตีความ ตกลงสรุปว่า แก้ที่ป๋าพอลล์(phonsak)ก่อนเป้นคนแรกเลย อิอิ ตอบ ไม่ต้องแก้ที่ผมครับ ผมไม่เกี่ยวพันธ์ ผมอาจจะเป็นแค่ร่างทรงของพระพุทธเจ้าก็ได้นะ สิ่งที่ผมบอก อาจจะล้วนเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ตรัสผ่านผมให้พวกคุณรู้ก็เป็นได้ แต่เนื่องจากวิบากกรรมเก่าของผม มารเขาจึงสามารถเอาขี้และโคลนตมสกปรก มายัดใส่ได้ ทำให้พุทธศาสนานิกชนที่ยังมีกิเลสหนาแน่น ไม่สนใจคำสอนของพระพุทธองค์ที่ผ่านผม แต่ไปสนใจกับขี้และโคลนตมที่โสโครกแทน Re: ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปคำสอนโหลยโท่ยของคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติหรือยัง? the suffering« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 10:49:49 pm » ไม่มีใครสามารถทำให้ คนทุกคนเป้นคนดีได้ ทั้งหมด เพียรละความชั่ว ไม่ทำความชั่วอีก ทำความดี(กาย วาจา ใจ) และรักษาความดีนั้นไว้ ไม่คบคนพาล รักษาตนให้ตลอดปลอดภัย เพื่อ อยู่ ป.ธรรม ;D Re: ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปคำสอนโหลยโท่ยของคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติหรือยัง? AVATAR « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 11:48:30 pm » ดู...ดู๊...ดู...ดูเธอทำ.... สาวกท่านสร้างมาเยอะนะนั่น...แต่ผมอีกคนนึงล่ะที่ไม่ขอไปด้วย...กับท่าน phonsak wangwiwat ;) Re: ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปคำสอนโหลยโท่ยของคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติหรือยัง? the suffering « ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 01:16:24 am » แฮ่ แฮ่ ... ..เนียะคือปฏิคะ แล้วเน้อ แต่ก็ ..ถือว่าผ่านการพิจารณาของท่าน แล้ว ;D หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:41:12 AM พระโพธิสัตว์ตัวแม่ พระโพธิสัตว์ตัวลูก « เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 04:26:49 pm »
เข้าใจเรื่องพระโพธิสัตว์ตัวแม่ และพระโพธิสัตว์ตัวลูก จึงเข้าใจพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง "พระโพธิสัตว์" มี 2 ประเภท 1. "พระโพธิสัตว์" ในความหมายที่ 1 เป็นความหมายของเถรวาท คือ ผู้ซึ่งจะได้มาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านอธิษฐานจิตถึงพระพุทธภูมิ ทุ่มเทปฏิบัติธรรม ช่วยผู้อื่นทั้งทางโลกและทางธรรม สะสมบารมี ๑๐ ทัศ พระโพธิสัตว์ในความหมายของเถรวาทนี้หมายถึง...ทุกๆคนเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องบรรลุธรรมให้ถึงขั้นอรหันต์ก่อน ถ้าหากว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีจิตเมตตาประจำใจ ทำแต่คุณประโยชน์ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก ไม่ประพฤติเบียดเบียนสนับสนุนผู้อื่นในทางผิดศีลธรรม เขาก็อธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์(เถรวาท)ได้ 2. "พระโพธิสัตว์" ในความหมายที่ 2 เป็นความหมายของมหายาน (ภาษาญวนเรียกว่า “โบ่ต๊าก” ภาษาจีนเรียกว่า “ ผ่อสัก,ผู่สัก,ผู่ซ่า”) หมายถึง ผู้ข้องอยู่ในโพธิคือความรู้ เป็นผู้รู้ คือ เป็นผู้รู้แจ้งซึ่งอาจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเมื่อใดก็ได้ แต่ท่านยังไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็เนื่องจาก : พระโพธิสัตว์ในความหมายของมหายาน ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะช่วยบำบัดทุกข์ให้แก่สรรพสัตว์ ถ้าท่านเข้าสู่พุทธภูมิเสียแล้ว สรรพสัตว์จะตกอยู่ในความยากลำบากในการเข้าถึงพระนิพพาน ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจึงไม่เข้าสู่พุทธภูมิ หลักสำคัญของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือ หลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิ ซึ่งเป็นหลักที่พระพุทธศาสนามหายาน จะเห็นได้ว่า พระโพธิสัตว์ในความหมายของมหายานนี้ พวกท่านมีความรู้ ขนาดเป็นผู้รู้แจ้งซึ่งอาจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเมื่อใดก็ได้ แสดงว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ที่เหนือกว่าอรหันต์ไปแล้ว แต่เพราะไม่ยอมละทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ ท่านจึงยอมตกภูมิลงมาอยู่ในอนาคามีภูมิ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เรียก พระอรหันต์ที่ยอมตกภูมิลงมาอยู่ในอนาคามีภูมิว่า "หน่อพุทธภูมิ" หรือ "ภูตพระเจ้า" ท่านจัดเป็น "อนาคามีชั้นพิเศษ" เพราะฉะนั้น... พระโพธิสัตว์ในความหมายของมหายาน จึงต้องบรรลุเป็นอรหันต์มาก่อน ผมเรียก พระโพธิสัตว์มหายานว่า พระอรหันต์โพธิสัตว์ หลวงปู่ดู่เรียกว่า "หน่อพุทธภูมิ" หรือ "ภูตพระเจ้า" = ท่านสามารถละกิเลสทั้งหยาบและละเอียดออกจากใจแล้ว ไม่มีความโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นเหลืออยู่ เพียงแต่ท่านไม่ยอมเข้านิพพาน เอาความเมตตากรุณามาหล่อเลี้ยงจิตของท่านให้อยู่ใน 3 ภพต่อไป ย้ำ! พระอรหันต์โพธิสัตว์มหายาน ต้องการอยู่ช่วยสรรพสัตว์ต่อไป ท่านจึงต้องนำความเมตตากรุณามาใส่ลงในใจใหม่ ตัวอย่างของพระอรหันต์โพธิสัตว์ หรือ"หน่อพุทธภูมิ" หรือ "ภูตพระเจ้า" 1. พระอชิตะเถระ ท่านบรรลุอรหันต์ไปแล้วเมื่อครั้งพุทธกาล แต่เพราะท่านตั้งใจอยู่ช่วยสรรพสัตว์ต่อไป ท่านจึงต้องนำความเมตตากรุณามาใส่ลงในใจใหม่ และท่านก็ยังตั้งปณิธานจะมาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต และขนสรรพสัตว์ไปนิพพานให้มากที่สุดด้วย ท่านจึงต้องบำเพ็ญบารมีนานถึง 16 อสงไขยแสนกัป เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้ายิ่งด้วยวิริยะ (พระศรีอริยเมตไตรยิ่งด้วยวิริยะ บำเพ็ญบารมีนานถึง 16 อสงไขย์แสนกัป นานกว่าโคตมะพระพุทธเจ้า 4 เท่า เพราะพระพุทธเจ้ของเราเป็นพระพุทธเจ้ายิ่งด้วยปัญญา ท่านบำเพ็ญบารมี 4 อสงไขยแสนกัปเท่านั้น ) อนึ่ง พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ที่เป็นมนุษย์คือ พระอชิตะ อยู่บนสวรรค์ขั้นดุสิต ส่วนเป็นตัวที่เป็นแม่คือ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ที่เป็นสัมโภคกาย อยู่ที่พุทธเกษตรดุสิต ตัวแม่นี้เป็นพระกุณาของพระพุทธเจ้า ออกมาจากฌานของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ที่เป็นสัมโภคกาย(ตัวแม่)ออกมาจากฌานของพระรัตนสมภพพุทธเจ้า(หนึ่งในพระฌานิพุทธเจ้า) 2. เจ้าแม่กวนอิม... จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาหรือปณิธานเอาไว้ว่า "หากยังมีสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ จักไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ" การตั้งความปราถนาหรือปณิธานของพระอรหันต์เหล่านี้ ทำให้กายทิพย์ที่เป็นกายธรรม(ธรรมกาย) ยังคงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป แม้ว่าละกิเลสตัณหาหมดแล้ว พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ตัวจริง ที่เป็นตัวแม่ ท่านเป็นสัมโภคกาย อยู่ในแดนสุขาวดี ส่วนตัวลูกที่เป็นเจ้าแม่กวนอิมนั้นอยู่บนโลกชื่อเมี่ยวซ่าน จะเห็นได้ว่า พระโพธิสัตว์ไม่ว่าของฝ่ายมหายานหรือฝ่ายเถรวาทที่เป็นตัวลูก ล้วนเป็นมนุษย์ทั้งนั้น = พระมานุษิโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในสภาพมนุษย์ทั่วไป ยังต้องฝึกอบรมตนเอง และทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมๆกัน แต่ที่บางท่านยกตัวอย่างพระฌานิโพธิสัตว์มานั้น พึงตระหนักว่า พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่กำหนดไม่ได้ว่าเกิดเมื่อใด ท่านเป็นพระเมตตาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ออกมาจากฌานของพระฌานิพุทธเจ้าทั้ง 5 ท่าน พระฌานิโพธิสัตว์จัดเป็น พระโพธิสัตว์คัวแม่ ของพระมนุษีโพธิสัตว์ สรุป 1."พระโพธิสัตว์" มี 2 ประเภท คือ พระโพธิสัตว์เถรวาท และพระโพธิสัตว์มหายาน 2. พระโพธิสัตว์เถรวาท และพระโพธิสัตว์มหายาน ล้วนอยู่ในสภาพที่เป็นมนุษย์ เรียกว่า พระมานุษีโพธิสัตว์ 3. พระโพธิสัตว์มหายาน อีกประเภทหนึ่งไม่ใช่มนุษย์ คือ พระฌานิโพธิสัตว์ พวกท่านเป็นกายทิพย์วิเศษ ที่เรียกว่า สัมโภคกาย อยู่ในพุทธเกษตร หรือเมืองพระนิพพาน พระฌานิโพธิสัตว์ พวกท่านเป็นสัมโภคกาย หรือกายที่เป็นตัวแมของพระโพธิสัตว์เป็นมนุษย์ พระฌานิโพธิสัตว์ ที่เป็นตัวแม่ของพระโพธิสัตว์ที่เป็นมนุษย์ ในสมาธิของท่าน ท่านได้ยับยั้งจิตปภัสสรของท่านเอาไว้ ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ ผมขอยกตัวอย่างพระโพธิสัตว์ตัวแม่(สัมโภคกาย) และพระโพธิสัตว์ตัวลูก(พระมานุษีโพธิสัตว์) 2 องค์ให้เห็นนะครับ เช่น พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ตัวแม่ เป็นสัมโภคกายอยู่ในพุทธเกษตรดุสิต พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ตัวลูก เป็นพระมานุษีโพธิสัตว์อยู่ในโลก พอตายไปก็ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต 4. พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ พวกท่านเหล่านี้ล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ ตัวแม่(สัมโภคกาย)หรือพระฌานิโพธิสัตว์ พวกท่านไม่ได้เป็นพระมานุษีโพธิสัตว์ หรือ พระโพธิสัตว์ตัวลูก หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:43:36 AM ตอบกระทู้เรื่องพระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านเป็นตรีมูรติ « เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 08:28:03 pm »
จาก http://fws.cc/leavesofeden/index.php?action=post;quote=6217;topic=1442.0;num_replies=5;sesc=2a6bdcfbcc3194a09f00f10975bf55af (http://fws.cc/leavesofeden/index.php?action=post;quote=6217;topic=1442.0;num_replies=5;sesc=2a6bdcfbcc3194a09f00f10975bf55af) อิอิ ป๋าพอลล์คร๊าบ เอาเนื้อความชาดก กับรามเกียรติ์ มาเปรียบกันดีกว่าคร๊าบ จะได้เห็นโมเมชัดๆๆ ท้าวทศรถ ณ.กรุงพาราณศรี ในชาดก กับกับท้าวทศรถ ณ.กรุงอโยธยาของรามเกียรติ์ คนละเมืองกันคร๋าบ อ่านเนื้อความในชาดกให้ดี เปรียบกับรามเกียรติ์ จะได้ชัดๆ เป็นคนละเรื่องกันเลยนะคร๊าบ ทศรถชาดก ในอดีตกาล พระเจ้าทสรถมหาราช ทรงละความถึงอคติ เสวยราชสมบัติโดยธรรมในกรุงพาราณสี ประสูติพระโอรส ๒ พระองค์ พระธิดา ๑ พระองค์ พระโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า รามบัณฑิต องค์น้องทรงพระนามว่า ลักขณกุมาร พระธิดาทรงพระนามว่า สีดาเทวี รามเกียรติ์ ท้าวทศรถกษัตริย์กรุงอยุธยา มีพระมเหสี 3องค์คือ นางเกาสุริยา นางไกยเกษี และนางสมุทรเทวี พระนารายณ์อวตารมาสู่ครรภ์ของพระนางเกาสุริยา แล้วกำเนิดเป็นพระราม พระนางไกยเกษีให้กำเนิดพระพรต พระนางสมุทรเทวีให้กำเนิดพระลักษณ์และพระสัตรุต ส่วนพระนางมณโฑ มเหสีของทศกัณฑ์ ให้กำเนิดพระนางสีดา อิอิ พระพุทธเจ้าตรัสแต่ความจริง ในขณะที่รามายณะเป็นวรรณคดีประเภทมหากาพย์ของอินเดีย เชื่อว่าเป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานในหลากหลายพื้นที่ของชมพูทวีป ด้วยเหตุนี้ ความจริงมันจึงต่างจากนิทานที่เล่าสือต่อกันมานานหลายพันปี ถ้าคุณจะแย้งผมในประเด็นนี้ ผมว่าแย้งในประเด็นที่ว่า รามายณะบอกว่าสีดาเป็นเมียราม ในขณะที่ทศรถชาดก พระพุทธเจ้าตรัสว่า สีดาเป็นน้องสาว ก็รู้ๆกันอยู่ เมื่อเรื่องถูกแต่งขึ้นมาจากความจริง จะให้มันส์มันก็ต้องมีการแต่งสีแต่งแป้งกัน ประเด็นสำคัญอยู่ตัวที่ตัวละครทุกตัวในรามายณะ เป็นตัวเดียวกับตัวละครทุกตัวในทศรถชาดก ซึ่งโอกาสที่จะไม่ใช่คนเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ในทางหลักความน่าจะเป็น พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา สีดาได้มาเป็น พระมารดาพระราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น พระอานนท์ เจ้าลักขณ์ได้มาเป็น พระสารีบุตร บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต แล. จบอรรถกถาทสรถชาดกที่ ๗ ความเดิม: 3 พระสูตรยืนยันว่า: พระพุทธเจ้าคือตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์) อ้างถึง ผมจะเป็นคนดี ถามว่า: พอมีท่านใดทราบไหมครับว่า พระพุทธศาสนาของพระอรหันตสัมมาสัพุทธเจ้า เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าฮินดูต่างๆหรือไม่ ครับ :) ตอบ เกี่ยวซิครับ พระอรหันตสัมาสัพุทธเจ้าท่านบอกเองว่า ท่านเป็นพรหมสูงสุดของฮินดู ดูหลักฐานนะครับ ยกมาให้แค่ 2 พระสูตรในพระไตรปิฎกที่ชี้ว่า พระพุทธเจ้าคือ พระพรหมสูงสุด และพระราม(อวตารพระนารายณ์) และ 1 พระสูตรของมหายานที่แสดงว่า พระศากยะมุนีพุทธเจ้า เทียบได้กับพระอีศวร เมื่อรวม 3 พระสูตรนี้ คุณจะเห็นเองว่าพระพุทธเจ้าของเรา คือ ตรีมูรติ(พระพรหม/ศิวะ/นารายณ์) *** 1. หลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพรหมสูงสุด และเป็นพระราม(อวตารพระนารายณ์)มาเกิด*** ในยุคพุทธกาลนั้น ศาสนาพราหมณ์เขาเรียก พระเจ้า ว่า พระพรหม ดังข้อความนี้ "พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม" แต่โคตมะพุทธเจ้าเปลี่ยนคำว่าพรหมออก แล้วเรียกพรหมเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง พระธรรมบ้าง ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า: "ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่น ในตถาคต เกิดขึ้นแล้ว แต่รากแก้ว คืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้หนึ่งผู้ใดในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)" ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร หรือ พระไตรปิฎกของเถรวาท เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 150 เรื่อง อัคคัญญสูตร *** 2. หลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระราม(อวตารพระนารายณ์)มาเกิด*** พระรามในศาสนาฮินดูคืออวตารของพระนารายณ์ใช่ไหมครับ แล้วถ้าพระพุทธเจ้าตรัสว่าทานเป็นพระรามมาเกิด ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ จริงไหมครับ มาจาก ทสรถชาดก ตอนท้ายของอรรถกถานี้มีดังนี้: พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา สีดาได้มาเป็น พระมารดาพระราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น พระอานนท์ เจ้าลักขณ์ได้มาเป็น พระสารีบุตร บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต แล. จบอรรถกถาทสรถชาดกที่ ๗ *** 3. หลักฐานในพระสูตรที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้ามีความบริสุทธิเทียบกับพระอีศวร*** มาจาก วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ปริเฉทที่ 1 พุทธเกษตร แปลโดยเสถียร โพธินันทะ .......สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”....... ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.” หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:45:59 AM อัตตา สร้าง อนัตตา, พระเจ้า(พระธรรม) สร้าง สรรพชีวิต « เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 05:11:58 pm »
อัตตา สร้าง อนัตตา, พระเจ้า(พระธรรม) สร้าง สรรพชีวิต จิตมี 2 จิต 1. จิตเดิมแท้ บริสุทธิ์ปภัสสร เป็นนิพพานจิต หรือจิตหลุดพ้น จิตส่วนนี้มีขันธ์ หรืออายตนะรองรับเรียกว่า ธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน ธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน เป็นอัตตา อัตตา แปลว่า มีตัวตนหรือใช่ตัวตน ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าหรือพระอรหันต์ต่างๆล้วนมี ตัวตน หรือใช่ตัวตน อ้างอิง 1. .....หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา....ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571 อ้างอิง 2. ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า " ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง " 2. จิตไม่บริสุทธิ์ สกปรกจากกิเลส อวิชชา ที่โลภะ โทสะ โมหะ นำมา จิตสกปรกเรียกว่าจิตสังขารหรือจิตในปฏิจจสมุปบาท จิตส่วนนี้มีขันธ์ หรืออายตนะรองรับเช่นกัน คือ ขันธ์ 5 ของมนุษย์ และขันธ์ 4 ของผู้ที่อยู่ในปรโลก จิตเดิมแท้ บริสุทธิ์ปภัสสร เป็นนิพพานจิต เป็น จิตที่สร้างจิตสังขาร อ้างอิง 3. "...หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล" วชิราสูตร อ้างอิง 4. “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้นมีอยู่ ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้” ย้ำ!!!... "ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง (นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง(สรรพชีวิต,โลกและจักรวาล) ก็จะปรากฏไม่ได้ หรือ ถ้าไม่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ก็จะปรากฏไม่ได้ อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 สรุป พระพุทธเจ้าตรัสเองว่า ธรรมกายอันเป็นอัตตา ส่วนขันธ์ 5 ของมนุษย์ คุณเป็นพุทธศาสนาชน ย่อมรู้อยู่แล้วว่า สิ่งนี้เป็นอนัตตา พระพุทธเจ้าเป็นศิษย์ของศาสนาพราหมณ์ และท่านไม่เคยปฏิเสทสัจจธรรมสูงสุดของพราหมณ์ แม้แต่ครั้งเดียว ผมย้ำอีกครั้งหนึ่ง ในศาสนาฮินดู ปรมาตมันหรือพระศิวะตรัสว่า: "เราเปล่าเปลี่ยว เพระมีมาก่อนสรรพสิ่ง และจะดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะ แต่ไม่ทรงสภาวะอมตะ เราสามารถเล็งทุกอย่าง และไม่มีใครสามารถเล็งเห็นเรา เราคือพรหม และเราไม่ใช่พรหม [/color]" "เราคืออมตะ แต่ไม่ทรงภาวะอมตะ เราคือพรหม และเราไม่ใช่พรหม" = พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าก็ได้ แต่จะอยู่อย่างหมา และตายอย่างสัตว์โลกทั่วไป ก็ได้ พระองค์ทรงเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองอยู่ในตัวคุณ ***ถ้าคุณยังคิดไม่ออกอีก ลองไปดูตอนที่คุณฝันซิ คุณคิดว่าทุกอย่างมันจริง แต่พอคุณตื่นขึ้นมา จึงรู้ว่า มันไม่จริงนี่หว่า(อนัตตา) คุณแค่ฝันไป คุณคือพระเจ้า(อัตตา)ที่กำลังฝันไป ความฝันเหล่านั้นคือโลกและจักรวาล คุณฝันไปได้ เพราะโดนไวรัสกิเลสอวิชชา ถ้ากำจัดไวรัสนี้ได้ คุณก็จะรู้ว่าคุณคือพุทธะหรือพระเจ้า*** พระพุทธเจ้าก็บอกเราอยู่ตลอดเวลาในคำบริกรรม "พุทโธ"" แปลว่า ตื่นได้แล้วโว้ย รู้ตัวได้แล้วโว้ย ............................................................................................. ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนปัญจวัคคีย์ว่า สิ่งที่จะ เป็นอัตตาได้ต้องมีลักษณะดังนี้ : ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้จักได้ เป็นอัตตา (มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง) แล้ว รูป ฯลฯ นี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ (ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา) ในรูป ฯลฯ ว่า รูปฯลฯ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป ฯลฯ ของเราอย่าได้ เป็นอย่างนั้นเลย กล่าวอีกนัยหนึ่ง " สิ่งใดเที่ยง, ไม่มีทุกข์, ไม่ปรวนแปรเป็นธรรมดา สามารถบังคับบัญชาให้เป็นอย่างใจหวังได้ สิ่งนั้นก็ย่อมเป็น อัตตา " ดังนั้น กรุณาอย่านำ อัตตทิฏฐิ หรือ อัตตวาทุปาทาน ในขันธ์ 5 หรือกายของมนุษย์มาเป็น อัตตาเลยครับ ใน 3 ภพ ไม่มีอัตตาอยู่ มีแต่อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตาของโลก ที่เกิดจากการยึดถือของมนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม ฯลฯ ว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา ของเขา naratip เขียน: ตื่นอยู่ไม่ได้ฝัน คุณงงหรือเปล่าหรือยังไม่ตื่น อะถ้าคุณว่านี้คือความฝัน แล้วพอตายลงยังเป็นความฝันอีกไหม ถ้ายังเป็นฝันก็ฝันซ้อนฝันอีกใช่ไหม แม่นแล้ว! ใช่แล้ว! พอเราตายลง เราก็ยังคงอยู่ความฝันอยู่ ตื่นขึ้นมาไมได้ เพราะตัววิบากกรรมที่คุณทำไว้บนโลก กรรมนั้นมันสร้างวิญญาณธาตุคุณขึ้นมาอีก แล้วก็สร้างไฟนรก กระทะทองแดงขึ้นมาให้คนบาปรับโทษ และสร้างสวรรค์ สำหรับคนดีรับรางวัล อ้าว! ถ้าอย่างนี้ พวกเรารู้ว่าเป็นความฝัน ไฟมันก็ต้องไม่มีน่ะซิ รู้แบบรู้เล่นๆ กับรู้จริงๆ ปฏิบัติได้จริงๆไม่เหมือนกัน ในโลกคุณบอกว่า เงินเป็นแค่มายา ไฟเป็นแค่มายา แล้วทำไม พอคุณเสียเงินไป 300,000 เศร้าเหลือเกินล่ะ ไฟไหม้บ้าน ก็ทุกข์จนแทบขาดใจ เฉพาะแค่น้ำท่วมเสียหาย ชาวบ้านยังทนไม่ไหวเลย รู้เล่นๆมันเป็นอย่างนี้ แต่ตั้งแต่พระโสดาบันหรือสูงกว่าขึ้นไป ท่านปฏิบัติจนรู้แล้วว่าของปลอมทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ ไฟนรกจึงทำอะไรท่านไม่ได้ naratip เขียน: ใช่เหรอ..........คุณถ้านี้คือความฝันจะสร้างวิบากกรรมอะไร ก็ไม่น่าจะโดนรับกรรมนี่น่า ใช่ไหมก็มันฝันน่ะยังจะมารับกงรับกรรมอะไรอีกหล่ะใช่ไหม แล้วขนาดพระอรหันต์ ยังต้องรับกรรม อยู่เลยทั้งๆที่รู้ว่าฝันอะ นรกคุณคิดว่าฝัน งั้นสวรรค์ ก็คือฝัน แล้วคุณไปถามคนโน่นคนนี้ คุณก็เอาความฝันของคุณมาบอกใช่ไหม คุณเคยเรื่ยนเรื่องจิตหรือเปล่าล่ะ จิตมันเป็นตัวเก็บความจำเอาไว้ เราจึงหนีกรรมไม่พ้น คุณเคยทำชั่ว ทำดี อะไรเอาไว้ มันบันทึกเอาไว้หมด คุณจะกำจัดมันได้วิธีเดียว คือ สำนึกผิด และตัวใจอย่างแน่วแน่ว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีก วิกากกรรมในปรโลกจึงจะไม่มี แต่วิบากกรรมในขันธ์ 5 ยังต้องมี แต่เบาบางลง อย่างเช่น หลวงพ่อจรัลฆ่าหักคอไก่มาเยอะ ท่านรู้ตัวว่าต้องคอหักตายวันที่ 14 สุดท้ายท่านคอหักจริง แต่ไม่ตาย พระอรหันต์ท่านไม่ต้องรับกรรมในปรโลก เพราะท่านปฏิบัติได้จริง จนรู้ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาเป็นมายา ส่วนวิบากกรรมบนโลกยังคงรับอยู่บ้าง แต่เบาบางลงมากๆๆๆๆเลย หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:48:06 AM ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว = สัมมาทิฎฐิ เอากายเป็นนาย เอาใจเป็นบ่าว = มิจฉาทิฎฐิ « เมื่อ: ตุลาคม 28, 2010, 03:44:32 pm »
ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว = สัมมาทิฎฐิ เอากายเป็นนาย เอาใจเป็นบ่าว = มิจฉาทิฎฐิ สรินทร อ้างอิงข้อความ: อ้างถึง เข้าทำนอง ใจเป็นนาย กายเป้นบ่าวหรือป่าวคะ กรรมดี-กรรมชั่ว...เริ่มต้นจากใจที่เป็นประธาน ก็ใน่ซิครับ มีผู้เข้าใจผิดเรื่องศีล 5 จะเอากายและวาจาเป็นใหญ่ ไม่เอาใจเป็นใหญ่ มาโต้แย้งกับผมที่ผมบอกว่า หลวงพี่เท่งตะโกนโกหกว่า "ตำรวจมา ตำรวจมา" เจตนาเพื่อช่วยคนที่ถูกรุมกระทืบ การโกหกเช่นนั้น คนร้ายที่รุมกระทืบคนๆนั้นจึงหนีไปหมด คนนั้นเลยรอดตาย นอกจากการโกหกของพระเท่ง จะไม่บาปแล้ว ยังเป็นบุญใหญ่ด้วย คนแรกเถียงว่า ศีลข้อ4 ควรละเว้น การพูด โกหก คำหยาบ ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ...นะ ;D ผมตอบ ไม่ใช่ครับ ศีลข้อ4 ควรละเว้น การพูด โกหก ด้วยเจตนาในจิตที่เป็นอกุศล คำหยาบ ด้วยเจตนาในจิตที่เป็นอกุศล ส่อเสียด ด้วยเจตนาในจิตที่เป็นอกุศล และเพ้อเจ้อ ด้วยเจตนาในจิตที่เป็นอกุศล ด้วยเหตุนี้ หลวงพี่เท่งตะโกนโกหกว่า "ตำรวจมา ตำรวจมา" เจตนาเพื่อช่วยคนที่ถูกรุมกระทืบ นี่คือการโกหด้วยเจตนาในจิตที่เป็นกุศล คนร้ายที่รุมกระทืบคนๆนั้นจึงหนีไปหมด คนนั้นเลยรอดตาย ดังนั้น นอกจากการโกหกของพระเท่ง จะไม่บาปแล้ว ยังเป็นบุญใหญ่ด้วย คนที่ 2 ก็มาเถียงต่อว่า คุณคิดตรงๆเขียน: " เรื่องหลวงพี่เท่ง ที่ท่านอ้างมากล่าวนั้น...หากพิจารณาตามองค์ของการผิดศีลแล้ว ผมเห็นว่า ผิด แม้ไม่มีเจตนาที่เป็นอกุศลก็ตาม...ก็ถือว่าครบองค์การผิดศิล " ผมตอบ ถ้าเธอไม่มีใจเมตตาปราณี เธอจะเห็นพระธรรมแท้จริงของพระพุทธเจ้าย่อมไม่ได้ บาปคือ ความเห็นแก่ตัว บุญคือ การเสียสละ แค่นี้เธอยังไม่เข้าใจอีกหรือ เธอยึดศีล 5 เอาไว้ ไม่ยอมช่วยคนอื่น เท่ากับเธอเห็นแก่ตัว แต่ถ้าเธอช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่เห็นแก่ศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 นั่นแหละเธอได้รักษาใจของเธอไว้แล้ว จึงเป็นมหากุศล ทั้ง 2 คน ไม่ได้ต้องการ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่เขาจะเอากายเป็นนายเอาใจเป็นบ่าว หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:49:35 AM ผมท้าพระหรือฆราวาสคนไหนก็ได้ มาหักล้างผมให้ได้ ผมยืนยันว่า นิพพานเป็นอัตตา « เมื่อ: ตุลาคม 28, 2010, 08:42:41 pm »
ผมท้าพระหรือฆราวาสคนไหนก็ได้ มาหักล้างผมให้ได้ ผมยืนยันว่า นิพพานเป็นอัตตา อ้างถึง Ooto อ้างอิงข้อความ: ทุกอย่างเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ นั่นคือไม่มีตัวตน แม้แต่นิพพาน หากไม่ใช่ตามนี้ก็ถือว่าพยายามหักล้างธรรมวินัย ดังกรณีธรรมกาย พยายามทำให้นิพพานเป็นอัตตา ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน เพราะแปรปรวนไปตามเหตุปัจจัย นิพพานมันพ้นไตรลักษณ์ไปแล้ว ถ้ามันอู่ในไตรลักษณ์อีก มันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาน่ะซิ แล้วจะเข้านิพพานไปหาพระแสงของ้าวอะไรล่ะ อยู่ตรงนี้ไม่ดีกว่าหรือ? อัตตา คือ อะไร? คณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ก็ไม่รู้ แต่ทะลึ่งใช้ กฎหมาหมู่ ไปบังคับให้นิพพานที่เป็นอัตตา กลายเป็นอนัตตาให้ได้ สำนักธรรมกายนั้น เขาพูดถูกแล้วว่า นิพพานเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าตรัสว่า... ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?...๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า... ...ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?... 1. อัตตา จึง = สิ่งใดที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน 2. พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน " ดูกรภิกษุทั้งหลาย.... ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย " ผมถามมาทุกเว็บแหละครับ ถ้านิพพานเป็นอนัตตา มันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ยังมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)อยู่ แล้วเราจะเข้านิพพานไปหาพระแสงอะไรเล่า?...คุณOoto จะตอบก็ได้นะ +++ไว้ผมจะนำ เหล่าพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่า: นิพพานเป็นอัตตา มาลง+++ ... naratip อ้างอิงข้อความ: อ้างถึง ถ้าคุณtuenum เก่งจิงรู้จิง ถกกับพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ให้ได้ก่อนแล้วมาสอนพวกผม หรือไปบวช ไปถกเถียงให้ชนะก่อนนะ พอชนะประกาศเลยให้คนทั้งประเทศรู้ นิพพานเป็นอัตตา คุณจะได้รับคำยกย่องว่าเป็นผู้รู้จิง รู้แจ้ง ผมจะกราบเท้าเลย เอาชนะให้ได้ก่อน ประกาศให้ชัดไปเลยนะ เอ๊ะ! แต่เดิมหลวงตาบอกไว้ชัดว่า พระนิพพาน เป็นอัตตา = ไม่สูญ แต่ตอนหลังท่านถูกบีบหนัก ท่านเลยบอกว่า นิพพานก็คือนิพพาน ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา แต่ก่อนหน้านี้ หลวงตามหาบัว พูดชัดเจนมากว่า ที่เขาบอกว่า นิพพานเป็นอัตตาไม่น่าจะผิด แต่ไม่ได้หมายถึง “อัตตา” ที่เป็นคู่กับ “อนัตตา” แล้วตกลงคุณอ่านนิยามคำว่า "อัตตา" ของพระพุทธเจ้าหรือยัง จะเข้ามาเถียง เรื่องเบื้องต้นยังไม่รู้เลย จะคุยกันได้ยังไง ถามสั้นๆ...อัตตา ที่คุณพูดถึงคืออะไรล่ะ? "อัตตา" ของพระพุทธเจ้าพูดถึง คือ ธรรมธาตุ,ธรรมกาย,อสังขตธาตุ,นิพพานธาตุ,ไกรวัลย์ธรรม,พุทธะ หรือที่ชาวโลกเรียกว่า พระเจ้า หลักฐานที่หลวงตาพูดไว้ วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 3 ค่ำ เหลืออยู่ในgoogleแค่นี้ พระนิพพาน เป็นอัตตา ไม่สูญ “หลวงตามหาบัว” พระนักปฏิบัติพูดชัด เป็นอัตตาไม่น่าจะผิด แต่ไม่ได้หมายถึง “อัตตา” ที่เป็นคู่กับ “อนัตตา” ... naratip อ้างอิงข้อความ: อ้างถึง แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อย่าง ที่ว่าไว้ มีผู้มาอ้างในพระไตรปิฎกก็มีนี่นะ... อัตตา ก็เป็นส่วนสมมุติ อัตตา คือความยึดถือ อัตตา ตนจะไปเป็นนิพพานได้ยังไง อัตตา ความถือตนถือตัว อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ พระองค์แสดงไว้แล้วว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต แล้วก็ อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ คือ ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตาฟังซิ ถอนอัตตานุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิก็เป็นทางเดิน ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พญามัจจุราชจะติดตามเธอไม่ทันอีกแล้ว นั่นท่านให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ แล้วยังทำไม อัตตา จะมาเป็นนิพพานเสียเอง เอาพิจารณาซิ ยันกันอย่างนั้นซิ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เป็นทางเดินเพื่อก้าวสู่พระนิพพาน อัตตาความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องพิจารณาอัตตานี้เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงไปเป็นพระนิพพานได้ เหตุใดพระนิพพานจึงจะมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง เอาพิจารณาซิ คุณNARATIPนี่ ฟังไม่ได้ศัพท์ และจับมากะเดียดจริงๆ พุทธศาสนาวอดวายก็เพราะคนอย่างพวกคุณนั่นแหละ มีเต็มบ้านเต็มเมือง แม้แต่พระ....... และพวกราชบัณฑิต ก็พวกฟังไม่ได้ศัพท์ และจับมากะเดียด สมุนของมารทั้งนั้น อัตตานุทิฏฐิ เป็นคนละเรื่องกับ อัตตา เลย......กูล่ะเบื่อ แต่ละคนไม่รู้จักดูนิยามมาก่อนเลย พอผมเอานิยามให้อ่านก็ไม่อ่าน จะเถียงอย่างเดียว หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:51:37 AM ก่อนเกิดใครเป็นเรา เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร « เมื่อ: ตุลาคม 31, 2010, 12:29:13 pm »
*8q เขียน: ก่อนเกิดใครเป็นเรา เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร ตอบ ในคัมภีร์อุปนิษัท พระศิวะกล่าวว่า "เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม" ตอบคุณแปดคิว เรา(พระเจ้า)...จะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ...เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม" เราคือพรหม และเรามิใช่พรหมนั่นแหละครับ เป็นคำตอบ พระเจ้า(พรหม)คือ ตัวคุณในอดีต ส่วนปัจจุบัน คุณเป็น 8q หรืออยากเป็น 9q หรือ 5m ก็เป็นเรื่องของคุณ สรุป ก่อนเกิดใครเป็นเรา....ก่อนเกิด พระเจ้า(พระศิวะ)เป็นเรา = ก่อนเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา " ในเอกนิบาตอังคุตตรนิกาย อรรถกถา ภาค ๑ หน้า ๔๕ ข้อ ๕๐ พูดง่ายๆ .... ก่อนเกิดเราเป็น "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)" หรือเป็นพระเจ้า นั่นเอง ....เมื่อเกิดแล้วเราเป็น สิ่งที่คุณทำให้ตัวคุณเองเป็นจากบุญบาปที่คุณทำลงไปน่ะซิ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:53:51 AM คุณmesถามเรื่องนิพพานเป็นอัตตาได้ดีมาก « เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 09:13:14 pm »
อ้างจาก: mes ที่ ตุลาคม 31, 2010, 06:38:05 AM ท่านพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ มาคุยเรื่องนิพพานเป็นอัตตากันหน่อย ถ้านิพพานเป็นอัตตา ถามว่า ใคร ที่เป็นผู้อยู่นิพพาน ใคร ที่ว่านี้เป็นอัตตาหรืออนัตตา ใคร เมื่อนิพพานแล้ว ใคร ยังอยู่หรือไม่ หรือไปไหน วานพี่พลช่วยไขข้อข้องใจที ตอบ ใคร ที่เป็นผู้อยู่นิพพาน = จิตปภัสสรหรือนิพพานจิต ที่สร้างธรรมกายขึ้นมารองรับ แล้วธรรมกายนี้ก็นิรมิตกายทิพย์ที่เป็นอมตะเข้าไปอยู่ในแดนนิพพานหรือพุทธเกษตร ใคร ที่ว่านี้เป็นอัตตาหรืออนัตตา = พระพุทธเจ้าตรัสว่า: ฝั่งโน้น - ฝั้งอัตตา อันเป็นอมตะ ไม่มีทุกข์ เป็นฝั่งของอายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย และสัมโภคกาย หรือกายทิพย์ที่ธรรมกายสร้างขึ้นมา ฝั่งนี้ - ฝั่งอนัตตา ไม่เป็นอมตะ มีแต่ทุกข์ จะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นฝั่งของขันธ์ 5 ใคร เมื่อนิพพานแล้ว ใคร ยังอยู่หรือไม่ หรือไปไหน = กายเนื้อและกายทิพย์ ที่ไม่เป็นอมตะและมีทุกข์ มันไม่อยู่แล้ว ดับ(ตาย)ไปหมด จะมีอยู่แต่ธรรมกายและกายทิพย์ที่เป็นอมตะ และไม่มีทุกข์ ตัวนี้ยังดำรงต่อไป สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ดังใจ หนอนได้ตายไปแล้ว มีอยู่แต่ผีเสื้อ ซึ่งเป็นตัวในของหนอน หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 01:57:27 AM ในศาสนาพุทธ อัตตา คือ อะไร? « เมื่อ: ตุลาคม 29, 2010, 02:09:17 pm »
ในศาสนาพุทธ อัตตา คือ อะไร? ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า... ...ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?... อัตตา แตกต่างจาก อัตตานุทิฏฐิ อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสว่า... ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?...๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ 1. อัตตา จึง = สิ่งใดที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน 2. พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน " ดูกรภิกษุทั้งหลาย.... ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย " สรุป อัตตา คือ สิ่งใดที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา อัตตานุทิฏฐิ คือ สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ อนัตตา คือ สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จึงไม่ควรหรือไม่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา = อนัตตา ท่านที่เคารพทั้งหลาย ถ้าต้องการฟังธรรมจากเรา เราก็จะชี้แนะท่าน อัตตา นั้นคือ อมตะ หรือ เที่บง ความอมตะเกิดขึ้นได้อย่างไร “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" . +++ ถ้าพวกเธอยังปฏิบัติไม่ได้ถึงขั้นสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ กายของเธอ ไม่ว่าจะเป็นกายมนุษย์ เทวดา พรหม แม้แต่อรูปพรหม ก็ยังได้ชื่อว่า "อนัตตา" +++ ถ้าพวกเธอปฏิบัติได้ถึงขั้นสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ กายของเธอ จะเป็นกายอรหันต์ หรือวิสุทธเทพ กายอรหันต์นี้แหละได้ชื่อว่า "อัตตา" ลามะ เขียน: "เขาสูง อย่างดีก็แค่เสียดฟ้า แต่อัตตาสูงเสียดจักรวาล" อัตตาสูงเสียดจักรวาล = อัตตานุทิฏฐิ หรือจิตที่มีความทะยานอยาก เป็นความยึดมั่นถือมั่น อัตตา = จิตที่ว่างจากกิเลส จิตจากความทะยานอยาก ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) " สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุ ได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่า ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา Ooto อ้างอิงข้อความ: 1.พุทธพจน์ที่คุณนำมาแสดงเด็กอนุบาลอ่านแล้วก็รู้ว่าหมายถึงการไปยึดมั่นถือมั่นว่าอัตตาเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ มีตัวตน นั้นเป็นความเห็นที่ผิด ไม่ได้หมายความว่าอัตตาคือ ไม่ทุกข์ เที่ยงแท้ สุขนิรันดร์ 2. กรรมเกิดจากเจตนา การที่พยายามให้นิพพานเป็นอัตตา เพราะความเข้าใจที่ผิดในพุทธพจน์ นั้นเข้าใจได้ 3. แต่หากทำไปเพราะเจตนาหาผลประโยชน์แบบวัดธรรมกาย แล้วล่ะก็ คงแล้วแต่กรรมใครทำใครรับ 4. เราๆพุทธบริษัทก็ได้ทำหน้าที่ตามสมควรแล้ว ทั้งเตือนด้วยหวังดี ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิด ข้อมูล แต่คุณtuenum กลับแสดงพฤติกรรมอย่างที่เห็น เราคงต้องปล่อยวางครับ ใครที่เห็นด้วยกับtuenum คงต้องแล้วแต่เวรกรรม ตอบ 1. ตกลงพระพุทธเจ้าสอนผิดใช่ไหมครับ พระอริยะสงฆ์ล้วนสอนผิดอย่างนั้นซิ ส่วนพุทธทาส พระธรรมปิฎก ราชบัณฑิต เสถียรพงศ์ เด็กวานซืนพวกนี้ ผู้ปฏิบัติไม่ถึงขั้น สอนถูกอย่างนั้นซิ [๗๔๐] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ ในกาลที่เราล่วงไปแล้วก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ จาก จุนทสูตร (ว่าด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๓๐ หน้า ๔๒๓-๔๔๒ ตน หรือ อัตตา = ธรรม(โลกุตตรธรรม)= จิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีกิเลสตัณหา ไม่มีความโลภ โกรธ หลง สิ่งนี้เที่ยงและเป็นอมตะ มันจึงเป็นอัตตา ส่วนใน 3 ภพนั้น ไม่มีสิ่งที่เที่ยงและเป็นอมตะ มันจึงเป็นอนัตตา 2. คนที่ไม่รู้เรื่องกรรมอย่างคุณ จะมาสอนเรื่องกรรมผมได้อย่างไร นรกสวรรค์ผมไปมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พระยายมราชเรียกผมว่าเพื่อน ถ้าผมไม่กล้าพูดความจริงว่า นิพพานเป็นอัตตา และมีเหตุผลประกอบอย่างครบถ้วน ผมไม่กล้าลุยไปในทุกเว็บหรอกครับ 3. เว็บของวัดธรรมกาย ไม่ว่า dmc หรือ dhammakaya.org ก็ไล่ผมออกแบบถาวรเว็บละ3 ครั้งแล้ว เพราะสำนักนี้สอนผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของหลวงพ่อสด พอผมเอาความจริงมาบอก เขาก็ไม่ฟัง 4. คุณกล้าเรียกตนเองว่าพุทธบริษัทหรือ? พุทธบริษัทภาษาอะไรกัน พวกปริยัติเอานิพพานไปยำจนเละว่าเป็นอนัตตา = ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา คือ ยังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก แทนที่คุณจะโต้แย้งกลับไปสนับสนุนแก๊งค์มารผู้ไม่เข้าใจพุทธศาสนาพวกนี้อีก ศาสนาพุทธจะอยู่ไม่ครบ 5000 ปี เพราะมีคนอย่างพวกคุณนี่แหละ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 21, 2010, 02:57:22 PM อมตะและไม่ทุกข์=อัตตาจริง หรือนิพพาน ไม่อมตะและทุกข์=อัตตาเก๊
armageddon เขียน: ยังเถียงกันไม่เสร็จ ว่าจะสร้างกระไดอย่างไร แล้วคำพูดไหน ที่หลวงตาพูดว่า นิพพาน เป็นอัตตา? ไม่เห็นมีสักประโยค เห็นมีแต่พูดว่า นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา phonsak ยกคำพูดของหลวงตามหาบัวมา: ปีที่ 2 ฉบับที่ 590 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 3 ค่ำ ... พระนิพพาน เป็นอัตตา ไม่สูญ “หลวงตามหาบัว” พระนักปฏิบัติพูดชัด เป็นอัตตาไม่น่าจะผิด แต่ไม่ได้หมายถึง “อัตตา” ที่เป็นคู่กับ “อนัตตา” armageddon เขียน: 555+ ยังไงๆๆ ก็ยังไม่ชัดอยู่ดี ไม่น่าจะ .. ไม่แน่ว่าจะ .. อาจจะ .. แบบนี้ หรือชัด แต่ที่แน่ๆๆ ชัดๆ ก็คือ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา phonsakเขียน: นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา "อัตตา" ที่หลวงตามหาบัวพูดถึง ที่เป็นคู่กับ “อนัตตา” = อัตตานุทิฏฐิ หรืออุปทาน สิ่งนี้เป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ทั่วโลกว่ามันเป็นอัตตา ส่วนที่หลวงตามหาบัวพูดว่า พระนิพพาน เป็นอัตตา ไม่สูญ หลวงตามหาบัวพูดชัด เป็นอัตตาไม่น่าจะผิด = อัตตาแท้ที่ระบุในอนัตตลักขณะสูตรว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา อย่าแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเลยคุณarmageddon สรุป "อัตตา" ที่เป็นคู่กับ “อนัตตา” = อัตตานุทิฏฐิ หรืออุปทาน อัตตาตัวนี้เป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ว่า ขันธ์ 5 หรือร่างกายของเรามีตัวตน พระพุทธองค์จึงเปลี่ยนเรียกชื่อ "อัตตา" ที่เป็นอัตตานุทิฏฐิ ว่า "อนัตตา" ส่วน "อัตตา" ที่พระพุทธองค์ให้นิยามไว้ในอนัตตลักขณะสูตร = สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา พูดง่ายๆ - สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย = อนัตตา หรือ "อัตตา"เก๊ = อัตตานุทิฏฐิ - สิ่งที่เป็นอมตะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = "อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงในอนัตตลักขณะสูตร หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 21, 2010, 09:50:02 PM นิพพาน
*เป็น 1 ใน 4 ของปรมัตถสัจจะ เป้นภาษาบาลีมาจากคำว่าบรม (อย่างยิ่ง)+อัตถะ(ความหมาย เนื้อหา ประโยชน์) + สัจจะ(ความจริง) ดังนั้น จึงรวมว่าหมายถึง ความจริงอย่างยิ่งทีมีอยู่จริง ๆ เป้นความจริงที่มีความหมาย มีเนื้อหาสูงสุด มีประโยชน์ต่อการศึกษา เพื่อความสุขอย่างยิ่ง **นิพพาน คือ ธรรมารมณ์ชนิดหนึ่ง เป็น ใจที่มีสภาวะ ความสิ้นอวิชชา ตัณหา โดยสิ้นเชิง (ลอกมาจาก เอกสารประกอบการอบรมป.ธรรม) ;D หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 21, 2010, 11:31:10 PM เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ อนัตตา=ไม่อมตะ
ศาสนาพุทธของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบทางแห่งการเข้าไปเป็นสิ่งที่เป็นอมตะและไม่มีทุกข์ หลุดออกจากการเป็นสิ่งไม่เป็นอมตะและยังมีทุกข์ใน 3 ภพ อนัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา อนัตตา = สิ่งที่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อนัตตา = สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ อะไรล่ะที่ไม่เป็นอมตะ ก็สิ่งที่จิตสังขาร หรือจิตคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ขันธ์ 5 ขันธ์ 5 จึงเป็นอนัตตา ............................................................................. อัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา อัตตา = สิ่งที่ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อัตตา = สิ่งที่เป็นอมตะ อะไรล่ะที่เป็นอมตะ ก็สิ่งที่จิตบริสุทธิ์พุทธะ หรือจิตที่ไม่มีคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ) ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)จึงเป็นอัตตา สรุป อนัตตา คือ สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ ซึ่งจิตสังขารเข้าไปอยู่ คือ ขันธ์ 5 อัตตา คือ สิ่งที่เป็นอมตะ ซึ่งจิตบริสุทธิ์ ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ) ที่เรียกว่า "อายตนะนิพพาน" ท่านเข้าใจหรือยัง นี่คือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงยืนยันในขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571ว่า "ธรรมกายอันเป็นอัตตา...." และพระอวโลกิเตศวรจึงสอนพระสารีบุตร บึนทึกในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ว่า " ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง " หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 21, 2010, 11:33:29 PM ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา หรืออสังขตธาตุ?
คุณจิ๊กเปงเขียน: 1. อัตตา มีความหมายในทางยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน ของเรา ตัวเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด 2. พระพุทธศาสนา จึงไม่สอน นิพพานเป็นอัตตา คุณพลศักดิ์เอานิพพานเป็นอัตตามาจากไหน 3. นิพพานก็นิพพาน อัตตาก็อัตตา คนละเรื่องกัน ตอบ 1. อัตตา มีความหมายในทางยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน ของเรา ตัวเรา = อัตตานุทิฏฐิ หรือ อุปทาน 2. พระพุทธศาสนา จึงไม่สอน นิพพานเป็นอัตตา.... เป้าหมายของพระพุทธศาสนา คือ หนีออกจากอัตตนุทิฏฐิ โดยปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน จนรู้อย่างจริงๆว่า อัตตานุทิฏฐิ ล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อรู้อย่างเด่นชัดแล้ว จิตจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ถอนกิเลส ตัญหา อุปทานได้ จึงได้ธรรมกาย(อายตนนิพพาน) ที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) "สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" 3. นิพพานก็นิพพาน อัตตาก็อัตตา คนละเรื่องกัน.... นิพพานก็คืออัตตา ในความหมายว่าเที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนตามกาลเวลา อัตตาของโลก คือ อัตตานุทิฏฐิ เป็นคนละเรื่องกับอัตตาทีพระพุทธเจ้าพูดถึง นิพพาน = อสังขตธาตุ = อัตตา = ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย อัตตาของโลก = อุปทาน หรืออัตตานุทิฏฐิ = มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ------------------------------------------------------------- อ้างอิง ผมขออนุญาตนำเอาพุทธพจน์ต่างๆเรื่องอัตตานุทิฏฐิ อัตตา อนัตตา มาถก เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป 1. อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตวาทุปาทาน สิ่งนี้เป็นอุปทาน หรือ เป็นมิจฉาทิฏฐิ บางท่านเรียกว่า อัตตาของโลก อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตนของเขา ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ [๓๕๘] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดอัตตานุทิฏฐิ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุ ทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ. [๓๕๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือ ไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้มิได้มี. จบ สูตรที่ ๗. 2. ที่ท่านเรียกว่า อัตตาของโลก = อุปทาน หรือมิจฉาทิฏฐิ นั้น พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา" อนัตตลักขณสูตร ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา 3. นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน " ดูกรภิกษุทั้งหลาย.... ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย " 4. จากท่อนจบที่พระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์ ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา[/color] ถ้าพระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? คุณจิ๊กเปง ช่วยตอบให้ชื่นใจแทนปัญจวัคคีย์หน่อเถิดครับ ....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color]......... สรุป ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา" และพระพุทธองค์ยังตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ เพื่อสอบความเข้าใจด้วยว่า : ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ตอนนี้พระพุทธเจ้าฝากผมมาถามคุณนักดาบพเนจรว่า: ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? คุณจิ๊กเปง ตอบว่า ....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color]......... อัตตา จึงเท่ากับ สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วอะไรล่ะที่เป็นอัตตา....ก็อสังขตธาตุ ยังไงล่ะ ดูลักษณะของอสังขตธาตุนะครับ ลักษณะของอสังตธาตุ อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑ ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :- ๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย) ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย) ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม. หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 21, 2010, 11:35:27 PM คุณ nook « ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:09:35 am » ดูถ้าแล้ว คุณจะมีอคติกับพระพุทธศาสนา เถรวาทนะคะ เป็นอะไรมากไปหรือเปล่า การที่คุณเอาความคิดของคุณมาเป็นแนวทางในการตั้งกระทู้ และ พูดๆๆๆๆๆ เอาเข้าข้างตนเองนั้น มันจะดีหรือคะ เพราะว่าเห็นที่คุณกล่าวมานั้น เป็นคำสอนนิกาย มหายานแทบทั้งสิ้น เช่น อาทิพุทธะ นิพพานเป็นอัตตา บ้าง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ชาวพุทธหลงเข้าใจผิดได้ ไม่ทราบคุณมีปัญหามาจากเว็บไหนหรือคะ แล้วมาระบายที่นี่ ค่อยๆสงบสติอารมณ์หน่อย เรื่องของคำสอนอันนั้นมันแล้วแต่คุณนะคะ คุณจะศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายอะไรมันเรื่องของคุณ แต่อยาดบอกไว้คำเดียวเลยว่า พระพุทธศาสนา นิกาย เถรวาท เป็นนิกายที่ถูกต้องที่สุด มีคำสอนที่แม่นยำ ตรงไป ตรงมา และ เป็นความจริง พุทธพจน์อันศักดิ์สิทธ์ก็มีในพระไตรปิฏกเถรวาท นะคะ ส่วนของมหายานนั้น ไม่อยากปรามาสหรอกนะคะ เพราะเห็นเป็นชาวพุทธเหมือนกัน แต่อยากกล่าวอะไรซักหน่อยนะคะ เรื่องของคำสอนนั้น มหายาน มีการบิดเบือนคำสอนมากมายนัลกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าเรื่องของการสร้างพระุพุทธเจ้ามากมาย แล้วอ้างว่า เป็นการไว้ต่อสู้กับ พระเจ้าจากฮินดู หรือการบอกว่า นิพพานไม่น่าไป ควรไปสุขาวดี แล้วให้สวดมนต์ถึงพระอมิตตาภพุทธเป็นแสนๆ ล้านๆครั้ง แล้วจะำได้ไปสุขาวดี แล้วอีกมากมาย อย่างนี้แล้ว ใครกันแน่คะ ที่บิดเบือนคำสอน หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 21, 2010, 11:36:59 PM phonsak « ตอบ #2 เมื่อ: วันนี้ เวลา 12:29:00 am »
armageddon เขียน: หมัดเด็ดน๊อคเอาท์มารพลศักดิ์ อนัตตา ไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ อัตตา ก็อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ อ่ะจิ ครับ ตอบ ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรเลย ธรรมขันธ์ (ธรรมกาย) เป็นอัตตา เพราะอยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ ไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให่เจ็บ ไม่ให้ตาย และจะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้ เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะเปลี่ยนเป็นใครก็ได้ จริงหรือ....ถ้านิพพานเป็นอัตตา ศาสนาพุทธก็คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น? ถ้านิพพานเป็นอัตตา ศาสนาพุทธก็คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น ที่ปฏิบัติให้ถึงที่สุดเพื่อไปอยู่กับพระเจ้า.. อย่างนี้การนับถือศาสนาก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือก เพราะศาสนาไหนก็สอนธรรมอันเป็นที่สุดไม่ต่างกัน.. ท่านพลศักดิ์ว่าไหม.. ถามมาด้วยความเคารพ! ตอบ ศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์ มุสลิม ฮินดู ฯลฯ เขาสอนให้คนไปอยู่กับพระเจ้า ไปพึ่งพาอาศัยพระเจ้า และรับสวรรค์รวมทั้งพรหมโลกต่างๆของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีศาสนาใดที่สอนให้คนไปเป็นพระเจ้าเองเลย ยกเว้นศาสนาพุทธ เมื่อคุณบรรลุอรหันต์ ก็คือได้ธรรมกาย หรือนิพพานธาตุ นั่นแหละคือ คุณเข้าสู่ความเป็นพระเจ้า ศาสนาพุทธเรียกพระเจ้าว่า "พุทธะ" พระอรหันต์สาวกก็คือ "อนุพุทธะ" ผมจะบอกคุณนะ นิพพานเป็นอัตตา เพราะนิพพานคือธรรมกายดวงใหญ่สุด ที่เป็นต้นกำเนิดธรรมกายอื่นๆ รวมทั้งธรรมกายของพระพุทธเจ้าต่างๆด้วย พวกเราทุกคนระเบิดตัวเองออกมาจากธรรมกายดวงใหญ่สุด แยกตัวเองเป็นองค์เล็กๆ ธรรมกายองค์เล็กๆนี้ก็ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมกายดวงใหญ่สุด ศาสนาพราหมณ์เขาพูดถูกในส่วนนี้ เขาเรียกธรรมกายดวงใหญ่สุดว่า "ปรมาตมัน" และเรียกธรรมกายองค์เล็กๆว่า"อาตมัน" นิพพานก็คือ ธรรมกายองค์เล็กๆ"อาตมัน" เข้าไปอยูกับธรรมกายดวงใหญ่สุด "ปรมาตมัน" หลวงปู่ดุลย์ อตโล อธิบายว่า: " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" ความว่างที่บริสุทธิ์และสว่างแต่ละดวง รวมเข้ากับ ความว่าง บริสุทธิ์ สว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" = อาตมัน เข้าไปรวมเข้ากับ ปรมาตมัน..... ตามที่ศาสนาพราหมณ์สอนไว้จริงๆ ศาสนาพราหมณ์เขาพูดผิด คิดผิดตรงที่ เขาคิดว่าขันธ์ 5 เป็นอาตมัน เป็นอัตตา เพราะวิญญาณไม่มีวันตาย เพียงแต่ออกจากร่างนี้ไปอยู่ร่างอื่น เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า พระพุทธเจ้าได้ปฏิเสทความคิดท่อนนี้ และสอนให้ชัดเจนว่า "อาตมัน" ที่ไม่มีวันตายนั้นคือ "อรหันต์" = อัตตา ส่วนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อรหันต์ เช่น มนุษย์ สัตว์ เทวดา พรหม และอรูปพรหม สิ่งเหล่านั้นตายได้ทั้งนั้น และพระพุทธองค์ยังสอนทางเข้าไปสู่ความเป็น"อาตมัน" ที่ไม่มีวันตาย หรือ "อรหันต์" ซึ่งเป็น อัตตา นั้นด้วย "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะนำเรากลับเข้าไปเป็น อัตตา(สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) ถ้าเรากำจัดราคะ โทสะ โมหะไม่หมด เราก็ยังเป็นสิ่งที่เป็น อนัตตา อยู่ดี ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา หรืออสังขตธาตุ? คุณจิ๊กเปงเขียน: 1. อัตตา มีความหมายในทางยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน ของเรา ตัวเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด 2. พระพุทธศาสนา จึงไม่สอน นิพพานเป็นอัตตา คุณพลศักดิ์เอานิพพานเป็นอัตตามาจากไหน 3. นิพพานก็นิพพาน อัตตาก็อัตตา คนละเรื่องกัน ตอบ 1. อัตตา มีความหมายในทางยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน ของเรา ตัวเรา = อัตตานุทิฏฐิ หรือ อุปทาน 2. พระพุทธศาสนา จึงไม่สอน นิพพานเป็นอัตตา.... เป้าหมายของพระพุทธศาสนา คือ หนีออกจากอัตตนุทิฏฐิ โดยปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน จนรู้อย่างจริงๆว่า อัตตานุทิฏฐิ ล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อรู้อย่างเด่นชัดแล้ว จิตจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ถอนกิเลส ตัญหา อุปทานได้ จึงได้ธรรมกาย(อายตนนิพพาน) ที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) "สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" 3. นิพพานก็นิพพาน อัตตาก็อัตตา คนละเรื่องกัน.... นิพพานก็คืออัตตา ในความหมายว่าเที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนตามกาลเวลา อัตตาของโลก คือ อัตตานุทิฏฐิ เป็นคนละเรื่องกับอัตตาทีพระพุทธเจ้าพูดถึง นิพพาน = อสังขตธาตุ = อัตตา = ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย อัตตาของโลก = อุปทาน หรืออัตตานุทิฏฐิ = มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ------------------------------------------------------------- อ้างอิง ผมขออนุญาตนำเอาพุทธพจน์ต่างๆเรื่องอัตตานุทิฏฐิ อัตตา อนัตตา มาถก เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป 1. อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตวาทุปาทาน สิ่งนี้เป็นอุปทาน หรือ เป็นมิจฉาทิฏฐิ บางท่านเรียกว่า อัตตาของโลก อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตนของเขา ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ [๓๕๘] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดอัตตานุทิฏฐิ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุ ทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ. [๓๕๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือ ไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า. พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ? ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า. พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้มิได้มี. จบ สูตรที่ ๗. 2. ที่ท่านเรียกว่า อัตตาของโลก = อุปทาน หรือมิจฉาทิฏฐิ นั้น พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา" อนัตตลักขณสูตร ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา 3. นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน " ดูกรภิกษุทั้งหลาย.... ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย " 4. จากท่อนจบที่พระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์ ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา[/color] ถ้าพระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? คุณจิ๊กเปง ช่วยตอบให้ชื่นใจแทนปัญจวัคคีย์หน่อเถิดครับ ....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color]......... สรุป ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา" และพระพุทธองค์ยังตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ เพื่อสอบความเข้าใจด้วยว่า : ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ตอนนี้พระพุทธเจ้าฝากผมมาถามคุณนักดาบพเนจรว่า: ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา? คุณจิ๊กเปง ตอบว่า ....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color]......... อัตตา จึงเท่ากับ สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วอะไรล่ะที่เป็นอัตตา....ก็อสังขตธาตุ ยังไงล่ะ ดูลักษณะของอสังขตธาตุนะครับ ลักษณะของอสังตธาตุ อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑ ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :- ๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย) ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย) ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม. ท่านเข้าใจเรื่อง อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม หรือยัง? อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม ก็เป็นธรรมอันลุ่มลึกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบ และนำมาสอน 1. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนไม่มั่นคงและถึงทั่วแล้วซึ่งสักกายะ คือความทุกข์" ดังนี้" พวกเราก็คือ จิต(สังขาร)ที่ทำให้เกิดขันธ์ 5 ในมนุษย์และสัตว์ และพวกเทพพรหมเปรต ฯลฯ ที่มีขันธ์ 4, 3, 2,1 แล้วแต่ภพภูมิที่เขาอยู่ และสถานะที่เขาเป็น (ยกเว้นพระนิพพาน) 2. ทุกสรรพสิ่งและสรรพชีวิต ต้นไม้ น้ำ .... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหมในชั้นโลกีย์ทุกชั้น ...ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่นิพพานเป็นสภาวะที่ต่างออกไป คือ มันเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ และไม่เป็นอนิจจัง พระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกอนัตตา ที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ และไม่เป็นอนิจจัง ว่า "อัตตา" 3. ด้วยเหตุนี้ จากข้อ 1 และ 2 ในความว่างที่เป็นสุญญตา จึงแบ่งเป็น (1.) ความว่างที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป = อนัตตา (2.) ความว่างที่เที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และไม่ดับไป = อัตตา พระเทพสิทธิมุนี (พระอาจารย์โชฎก ญาณสิทธิ) " พระอรหันต์มี ความว่างจากตัวตน-ของตน โดยสิ้นเชิง มีอิสระเหนือทุกอย่าง ที่เรียกว่า "ว่าง" นี้ คือไม่ใช่ว่างชนิดที่เขาพูดกันว่า เช่นว่า จิตนึกคิดอะไรไม่ได้ กายก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แต่ที่ถูกนั้น เป็นความว่างจากกิเลส ว่างที่เฉลียวฉลาดที่สุด หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต " สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก" สรุป อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม เป็นความว่าง ความว่างมี 2 แบบ 1. ความว่าง ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มูลเหตุของการเกิดมาจากอวิชชาและกิเลส 2. ความว่าง ที่เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา(อนัตตาที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่เป็นอนิจจัง) เป็นผลมาจาก จิตว่างจากกิเลส หรือ จิตสูญจากกิเลส หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 25, 2010, 11:14:31 PM นิพพาน ที่ทราบว่า
เป้นปรมัตถสัจจะ หมายถึง ความจริงอย่างยิ่ง ที่มีอยู่จริงๆ ;D อิ อิ ลอกเค้า มานะท่าน หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: num2011 ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2011, 05:27:30 PM thank you :)
หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 09:01:26 AM กวนอิมที่เป็นมนุษย์ เคยอยู่บนโลกใบนี้ในมิตินี้ คือ "กวนอิมประทานพร"
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:11:57 pm » ในโลกมนุษย์ใบนี้ ในมิตินี้ กวนอิมประทานพร เป็นกวนอิมคนแรก ท่านเป็นผู้ชาย เกิดประมาณ 4000 ปีก่อนพุทธกาล แล้วในยุคนั้น ท่านเป็นคนจีน ส่วนกวนอิมที่เป็นเจ้าหญิงเมี่ยวซันไม่มีจริง เป็นเพียงกวนอิมในนวนิกาย กวนอิมที่โคตมพุทธเจ้าตรัสว่า บรรลุธรรมเป็นพุทธะหลายแสนกัปมาแล้ว ไม่อาจนับกัปกัลป์ได้ คือ กวนอิมพันมือ กวนอิมที่โคตมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า พระอวโลกิเตศวร(กวนอิม) นั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นฌานิโพธิสัตว์ ท่านเคยเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว ชื่อว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต มหายานเรียก กายทิพย์ของฌานิโพธิสัตว์ ว่า “สัมโภคกาย” เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ผมขอยกพุทธพจน์ในปิฎกต่างๆของมหายานมาอ้าง 1. กวนอิมที่เป็นฌานิโพธิสัตว์ หรือพระอวโลติเกศวร ท่านเคยเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว ชื่อว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต ศาสนาอื่นเรียกว่า พระเมตตาของพระเจ้า (God's mercy) ในคัมภีร์สหัสภุชสหัสเนตร อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไวปุลยสมบูรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตร ได้กล่าวไว้ว่า ดูก่อนกุลบุตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพไพศาลเหนือการคาดคะเนตรึกคิด ในอดีตกาลล่วงมานับประมาณกัลป์มิได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ ตรัสรู้พระสรรเพชุดาญาณ พระนามว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงมีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อยังความสุขศานติให้สําเร็จแก่สรรพสัตว์ แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว ) ย้ำ! สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาล แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว ) 2. กวนอิมพันมือ ผมคิดว่าเป็นองค์นี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงในมหากรุณาธรณีสูตร ในมหากรุณาธรณีสูตร องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงมีพระดำรัสสรุปความแก่บรรดา พุทธโพธิสัตว์ และทวยเทพในที่ประชุมว่า "แท้ที่จริงแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้ ได้สำเร็จธรรมในขั้น "พุทธะ" เมื่อครั้งหลายแสนกัปป์มาแล้ว ทรงพระนามว่า "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" แต่ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะโปรดเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้มาร่วมกันฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ในทะเลทุกข์ พระองค์จึงทรงหวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีก" กวนอิมทั้ง 2 พระองค์ข้างต้น ไม่ใช่กวนอิมที่อยู่ในโลกใบนี้ในมิตินี้ กวนอิมที่เป็นฌานิโพธิสัตว์ หรือพระอวโลติเกศวร ท่านเป็นพระเจ้าหรือเมตตาของพระเจ้า ส่วนกวนอิมพันมือ เป็นกวนอิมที่อยู่ในโลกอื่นในมิติอื่น แล้วกวนอิมที่เป็นกวนอิมที่อยู่ในโลกใบนี้ในมิตินี้คือใครล่ะ ในเมื่อผมบอกว่า เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเป็นแค่กวนอิมในนวนิยายเท่านั้น ไม่ได้มีจริง 3. กวนอิมที่เป็นกวนอิมที่อยู่ในโลกใบนี้ในมิตินี้ คือ “กวนอิมประทานพร” กวนอิมประทานพร รูปที่ใช้กันทั่วไป มือจะถือกิ่งหลัว และแจกัน องค์นี้ตอนที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ชาย แต่ท่านอธิษฐานขอเป็นหญิงเพื่อจะช่วยโปรดมนุษย์ด้วยกายหญิง พระวิษณุกรรมเลยแปลงกลายเป็นโค กัดอวัยวะเพศชายของท่านขาด ร่างกายของท่านเลยตาย ส่วนจิตบริสุทธิ์หรือกายทิพย์บริสุทธิ์ของท่านเกิดเป็นหญิง แล้วจิตบริสุทธิ์หรือกายทิพย์บริสุทธิ์ของท่านที่เป็นหญิง ก็ไปช่วยแม่ในนรก ท่านยอมเสียสละจิตหรือกายทิพย์ของท่านที่เป็นหญิง ตกนรกแทนมารดา แต่ไฟนรกก็ไม่อาจทำร้ายท่านได้ การเสียสละกายบนโลก และสละจิตในปรโลก ท่านจึงได้ทั้งกายทิพย์และธรรมกาย พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานพร ทรงมีมหาปณิธานอยู่ข้อหนี่งว่า "เมื่อใดที่เสียงคร่ำครวญทุกข์ร้อนของชีวิตทั้งหลายยังไม่หมดไปจากโลกนี้ เราจะไม่ขอ เข้าสู่ปรินิพพาน" แล้วท่านจะทำให้สัตว์ทั้งหมด หมดทุกข์คือนิพพานได้อย่างไร แล้วเมื่อสรรพชีวิตหมดทุกข์ นิพพานไปแล้ว ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าสอนธรรมใครล่ะครับ ดังนั้นจึงเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมากว่า พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม องค์ใดก็แล้วแต่ ก็ต้องมาเกิด(อุบัติ)บนโลกอีกอยู่ดีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 09:03:03 AM คุณsometimeในเว็บหนึ่งเขียนว่า: โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
ตอบ คุณยังไม่รู้หรือว่า พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในโลกแห่งความฝัน เรามาเล่นละครอยู่ในโลกแห่งความฝันนี้ ตามกรรมเวรที่พวกเราเคยก่อขึ้น และเราจะเล่นละครต่อไปเรื่อยๆในสังสารวัฏนี้ แม้ว่าตายแล้ว เราก็เกิดใหม่เป็นคนสัตว์เทวดา เปรต ฯลฯ เล่นละครเรื่องอื่นต่อไปอีกตามกรรมเวรที่เราก่อไว้.... จนกว่าเราจะนิพพาน หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 09:05:12 AM หากมีชาวต่างชาติมาถามว่าธรรมะคืออะไร ? ท่านจะอธิบายอย่างไร
ตอบ ธรรมะ คือ คำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ส่งให้ศาสดาหรือผู้นำในศาสนานั้น สอนต่อให้กับสาวกและผู้คนที่นับถือศาสนานั้น เพื่อปรับปรุงจิตใจของตนเองให้ดีขึ้น พระเจ้ามีวิธีของท่าน พระองค์จะช่วยสอนมนุษย์ไปเรื่อยๆ ตามสภาพแห่งภูมิปัญญา นิสัย สันดาน อารมณ์ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ความยึดมั่น ฯลฯ ของสังคมมนุษย์ในแต่ละหมู่เหล่า นี่เป็นเหตุที่มนุษย์ในโลกล้วนนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน สมัยที่จิตใจมนุษย์จำนวนมากยังป่าเถื่อนอยู่ ยังมีความโลภ โกรธ หลงอย่างมาก องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะส่งคำสอนง่ายๆให้ศาสดาหรือผู้นำในศาสนานั้น สอนต่อให้คนในเผ่าพันธ์นั้น เพื่อลดความความป่าเถื่อน ความโลภ โกรธ หลง ของพวกเขาให้เบาบางลง พอจิตใจมนุษย์ในเผ่าพันธ์นั้น ลดความป่าเถื่อนลงบ้างแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะส่งคำสอนใหม่ๆให้ศาสดาองค์ใหม่่ สอนขัดเกลาจิตใจมนุษย์ในประเทศและเผ่าพันธ์นั้นให้มากขึ้น ถึงจุดที่จิตใจมนุษย์ในเผ่าพันธ์หรือประเทศใดก็แล้วแต่งอกงามขึ้นแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะส่งยอดคำสอนให้ศาสดาองค์ใหม่่ สอนขัดเกลาจิตในมนุษย์ในประเทศและเผ่าพันธ์นั้นให้พัฒนามากขึ้นไปอีก จนกระทั่งเมื่อมนุษย์เหล่าใดพัฒนาจิตใจสูงมากๆแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะค่อยๆเปิดเผยความลับให้เขารู้ว่า มึงก็คือกู มนุษย์อย่างมึง ก็คือพระเจ้าอย่างกู พระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ พระบิดาในศาสนาคริสต์ เง็กเซียนฮ่องเต้ พ่อเกิดแม่เกิด อัลเลาะห์ในศาสนาอิสลาม พรหม ศิวะ นารายณ์ในศาสนาฮินดู และสิ่งสูงสุดอื่นๆ ก็ล้วนคือ "กู" ซึ่งเป็นอสังขตธรรม เป็นนิพพาน เป็นพระธรรม เป็นพรหมัน เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกมึง และเป็นตัวมึงนั่นเอง สรุป น่าสงสารชาวพุทธเถรวาทที่ไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติไม่ถึงขั้น พระพุทธเจ้าตรัสเองว่าท่านเป็นพระธรรม "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แล้วพระอรหันต์และพระอริยะเจ้าทั้งหลายก็ยืนยันว่า "พระธรรมนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า" แต่พวกเขากลับไม่เห็นพระพุทธเจ้า แล้วจะเรียกว่าเขาเห็นธรรมะได้อย่างไร เมื่อพระพุทธเจ้า และ พระอริยะสงฆ์ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรม 1. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เทศน์ว่า "ธรรมนั้นคือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมได้เสกสรรค์ปั้นให้พระองค์เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบุคคลเรา ระลึกถึงพระองค์ ท่านก็ควรระลึกถึงพระธรรม……..ได้เข้าถึง ธรรมกาย คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ” 2. หลวงพ่อชา สุภัทโท เทศน์ว่า "...พระธรรมนั้นแหละเรียกว่า พระพุทธเจ้า" พระองค์จึงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า 3. หลวงตามหาบัว เทศน์ว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ตถาคตแท้ ๆ คือธรรม"....... ยิ่งกว่านี้ พระพุทธองค์ยังตรัสกับพระวักกลิว่า " .... ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม " พร้อมทั้งทรงยืนยันกับพระวักกลิว่า " วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม เห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม " หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 09:06:47 AM คุณมนุสสเทโวครับ
1.ภวังค์จิต ในฌาน 3-4 ของคุณ หรือคนอื่นๆที่ทำได้ สามารถรู้ ครบถึง 31 ภพภูมิหรือไม่ครับ เมื่อคุณไปดูนครสวรรค์ คุณจะรู้เขียงใหม่ นครนายก หรือฮ่องกง ลอนดอน ได้ไหมล่ะ เมื่อเขามีเงิน(บุญ)แค่ไปเที่ยวลพบุรี เขาจะไปเที่ยวUSA ทำได้หรือ ฌานมันต้องฝึกไปเรื่อยๆ มันถึงไปในที่ต่างได้เพิ่มขึ้น 2.สวรรค์ นรก หรืออบายภูมิ แต่ละคน(ภวังค์จิต หรือจิตใต้สำนึก)ของแต่ละคนในโลกนี้ เหมือนกันหรือไม่ครับ ถ้าสวรรค์ของฮินดู เหมือนกับอิสลาม คงแย่แน่ พวกนึงไม่กินเนื้อวัว พวกนึงไม่กินเนื้อหมู และยิ่งเหมือนกับพวกกินเจ ยิ่งบ้าไปกันใหญ่ สวรรค์ไปเหมือนของอินเดียนแดง คราวนี้ไปกันใหญ่เลย ถ้ายมทูต ยมบาล ของเมืองไทย ที่เปิดเสื้อนุ่งขาสั้น ไปเหมือนกับยมทูต ยมบาลของต่างประเทศ นี่ก็ยุ่งเช่นกัน เขาจะหาว่าเราเป็นพวกป่าเถื่อน แต่นรกและอบายภูมิ มันจะเหมือนกันหรือไม่ ใครจะไปสน ไฟนรกอยู่ที่ไหน มันก็โคตรร้อน หอกดาบแทงลงไปจะไปแทงที่ไหน มันก็เจ็บทั้งนั้น 3.แล้วผู้ที่ไปเกิดเป็น อรูปพรหม ตอนนั้น ภวังค์จิต หรือจิตใต้สำนึก และเหตุวิบากกรรม ที่นำไปเกิด ของเขาน่าจะเป็นเช่นไรครับ เมื่อเขาทำจิตให้เชื่อว่า การเป็นอากาศที่ไม่มีรูปร่างนั้นเป็นสุขที่สุด ภวังค์จิต หรือจิตใต้สำนึก คิดว่าเป็นเช่นนั้น แล้วเขาก็ฝึกสำเร็จไปถึงจุดนั้น ที่จิตของเขาต้องการได้ มันก็นำเขาไปเป็นอย่างนั้น วิญญาณที่ตกนรก เพราะจิตของเขาชอบการฆ่า มุ่งการฆ่า เขาก็ต้องโดนนรกนำลงไปถูกฆ่าบ้าง ตามนิสัยชอบฆ่าของเขา เพียงแต่เปลี่ยนจากการฆ่าเขา มาเป็นตนเองถูกฆ่า จิตวิญญาณของพวกชอบการทำบุญชอบการให้ จิตของเขาก็นำเขาไปในเรื่องการให้ แต่ครั้งนี้เป็นการโดนให้โดยสวรรค์ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 09:08:31 AM อาจารย์ก๋งเขียน:
พระพุทธองค์เน้นธรรมชาิติื ๆ คือความเป็นจริงครับ อาก๋งพูดไม่กระจ่าง หรืออาจารย์ไม่รู้กันแน่ ผมเห็นว่าอาจารย์ก่งกำลังพยายามมั่ว ผมเลยขอชี้แนะนะครับ ธรรมชาติ หรือความจริงนั้น แบ่งเป็น 1. สังขตธรรม ธรรมชาติขนิดนี้มีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ถ้าทำชั่วก็ลงไปสู่อบายภูมิและนรก ถ้าทำดีก็ไปเป็นเทพและพรหม ถ้าจิตว่างไม่รับกิเลส ไม่มีโลภ โกรธ หลงก็เป็นอรหันต์ หรือพระวิสุทธิเทพ กลับเข้าไปเป็นธรรมชาติในแบบที่ 2 คือ อสังขตธรรม แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ทำสมาธิ(กรรมฐาน) เขาจึงไม่รู้ แล้วมีพวกมารตามลวงในจิตเขาด้วย ทำให้มนุษย์ไม่สามารถรู้เห็นความจริงในเรื่องธรรมชาติแบบนี้ว่า มีบางอย่างที่เรามองไม่เห็นคือ เจ้ากรรมนายเวร พวกเทพ พรหม เปรต สัมภเวสี ปีศาจ อยู่ในโลกวิญญาณ แล้วคอยบงการสภาพความเป็นไปในโลกมนุษย์ของเรา 2. อสังขตธรรม ธรรมชาติชนิดนี้คือนิพพาน หรือสภาวะของพระเจ้า หรืออรหันต์ เมื่อมนุษย์ยังไม่มีปัญญารู้เห็นธรรมชาติในโลกวิญญาณ ไฉนมนุษย์จะไปมีปัญญารู้เห็นพระวิสุทธิเทพ ที่แม้แต่พวกที่อยู่ในโลกวิญญาณก็ยังไม่สามารถเห็นสภาวะของท่านได้ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 09:11:18 AM จากกระทู้ ตอนนี้พระศรีอาริย์ประทับอยู่ที่ไหน?
พระอชิตะ หรือสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมนิยตโพธิสัตว์ ในภายหลังที่พระองค์ได้รับพุทธทำนายจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมของพวกเราแล้ว เมื่อพระองค์จุติจากพระชาตินี้แล้ว พระองค์ก็ได้ไปปฏิสนธิอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ปรากฏพระนามว่า "นาถเทวเทพบุตร" ณ กาลนี้พระองค์ก็ยังดำรงพระองค์เป็น "นาถเทวเทพบุตร" อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต....... ผมตอบเพิ่มว่า พระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ ท่านมีหลายจิตวิญญาณ เพราะท่านเป็นหน่อพุทธภูมิ ท่านจึงสามารถอวตาร ส่งจิตแต่ละดวงของท่านลงไปสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้ จิตพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์จิตหนึ่ง ลงไปเกิดเป็นหลวงปู่ทวด จิตพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์อีกจิตหนึ่ง ลงไปเกิดเป็นหลวงพ่อโต จิตพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์อีกจิตหนึ่ง ก็ลงไปเกิดเป็นหลวงปู่ดู่ ซึ่งตอนนี้พวกท่านแต่ละองค์ก็อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตเช่นกัน แต่คนละเขตกับพระอชิตะศรีอริยะเมตตรัย พระอชิตะศรีอริยะเมตตรัยมหาโพธิสัตว์ ท่านเคยบอกกับผมว่า ยังมีจิตพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์อีกจิตหนึ่งของท่าน จะไปเกิดเป็นหลวงพ่อหลวงปู่อีกองค์หนึ่งเป็นดวงที่ 4 บารมีของท่านจึงจะเต็มที่ พร้อมจะเป็น"พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า" พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะบังเกิดในโลกที่เรียกว่า"โลกธรรรม" พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ได้เกิดบนโลกมนุษย์ใบนี้(มิตินี้)หรอก แต่ท่านจะเกิดบนโลกมนุษย์ใบนี้เหมือนกัน แต่ในอีกมิติหนึ่งของจักรวาลคู่ขนาน เรียกว่า "โลกธรรม" ที่มีแต่คนที่มีศีลธรรมสูงอยู่ ที่นั่นจะมีแต่สันติสุข จะไม่มีการรบราฆ่าฟันกันเลย ผู้คนทุกคนจะมีศีลธรรมประจำใจ มนุษย์ที่นั่นจะไม่ถูกกิเลสครอบงำ ไม่เหมือนกับมนุษย์ส่วนมากในโลกในมิตินี้ พูดง่ายๆ ใน"โลกธรรม" ซึ่งพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปบังเกิดนั้น จะเป็นโลกที่มีแต่ความผาสุก ไม่มีอันธพาล มนุษย์จะได้ทุกอย่าง อย่างใจหวัง เป็นโลกที่มีความศิวิไลซ์อย่างน่าอัศจรรย์และอย่างน่าเหลือเชื่อ เหมือนอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงก็ไม่ปาน หลักฐานที่ชัดเจนว่า พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ในโลกมนุษย์มิตินี้ ก็คือ...ขนาดรูปร่างของพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎก พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระสรีระที่สูงถึง 88-ศอก หรือ 44-เมตร ซึ่งสูงกว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้เป็นอย่างมากๆๆๆ ขนาดตึก 15-20 ชั้นนั่นแหละ นอกจากนี้ ตามที่พระเกจิอาจารย์ผู้มีอภิญญาหลายท่านเขีนนไว้ เช่น ท่านหนึ่งเขียนว่า " พระศรีอริยเมตไตรย์จะทรงยื่นพระหัตถ์ขวา ช้อนเอาร่างของพระมหากัสสปะ ขึ้นมาไว้บนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ " มือเดียวช้อนร่างคนไว้ในมือ ก็แน่นอนว่า พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสูงแบบยักษ์ สรุป ใครคิดว่า พระศรีอริยเมตไตรย์พุทธเจ้าเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้...คุณคิดผิด แต่ก็ถูก ผิด...ก็คือพระศรีอริยเมตไตรย์พุทธเจ้าไม่ได้เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้(มิตินี้) ถูก...ก็คือพระศรีอริยเมตไตรย์พุทธเจ้าเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้(แต่ในมิตินี้ของโลกคู่ขนาน) deity เขียน : อ่านหัวข้อทำให้ผมเข้าใจว่าไม่ใช่โลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้โดนไฟบรรลัยกัลป์เผาไปก่อนการมาของพระศรีอารย์ครับ......... ตอบ มนุษย์ส่วนใหญ่ แต่ละคน จะสะสมอกุศลกรรมกันไว้คนละมาก ๆ อกุศลกรรมเหล่านั้น ย่อมเป็นมูลเหตุบันดาลให้โลกธาตุวิปริต ธรรมชาติในโลกแปรปรวน เกิดภัยพิบัติ พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ร้ายแรงนานัปการดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และจะต่อเนื่องไปถึงปีวิบัติโลก 2012 เหตุที่ทำให้โลกพินาศ ในพระอภิธรรมได้กล่าวถึงเรื่องของกิเลสไว้อย่างน่าสนใจว่า.. สมัยใดที่มนุษย์มากไปด้วยโลภะ..สมัยนั้นย่อมมีอันตรายที่เกิดจากความแร้นแค้น ข้าวยากหมากแพง และภัยธรรมชาติมาก ที่สำคัญ ราคะ จะทำให้โลกพินาศด้วยไฟ (ราคะร้อนเหมือนไฟ) สมัยใดที่มนุษย์มากไปด้วยโทสะ...สมัยนั้นย่อมมีอันตรายที่เกิดจากศาตราวุธ มีภัยสงครามมาก ที่สำคัญโทสะ จะทำให้โลกพินาศด้วยน้ำ (โทสะร้ายเหมือนน้ำกรด) ถ้าหนาแน่นด้วย โมหะ(ความหลง) โลกจะพินาศด้วยลม (โมหะเหมือนลมกรด) ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ทำให้โลกใบนี้พินาศในช่วงหลายปีนี้ น่าจะเป็นส่วนผสมของราคะ โทสะ โมหะ แต่ที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นความหลงหรือโมหะ ตามด้วยโทสะและโลภะ มนุษย์หลงผิดคิดว่าชนะธรรมชาติได้แล้ว รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งหลงพัฒนาความเจริญทางวัตถุมากเท่าไร ยิ่งทำให้โลกร้อนเพราะเกิดGreenhouse Effect ซึ่งจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และทำให้เกิดทำให้เกิดทั้งพายุและน้ำท่วม แต่มนุษย์ในทุกชาติก็ไม่สนใจ ต้องการให้ประเทศอื่นช่วยลดความร้อนของโลก แต่ตัวเองไม่ยอมช่วยลด ถ้าช่วยก็ช่วยน้อยที่สุด การประชุมเรื่องโลกร้อนทุกครั้ง ลงมติไม่เคยสำเร็จสักที เนื่องจากไม่มีชาติไหนต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมของตนลง ทั้งๆที่รู้ว่า การเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ และการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียม เป็นตัวการทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นไปอีก ผมทำนายว่าปลายปี 2012 เกาะมัลดีพ เกาะสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยว จะจมลง เพราะน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายหนัก แผ่นดินส่วนหนึ่ง จำนวนไม่น้อย ในเกาะดัลดีฟ จะไม่โผล่พ้นน้ำ หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: phonsakw ที่ พฤศจิกายน 16, 2011, 01:40:16 AM แล้วอย่างนี้ คุณทักษิณ อดีตชาติเป็นใครล่ะครับ
-ทักษิณ(Taksin) คือ พระเจ้าตากสิน(Taksin) -พันธมิตรเสื้อเหลือง คือ บรรดาเจ้าหัวเมืองของไทย ที่โดนพระเจ้าตากสินฆ่าตาย -ส่วนใหญ่ของพระเสื้อแดง คือ เหล่าทหารของพระเจ้าตากสิน -อภิสิทธิ์ สุเทพ จารุวรรณ ฟันดำประสงค์ สุ่นสิริ เปรม คือเหล่าชุนนาง นายทหาร และเชื้อพระวงค์พม่าที่มาตายในเมืองไทย -เซ็นทรัลถูกเผาเพราะผู้บริหารเซ็นทรัล เคยเผากรุงศรีอยุธยา ทุกคนมาเพื่อใช้กรรมเก่าของตนเองทั้งนั้น - ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ ยิ่งลักษณ์ คนนี้ อดีตชาติคือ พระศรีสุริโยทัย แล้วก็ไปเกิดเป็นเมียร.5 ผู้้หญิงคนนี้มีบุญบารมีสูงมาก หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak(w) เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 17, 2011, 09:28:38 PM เมี้ยว เมี้ยว ;D
|