แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2
1  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / Re: แจกพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสัณฐานต่างๆฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อ: เมษายน 21, 2013, 03:48:06 PM
ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ..........
2  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: สเน่ห์ ..ของโลก เมื่อ: เมษายน 14, 2012, 06:46:29 PM
แล้วก็ ตะกายมี
3  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / แนะนำ สถานที่ปฏิบัติภาวนาธรรม ที่สัปปายะ ในประเทศไทย / Re: 7 วัดป่า สถานที่ปฏิบัติธรรม แห่งอีสาณใต&# เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 10:19:43 AM
                 ดินแดนภาคอีสานตอนใต้ อันประกอบด้วยพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี นอกจากจะเป็นศูนย์รวมแม่น้ำสายหลักของภาคอีสาน (โขง-ชี-มูล) และเป็นอู่อารยธรรมหลายยุค หลายสมัยแล้ว ดินแดนแห่งนี้ ยังเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะหลักธรรมในสายวิปัสสนาธุระ ซึ่งดินแดนแถบนี้คือ ถิ่นกำเนิดและแหล่งปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรของพระเถระสายวิปัสสนาที่มีชื่อ เสียงมากมายหลายองค์ อาทิเช่น

               หลวงปู่เสาร์  กันตสีโล (วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี) ถือกำเนิดที่บ้านข่าโคม ต.หนองขอน อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร) ถือกำเนิดที่บ้านคำบง ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี หลวงปู่ชา สุภัทโท (วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี) ถือกำเนิดที่บ้านจิกก่อ ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หลวงปู่ขาว อนาลโย (วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี) ถือกำเนิดที่ ต.หนองแก้ว จ.อำนาจเจริญ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล (วัดบูรพา จ.สุรินทร์) เคยศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดสุทัศน์ จ.อุบลราชธานี ต่อมาได้พบหลวงปู่มั่น จึงได้เริ่มฝึกปฏิบัติวิปปัสสนากัมมัฏฐาน หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย) ในช่วงเป็นสามเณร เคยศึกษาธรรมที่วัดสุทัศน์และวัดศรีทอง จ.อุบลราชธานี และได้อุปสมบท ณ วัดสุทัศน์ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา) ในช่วงเป็นสามเณร ได้เริ่มฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกที่วัดบูรพา จ.อุบลราชธานี โดยเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

               ปัจจุบัน ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาสายวิปัสสนาธุระ ยังคงดำเนินสืบทอดอยู่ในดินแดนแห่งนี้อย่างเหนียวแน่น ดังปรากฎอยู่ในวัดป่าที่สงบร่มเย็นด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ และอบอวลด้วยบรรยากาศแห่งธรรมจำนวนมากมายในถิ่นแถบนี้ การได้มีโอกาสไปสัมผัสธรรมชาติและบรรยากาศแห่งธรรม ณ วัดป่าต่างๆ ในดินแดนอีสานใต้ จึงถือได้ว่าเป็นกำไรแห่งชีวิตยิ่งนัก


วัดภูหล่น



ตั้งอยู่ที่ ต.สงยาง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ห่างจากตัวอำเภอ 20 กม. และห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 78 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 2135 เป็นสถานที่ที่หลวงปู่มั่น เริ่มฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานกับ หลวงปู่เสาร์ ผู้เป็นอาจารย์







ขอขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ จาก : http://www.tatubon.org/7watpah  ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์

สุดยอด สถานที่ปฏิบัติธรรม แห่งอีสานใต้
4  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / แนะนำวัดเก่า พาเที่ยววัด และตำนาน ประวัติของวัด / Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง หลวงปู่สิม เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 10:16:14 AM
เคยไปสถานทีนีสงบ แก่การบำเพ็ญเพียรมากครับ
5  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / แนะนำ สถานที่ปฏิบัติภาวนาธรรม ที่สัปปายะ ในประเทศไทย / Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 10:13:56 AM
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง



สามารถดูรายละเอียดได้ที่ : http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=478.0

น่ะครับ  ยิ้มเท่ห์

ขออนุโทธนาด้วยนะครับ
6  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / แนะนำ สถานที่ปฏิบัติภาวนาธรรม ที่สัปปายะ ในประเทศไทย / Re: สถานที่ปฏิบัติธรรมที่อยู่ได้นาน เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 10:09:49 AM
สำหรับสถานที่ปฏิบัติ สำหรับทุกท่าน

ผมก็เคยไปปฏิบัติมาบ้าง

อย่างที่วัด ท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ทีนั้นมีการปฏิบัติทุกรูปแบบ อย่างเช่นมโนมยิทธิ
7  การปฏิบัติของผู้ที่ได้ ฌาณ / ประสบการณ์ของผู้ที่ได้ไปนรกภูมิ / ตายแล้วไปไหน เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:23:12 PM

      ความจริงปัญหาเรื่อง ตายแล้วไปไหน นี้ ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านสาธุชนเลย เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า
      เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สาย คือ
      ๑. อบายภูมิ ได้แก่ เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
      ๒. เกิดเป็นมนุษย์
      ๓. เกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์
      ๔. เกิดเป็นพรหม
      ๕. ไปพระนิพพาน
      การที่ท่านผู้ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรม คือ การกระทำ ได้แก่ ความประพฤติดีหรือชั่ว ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง
      กฎของกรรม หรือ ผลของความประพฤติดีชั่ว ที่จะพาตัวไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่ท่านทรงตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้
      ทางสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือ ก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ ๆ ไว้ ๕ ประการ คือ
      ๑. เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหง รังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี
      ๒. มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือ ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง
      ๓. ใจเร็ว ได้แก่ มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยา และ ธิดา สามีของคนอื่น ด้วยความมัวเมาในกามคุณ
      ๔. พูดปด ได้แก่ พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา
      ๕. ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบ ด้วยน้ำเมา
      กรรม คือ ความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายแล้วไปสู่อบายภูมิ มีตกนรก เป็นต้น
      แดนเกิดสายที่ ๒ คือ เกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมี กรรมบถ ๑๐ หรือเอากันที่รู้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นคนมี ศีล ๕ ประจำ ได้แก่
      เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหงทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตัวเอง
      ไม่มือไว คือ เคารพสิทธิในทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
      ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของผู้อื่น
      ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระ ตรงต่อความเป็นจริง
      ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ เป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความชั่วความดีตามกฎของจิตใจ ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่าง ๆท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายแล้วมีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
      แดนเกิดสายที่ ๓ ได้แก่ สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่าง คือ
      ๑. เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำความชั่วในที่ทุกสถาน
      ๒. เกรงผลของความชั่วจะทำให้เกิดความเดือดร้อน เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลให้คนเกิดเป็นเทวดา
      แดนเกิดสายที่ ๔ ได้แก่ พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละชั้น พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดา และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา
      แต่พรหมท่านว่าไม่มีเพศ คือ ไม่มีเพศหญิงชาย จะเป็นอะไรท่านก็ไม่บอก ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัด คือ ไม่มีภรรยาสามี คงจะเหงาแย่ก็ไม่รู้ แต่ตามคำสอนท่านว่ามีความสุขกว่าเทวดา น่ากลัวจะมีความสุขสงบสงัด เพราะไม่มีใครขัดคอด้วย อยู่เดี่ยวเดียวดายหาใครเป็นคู่ทะเลาะไม่ได้
      ท่านที่จะเป็นพรหมได้ ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานที่ได้ฌาน
      แดนที่ ๕ ได้แก่ นิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่านิพพานสูญกันเสียเป็นประเพณีไปแล้ว จะขอบอกไว้ย่อ ๆ ว่า คนที่จะถึงนิพพานได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่าง คือ
      ๑. ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้ตัวเสมอว่าจะต้องตานย และพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายความพลัดพรากเสียได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึง หรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
      ๒. ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริง ที่ท่านกล่าวว่าทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพ คือ เป็นอย่างนั้นเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีคุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ ดังนี้เป็นต้น
      ๓. รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
      ๔. ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้เท่าถึงตามความเป็นจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตน เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
      ๕. มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธ ไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากเมตตา
      ๖. ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
      ๗. ไม่เมาในอรูปฌาน โดยคิดว่า ความดีเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
      ๘. มีอารมณ์ปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
      ๙. ไม่ถือตนทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร ไม่คิดว่าเลวกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรพัย์สินทั้งหมด เป็นของธรรมดาที่จะต้องตายทำลายตนเอง และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว เมื่อเข้าสังคมสมาคมใด ๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมสมาคมนั้น ๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมแก่สมาคมนั้น ๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
       ๑๐. ตัดความรัก ความพอใจในโลกียวิสัยเสียให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงนิพพานก็ยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้ อยู่ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่า จะต้องตายมีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์บุคคลใด เท่านี้ก็ไปนิพพานได้ เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไปเมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพุสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรและปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน
8  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไร / Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:15:33 PM
ตอนที่ ๔
หลวงพ่อท่านถามกลับว่า "เหมือนรูปปั้นที่วิหารโคนโพธิ์ไหมลูก...ถ้าเหมือนก็ใช่ วันนี้ท่านมากันเป็นแสนๆ นะลูก"
อ้อลืมบอกไปว่า จุดที่ท่านทั้ง ๕ พระองค์ยืนเทศนาธรรมที่ตึกรับแขกคือ บริเวณที่ขายหนังสือปัจจุบันอยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด ผมจำได้ว่าถามท่านเรื่องพระนิพพาน (จิตลึกก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะตอบตรงที่หลวงพ่อสอนไหม คือ ถ้าไม่ตรงจะไม่เชื่อ) ท่านตอบว่า "นิพพานพานเป็นเมืองแก้วมีอยู่จริง หากปรารถนาจะไปอยู่ต้องมองทำจิตให้เป็นคนของเมืองนิพพานก่อน คือมองทุกอย่างเป็นธรรมะๆ มีอยู่รอบตัว" เสียงท่านเพราะมากเป็นจังหวะเสียงเล็กๆ เหมือนเสียงคนพูดเพราะธรรมดา แต่ทำไมไพเราะจับใจอย่างนี้ ผมทำท่าจะปล่อยโฮน้ำตาคลอ เพราะปกตินี่ถ้าสดุดนิดโดยเฉพาะด้านพุทธานุสตินี่ผมจะปล่อยโฮแบบไม่อายใครเสียด้วย (คนอื่นอาจอายแทน) เข้าใจว่าพี่ๆ ก็คงจะเหมือนผม ท่านตรัสต่อไปว่า "ทุกอย่างคือธรรมะ ใบไม้แห้งก็คือธรรมะ (ท่านชี้มือไปที่ใบไม้ที่อยู่ข้างหน้าพวกเรา) ธรรมะคือความไม่เที่ยง ในความไม่เที่ยงคือความทุกข์ และในที่สุดก็สลายตัว สุขทุกข์มันอยู่ที่เราเอาจิตไปผูกพันของไม่เที่ยง" ท่านยิ้มนิดๆ ตรัสต่อไปอีกว่า "เมื่อเรามองทุกอย่างเป็นธรรมะ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และหายไป จนยอมรับได้เป็นปกติจิตเราก็เป็นคนขงพระนิพพาน" ท่านตรัสอีกเยอะแต่ลืมครับ ที่จำมาเล่านี่รายละเอียดอาจขาดๆ เกินๆ บ้างนะครับ แต่ก็เอาจิตอยู่แทบพระบาทท่านขณะเขียน ว่าตามที่จิตบอก (พี่ๆ ที่ไปด้วยด้วยกัน หากเข้ามาอ่านแล้วจำได้ส่วนไหน ก็อย่าลืมบอกด้วยครับจะได้นำมาเป็นธรรมทาน)...ผมกราบท่านกับพื้นอย่างไม่กลัวเปรอะเปื้อน มีความสุขปิติมาก ยิ่งเห็นท่านยืนเรียงลำดับเป็นแถวดูสง่างามมาก มองไม่เบื่อจริงๆ ท่านโปรดประมาณ ๑๐ นาที ท่านให้พรว่า "จงสมความปรารถนาเถิด" จากนั้นท่านก็ขอตัวกลับ ท่านเดินเป็นแถวเรียงเหมือนเดิมเดินลงไปทางบรรดาตึกรับแขก ซึ่งตอนนั้นยังโล่งๆ ใต้ถุนตึกก็โล่ง เพราะตึกเป็นแค่โครงขึ้นมาฝาผนังก็ยังไม่มี
เรายืนดูท่านเดินลงบันใด และเดินตามไปห่างๆ เราอยู่ตรงกลางตึกบริเวณหน้าหุ่นขึ้ผึ่งหลวงพ่อในปัจจุบัน ทันใดนั้นเราก็มองเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งประมาณ ๑๐ คนหน้าตาตื่นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน เดินสวนท่านขึ้นมา คือเวลาที่ท่านลงไปกับกล่มผู้หญิงขึ้นมาพร้อมๆ กัน ผมสังเกตุดูผู้หญิงกลุ่มนี้คุ้นหน้ากันทุกคนคือ เป็นบรรดาครูฝึกเกือบทั้งนั้น มาถึงบอกว่า "จะมาเฝ้าองค์ที่ ๑๑ ท่านอยู่ไหน ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่" (เอาเข้านั่น) เอ พวกเธอทราบได้อย่างไรก็เรามีกันอยู่แค่นี่ อาจจะมีคนอื่นเห็นด้วยแต่เขาไม่ได้สนใจเป็นพิเศษผ่านๆ ไป ผมก็บอกพวกเธอว่า "ก็ท่านทั้ง ๕ องค์เดินสวนกันกับพวกคุณตรงบันใดเมื่อกี้นี้เอง" พวกเธอทำท่าตกใจแล้วหันกลับอย่างร้อนรนเพื่อลงไปตามหาพระทั้ง ๕ องค์ หายไปสักพักพวกเธอก็กลับขึ้นมาทำหน้าผิดหวัง บอกว่าหากันจนทั่วแล้วไม่เจอ เอ ผม งงๆ แค่เวลา ๒ -๓ นาทีนี่ต่อให้ท่านวิ่งหนียังตามทันเลย แต่นี่ท่านเดินเนิบๆ ช้าๆ แถมสมัยนั้นยังโล่งๆ อยู่เลย แต่หาท่านไม่เจอะ ผมนึกในใจว่า เอาแล้วท่านแสดงปาฏิหารย์อีกแล้ว พวกกลุ่มผู้หญิงก็ยกมือโมทนากับพวกเราว่า "โมทนานะคะที่ได้มีโอกาสกราบสมเด็จองค์ปฐมกายเนื้อ พวกเราไม่มีบุญ" เอ เรามีบุญได้ออย่างไรนี่ ถ้าเทียบกับบรรดาสาวๆ ครูฝึกทั้งหลายเหล่านี้เรารู้สึกว่า เหมือนเม็ดทรายเลย เพียงแต่เราปรารถนาพระโพธิญาณเท่านั้นเอง พอได้ยินบรรดาเธอคนสวยเหล่านี้พูดเราก็ยิ่งมั่นใจยิ่งปิติ แต่โดยวิสัยเลวๆ ของผมก็ยังไม่เชื่อสนิทใจนอกจากหลวงพ่อรับรองเท่านั้น
ในที่สุดเราก็ตัดสินใจไปกราบหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร (ในวันงานช่วงเช้าท่านรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ บ่ายที่ ศาลานวราช) พอเราเข้าไปถึงบรรดาญาติโยมก็เหลือน้อยแทบไม่มีคนแล้ว เพราะหมดเวลารับแขก หลวงพ่อท่านกำลังยืนห่มจีวรเตรียมกลับที่พัก พวกเรานั่งมองท่านไม่มีใครกล้าเข้าไปถามเพราะรู้สึกกลัวท่านมาก เนื่องจากช่วงเช้าเจอเข้าไปดอกเบ้อเร้อ เกรงว่าจะเจอะดอกที่สองอีก ในที่สุดพี่ดำของผมแกทนไม่ไหวเลยคลานเข้าไปใกล้ๆ ท่าน เราก็คลานตามไปห่างๆ พี่ดำคุกเข่ายกมือพนมก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ท่านมองเหมือนจะรู้ คล้ายๆ ท่านรอตอบคำถามเราอยู่ (นึกเองครับ) ผิดคาดครับคิดว่าจะถูกท่านดุเหมือนตอนเช้า แต่ท่านกลับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "มีอะไรลูก" เฮ้อ!! ค่อยโล่งอกหน่อยเห็นหลวงพ่อไม่ดุค่อยมีกำลังใจกล้าขึ้น พี่ดำก็เล่าให้หลวงพ่อฟังทั้งหมดจนจบ (พี่ดำนี่เล่าเรื่องราวได้เก่งและน่าฟังกว่าทุกคน อันนี้เป็นบุญส่วนตัวของพี่เขาแหละ) หลวงพ่อถามว่า "องค์แรกหน้าเหมือนรูปปั้นองค์ที่คล้ายหลวงพ่อปานที่โคนโพธิ์ไหมลูก" เนื่องจากเราพบท่านทั้ง ๕ องค์ด้วยอารามที่มัวแต่ปลื้มปิติเราเลยยังไม่ทันนึกถึงเพื่อเปรียบเทียบ (ท่านอาจดลจิตให้ลืมนึกก็ได้) จึงลืมนึกไปว่าท่านองค์แรกเหมือนรูปปั้นที่โคนโพธิ์ทั้งๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกลักษณะไว้ล่วงหน้าก่อนวันงานแล้ว เราหยุดนึกและถ้านำเพชรไปแปะตรงหน้าผากท่าน (นึกศัพย์ไม่ออก) จะเหมือนท่านทุกประการ เลยตอบท่านไปว่า "เหมือนทุกอย่างครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อตอบว่า "ถ้าเหมือนก็ใช่ลูก เพราะวันนี้ท่านมากันเป็นแสนๆ ลูก" หลวงพ่อท่านพูดเพราะมาก ต่างจากตอนเช้ามาก
พวกเรานี่ปิติมากจะโฮให้ได้ ทราบว่า ทั้ง ๕ พระองค์องค์แรกคือองค์ปฐม และพระกกุกสันโธ พระโคนาคม พระพุทธกัสป และพระสมณโคดม (เหมือนรูปปั้นองค์ปัจจุบันมาก)...เรื่อเหล่านี้อยู่ในใจของพวกเรามาร่วม ๒๐ ปี พูดกันในกลุ่มเท่านั้นครับ (ทั้งหมดนี้รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อนได้เพราะนานแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องจริงอิงนิทานนะครับ.)
__________________





9  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไร / Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:14:54 PM
ตอนที่ ๓
                  ปาฏิหารย์ และพระธรรมคำสอนขององค์ที่ ๑๑
น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งว่าในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังกราบนมัสการท่านอยู่นั้น มาทราบภายหลังว่าที่บริเวณใกล้ๆ กัน แทบจะติดกันเลยก็ว่าได้ คือที่ริมแม่น้ำบริเวณโคนโพธิ์ มีผู้คนจำนวนมากกำลังเข้าเฝ้ากราบนมัสการ และฟังธรรมจากองค์ที่ ๑๐ (องค์ปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณไม่เกิน ๑๐ เมตร ระยะใกล้แค่นี้จะถือว่าอยู่ในบริเวณเดียวกันได้เลยครับ ที่อัศจรรย์มากคือพวกเรามองไม่เห็นใครเลยเงียบ กลับรู้สึกวังเวงด้วยซ้ำไป ซึ่งขณะเดียวกันกลุ่มคนที่ไปกราบนมัสการองค์ที่ ๑๐ ก็ไม่มีใครมองเห็นพวกเรา อันนี้ถ้ามองด้วยตรรกะ หรือหลักวิทยาศาสตร์อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่ระยะห่างแค่นี้จะมองไม่เห็นกัน พอเรามาทราบภายหลังตะลึงขนลุกเลย ยิ่งมาได้อ่านเรื่องของ ดร.ปริญญา และหลายท่านที่เล่าเหตุการณ์ ในหนังสือลูกศิษย์บันทึก ที่ได้เล่าถึงช่วงเวลา บรรยากาศ และมีจำนวนคนมากมายขนาดนั้น แต่เรากลับไม่เห็นซึ่งกันและกัน เรายิ่งมั่นใจในสิ่งที่พวกเราได้พบจนอดเล่าให้บรรดาท่านทั้งหลายได้ทราบไม่ได้ (เรื่องนี้ท่านที่มีโอกาสไปวัดท่าซุง ลองไปยืนหน้าวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ แล้วมองไปที่วิหารองค์ที่ ๑๑ ดูซิครับว่าระยะแค่นี้ ถ้ามีคนมากมายขนาดนั้นเราจะรู้สึกเงียบวังเวงเหมือนไม่มีคนเช่นผมไหม)
พอเราก้มลงกราบนมัสการท่านทั้ง ๕ องค์ ท่านยืนรับไหว้มองดูเราอย่างเมตตาสงบสง่า คือ ไม่รู้จะสื่ออย่างไรให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพตาม ข้อย้ำอีกว่า ท่านดูเป็นพระธรรมดาๆ เหมือนมนุษย์ปกติ ไม่ได้แสดงลักษณะ ๓๒ เหมือนองค์จริง แต่ทำไมท่านสง่างามจริง เมื่อกราบท่านแล้ว อารมณ์เลวของผมก็เริ่มแสดงอภินิหาร อยากจะถามทดสอบธรรมะกับท่านว่าเป็นของจริงไหม แต่แค่กำลังจะถามท่านก็เดินเรียงแถวมุ่งหน้าไปทางตึกรับแขก และเห็นท่านเดินขึ้นไปที่ตึกรับแขก เป็นที่น่าสังเกตุว่าเวลาท่านเดินเป็นจะแถวเรียงแต่ละองค์ตำแหน่งลำดับไม่เปลี่ยน เราก็นึกเอาเองท่านเชิญชวนเราเป็นนัยๆ ว่าให้ตามท่านขึ้นไป (คิดเองเออเอง) อย่างไรก็ตามเราทั้งสามคนก็ลังเลว่าจะตามไปดีไหม ในที่สุดก็ตัดสินใจตามท่านขึ้นไปที่ตึกรับแขก ซึ่งขณะนั้นกำลังก่อสร้างอยู่หลังคายังไม่มี (ไม่แน่ใจ) เราเดินตามขึ้นไปห่างๆ เห็นท่านกำลังเดินคล้ายสำรวจดูตึกที่กำลังก่อสร้าง แต่ตำแหน่งลำดับยังเรียงเหมือนเดิมทุกอย่าง เราตัดสินเดินเข้าไปหาท่านและคุกเข่าลงกราบ ทั้ง ๕ องค์ท่านก็ยืนเรียงลำดับแหน่งลำดับเหมือนเดิม หันหน้ามาทางพวกเราทั้งสามคนสายตาท่านทุกองค์ดูสงบมีเมตตา ผมกราบนมัสการท่านแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "หากลูกจะได้สำเร็จพระโพธิญาณตามที่ทราบมาจริง หากท่านเป็นพระพุทธเจ้าจริง ขอให้พระองค์ทรงตรัสรับรองด้วยเถิด" พอตั้งจิตจบท่านตรัสว่า "ขอเจ้าจงสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา" ผมตกตะลึงและปิติมากท่านทราบวาระจิตเรา (รายละเอียดหากสัญญาอนิจจังคลาดเคลื่อน ลูกกราบขอขมากรรมพระพุทธเจ้าข้า เพราะเล่าตามที่จำได้ว่าถูก) ถ้าจำไม่ผิดผมและเพื่อนก็ตั้งจิตอธิษฐานเหมือนกัน และดูทุกคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมจากที่เคยคิดจะถามธรรมะลองทดสอบท่านเลยไม่กล้าแล้ว ผมพูดว่า " ขอธรรมะจากท่านครับ" ท่านตรัสว่า "ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีนี่แปลกนะ ไม่ขอเครื่องรางของขลัง ขอธรรมะอย่างเดียว"

10  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไร / Re: พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:14:03 PM
ตอนที่ ๒
หลวงพ่อด่าว่า มีมโนมยิทธิทำไมรู้จักใช้ ปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกถึงในวัด (ทำนองนี้แหละครับ)
พอถึงวันงานผมและเพื่อนทั้งสาม ต่างตื่นเต้นใจจดใจจ่อหวังจะได้เจอะเพื่อกราบพระดีเหล่านั้น และเข้าใจว่าบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อที่ทราบเรื่องก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน ต่างคน ต่างกลุ่มก็ตั้งใจแสวงหาพระดีตามจุดต่างๆ ของวัด ผมก็คิดในใจว่าหากเจอะพระดีเราจะรีบถวายปัจจัยทันที เผื่อปะเหมาะเคราะห์ไม่มี ได้เจอะพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ เข้า จะได้รวยไปเลย (ดูมันคิด) จะได้ทำบุญเยอะๆ
วันนั้นช่วงเช้าหลวงพ่อลงรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ ถ้าจำไม่ผิดหลังจากเสร็จงนพีธีตอนเช้าแล้ว หลวงพ่อก็นั่งสนทนาธรรมต่อตามปกติ ผมและเพื่อนก็เริ่มออกปฏิบัติการแสงหาพระดี สมัยนั้นถัดจากศาลา ๒ ไร่ก็มีศาลา ๔ ไร่ และถัดจากศาลา ๔ ไร่ไปทางด้านมณฑปพระศรีอารย์ และมณฑปสมเด็จองค์ปฐมในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่าละเมาะสลับป่าหญ้ารกเต็มไปหมด มีพระอาคันธุกะมาปักกลดกันเป็นจุดๆ ผมเดินไปเห็นพระองค์หนึ่งปักกลดอยู่โคนต้นไม้ (ถ้าจำไม่ผิดปัจจุบันต้นไม้ต้นนี้อยู่หน้ามณฑปพระศรีอารย์) ผมเห็นพระองค์หนึ่งท่าทางสำรวม หน้าตาผ่องใส สนทนาเรื่องธรรมะสอดคล้องกับหลวงพ่อชัด ผมป้อนคำถามทดสอบอย่างไรท่านตอบไม่ติดขัด ไม่ขัดกับหลวงพ่อเลย ยิ่งเรื่องกายคตานี่แป๊ะเลยแจ๋วมาก ผมทดสอบจนมั่นใจว่าใช่พระดีแน่ๆ อ้อ จำได้ว่าผมใช้มโนมยิทธิตรวจสอบดวงจิตท่านด้วย และคนอื่นที่ไปนอกจากเราก็มีอยู่หลายคนที่ไปนั่งล้อมวง คงจะตรวจสอบเหมือนผมด้วย เพราะหน้าตาแต่ละคนก็คุ้นๆ ที่เป็นครูฝึกก็มี เลยก้มลงกราบท่าน คือต่างคนต่างกราบด้วยความปิติ ผมรีบนำปัจจัยใส่ย่ามท่านอย่างไม่รอช้า และคนอื่นก็ใส่ตามบ้างต่างคนต่างใส่ โอ้ ท่านรับปัจจัยไปเพียบเลย ผมแอบลุ้นในใจให้ท่านเป็นพระอรหันต์ออกจากนิโธสมาบัติใหม่ๆ เถิดจะได้รวยปิ๊ดๆ เสียที ผมปลื้มปิติมากว่าได้พบพระดีและได้ทำบุญกับท่าน และ ข้าใจว่าทุกคนก็คงปลื้มเหมือนกัน พวกเราเดินกลับมานั่งฟังหลวงพ่อสนทนาธรรมที่ศาลา ๒ ไร่อีกครั้ง กะจะให้ท่านช่วยยืนยันว่าเราได้เจอะพระดี
ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อท่านจับไมค์ประกาศเลยว่า "ขณะนี้มีพระปลอม มีคนปลอมเป็นพระ มีผู้แอบอ้าง เข้าแสวงหาลาภลักการะปักกลดในเขตวัดจำนวนมาก ได้ให้เจ้าหน้าที่ขับไล่ออกไปแล้ว ปกติพระดีได้ลาภที่วัดไหนท่านจะถวายคืนที่วัดนั้น ที่มาปลอมทั้งนั้น" ถ้าจำไม่ผิดต่อมาภายหลังหลวงพ่อท่านได้ตำหนิว่ามีทิพย์จักขุญาณไม่รู้จักใช้ ปล่อยให้เขามาหลอกได้ (สัญญาอาจจะอนิจจังนะรับ อาจคลาดเคลื่อนในรายละเอียด ต้องกราบขอขมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะที่นี้) เรานี้อารมณ์จิตจากที่อิ่มเอมปลื้มปิติมาตลอดนี่หุบเลย จิตทรุดฮวบเลย และเราก็รีบกลับไปที่จุดเดิมอีกครั้งตรงที่ๆ ท่านปักกลดปรากฏว่าหายไปแล้ว ท่านแสดงอภินิหารย์หายตัวได้แหะๆๆ ท่านหายไปพร้อมย่ามบรรจุธนบัตรเพียบ สังเกตุจุดอื่นๆ ก็เหลือปักกลดอยู่เหมือนกัน เรานี่หน้าจ๋อยเลยทำท่าจะเป็นลมเหงื่อซึมที่หน้าเลย คือหน้ามันแตกดังโป้งเลย โอ้ !! นี่ขนาดทดสอบด้วยหลักธรรมะของหลวงพ่อ แถมใช้มโนมยิทธิดูจิตพระองค์นี่ว่าแจ่มใสเป็นประกายอีกต่างหาก แสดงว่ามโนมยิทธิแจ่มใสเกินขนาดแหะๆ เลยถูกเทวดาแทรกจนได้
หลังจากนั้นพวกเราสามคนยังไม่เข็ดครับ ช่วงบ่ายก็ตะลอนๆ ไปแสวงหาพระดีอีกแหละ เดินไปทั่วในวัดนอกวัดก็ไม่พบ ในที่สุดก็เดินมาฝั่งวัดเก่า (ฝั่งตึกรับแขกปัจจุบัน) ตอนนั้นยังมีหญ้าขึ้นรก โบสถ์เก่า ๒ หลังก็คือโบสถ์หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์และโบสถ์คู่กันยังโทรมแบบเดิมๆ อยู่เลย แต่ทางวัดได้สร้างแล้วบางแห่ง เช่น วิหารสมเด็จองค์ปฐม (องค์ที่ ๑๑) ที่พระรูปเนรมิตคล้ายหลวงปู่ปาน กับองค์ปัจจุบัน และขณะนั้นตึกรับแขกกำลังก่อสร้างอยู่ พวกเราเดินไปเดินมาก็ไปเจอะพระภิกขุ ๕ องค์ ท่านยืนเรียงเป็นแถวอยู่ตรงบริเวณหน้าวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ มองดูท่านก็เป็นพระธรรมดาๆ แต่ทำไมจึงดูสง่างามจัง เหมือนไม่ใช่คน แต่ก็ใช่คน ท่านยืนเหมือนเท้าไม่ติดพื้นดิน แต่ก็ติดพื้นดิน เอ้า!! งง องค์แรกหัวแถวมีผมหงอกนิดๆ คล้ายๆ หลวงปู่ปานมาก องค์สุดท้าย (ลำดับที่ ๕) ถ้าจำไม่ผิดคล้ายองค์ปัจจุบันในรูปปั้นที่วิหารองค์ที่ ๑๑ มาก ท่านสง่างามมากอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เป็นพระธรรมดาๆ เราทั้งสามเข้าไปกราบท่านทันที

11  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไร / พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:13:18 PM

พบพระองค์ที่ ๑๑ กายเนื้อ (สมเด็จองค์ปฐม) ในงานฉลองวัดท่าซุง
"สัตว์บางพวกกลับมาเกิด อีกพวกที่ทำบาป ไปนรก พวกที่ทำดี ไปสวรรค์ ท่านที่หมดอาสวกิเลส ปรินิพพาน"
ตอนที่ ๑
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอเล่าตามที่พอนึกออกหรือจำได้ ซึ่งรายละเอียดอาจคลาดเคลื่อน ขาดๆ เกินๆ บ้าง หรือบางเหตุการณ์ และเวลาอาจจำสลับสับสนกันได้ เพราะ สัญญามันอนิจจัง ตามขันธ์ ๕ จริงๆ อย่างไรก็ดีหากบรรดาท่านทั้งหลายจะคิดว่า เป็นเรื่องจริงอิงความจำที่ขาดๆ เกิน เบลอๆ ก็ได้ ถ้าจะให้แม่นยำเหมือนจดบันทึกหรือถอดเทปนี่คงไม่ไหวครับ งั้นคงไม่ต้องอ่านกันแล้ว แต่สาระสำคัญนี่คงไม่ผิดแน่ครับ เมื่อโพสแล้วหากนึกออกภายหลัง หรือมีท่านที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ รวมทั้งพี่ดำ พี่เฉลิม จะมาบอกรายละเอียดข้อเท็จ หรือเพิ่มเติมภายหลัง ผม ก็ยินดีอย่างยิ่ง จะรีบนำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ทันทีครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หลวงพ่อได้บอกบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ซอยสายลมบ้านเจ้ากรมเสริมทราบล่วงหน้าว่า (วันที่..พ.ศ...ยังนึกไม่ออกครับ) ซึ่งเป็นวันงานฉลองวัด ในวันนี้จะมีพระดีมาโมทนา และมาเพื่อโปรดบรรดาพุทธบริษัทจำนวนมาก มีทั้งพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระประหลาด ท่านเหล่านี้จะมาแสดงให้ปรากฏให้เห็น ทั้งลักษณะที่มีกายเนื้อในปัจจุบัน และ กายเนื้อที่เบื้องบนท่านเนรมิตลงมาโปรด ท่านบอกว่าให้สังเกตุให้ดีๆ ว่า สมเด็จองค์ปฐมท่านจะมาแสดงให้เห็นในลักษณะที่คล้ายหลวงปู่ปาน ซึ่งท่านเคยมาแสดงให้หลวงพ่อเห็นก่อนหน้านานแล้ว และได้หล่อรูปเหมือนไว้ที่ศาลาองค์ที่ ๑๐ ใต้โคนโพธิ์ริมแม่น้ำ พวกเราบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายนี่ดีใจมาก ตื่นเต้นมาก ใจจดใจจ่อ อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ
ก่อนวันงานเราสามคนเดินทางล่วงหน้าไปก่อนมีผม พี่ดำ พี่เฉลิม วันนั้นเรานั่งรถบัสโดยสารประจำทางออกจากกรุงเทพฯ - อุทัยธานีช่วงบ่ายๆ เราจึงไปถึง อ. มโนรมณ์ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. (ซึ่งก็มืดแล้ว) จากนั้นก็ข้ามแพไปต่อรถสองแถวเพื่อไปลงที่หน้าวัดท่าซุง แต่ปรากฏว่ารถสองแถวหมดเวลาวิ่งพอดี หลังทานข้าวเสร็จเวลาก็ปาเข้าไปหนึ่งทุ่มแล้ว ต่างจังหวัดนี่ดูมืดเร็วกว่าปกติเพราะไฟฟ้ามีน้อย เราสามคนจึงตัดสินใจเดินเท้าจากท่าแพมโนรมณ์มาที่วัดท่าซุง บังเอิญวันนั้นโชคดีหน่อยที่เดือนหงายทำให้มองเห็นทางที่เดินชัดเจน รู้สึกว่าเราเดินท่ามกลางเดือนหงายตอนกลางคืนต่างจังหวัด ที่ข้างทางมีทุ่งนา ป่าละเมาะ บางแห่งก็เป็นป่าคลื้มๆ น่ากลัวผี มันเป็นบรรยากาศที่ดีทีเดียว อากาศไม่ร้อนทำให้ใจนึกถึงพระรัตนตรัย และจินตนาการได้ดี แต่ในใจผมนี่ก็รู้สึกหวาดๆ เหมือนกันว่าจะมีอันตรายไหมหนอ เพราะมันดูเปลี่ยววังเวงชอบกลอยู่ ไม่มีรถวิ่งผ่านมาเลย หากมีผู้ร้ายมาทำอันตรายนี่สบายเขาเลยเราตายแหงๆ ประกอบกับหลวงพ่อเคยบอกที่ศาลานวราชว่า พวกฝ่ายตรงกันข้ามมันอาฆาตโกรธแค้นหลวงพ่อมาก ที่ไปขัดขวางอุดมการณ์ของเขา หลวงพ่อจึงบอกบรรดาลูกศิษย์ที่ไปวัดว่า หลังเวลา ๑๘.๐๐ น. (หรือตอนเย็นๆ) อย่าออกไปเดินเล่นนอกวัดมันอันตราย ถ้าเขาเห็นว่าติดเหรียญหลวงพ่อ หรือเป็นลูกศิษย์นี่เขาจะทำร้ายเราต้องระวัง (สมัยก่อนโน้นฝั่งโบสถ์เก่าติดแม่น้ำยังไม่ได้เป็นของวัดท่าซุงทั้งหมด ยังหญ้ารกๆ อยู่ จำได้ว่าตอนเช้าบรรดาลูกศิษย์ทำบุญใส่บาตรที่ศาลาพระพินิจอักษร และเปิดเทปหลวงพ่อ แต่อีกฝั่งเปิดเพลงลูกทุ่งกลบเสียงเลย)
แต่ก็มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง ขณะที่เราออกเดินทางจากท่าแพมโนรมณ์มาสักพัก ก็มีสุนัขฝูงหนึ่งประมาณ ๔ ตัว (จำนวนนี่ไม่แน่ใจว่า ๓ ๔ ๕ ตัว) คล้ายเขามาตีสนิทกับเราวิ่งนำหน้าบ้าง ตามหลังบ้าง ข้างๆ บ้าง เหมือนเป็นทหารดูแลพวกเรา ทำให้เราอุ่นใจเหมือนกัน ตอนแรกๆ คิดว่าบังเอิญ แต่นี่พี่แกไปส่งจนถึงวัดเลย แล้วผมเผลอแป๊บเดียวไม่รู้เจ้าสุนัขมันหายไปไหน พี่ๆ อีกสองคนไม่รู้เหมือนผมหรือเปล่า เข้าใจว่าเป็นเทวดาท่าสงเคราะห์ครับ ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่ส่วนตัวผมเข้าใจว่าเป็นเทวดาเนรมิตมา แต่ถ้าเป็นสุนัขมีเจ้าของก็คงเป็นเทวดาดลใจ หรือเข้าสิง (เอาจนได้แหะๆ) เป็นเอาว่าผมเชื่อของผมคนเดียวก็แล้วกันสบายใจดี ไม่มีใครเดือดร้อน...

12  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไร / Re: การบรรลุธรรมใน 7 วัน/เดือน/ปี มีจริง? เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:03:20 PM
เหตุการณ์ที่ได้เข้าฝึกเต็มกำลัง 14 ธ.ค. 53ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ผมกับเพื่อนรุ่นพี่ได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่อครั้งหนึ่งโดยจัดรถตู้ไปกันเอง และได้มีโอกาสเข้าฝึกที่ศาลา ๑๒ ไร่ด้วย ตอนแรกก็ทำอารมณ์แบบธรรมดา ทำอารมณ์แบบที่เคยไปมาแล้ว แต่ไปสว่างมากก็ตอนเห็นยอดปราสาทขององค์หลวงพ่อท่าน วันนี้สวยไปหมด สว่างทุกที่ทุกทาง สว่างจ้าเป็นเพชรไปหมด ตอนแรกองค์หลวงพ่อแสดงองค์เป็นพระสงฆ์มารับ ก็กราบท่านและตามท่านไป วันนั้นเทวดาพรหมและพระท่านมามากเป็นพิเศษ มองสุดสายตาไปเลย มองลงมาวัดท่าซุงเต็มไปหมดบริเวณวิหาร ๑๐๐ เมตรและเขตธุดงค์ มองดูตัวเองก็สวยแบบเต็มอัตรา ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายว่าสวยไม่มีที่เปรียบได้ มองเห็นท่านแม่ทั้งสาม ความน้อยใจท่านแม่ไม่อ้าแขนรับเหมือนทุก ๆ ครั้ง วิ่งกลับลงมาร้องไห้ใหญ่เลย  กลับไปใหม่คราวนี้เหมือนมีพระองค์ใหญ่มากมาอุ้มขึ้นไป ใหญ่มากกว่าองค์หลวงพ่อ ๓๐ ศอก ท่านอุ้มเดินขึ้นไปเหมือนตัวเองเล็กเท่านิ้วก้อยท่าน นางฟ้า เทวดา พรหม จะนั่งเป็นแถวกราบท่านเต็มไปหมด จิตคิดละอายใจทำไมเราเลวขนาดนี้ปล่อยโฮไปตลอดทาง (แต่ตัวจริงน้ำตาไหลสะอื้นเบา ๆ ไม่มีเสียง) พอไปถึงวิมานหลังใหญ่มาก พระ พรหม เทวดา แน่นเต็มไปหมด หนูก็เอาอทิสสมานกายไปกราบทุก ๆ องค์ แล้วมากราบหลวงพ่อ ท่านแม่ หมดทุกองค์ ท่านแม่ท่านให้รางวัล ถอดสร้อยคอเล็ก ๆ มีจี้เป็นแก้วใส่สวมคอให้ หลวงพ่อให้ตลับกำมะหยี่สีแดง แต่ไม่รู้ข้างในเป็นอะไร ดูไม่ถนัด แล้วท่านทั้งหมดก็พาลูกไปดูวิมานตัวเอง ท่านแม่ท่านสั่งสอนให้หมั่นทำความดีแบบนี้ตลอด แล้วแม่กับพ่อจะไปรับเมื่อถึงเวลา แล้วลูกก็กราบลาท่านลงมา (ตอนนั่งมาในรถทั้งขาไปและขามาเห็นพระ เห็นหลวงพ่อ นางฟ้าที่ประจำรถใส่ชุดไทยสีเขียว คุ้มครองมาตลอดทาง ปลอดภัยทุกอย่าง)
ตั้งแต่มาเป็นลูกหลานหลวงพ่อท่าน ให้แม่ พี่ น้อง มาทำบุญกับท่าน อะไรก็ดีไปหมด พี่สาวค้าขายก็ดี แบบว่าไม่มีใครเทียบแถบนั้น (บางคนเขาบอกว่าขยันทำมาหากินมากกว่าไม่เกี่ยวกับพระ อันนี้ไม่ขอเถียง) รายไหนที่กินแล้วโกงก็เอามาคืนเขา สงสารน้องชาย พี่ชาย น้องเขยขับแท็กซี่ก็มีเงินเข้าบ้านทุกคน คนอื่นบ่นค่าเช่าไม่ได้ ผู้โดยสารบางคนเขาบอกว่ายืนเรียกรถมากี่คัน ๆ แล้วไม่กล้าให้ไปส่งเพราะว่าระยะทางไกลกลัวอันตราย พอมาเจอรถที่ติดสติ๊กเกอร์หลวงพ่อ หลวงปู่บุดดา หนูเลยไม่กลัว รู้ว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน แถมจ่ายเงินเกินราคา ก็มีมากราย ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่มีโชคทางลาภลอย
ครั้งที่หนึ่ง ฝันว่า ไปงานกฐินที่ไหนไม่ทราบ แต่งชุดไทยสีโอรสและชมพูกันทั้งหมด มีทั้งผู้ชายผู้หญิง พอถวายเงนทางวัดเสร็จ ก็เดินชมวัดเห็นเป็นกุฏิเก่า ๆ เป็นไม้ มองขึ้นไปเป็นภาพของหลวงพ่อเป็นพระสงฆ์แก่แล้วเขียนข้างล่างรูปว่า ๒๓ ร.ศ. ๒๓๓ ก็นั่งสงสัย กลับบ้านดีกว่า ก็เห็นเครื่องบรรณาการ สมัยนั้นเขามาส่งส่วยกัน มีผ้าไหมปักดิ้นเงินและทอง มีเสียงผู้หญิงมีอำนาจบอกว่า ดูได้จับได้ ยังไม่ถึงเวลาเอาไปใช้สอย พอตื่นจากฝันก็มานั่งคิดดู โทรศัพท์ให้เพื่อหาหนังสือประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัชกาลสมัยไหน เกี่ยวข้องอะไรกับหลวงพ่อ พอล็อตเตอรี่ออก ๑๒๓ เพิ่งจะถึงบางอ้อ ก็แล้วไป
ครั้งที่สอง คราวนี้ไปแบบครึ่งกำลัง ไปได้ง่ายช่วงเวลาอาบน้ำค่ะ ก็ไปโผล่ที่ในโบสถ์ แต่งชุดไทยสวย กราบหลวงพ่อท่าน ขอพรท่านไม่รบกวนท่าน ไปหาท่านย่าดีกว่า บอกท่านย่าว่าอันเงินร้อย - เงินพัน ลูกก็ทำบุญแล้วที่วัดท่าซุง ลูกอยากทำเงินหมื่น - แสน - ล้านบ้างสิ ( ขอหวยน่ะค่ะ ) ท่านยิ้มแต่ไม่พูด หยิบดอกบานไม่รู้โรยให้ดอกเดียว สีชมพู ลูก็คิดขอหวยไม่ให้ ให้ดอกไม้มาได้ดอกเดียวขี้เหนียวจัง พอออกจากชาน (ตีความหมายดอกไม้ช่อนี้แถวบ้านเราเรียกว่า ดอกสามปี คิดว่า สามก็คือสาม ปีก็คือแปด ตีความเสร็จ ตีว่าเลขไม่สวย ไม่ซื้อดีกว่า พอเลขออก ๖๓๘ แทบเป็นลมใส่)
ครั้งที่สาม เอาใหม่ ไปแบบครึ่งกำลังเหมือนเดิม คิดว่าวันที่ 14 ธ.ค. 53 ลูกจะไปวัดท่าซุง ขอเงินค่าทำบุญค่ารถดีกว่า ไปกราบหลวงพ่อท่านก่อน อันที่จริงก็ทำแบบนี้ทุกวัน ไปหาท่านแม่ดีกว่า ขอท่านพ่อไม่ให้ แม่ต้องรักลูกมากกว่าพ่อ อุ้มท้องเรามาตั้ง ๙ เดือน ท่านทำได้ ท่านเก่งกว่าพ่อแน่ ขอแค่นี้ท่านต้องให้ได้ พอไปถึงวิมานท่าน ท่านคงรู้ใจหยิบหมอนรูปร่างคล้ายฟักทองมาให้สองลูก หมอนท่านสวยมากเป็นสีเงินใส ๆ ท่านบอกว่า นอนดูสิลูก เอาหัวหนุนหมอนดู ลูกก็คิดว่ามาขอเงินใช้กลับมาสั่งให้เรานอนให้ดู ไม่เอาแล้วกลับลงมาดีกว่า มาคิดดูหัวก็ห้า แล้วหมอนสองลูกมันเป็นเลขอะไร สงสัยค่ารถไม่มีแน่ไปวัดท่าซุงคราวนี้ อันว่าเงินทำบุญลูกมีแล้ว พอหวยออก ๕๐๐ แล้ว ต้องยอมรับว่าบุญเก่าทรัพย์สมบัติเก่าเราไม่ได้สะสมไว้ถึงไม่มีลาภในเรื่องแบบนี้ แต่ก็รอดตัวไป เพื่อนรุ่นน้องเขาถูกเลขท้ายสองตัว หนึ่งคู่ เขาจ่ายค่ารถให้
แปลกแต่จริง ไปทำบุญวัดไหนก็เหมือนไม่ได้ทำ ไปกราบนมัสการพระวัดไหนไม่ว่าวัดแถวบ้าน หรือว่าในกรุงเทพฯก็เหมือนไปบ้านคนแปลกหน้าไม่อบอุ่น พอมาวัดท่าซุงหรือซอยสายลมจิตข้างในดีใจเหมือนเด็ก ๆ ได้ของเล่นถูกใจ บางครั้งจิตบอกว่า พ่อ ลูกมาแล้ว อบอุ่นเหมือนกลับเข้ามาสู่อ้อมอกอ้อมแขนของพ่อ ท่านต้องคุ้มภัยให้เราตลอดเวลา พอตอนขากลับมา บอกพ่อแม่ว่า พ่อคะลูกออกต่อสู้ชีวิต คุ้มครองลูกด้วย ลูกจะมากราบพ่อทุกครั้งที่พ่ออยากให้ลูกมา
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่มาช่วยสงเคราะห์ทุก ๆ คืน
เหตุการณ์ทั้งหมดขอยืนยันว่าประสบมาด้วยตนเองทุกประการ

13  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / Re: แจก CD ธรรมะ การปฏิบัติสมาธิ และ สติปัฏฐาน ฟรีๆ เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 09:54:01 PM
ขออนุโมทนา ขอรับ 1 ชุดครับ
กรุณาส่ง

สรรพสิทธิ์ สิมมา  บ้านเลขที่ 265 หมู่ที่ 20 บ้านโคกสว่างเหนือ ตำบล สว่าง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร 47110


++++++++++++++++++++++++++++
จัดส่งให้แล้วนะครับ
กอล์ฟ@kammatan.com
++++++++++++++++++++++++++++
14  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / Re: แจกหนังสือธรรม ของ หลวงพ่อชา สุภัทโธ แห่งวัดหนองป่าพง อ.วาริน จ.อุบล เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 09:35:11 PM
ขออนุโมทนา ขอรับ 1 ชุดครับ
กรุณาส่ง

สรรพสิทธิ์ สิมมา  บ้านเลขที่ 265 หมู่ที่ 20 บ้านโคกสว่างเหนือ ตำบล สว่าง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร 47110
15  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 09:19:48 PM
สาธุอนุโมธามิ
หน้า: [1] 2