KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอด โดย หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี  (อ่าน 19652 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 12:46:58 PM »



สำหรับผู้ที่จะหนีจากโลกไปจริง ๆ โลกก็คือโลกต่างหาก ไม่ใช่จิตใจของเรา เราจะหนีออกจากโลก
เราไม่ห่วงอะไรแล้ว ตัดให้มันขาดออกจากใจนี่ เอาอย่างนี้ อย่าไปยึดไปถือว่าสังคมของเรา
ถ้าเราไม่มีไม่เข้าสังคมแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะอยู่จะกิน โน่นกลัวตายแล้ว โน่นกลัวว่าจะไม่มีอะไรอยู่อะไรกิน
นั่นพระพุทธเจ้าท่านให้ตัดออก!

ไม่ตายหรอก ถึงแม้จะตัดออกจากสังคมแล้วมันก็ไม่อด เพราะ ‘ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง’
บุคคลผู้ปฏิบัติธรรม พระธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปอยู่ในที่ชั่วช้า

นี่เรายังกลัวอยู่กลัวไม่ได้กิน กลัวว่าจะไม่ได้สังคม เอ้า! สังคมมันมีอะไร มีหลายสิ่งหลายอย่างจิปาถะนับไม่ได้
อันนี้มันมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เราก็นับชาติภพไม่ไหว ที่ติดอยู่อย่างนี้แต่เราระลึกไม่ได้ ไม่มีบุพเพนิวาสานุสติ
นั่งระลึกชาติหนหลังไม่ได้ ก็เพิ่งมารู้ในระยะที่เราเกิดมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นผู้หลงอยู่ ติดไปครู่หนึ่งแล้วลืมหลังอีก
โน่นแค่นั้นยังลืมแล้ว ถ้าพูดถึงชาติภพละก็มันจะไม่ลืมได้ยังไง เพราะเราไม่กำจัดไม่ได้บำเพ็ญติดต่อกัน

เราทำเป็นวรรคเป็นตอนเป็นครั้งเป็นคราว มันก็ไม่พอต่อความต้องการของเรา
ถ้าเราไปยึดถือว่าสังคมนี่ดีกว่าธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่ไหว ก็สังคมเอาไปกินหมดนั่นแหละ
เราจะเอาอะไร จะเอาสังคมหรือเอาตนเอง จะยกตนออกจากทุกข์หรือจะยอมตนให้เสวยทุกข์อยู่ กำหนดอย่างนี้
เอาถ่านไฟแดง ๆ วางบนศีรษะของเรา เราจะหยิบออกหรือไม่หยิบออก ถ้าเราฉลาดเรากลัวทุกข์กลัวเจ็บก็ต้องหยิบออกโดยเร็ว
ถ้าเราไม่กลัวเราก็ยอมให้ไฟนั้น ถ่านไฟก็ไหม้เราอยู่ตลอดเป็นทุกข์อยู่ตลอด นี่ฉันใดเราต้องเป็นผู้ฉลาด
หาทางที่จะแก้ไขออก สิ่งเหล่านี้สิ่งอันไม่ใช่ธรรมนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 02, 2015, 01:14:49 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 12:47:35 PM »

สิ่งที่มารบกวนเป็นข้าศึกศัตรู ที่เราต้องรู้และตระหนักถึงมันอยู่ มันเกิดเวทนาขันธ์ขึ้นมา เจ็บปวดขึ้นมานั่นแหละมันเป็นข้าศึกหรือศัตรูแก่เรา ไม่ให้เราบรรลุถึงคุณงามความดี ให้เรารำลึกขึ้นมา ให้เราเห็นสิ่งเหล่านี้เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ปล่อยวางหรือเจ็บขึ้นมาก็แยกออกจากกัน
‘ท่านว่าความเจ็บไม่มีอยู่ที่ใจของเรา ใจของเราไม่ใช่ความเจ็บ ความเจ็บไม่ใช่ใจของเรานะ ใจของเราต่างหาก ใจเรามีหน้าที่รู้เท่านั้น รู้เจ็บรู้ปวด ไม่เจ็บไม่ปวดก็รู้’
นั่นใจของเราพร้อมเข้ามาอยู่ในความสงบของจิตนั้น เวทนาจะเข้าไม่ถึงใจของเรา ให้แยกออกจากกันแบบนี้ ไม่ว่ามันจะเจ็บจะปวดเราก็พยายามแยกออก ให้รู้จักวิธีการแยกใจของเรา
ธาตุขันธ์เหล่านั้นเจ็บ ให้เราพิจารณาแยกออก ใจของเราไม่เจ็บเป็นแต่มันเพียงรู้ว่ามันเป็นอยู่เท่านั้น รู้อาการของธาตุขันธ์เท่านั้น ใจของเรารู้อยู่ตลอด สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครที่จะให้ว่างได้ มันรู้อยู่ตลอดเวลา ตื่นก็รู้ หลับก็รู้อยู่อย่างนั้น ให้เราพร้อมเข้ามาอย่างนั้น อย่าส่งไปตามสัญญาอารมณ์ สัญญาเกิดที่ไหนก็ไปตามอารมณ์ มันเกิดที่ไหนก็ไปตาม ‘อย่าไปตามมัน’ ให้เรารู้อยู่ที่จุดนั้น มันเกิดก็รู้ มันดับก็รู้ อยู่อย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้น
เราต้องพยายามฝ่าฟันเวทนานั้นให้มาก มันจะเจ็บจะปวดขึ้นมาขนาดไหนก็ช่างมัน อดทนเอา คราวหน้าเวลาขันติความอดทนอันนี้มันมีความกล้าหาญขึ้นมา มันก็กระเด็นออกจากกัน พอเมื่อมันกระเด็นออกจากกัน ความยึดความถืออันนั้นกระเด็นออกได้มันไม่ยึดไม่ถือมันก็ไม่มีอะไร มีแต่ใจดวงเดียวดวงนี้ มันจะมีอะไรเกิดขึ้น เวทนามันก็ไม่มีแล้ว สัญญาความจำได้หมายรู้มันก็ไม่มี มีแต่รู้เฉย ๆ
รู้แล้วก็วิตก วิจาร พิจารณาสิ่งที่มันรู้นั่นแหละ ให้รู้จักความเป็นจริงของเขาว่า เราจะไม่ยึดไม่ถือเพื่อเราจะได้ปล่อยวาง ถ้าเราไม่รื้อถอนมันจะยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นแหละ ถ้าเรารื้อถอนมันก็จะปล่อยวางอย่างนั้นแหละ ข้อสำคัญให้ฝ่าฟันเวทนานั้น มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ‘ร่างกายนี้ข้าพเจ้าขอมอบให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าไม่ยึดไม่ถือ ขอแต่ว่า ข้าพเจ้ารู้ธรรมเห็นธรรมเท่านั้น’ เอาอย่างนี้ อธิษฐานในใจนะขอให้ข้าพเจ้ารู้ธรรมเห็นธรรม

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 12:48:09 PM »




โยม : กราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับการปฏิบัติเมื่อกี้ เรายังเกี่ยวข้องกับสังคมกับงานโน้นงานนี้ สัญญาอารมณ์มันจะติดเรามา ปฏิบัติมันมาก็ติดเรามาอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องปฏิบัติอย่างไร?
หลวงปู่ : เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้ฝึกสติ ฝึกให้มันกล้า มันพอ มันมีกำลัง ถ้าสติของเรามันกล้าพอแล้ว อารมณ์มันจะตามมาได้ที่ไหน ถ้าสติของเราอ่อนแออยู่มันก็ตามมาได้นั่นแหละ นี่ความบกพร่องมันอยู่ที่ตรงนี้ ฝึกสติให้ดีเพื่อกำจัดสัญญาอารมณ์เหล่านั้นไม่ให้ติดตามมา ปล่อยวางทอดอาลัยไว้อย่างนั้น
โยม : ทำอย่างไรจึงจะตัดมันได้เร็ว กลับมาแล้วเสียงหมอลำยังตามมา
หลวงปู่ : เอ้า! ก็ฝึกสติ ที่จะตัดได้เร็วก็เพราะสติมีกำลังมาก ที่ตัดไม่ได้เร็วก็เพราะสติไม่มีกำลัง จะให้ใครมาตัดให้ นอกจากตัวเราตัดเอง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว
โยม : ถ้าเราไม่ไปงาน สังคมก็เสีย มันก็เสียสังคม
หลวงปู่ : ถ้าเรากลัวอยู่อย่างนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยังยึดถืออยู่ในสังคม เรียกว่า ‘อุปาทาน’ ยึดมั่นถือมั่นในสังคม ถ้าหากผู้ที่มีสติแก่กล้าแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีสังคมก็ตาม ไปในสังคมก็ตัดให้ขาดไปเลย
โยม : แต่ที่นี้เรายังทำงานอยู่ เรายังเกี่ยวข้องสังคมอยู่
หลวงปู่ : ทำงานก็สตินั่นแหละจะตัดมัน เราทำงานอยู่ก็ทำ สติของเราก็ต่างหาก ใจของเราก็ต่างหาก งานของเราก็ต่างหากไม่ใช่ใจ ใจของเราต่างหาก งานของเราไม่ใช่ใจ ใจของเราต่างหาก สติของเราต่างหาก เราต้องแยกออกจากกันให้มันได้อย่างนี้ เราจะถือเหมาเอาหมดอย่างนี้ไม่ได้ เราต้องฉลาด ต้องมีปัญญาแยกส่วนออก อันนี้งาน อันนี้เป็นใจ อันนี้เป็นสติ เราต้องแยกออก ถ้าเรายังถือเป็นอันเดียวกันอยู่มันก็ไม่ได้ ต้องมีการแยกแยะออกจากกัน จะไปเหมาใครได้ ถ้าเหมา เรานั่นแหละเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่น เราไม่รู้เท่าในการในงานมันก็ไปยึดไปถือ มันก็ถือสังคมด้วย สังคมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน สังคมเป็นเรื่องของโลกต่างหาก เราจะเอาโลกหรือเอาธรรม เราจะเอามรรคผลหรือเอาโลก ถ้าเอาโลกก็ต้องอยู่กับโลก ถ้าจะเอาธรรมก็ปฏิบัติธรรม ต้องแยกออกจากกันอย่างนี้ มาอยู่กับโลกก็ต้องทำโลก อันนี้เป็นความคิดของเราต่างหาก
สำหรับผู้ที่จะหนีจากโลกไปจริง ๆ โลกก็คือโลกต่างหาก ไม่ใช่จิตใจของเรา เราจะหนีออกจากโลก เราไม่ห่วงอะไรแล้ว ตัดให้มันขาดออกจากใจนี่ เอาอย่างนี้ อย่าไปยึดไปถือว่าสังคมของเรา ถ้าเราไม่มีไม่เข้าสังคมแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะอยู่จะกิน โน่นกลัวตายแล้ว โน่นกลัวว่าจะไม่มีอะไรอยู่อะไรกิน
นั่นพระพุทธเจ้าท่านให้ตัดออก!
ไม่ตายหรอก ถึงแม้จะตัดออกจากสังคมแล้วมันก็ไม่อด เพราะ ‘ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง’ บุคคลผู้ปฏิบัติธรรม พระธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปอยู่ในที่ชั่วช้า
นี่เรายังกลัวอยู่กลัวไม่ได้กิน กลัวว่าจะไม่ได้สังคม เอ้า! สังคมมันมีอะไร มีหลายสิ่งหลายอย่างจิปาถะนับไม่ได้ อันนี้มันมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เราก็นับชาติภพไม่ไหว ที่ติดอยู่อย่างนี้แต่เราระลึกไม่ได้ ไม่มีบุพเพนิวาสานุสติ นั่งระลึกชาติหนหลังไม่ได้ ก็เพิ่งมารู้ในระยะที่เราเกิดมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นผู้หลงอยู่ ติดไปครู่หนึ่งแล้วลืมหลังอีก โน่นแค่นั้นยังลืมแล้ว ถ้าพูดถึงชาติภพละก็มันจะไม่ลืมได้ยังไง เพราะเราไม่กำจัดไม่ได้บำเพ็ญติดต่อกัน เราทำเป็นวรรคเป็นตอนเป็นครั้งเป็นคราว มันก็ไม่พอต่อความต้องการของเรา ถ้าเราไปยึดถือว่าสังคมนี่ดีกว่าธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่ไหว ก็สังคมเอาไปกินหมดนั่นแหละ เราจะเอาอะไร จะเอาสังคมหรือเอาตนเอง จะยกตนออกจากทุกข์หรือจะยอมตนให้เสวยทุกข์อยู่ กำหนดอย่างนี้ เอาถ่านไฟแดง ๆ วางบนศีรษะของเรา เราจะหยิบออกหรือไม่หยิบออก ถ้าเราฉลาดเรากลัวทุกข์กลัวเจ็บก็ต้องหยิบออกโดยเร็ว ถ้าเราไม่กลัวเราก็ยอมให้ไฟนั้น ถ่านไฟก็ไหม้เราอยู่ตลอดเป็นทุกข์อยู่ตลอด นี่ฉันใดเราต้องเป็นผู้ฉลาด หาทางที่จะแก้ไขออก สิ่งเหล่านี้สิ่งอันไม่ใช่ธรรมนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
จากหนังสือกมโลผู้งามดั่งดอกบัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 02, 2015, 01:15:53 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 01:09:44 PM »



ไปบำเพ็ญที่ไหนก็เอา ‘ใจ’ นั่นแหละไป
ในดงในป่าในภูเขาที่ไหนก็เอา ‘ใจ’ นั่นแหละบำเพ็ญ นี่ให้เราเข้าใจอย่างนั้น
นักปฏิบัติทั้งหลายอย่าลืมตัว อย่าหลงตัวเท่านี้แหละ หมั่นฝึกหัดสติของตนให้กล้า
เมื่อสติของเรามันกล้าพอแล้ว จะกำหนดดูที่ไหนมันก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด
 ถ้าสติมันกล้าพอแล้ว มันมีกำลังพอแล้ว กำหนดดูกายของตน
มันก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด หรือจะกำหนดดูอะไรก็รู้ซาบซึ้งอยู่ภายใน...”

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
จากหนังสือกมโลผู้งามดั่งดอกบัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 02, 2015, 01:16:28 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 01:17:13 PM »

เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งสร้างบาปสร้างกรรมมาก
อ้าว ติดต่อกัน กำลังลงมือประชุมกัน เดี๋ยวก็ด่าคนโน้น เดี๋ยวก็ด่าคนนี้
สร้างกรรมด้วยวาจา สร้างกรรมด้วยใจนึก
สร้างกรรมอยู่อย่างนั้น มันไม่หยุดไม่หย่อนสักที
โลกเรานี้ เดี๋ยวก็ว่าคนนั้น เดี๋ยวก็ว่าคนนี้อยู่นั่นแหละ
สำคัญมั่นหมายว่าตนเป็นคนวิเศษ เป็นคนประเสริฐยิ่ง
หาเรื่องแดกดันคนนั้นคนนี้อยู่นั่นแหละ
นั่นเรื่องของโลกมันเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะสร้างกรรม
ฟังให้ดี ดูซิ...เป็นใหญ่เป็นโตเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างกรรมมากเข้า
สร้างกรรมไม่หยุดไม่หย่อน
มันก็ไม่หลุดไม่พ้นสักทีละ เหมือนกับกรรมนั้นก็พยาบาทติดต่อกันเรื่อยๆ ไป
นี่กรรมเวรมันก็ไม่สิ้นสุดสักที เอาอย่างนั้น พิจารณาอย่างนั้น
การที่เราอุตส่าห์พยายามมา ประพฤติปฏิบัติมา ฝึกหัดตนของตน
ก็เพราะอยากรู้สิ่งเหล่านี้ อยากละอยากถอนสิ่งเหล่านี้
ให้เห็นความจริงว่า จิตใจของเราจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น มันปล่อยวาง
กมฺมุนา วตฺติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม
มันทำกรรมไม่หยุดไม่หย่อน มันก็เป็นกรรมนั่นแหละที่ต่อเนื่องกันมา เห็นไหม
ทางที่ดีท่านให้ปล่อยวางซะ...อย่าไปเกี่ยวข้อง หรือยุ่งอยู่กับเรื่องของกรรม
มันผูกพยาบาทอาฆาตกันอยู่ตลอดเวลา
มนุษย์โลกอยู่ทุกวันนี้ กำลังจะเริ่มก่อกรรมก่อเวรกรรมแล้ว
มาถึงการหาคะแนนเสียงอยากเป็นใหญ่เป็นโตโน่น...

พระธรรมเทศนาโดย พระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล)
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 01:17:36 PM »

อย่าไปท้อถอย ไปท้อถอยไม่ได้
มีโรคมีภัยเบียดเบียนร่างกายของเรา ทำอะไรก็ไม่ได้
อย่าไปงดมัน มีอะไรข้าพเจ้าก็จะทำ ทำคนเดียวอย่างนั้น
เหมือนกับพระยากระแต พระยากระแตบุตรตกน้ำในมหาสมุทรทะเล
พอตกลงไปก็คิดถึงบุตรของตนมาก ดูว่าจะทำอย่างไรนั่น
เวลาจะตักน้ำขึ้นมาก็ไม่มีอะไรตัก ก็เลยตั้งความเพียรขึ้นมา
"ถึงอย่างไรก็ตามเถอะ ข้าพเจ้าจะตั้งความเพียรของเรา ขันติความอดทนของเรา"
ก็เอาหางไปชุบน้ำแล้วไปปล่อย เอาอยู่อย่างนี้
จนมีท้าวสักกเทวราชลงมา "อ้าว! พระยากระแตตักน้ำมหาสมุทรทะเล เมื่อไหร่มันจะหมดจะแห้ง"
เลยไปทดลองความเพียร ทดลองขันติของพระยากระแต
จึงมาถามบอกว่า "ท่านทำอะไร พระยากระแต"
"บุตรของข้าพเจ้าตกน้ำ ข้าพเจ้าคิดถึงบุตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตักน้ำให้หมดให้แห้ง"
"อ้าว! น้ำมหาสมุทรทะเลเมื่อไหร่มันจะหมด
ขนาดหางของพระยากระแต จะไปชุบเอาน้ำไปสลัดบนบกนั้น เมื่อไหร่มันจะหมด"
"ถึงอย่างไร ธรรมดานักปราชญ์ยังต้องมีความเพียร ข้าพเจ้าจะทำอยู่อย่างนี้ตลอด"
ผลสุดท้าย สักกเทวราชจึงนำเอาบุตรขึ้นมาให้ ด้วยความดี นี่เป็นบุคลาธิษฐาน
หากเป็นธรรมาธิษฐาน ก็ไม่ต้องกลัวอะไร ทำเหมือนอย่างพระยากระแต
ด้วยอำนาจของคุณความดีที่เราทำนั้น มันจะเกิดจะมีขึ้นมาเอง
มันจะเห็นเองได้เอง เราได้มอบกายถวายชีวิต
อ้าว! ทำๆ ไปสงบบ้างไม่สงบบ้างก็ยังดี
ไม่เห็นจริง ไม่เห็นความเบื่อหน่ายในโลกสักที
เมื่อเวลาเราเห็นจริงรู้จริงแล้ว อย่างนี้มันเบื่อ มันปล่อยวางทั้งนั้น
นอกจากเรา มีแต่อุปสรรคทั้งนั้น เครื่องขัดข้องต่อทางมรรคผล
เครื่องขัดข้องต่อความพ้นทุกข์ เอาอย่างนั้น ไม่กลัวแล้ว อย่าไปกลัว
เอาให้มันพ้นในชาตินี้ เรามีจิตมีใจอยู่แล้ว ตั้งความเพียรลงไป

พระธรรมเทศนาโดย พระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล)
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2015, 01:18:04 PM »

การต่อสู้กิเลสไม่ใช่ของทำเล่น
สิ่งที่มารบกวนเป็นข้าศึกศัตรู ที่เราต้องรู้และตระหนักถึงมันอยู่
มันเกิดเวทนาขันธ์ขึ้นมา เจ็บปวดขึ้นมา
นั่นแหละมันเป็นข้าศึกหรือเป็นศัตรูแก่เรา ไม่ให้เราบรรลุคุณงามความดี
ให้เรารำลึกขึ้นมา ให้เราเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ปล่อยวาง
หรือเจ็บขึ้นมาก็แยกออกจากกัน ท่านว่าความเจ็บไม่มีอยู่ที่ใจของเรา
ใจของเราไม่ใช่ความเจ็บ ความเจ็บไม่ใช่ใจของเรานะ
ใจของเราต่างหาก ใจของเรามีหน้าที่รู้เท่านั้น
เจ็บรู้ปวดรู้ ไม่เจ็บไม่ปวดก็รู้ นั่นใจของเรา
น้อมเข้ามาอยู่ในความสงบจิตนั้น เวทนาจะเข้าไม่ถึงใจของเรานั้น
ให้แยกออกจากกันแบบนี้ ไม่ว่ามันจะเจ็บจะปวด
เราก็พยายามแยกออก ให้รู้จักวิธีการแยกใจของเรา
ธาตุขันธ์เหล่านี้มันเจ็บ ให้เราพิจารณาแยกออก
ใจของเราไม่เจ็บ เป็นแต่เพียงรู้ว่ามันเป็นอยู่เท่านั้น
รู้อาการของธาตุขันธ์เท่านั้น ใจของเรารู้อยู่ตลอด
สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครที่จะให้ว่างได้ มันรู้อยู่ตลอดเวลา ตื่นก็รู้หลับก็รู้อยู่อย่างนั้น
ให้เราน้อมเข้ามาอย่างนั้น อย่าส่งไปตามสัญญาอารมณ์
สัญญาเกิดที่ไหนก็ไปตาม อารมณ์มันเกิดที่ไหนก็ไปตาม
อย่าไปตามมัน ให้เรารู้อยู่ที่จุดนั้น
มันเกิดก็รู้ มันดับก็รู้อยู่อย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้น
เราต้องพยายามฝ่าฟันเวทนานั้นให้มาก
มันจะเจ็บจะปวดขึ้นมาขนาดไหนก็ช่างมัน อดทนเอา...
คราวหน้าเวลาขันติความอดทนอันนี้มันมีความกล้าหาญขึ้นมา
มันก็กระเด็นออกจากกัน พอเมื่อเวลามันกระเด็นออกจากกัน
ความยึดความถืออันนั้นกระเด็นออกได้ มันไม่ยึดไม่ถือ มันก็ไม่มีอะไร
มีแต่ใจดวงเดียวดวงนี้ มันจะมีอะไรเกิดขึ้น
เวทนามันก็ไม่มีแล้ว สัญญาความจำได้หมายรู้มันก็ไม่มี มีแต่รู้อยู่เฉยๆ
รู้แล้วก็วิตกวิจาร พิจารณาสิ่งที่มันรู้นั่นแหละ ให้รู้จักความเป็นจริงของเขา
ว่าเราจะไม่ยึดไม่ถือ เพื่อเราจะได้ปล่อยวาง
ถ้าเราไม่รื้อถอน มันจะยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นแหละ
ถ้าเรารื้อถอนมัน ก็จะปล่อยวางอย่างนั้นแหละ
ข้อสำคัญให้ฝ่าฟันเวทนานั้น
มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
"ร่างกายอันนี้ ข้าพเจ้าขอมอบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ข้าพเจ้าไม่ยึดไม่ถือ ขอแต่ว่าข้าพเจ้ารู้ธรรมเห็นธรรมเท่านั้น"
เอาอย่างนี้ อธิษฐานในใจนะ ขอให้ข้าพเจ้ารู้ธรรมเห็นธรรม
เมื่อเวลารู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว มันไม่มีอะไรเลิก มีแต่สร้างบาปสร้างกรรมเท่านั้นเลิก

พระธรรมเทศนาโดย พระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล)
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: