KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรพระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
หน้า: 1 2 [3]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่  (อ่าน 99146 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #30 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2012, 01:01:52 AM »

ผมว่าสิ่งที่ yusamui กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองดูให้ดีนะครับว่ามันเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง ไป หรือเปล่าครับผม
เพราะถ้าเราได้หลักการภาวนาที่ตรงกับจริตแล้ว มั่นทำความเพียรภาวนาตามหลัก เจริญทั้ง ศีล สมาธิ และ ภาวนา

ถ้าถึงจุดที่ละความสงสัย ได้แล้ว ก็จะกระจ่างแจ่มแจ้งเอง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านสอน และจะไม่คลอนแคลนในพระพุทธศาสนา
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็น ปัจจัตตัง ทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
สาธุ ครับผม

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #31 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2012, 03:20:06 PM »

ผมว่าสิ่งที่ yusamui กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองดูให้ดีนะครับว่ามันเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง ไป หรือเปล่าครับผม
เพราะถ้าเราได้หลักการภาวนาที่ตรงกับจริตแล้ว มั่นทำความเพียรภาวนาตามหลัก เจริญทั้ง ศีล สมาธิ และ ภาวนา

ถ้าถึงจุดที่ละความสงสัย ได้แล้ว ก็จะกระจ่างแจ่มแจ้งเอง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านสอน และจะไม่คลอนแคลนในพระพุทธศาสนา
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็น ปัจจัตตัง ทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
สาธุ ครับผม



    สวัสดีครับ คุณgolfreeze คือผมไม่ได้สงสัยอะไร ในธรรมะพระพุทธเจ้าทรงสอนหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากแลกเปลี่ยน สนทนาธรรม ตามที่รู้ที่ศึกษามาแค่นั้น เพราะบางทีการตีความหมายในหนังสือ อาจจะเข้าใจความหมายคนละอย่างก็เป็นได้ หวังว่าในโอกาศต่อไปผมคงได้สนทนาธรรมะกันคุณบางนะครับ
บันทึกการเข้า
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #32 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2012, 03:22:36 PM »

***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น*** ผมเห็นเป็นอย่างนี้

ถ้าคุณเห็นอย่างนี้ ก็แสดงว่า แม้นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถหยุดวงล้อ ของปฏิจจสมุปบาทได้เพราะจิตของพระอรหันต์ยังมีการเกิดดับอยู่ เพียงแต่หมดสิ้นกิเลสเท่านั้น   พุทธศาสตร์ต้องอธิบายถึงเหตุ-ผลได้นะครับ มิฉะนั้นจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปทันที

คำถามคือคุณอยู่สมุยคิดว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท 1 รอบ ของคุณนั้นใช้เวลาเท่าใดครับ ?
น้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป ครับ

  
ใน  1 รอบวงจรปฏิจจสมุปบาทเร็วเป็นเวลาขนาดไหนนั้น ผมไม่สามารถบอกได้ แต่ยกเป็นตัวอย่างแสดงก็แล้วกัน
  ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป เราเกิดชอบ อยากได้ผู้หญิงคนนี้ มาเป็นของเรา(แค่เห็น แค่อยาก นี่เป็น 1 รอบแล้วครับ)และจิตคิดต่อไปว่า(กระทบทางมโน)อยากรู้จักเธอ(เกิดอีก 1 รอบ) อยากรู้ว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน  (เกิดอีก 1 รอบ )อยากได้เธอมาเป็นแฟน (เกิดอีก 1 รอบ )ในระหว่างจิตยังปรุงแต่งมีตัณหาเกิดขึ้น วงจรปฏิจจสมุปบาทก็ยังหมุนอย่างต่อเนื่อง หรือบางทีหยุดปรุงแต่งไปแล้วเป็นวัน แล้วจิตก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอีก วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนต่อไปได้อีก เอาเป็นว่าเร็วเท่าความคิดที่ยังมีตัณหาก็แล้วกัน

      ประเด็นมันไม่ใช่อยู่ตรงที่ว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท มันหมุนเร็วขนาดไหน แต่มันอยู่ตรงที่เราจะหยุดมันได้อย่างไรต่างหาก
หลายคนอย่าจะคิดว่าในเมื่อวงจรมันเร็วซะขนาดนี้ แล้วจะไปหยุดมันได้อย่างไร แค่เห็น แค่อยาก ก็เกิดรอบขึ้นแล้ว
ตรงนี้เราหยุดได้ครับ เราสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ด้วย สติ(การระลึก)  ก็สติสติปัฏฐาน ๔ ที่เราทั้งหลายฝึกกันนั้นแหละครับ เอามาใช้แต่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ คือสติไปขนเอาปัญญามาจัดการกับกิเลส   ที่นี่มาดูกันต่อว่าเราจะหยุดวงจรได้อย่างไร
    ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป ในขณะนั้นเองเรามีสติสัมปชัญญะ รู้ทันเวทนาก่อนจะเป็นตัณหา ว่าอ้อ..”เช่นนั้นเอง”หรือ”อย่าปรุง” หรือคำอะไรก็ได้แว้ปขึ้นมาในจิต หลังจากนั้นสติก็จะขนเอาปัญญาที่เราเรียนมาใช้เช่น ร่างกายนี้เป็นปฏิมูลไม่มีอะไรน่าชื่นชม สักวันหนึ่งก็เสื่อมสะลายไป หรือปัญญาเรื่องอะไรก็ได้สติต้องขนมาให้ทัน วงจรปฏิจจสมุปบาทก็จะหยุดลงทันที  และเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง อย่างที่เคยบอก ทำครั้งแรกๆ อาจจะยังตามไม่ทัน แต่ฝึกทำบ่อยๆ เดี๋ยวจะจับได้เอง ส่วนพระอรหันต์ มีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์ โดยไม่ต้องพยายาม และสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้เด็ดขาดครับ
    
    ปล.เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้านำมาสอนนั้น จะต้องมีประโยชน์กับมนุษย์ เพราะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่ถ้าเราไปเรียนรู้อย่างเดียว โดยไม่สามารถไปจัดการอะไรมันได้ และเราจะเรียนไปเพื่ออะไร พระพุทธเจ้าจะสอนไปเพื่ออะไร
   ทุกสิ่งต้องมีเหตุ และผลครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2012, 03:24:10 PM โดย yusamui » บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #33 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2012, 06:06:53 PM »

ผมว่าสิ่งที่ yusamui กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองดูให้ดีนะครับว่ามันเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง ไป หรือเปล่าครับผม
เพราะถ้าเราได้หลักการภาวนาที่ตรงกับจริตแล้ว มั่นทำความเพียรภาวนาตามหลัก เจริญทั้ง ศีล สมาธิ และ ภาวนา

ถ้าถึงจุดที่ละความสงสัย ได้แล้ว ก็จะกระจ่างแจ่มแจ้งเอง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านสอน และจะไม่คลอนแคลนในพระพุทธศาสนา
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็น ปัจจัตตัง ทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
สาธุ ครับผม



    สวัสดีครับ คุณgolfreeze คือผมไม่ได้สงสัยอะไร ในธรรมะพระพุทธเจ้าทรงสอนหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากแลกเปลี่ยน สนทนาธรรม ตามที่รู้ที่ศึกษามาแค่นั้น เพราะบางทีการตีความหมายในหนังสือ อาจจะเข้าใจความหมายคนละอย่างก็เป็นได้ หวังว่าในโอกาศต่อไปผมคงได้สนทนาธรรมะกันคุณบางนะครับ

ยินดีครับผม แต่สำหรับผมอาจจะสนธนาไม่ค่อยเก่งเท่าไร นะครับผม
ถ้ามีข้อสงสัย ตรงไหนก็ถามท่าน Avatar ได้เลย ครับ
อนุโมทนาสาธุ ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2012, 08:57:21 AM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2012, 10:30:47 PM »

***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น*** ผมเห็นเป็นอย่างนี้

ถ้าคุณเห็นอย่างนี้ ก็แสดงว่า แม้นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถหยุดวงล้อ ของปฏิจจสมุปบาทได้เพราะจิตของพระอรหันต์ยังมีการเกิดดับอยู่ เพียงแต่หมดสิ้นกิเลสเท่านั้น   พุทธศาสตร์ต้องอธิบายถึงเหตุ-ผลได้นะครับ มิฉะนั้นจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปทันที

ผมยังไม่ได้กล่าวถึงกรณีย์พระอรหันต์นะครับ ซึ่งพระอรหันต์ผมก็เข้าใจว่าท่านสามารถทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทได้แล้ว
เพียงแต่ท่านยังมีขันธ์อยู่เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้เรียก สอุปาทิสเสสนิพพาน และเมื่อท่านละธาตุขันธ์แล้ว(กายแตก,ตาย)
ท่านก็เข้าสู่พระนิพพาน เรียก อนุปาทิเสสนิพพาน
ท่านจึงเป็นจิตที่สะอาด สว่าง สงบแล้วจากกิเลสทั้งปวง และสามารถทำลายอวิชชาลงได้ซึ่งก็ทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทลงด้วยนั่นเอง

พอจะเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ครับ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 17, 2012, 10:35:40 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #35 เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2012, 10:56:22 PM »


คำถามคือคุณอยู่สมุยคิดว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท 1 รอบ ของคุณนั้นใช้เวลาเท่าใดครับ ?
น้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป ครับ

  
ใน  1 รอบวงจรปฏิจจสมุปบาทเร็วเป็นเวลาขนาดไหนนั้น ผมไม่สามารถบอกได้ แต่ยกเป็นตัวอย่างแสดงก็แล้วกัน
  ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป เราเกิดชอบ อยากได้ผู้หญิงคนนี้ มาเป็นของเรา(แค่เห็น แค่อยาก นี่เป็น 1 รอบแล้วครับ)และจิตคิดต่อไปว่า(กระทบทางมโน)อยากรู้จักเธอ(เกิดอีก 1 รอบ) อยากรู้ว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน  (เกิดอีก 1 รอบ )อยากได้เธอมาเป็นแฟน (เกิดอีก 1 รอบ )ในระหว่างจิตยังปรุงแต่งมีตัณหาเกิดขึ้น วงจรปฏิจจสมุปบาทก็ยังหมุนอย่างต่อเนื่อง หรือบางทีหยุดปรุงแต่งไปแล้วเป็นวัน แล้วจิตก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอีก วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนต่อไปได้อีก เอาเป็นว่าเร็วเท่าความคิดที่ยังมีตัณหาก็แล้วกัน

      ประเด็นมันไม่ใช่อยู่ตรงที่ว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท มันหมุนเร็วขนาดไหน แต่มันอยู่ตรงที่เราจะหยุดมันได้อย่างไรต่างหาก
หลายคนอย่าจะคิดว่าในเมื่อวงจรมันเร็วซะขนาดนี้ แล้วจะไปหยุดมันได้อย่างไร แค่เห็น แค่อยาก ก็เกิดรอบขึ้นแล้ว
ตรงนี้เราหยุดได้ครับ เราสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ด้วย สติ(การระลึก)  ก็สติสติปัฏฐาน ๔ ที่เราทั้งหลายฝึกกันนั้นแหละครับ เอามาใช้แต่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ คือสติไปขนเอาปัญญามาจัดการกับกิเลส   ที่นี่มาดูกันต่อว่าเราจะหยุดวงจรได้อย่างไร
    ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป ในขณะนั้นเองเรามีสติสัมปชัญญะ รู้ทันเวทนาก่อนจะเป็นตัณหา ว่าอ้อ..”เช่นนั้นเอง”หรือ”อย่าปรุง” หรือคำอะไรก็ได้แว้ปขึ้นมาในจิต หลังจากนั้นสติก็จะขนเอาปัญญาที่เราเรียนมาใช้เช่น ร่างกายนี้เป็นปฏิมูลไม่มีอะไรน่าชื่นชม สักวันหนึ่งก็เสื่อมสะลายไป หรือปัญญาเรื่องอะไรก็ได้สติต้องขนมาให้ทัน วงจรปฏิจจสมุปบาทก็จะหยุดลงทันที  และเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง อย่างที่เคยบอก ทำครั้งแรกๆ อาจจะยังตามไม่ทัน แต่ฝึกทำบ่อยๆ เดี๋ยวจะจับได้เอง ส่วนพระอรหันต์ มีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์ โดยไม่ต้องพยายาม และสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้เด็ดขาดครับ
    
    ปล.เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้านำมาสอนนั้น จะต้องมีประโยชน์กับมนุษย์ เพราะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่ถ้าเราไปเรียนรู้อย่างเดียว โดยไม่สามารถไปจัดการอะไรมันได้ และเราจะเรียนไปเพื่ออะไร พระพุทธเจ้าจะสอนไปเพื่ออะไร
   ทุกสิ่งต้องมีเหตุ และผลครับ


วงจรปฏิจจสมุปบาทในความเห็นของคุณนี่ก็แปลกๆอีกเหมือนกันนะเกิดไม่เป็นเวล่ำเวลา
แต่เกิดเป็นจังหวะขึ้นอยู่กับตามผัสสะหรืออายตนะและไม่ได้เกิดสืบเนื่องกันไป


ผมถามคุณอยู่สมุยนะครับว่าคุณระงับไม่ให้เกิดผัสสะหรืออายตนะที่มากระทบได้ตลอดเวลาหรือไม่ครับ...
แต่ถ้าคุณบอกว่าได้ ก็เข้าญาณอยู่ในชั้นจตุตถญาณผัสสะก็ไม่มีแล้ว ผมก็จะบอกว่าได้ครับ แต่ถ้าคุณออกมาจากการเข้าฌานแล้ว ผัสสะมันก็กลับมาเหมือนเดิม วงจรปฏิจจสมุปบาท ก็กลับมาหมุนติ้วอีก...
นี่แค่ผัสสะอย่างเดียวนะที่เป็นเหตุให้เกิดวงจรปฏิจจสมุปบาท ยังมีธรรมารมณ์ เจตสิก อวิชชา สังขาร เวทนา ตัณหา อุปาทาน อีก..คุณจะหยุดมันอย่างไรล่ะครับในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป

ที่คุณไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่นั้นคือคุณมองไม่ทันวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ซึ่งมันก็หมุนติ้วอยู่นั่นแหละเพียงแต่คุณไม่รู้ตัว

แต่อย่างว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้อย่างไรต่างหาก อย่างนี้คุณและผมมีจุดหมายเดียวกันครับ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #36 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 11:59:42 AM »

วงจรปฏิจจสมุปบาทในความเห็นของคุณนี่ก็แปลกๆอีกเหมือนกันนะเกิดไม่เป็นเวล่ำเวลา
แต่เกิดเป็นจังหวะขึ้นอยู่กับตามผัสสะหรืออายตนะและไม่ได้เกิดสืบเนื่องกันไป


    ในส่วนนี้ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วครับ ว่า ใน 1 รอบ ปฏิจจสมุปบาท จะต้องมี 11 อาการ ถ้ายังไม่ถึง 11 อาการ ก็ยังไม่เป็นรอบของ ปฏิจจสมุปบาท ตรงจุดนี้ คุณอาจจะยังสงสัยว่า แล้วอะไรมังที่เราเมื่อผัสสะแล้วไม่เป็น วงจรปฏิจจสมุปบาท คุณลองนึกย้อนไปดูอาการของจิต ในตอนที่คุณขับรถก็ได้ ว่าบางที 2 ข้างทางมันมีอะไรต่ออะไรมากมายที่ตาของเราไปกระทบเข้า เช่นต้นไม้ ป้ายถนน วัว ควาย แต่พอเราเห็นแล้ว จิตของเราก็ไม่ได้ไปคิดอะไร หรือปรุงแต่ง เป็นตัณหา อุปาทานต่อ ถ้าคุณสังเกตตรงนี้ให้ดี คุณจะรู้ว่าในวันหนึ่งๆ มีสิ่งที่เข้ามากระทบ อายตนะ ๖ ตั้งมากมายแต่ไม่เป็น วงจรปฏิจจสมุปบาท

ผมถามคุณอยู่สมุยนะครับว่าคุณระงับไม่ให้เกิดผัสสะหรืออายตนะที่มากระทบได้ตลอดเวลาหรือไม่ครับ...
แต่ถ้าคุณบอกว่าได้ ก็เข้าญาณอยู่ในชั้นจตุตถญาณผัสสะก็ไม่มีแล้ว ผมก็จะบอกว่าได้ครับ แต่ถ้าคุณออกมาจากการเข้าฌานแล้ว ผัสสะมันก็กลับมาเหมือนเดิม วงจรปฏิจจสมุปบาท ก็กลับมาหมุนติ้วอีก...


จากข้อความนี้คุณคงหมายถึง เมื่อ เข้าฌานอยู่ในชั้นจตุตถฌาน วงจรปฏิจจสมุปบาท จะไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อออกจากฌานแล้ววงจรปฏิจจสมุปบาท ก็กลับมาหมุนติ้วอีก...เหมือนเดิม
  แต่บังเอิญว่าในโลกนี้ไม่มีใครเข้าฌานได้ตลอดเวลานะสิครับ และถ้า จตุตถฌาน ความหมายเป็นแบบนี้
   ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ
ทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง  ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่ง
คลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่
ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร
นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ
 
     ถึงจุดนี้หากคุณทำได้แล้ว ผมก็ขออนุโมทนา สำหรับผม คงจงมุ่งตรงมากกว่า คือ ทำเน้นไปทางวิปัสสนา  เพราะว่ากว่าถึงฌานทั้ง 8 แล้ว รูปฌาน4 อรูปฌาน4 และเจโตวิมุตติ ผมคงแก่ตายก่อนครับ
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #37 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 12:30:14 PM »

สำหรับท่าน yusamui ขอโมทนากับสัจจะต่อธรรมะ เช่นกันครับผม
ถึงแม้จะเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญศีล เมื่อสมควรแล้ว จนเมื่อถึงแก่กรรมจริงๆ
ใช่ว่าจะคืนสู่โลก เช่น ทรัพย์สมบัติ ดังเงินทองไม่
ของเหล่านี้จะติดไปตามภพ ตามชาติที่ท่านได้ไปจุติ
ทำให้ได้เริ่มภาวนาต่อได้ง่าย จนกว่าจะเข้าถึงกระแสแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

ขอแค่เราหนักแน่นในการปฏิบัติ รักษาศีล เจริญสมาธิ และเจริญมรรคมีองค์ 8
เมื่อสมควรในแต่ละขั้นแล้ว ก็จะมีปัญญากำจัดกิเลสชั้นสูงได้ตามลำดับ
แต่ ณ ปัจจุบันขณะ ก็จะมีความสุขกับการรู้ทุกข์ในปัจจุบัน อยู่แล้ว
ขออนุโมทนาด้วยนะครับท่าน yusamui กับพี่ Avatar
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #38 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 03:03:38 PM »

สำหรับท่าน yusamui ขอโมทนากับสัจจะต่อธรรมะ เช่นกันครับผม
ถึงแม้จะเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญศีล เมื่อสมควรแล้ว จนเมื่อถึงแก่กรรมจริงๆ
ใช่ว่าจะคืนสู่โลก เช่น ทรัพย์สมบัติ ดังเงินทองไม่
ของเหล่านี้จะติดไปตามภพ ตามชาติที่ท่านได้ไปจุติ
ทำให้ได้เริ่มภาวนาต่อได้ง่าย จนกว่าจะเข้าถึงกระแสแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

ขอแค่เราหนักแน่นในการปฏิบัติ รักษาศีล เจริญสมาธิ และเจริญมรรคมีองค์ 8
เมื่อสมควรในแต่ละขั้นแล้ว ก็จะมีปัญญากำจัดกิเลสชั้นสูงได้ตามลำดับ
แต่ ณ ปัจจุบันขณะ ก็จะมีความสุขกับการรู้ทุกข์ในปัจจุบัน อยู่แล้ว
ขออนุโมทนาด้วยนะครับท่าน yusamui กับพี่ Avatar

ขอบคุณครับ คุณgolfreeze
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #39 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2012, 02:50:47 AM »

กรรม มี ๓ อย่าง คือ กรรมดำ กรรมขาว และกรรมไม่ดำไม่ขาว.
กรรมดีย่อมส่งผลเป็นวิบากที่ดี ตรงข้ามกรรมชั่วย่อมส่งผลเป็นวิบากที่ไม่ดี.
กรรมดำ ก็คือ อกุศลกรรม เป็นเรื่องที่น่ากลัว น่ากลัวที่ผลและวิบากที่จะเกาะเป็นสันดานติดตามเราไป ตลอด สะสม ต่อไปชาติแล้วชาติเล่า ตราบเท่าที่ยังมีการเกิด กรรมอย่างหนึ่ง จะส่งผลอย่างหนึ่ง แต่วิบากอันเกิดจากผลอย่างหนึ่งอันนั้น จะเกิดซ้ำๆ มากมายไม่มีประมาณ กรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ทุกรอบของการเกิดของภพหนึ่งๆ ภพหนึ่งๆเกิดขึ้นทุกรอบแห่งการเกิดของวงจรปฏิจจสมุปบาทสายหนึ่ง...
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #40 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2012, 01:48:01 PM »

  ขอเพิ่มส่วนที่ยังขาดอยู่นะครับ

    ส่วนกรรมไม่ดำไม่ขาว. คือ กรรม หรือการกระทำใดๆ ที่จิต ไม่ได้หวังในผลของของบุญ และบาป ในการกระทำนั้นๆ
เช่น การทำทานทำบุญ ก็กระทำไปเพื่อ จาคะ เพื่อขจัดความตระหนี่ เพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่น เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา

การถือศีล ไม่เป็นไปเพื่อหวังในมนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ แต่เป็นไปเพื่อ ความไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น

การทำสมาธิ ก็ไม่ได้หวัง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือเพื่อไปเกิดเป็นเทวดา เป็น พรหม แต่เป็นไปเพื่อ ความสงบของจิตใจ และปัญญา ในการพิจารณา ไตรลักษณ์
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: เมษายน 08, 2013, 02:25:42 PM »

พระอริยะ 

พ้นอบายภูมิ แล้ว
 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]
พิมพ์
กระโดดไป: