หัวข้อ: วิธีกำจัด กามฉันทะ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 23, 2008, 03:09:33 PM ดังตฤณ
อยากเลิกริษยา กรณีเฉพาะตนของ ? ฟ้า อาชีพ ? ธุรการ ลักษณะงานที่ทำ ? ทำงานด้านเอกสารต่างๆ และคอยสนับสนุนการขาย เช่น ทำโบรชัวร์ ตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัย มีความสุขและไม่เครียดเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องติดต่อกับลูกค้าด้วยตนเอง คำถามแรก ? เริ่มฝึกสติมาได้หลายเดือน เห็นความจริงข้อหนึ่งคือพอเจอผู้ชายหน้าตี๋เป็นแฟนกับผู้หญิงคนไหน จะเกิดความรู้สึกอิจฉามาก และพานจะรู้สึกเกลียดทั้งคู่ไปเลย เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่หายสักที ปัจจุบันยังไม่มีแฟนนะคะ หน้าตาตัวเองก็ไม่ใช่ว่าแย่ แต่ว่าเป็นคนเลือกมาก ยอมรับว่ายึดติดหน้าตา และบ้าดาราเกาหลีอย่างหนักตั้งแต่เด็กๆ และพอไม่ได้อย่างใจก็เป็นทุกข์มาจนบัดนี้ เมื่อฝึกสติก็เห็นแต่จิตตัวอิจฉาเกิดๆดับๆอยู่ตลอด แต่ก็แก้ไม่ได้ เหมือนเชื้อโรคทางใจไม่ได้หายไปไหนเลย อาการนี้ต้องเรียก ?ริษยา? นะครับ คือแรงกว่าอิจฉา เห็นได้ชัดจากการที่ถึงขั้น ?เกลียด? เมื่อเห็นภาพบาดตา ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้เรา แค่เดินมาให้ดูว่านี่ อย่างที่เราต้องการนี้เป็นของคนอื่น แล้วก็ไม่แวะเวียนเข้ามาหาเราเสียที ที่มาก็มาแบบไม่ตรงสเปค อารมณ์ร้ายๆขั้นริษยานี้ ไปรู้ทันอย่างเดียวไม่พอ เพราะผู้ที่เริ่มฝึกสติยังไม่มีจิตใสใจเบา ยังไม่มีความตั้งมั่นเป็นพื้นยืน ก็เหมือนคนลอยคอในทะเล พอเจอคลื่นก็ซัดเข้าหน่อยก็โยนไปโยนมา ถึงรู้ทั้งรู้ว่าควรตั้งสติอยู่กับที่ ไม่ควรปล่อยให้ออกอ่าวแบบเลยตามเลย ในที่สุดก็พบว่าตัวเองออกอ่าว หลงไปในราคะ หลงไปในความโลภ หลงไปในความโกรธจนได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงแนะนำไว้ในหลักการเจริญ สติครับ นั่นคือถ้ากิเลสมันหนักหนาจนเป็นเครื่องขวางทางเจริญ พยายามดูโดยความเป็นของเกิดดับแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องหาทางกำจัดมันด้วยอุบายที่แยบคายอื่นๆกันต่อไป อารมณ์ริษยาในกรณีของคุณนี้ รากเหง้ามาจากความพึงใจในรูป ซึ่งศัพท์ทางการเจริญสติเรียกว่า ?กามฉันทะ? ก่อนอื่นใดท่านให้เพ่งโทษของกามฉันทะว่ามีมันเมื่อใด ความเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางดับทุกข์ก็ถูกยับยั้งไว้เมื่อนั้น พูดง่ายๆ คือกามฉันทะนั้น ไม่ว่าจะมาในรูปแบบสวยหรูถูกใจเพียงใด ก็ล้วนเป็นเชือกดึงให้ติดอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่ดี ดังเช่นที่คุณถูกขังไว้กับความเกลียดชังอย่างไม่สมเหตุสมผลนี่เอง การเจริญสตินั้น เราเน้นกันเรื่องของการพ้นทุกข์ทางใจ ไม่ใช่ตอบโจทย์ของกิเลสว่าทำอย่างไรจะได้หนุ่มหน้าตี๋สมใจ เพื่อทำให้กามฉันทะเบาบางลง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่มีอะไรดีเกินการพิจารณาว่ากายของเรานี้ โดยความเป็นของอัดแน่นด้วยของเน่า ของเหม็น ของน่ารังเกียจ ถ้าใจไม่เชื่อก็ไม่ต้องบังคับมัน เอาแค่ว่าตอนขับถ่ายอุจจาระตามปกติ ให้ระลึกนิดเดียว ถามตัวเองว่าไอ้ที่ไหลออกมานี้ ยื่นให้ดมจะดมไหม? ยื่นให้จับจะจับไหม? ยื่นให้จูบจะจูบไหม? เบาลงมาหน่อยหนึ่ง ถามตัวเองว่าของที่หล่นลงมาจากทวารเบื้องล่างนี้ ถ้าเรารวบรวมไปใส่ถุงหนังขนาดเท่ากระสอบทราย ผูกบนผูกล่างแน่นหนากับมือ ไม่ยอมให้มีเศษเลอะเทอะเล็ดรอดออกมาเลย แถมประพรมด้านนอกด้วยน้ำหอมให้ชวนเคลิ้มหลงด้วย แต่ถุงหนังนั้นที่ตกแต่งอย่างเรียบร้อยนั้นเอง ให้ดมเราจะดมด้วยความรู้สึกอย่างไร? ให้กอดเราจะกอดด้วยความรู้สึกแบบไหน? ให้จูบเราจะจูบด้วยความรู้สึกชื่นมื่นหรือเปล่า? นั่นแหละครับ ฝึกระลึก ฝึกถามตนเองอย่างนี้เพียงวันละครั้ง ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากไปกว่านี้เลยนะครับ สะสมสติทีละเล็กทีละน้อยเหมือนหยอดเศษสตางค์ใส่กระปุกทุกวัน พอครบปีคุณจะรู้สึกเหมือนกระปุกสติหนักแน่นมาก ความรู้สึกเกี่ยวกับร่างกายตนเองจะเปลี่ยนไป จะเห็นเหมือนถุงใส่อึขนาดใหญ่ ไม่น่าจับ ไม่น่าจูบ ไม่น่ากอดเอาเลย สำคัญที่สุดก็ตรงนี้ เมื่อใดเห็นกายของตน ไม่น่าใคร่ ไม่น่ายินดี เราจะเห็นกายของคนอื่นไม่น่าใคร่ ไม่น่ายินดีไปด้วย โดยไม่ต้องบังคับหรือฝืนแสร้งแกล้งคิดเลยจนนิดเดียว ที่คนเราหลงกันได้ก็เพราะธรรมชาติเขาปิดบัง เขาห่อหุ้มสิ่งเน่าเหม็นอุจาดตาไว้อย่างมิดชิดมาตั้งแต่ต้น เหมือนสินค้าที่ซ่อนเนื้อในเสียๆไว้ด้วยเครื่องบังตาดีๆ เราจะจับได้ไล่ทันว่าเนื้อในห่วยแตกขนาดไหนก็เมื่อเกิดรูรั่ว หรือถึงเวลาต้องเปลี่ยนถ่ายไส้ในบางอย่างขึ้นมา การระลึกรู้ตามที่มันเป็นจริง จะแก้ภาพฝันเลื่อนลอยเกี่ยวกับพระเอกเกาหลีได้อย่างแน่นอน จิตของคุณจะเกิดปัญญาแจ่มแจ้งว่าไม่แต่เฉพาะหนุ่มเกาหลี หนุ่มไหนๆก็มีค่าแค่ถุงใส่อึเท่ากันหมด! สบายใจได้นะครับ ตราบใดยังเจริญสติไม่ถึงขั้นอนาคามี คุณจะยังรักผู้ชายได้อยู่ ยังมีครอบครัวได้อยู่ แต่การฝึกแบบนี้จะเป็นเสมือนอาวุธชิ้นสำคัญที่หยิบขึ้นมาใช้ฆ่าราคะผิดๆได้ ทุกครั้งที่ต้องการ ไม่ว่าราคะผิดๆนั้นจะหมายถึงความริษยาน่ากลุ้ม หรือจะหมายถึงการคิดทำผิดทำนองคลองธรรมใดๆ สรุปง่ายๆว่าคุณจะไม่เสียอะไรไป แต่ได้อาวุธในการฆ่ากิเลสชิ้นที่ทรงประสิทธิภาพมา การเจริญสติจะก้าวหน้าไม่ติดขัด ก็เพราะจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปในกามฉันทะง่ายดายดังเคยนี่แหละ! คำถามที่สอง ? อย่างดิฉันเหมาะจะเจริญสติแบบไหนคะ? งานธุรการซึ่งทำแล้วคุณพอใจนั้น น่าจะบ่งบอกว่าเป็นงานที่ไม่ชวนให้คุณฟุ้งซ่านมาก อย่างการจัดทำโบรชัวร์ มักต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์หรือการออกแบบพอสมควร ทำเสร็จก็ปลื้มว่านี่เป็นผลงานของเรา เราทำหน้าที่ได้ดีแล้ว คนอื่นยอมรับแล้ว ซึ่งก็แปลว่างานลุล่วงแล้ว ก็ให้ดูไปในแต่ละครั้งที่เสร็จงานนะ ครับ ทุกครั้งที่คุณเห็นความสุขความพอใจในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นขั้นของการเริ่มต้นที่ท้าทายความสามารถอยู่เล็กๆ หรือจะเป็นขั้นของการจบท้ายที่ทุกฝ่ายพอใจ ล้วนแล้วแต่เป็นของชั่วคราว ไม่ต่างจากแสงไฟที่โชนขึ้นครู่หนึ่งแล้วค่อยๆหรี่ลง และบางครั้งบางคราวอาจถึงขั้นดับสนิทเมื่อเกิดปัญหาใดๆแทรกขึ้นมา อาศัยการสังเกตเพียงเท่านี้ กระทั่งนานเดือนนานปีไปเห็นชัดว่าสุขทุกข์ไม่เที่ยง ก็เท่ากับใช้ชีวิตการทำงานในการเจริญสติได้อย่างดีแล้วครับ ขอขอบคุณเว็บ คุณดังตฤน ครับ http://dungtrin.com/mag |