ในสมัยหนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี
พระโมคคัลลานะเถระ ผู้บรรลุซึ่งธรรม บารมี 6 มีปณิธานอันแรงกล้า ปรารถนาจักทดแทนพระคุณบุพการีชน
จึ่งได้เพ่งมองโลกด้วยอภิญญาญาณ และแจ้งว่า.......
บัดนี้ผู้เป็นมารดาแห่งตนได้ไปถืออุบัติอยู่ ณ ท่ามกลางดวงวิญญาณหิวกระหาย
ไม่มีทั้งน้ำ และอาหาร ทั่วสรรพพางค์กาย ปรากฏเพียงหนังหุ้มกระดูก ได้รับทุกขเวทนายื่งนัก
พระโมคคัลลานะ จึงนำผลาหารบรรจุเต็มบาตรเพื่อนำไปโปรดดวงวิญญาณของมารดา
ทันทีที่นางรับบาตรไป ก็ลูบคลำด้วยมืออันอ่อนแรง มือขวากอบคำข้าวเพื่อหวังจะบริโภค
แต่ในบัดดล ยังมิทันที่อาหารจะล่วงเข้าสู่ปากของนาง ก็กลับกลายเป็นถ่านเพลิงเผาไหม้ทุกคราไป
ยังความสลดสังเวชแก่พระโมคคัลลานะเป็นที่ยิ่ง
พระโมคคัลลานะจึงกลับไปสู่ ณ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถึงการณ์ทั้งปวงให้พระพุทธองค์ทรงทราบ
สมเด็จพระศาสดาได้มีพุทธดำรัสว่า.....
"ดูกร โมคคัลลานะ โดยเหตุที่มารดาของท่านสั่งสมซึ่งอกุศลกรรมเป็นเนืองนิจ
อาศัยกำลัง(บุญกุศล)แห่งตน(พระโมคคัลลานะ)แต่เพียงลำพัง มิอาจบรรเทาอกุศลกรรมนั้นได้
ถึงแม้ว่าอำนาจแห่งความกตัญญูต่อบุพพการีชนของท่านจะสะเทือนถึงสวรรค์โลกมนุษย์ ปีศาจ มารร้าย
หรือแม้แต่พรหมโลกและจตุโลกบาลก็ตาม
ยังมีแต่พลานุภาพแห่งที่ประชุมพระอริยสงฆ์สาวก ผู้มาจากทิศทั้งสิบ จึงสามารถปลดเปลื้องทุกข์แห่งมารดาท่านได้
บัดนี้พระตถาคตจักแสดงธรรมอันเป็นเครื่องปลดเปลื้อง ความขัดข้อง ความทุกข์ และอกุศลมูลทั้งหลาย
"ในวันเพ็ญ กลางเดือนเจ็ด อันเป็นวาระแห่งวันปวารณาของพระสงฆ์ทั่วทั้งทศทิศ
เพื่ออานิสงค์อันพึงจักสำเร็จแก่บุพพการีชน ทั่วถึง 7 ชั่วอายุ
โมคคัลลานะ !! เธอจงจัดเตรียมภาชนะอันบริสุทธิ์อุดมด้วยผลาหารภักษาหารทั้ง 100 อย่าง
ผลไม้ทั้ง 5 กับสิ่งสักการะบรรดามีประทีป ธูปเทียน ชวาลา อันเป็นเลิศทั้งปวง ถวายแด่หมู่สงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง 10
หากสาธุชนใดพึงได้ถวายทานดั่งนี้แล้ว แด่ที่ประชุมมหาปวารณาสงฆ์ อานิสงค์อันประมาณมิได้
ย่อมบังเกิดแด่บุพพการีชนทั้งในปัจจุบันตลอดจนถึง 7 ชั่วอายุ
แม้กระทั่งผู้อยู่ในคติทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน สัตว์นรก)
ท่านเหล่านั้นจักพ้นจากทุคติภูมิ ได้บังเกิด ณ สุคติภพ
โภชนาหารกับทั้งพัสตราภรณ์อันปราณีต จักบังเกิดแด่ท่านเหล่านั้นแม้ผู้ยังชนม์อยู่ย่อมจักเป็นผู้มั่งคั่ง จักเป็นผู้มีอายุยืน"
แลบัดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพุทธบรรหารแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายให้ดำรงจิตแห่งตน
มั่นคงอยู่ในสมาธิภาวะ แล้วจึงสังวัธยายมนตร์ อุทิศให้บุพพการีชนทั้งหลาย
ครั้นแล้วหมู่สงฆ์ทั้งนั้นพึงรับ มตกภัตต่อเบื้องหน้าพุทธานุสติเจดีย์ในท่ามกลางหมู่สงฆ์
ทันใดนั้น มารดาแห่งพระมหาโมคคัลลานะก็ได้พ้นจากกัลป์แห่งเปรตภูมิด้วยกุศลนั้น
พระมหาโมคคัลลานะ บังเกิดปิติในผลแห่งกุศลเป็นอันมาก
พระมหาโมคคัลลานะ ได้ประคองหัตถ์อัญชุลีต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า.......
"บัดนี้ มารดาของข้าพระองค์ ได้รับอานิสงค์อันไม่มีประมาณ ก็ด้วยอาศัยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย
หากในกาลภายหน้า บรรดาพุทธสาวกทั้งหลายปรารถนาจักบำเพ็ญกุศลทานอุทิศให้แก่บุพพการีชนดั่งนี้บ้าง
บรรพชนทั้งหลายกับผู้ล่วงลับทั้ง 7 ชั่วอายุนั้นจักได้รับอานิสงค์ดุจเช่นนี้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า"
พระบรมศาสดา จึงมีพุทธดำรัสตอบว่า...
"ประเสริฐแล้ว สิ่งที่เธอกล่าวนั้นชอบแล้ว หากในภายภาคเบื้องหน้าสาธุชนทั้งหลายอันมีภิกษุ ภิกษุณี กษัตริย์
พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชบริพารทุกชนชั้นกับทั้งสามัญชนทั้งปวงปรารถนาที่จักบำเพ็ญกุศลทานอุทิศแด่บุพพการีชน ผู้ให้กำเนิดแล้วไซร้
ในวันเพ็ญกลางเดือน 7 อันเป็นวันมหาปวารณาสงฆ์
เธอทั้งหลายพึงถวายโภชนาหาร กับทั้งของบริวารทั้งปวงแด่หมู่สงฆ์ผู้มาทิศทั้ง 10
แล้วตั้งใจอุทิศส่วนแห่งบุญนั้น แด่บุพพการีชน ผู้ให้กำเนิดกับทั้งผู้ล่วงลับทั้ง 7 ชั่วอายุ ให้ได้รับอานิสงส์เขาทั้งหลายเหล่านั้น
ย่อมจักเป็นผู้พ้นจากทุคติภพ ได้บังเกิดในท่ามกลางสุคติภูมิได้เสวยผลบุญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พุทธสาวกทั้งหลาย ผู้มีมนสิการมั่นคงอยู่ในกตัญญุตธรรม ระลึกถึง คุณแห่งบุพพการีชน มีคุณบิดา มารดา เป็นต้น
ในวันขึ้น 15 ค่ำของเดือน 7 ทุกปี พึงประกอบกุศลกรรมถวาย อุลลัมพนมตกภัต แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้ง 10 ทิศ
เพื่อแสดงซึ่งกตัญญุตาในผู้ให้กำเนิด แลผู้มีพระคุณที่ได้บำรุงเลี้ยงดูมา"
เมื่อได้สดับฟังพระธรรมของพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้วพระมหาโมคัลลานะพร้อมด้วยพุทธบริษัท 4
ต่างปิติยินดีในธรรมและน้อมรับไปปฏิบัติโดยทั่วกัน
พระสูตร อันเป็นสัจจพจน์ที่ว่าด้วยธรรมอันเป็นกตัญญุตกตเวทิตธรรมต่อบุพพาการีชน ก็ยุติลงด้วยประการฉะนี้
ขอกุศลผลทานที่ทุกท่านร่วมใจกันจะถวาย อุลลัมพนมตกภัต นี้จงพึงบังเกิดแด่ บุรพชนต้นตระกูล
บรรพกษัตริย์ ผู้รักษาประเทศชาติบุพพการีชน เหล่าญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้วของทุก ๆ ท่านเป็นผู้พ้นจากทุคติภูมิ
ได้บังเกิดในสุขคติภูมิ ผู้ใดได้รับทุกข์ ก็จงพ้นจากความทุกข์ผู้ใดมีสุข ก็จงมีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เสวยผลบุญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญกุศลนี้จงพ้นจากความทุกข์ ความขัดข้องทั้งหลายจงมีความสุข
ความเจริญ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นผู้มั่งคั่ง อายุยืนดุจดังอานิสงส์แห่ง "พระพุทธวจนะอุลลัมพนสูตร" ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ.
วันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ค่ะ อย่าลึมไปทำบุญอุทิศบุญกุศลให้บุพการีที่ล่วงลับไปแล้วกันทุกท่านนะครับผม
ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB K.Supani