ความเห็นที่ 4 โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 13:36:22ต่อ นะครับมรดกธรรมของครูอาจารย์ท่านเยอะเหลือเกินครับ น่าเสียดายมากถ้าไม่มีใครรวบรวมครับ แล้วผมจะพยายามเอามาลงต่อนะครับ (ช่วงนี้ค่อนข้างว่างครับ

!)
- “การปฏิบัติในขั้นละเอียดไม่มีอะไรมากหรอกครับ
มีแต่ยิบๆ ยับๆ เท่านั้นเอง
เพราะมันไม่ได้บัญญัติ
ก็ให้รู้มันเหมือนที่รู้อารมณ์อื่นๆ นั่นเอง
คือรู้ด้วยจิตที่เป็นกลางจริงๆ”
- “พวกเราย่อมทำผิดกันมาแล้วทุกคน
สิ่งใดทำผิดบาปไปแล้ว แก้ไขไม่ได้แล้ว
ก็เพียงเอาเป็นบทเรียนที่จะสำรวมระวังต่อไป
แต่อย่าคิดทบทวนเพ่งโทษตนเองเรื่อยๆ ไป
เพราะจิตจะเศร้าหมองไม่มีโอกาสพัฒนาต่อไป
สู้ปล่อยวางเสีย ตั้งใจทำกรรมดี หรือกรรมเหนือดี
บางทีจะหนีผลของกรรมชั่วที่พลาดพลั้งทำไปแล้ว ได้ครับ”
- “เราควรรู้ทฤษฎีว่า จิตเองก็เกิดดับ ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้
ไม่ใช่เรา แต่ไม่จำเป็นต้องเรียนจนถึงวิถีจิตละเอียดยิบ
เพราะจะฟุ้งซ่านจนปฏิบัติยาก
(ถ้าจำเป็นต้องเรียนละเอียดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้วครับ)
เมื่อรู้ทฤษฎีแล้ว ก็ควรลืมเสีย อย่าจำเอามาใช้ในเวลา
ปฏิบัติ แล้วลงมือเจริญสติปัฏฐานจริงๆ”
-“แท้ที่จริงโลกที่ว่าใหญ่นั้น เราสัมผัสมันได้เพียงนิดเดียว
นิดเดียวจริงๆเช่นภาพของโลก ทั้งโลก ทั้งจักรวาลที่เรา
เห็นได้ก็เพียงแค่แสงสะท้อนของวัตถุเหล่านั้นเท่านั้น
เราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นจริงจังอะไรเลย
เสียงที่ได้ยิน ก็เพียงความสะเทือนที่แก้วหูนิดเดียวเท่านั้น
กลิ่นในโลกมีมาก ก็ได้กลิ่นเพียงนิดเดียว
รส ก็สัมผัสได้เพียงนิดเดียว และซ้ำๆ ซากๆ
สิ่งที่มาสัมผัสทางกายแม้จะมีได้มากมาย แต่ที่มาสัมผัสเราจริงๆ ก็มีนิดเดียว
ยิ่งความคิดนึกทั้งหลาย กระทั่งคิดจะเป็นเจ้าโลก
มันก็เป็นเหมือนภาพลวงตา เหมือนความฝันที่จิตคิดปรุง
เอาไม่ได้เกี่ยวกับโลกเลย
เราสัมผัสโลกได้นิดเดียว แต่ความอยากมันมากกว่านั้น
มากนักดังนั้นชีวิตจึงเต็มไปด้วยความไม่สมอยาก
และความสามารถในการเสพย์ ของคนเรามีนิดเดียว
แต่ความต้องการเสพย์ มันไม่สิ้นสุด
เราสัมผัสโลกได้นิดเดียว โลกมันก็เป็นโลกของมันอยู่อย่าง
นั้นแต่เรากลับคิดว่า เราเป็นเจ้าของ ครอบครองอะไรๆ ตั้ง
มากมายทั้งที่กายของตนเอง ก็ครองไว้ไม่ได้จริง”
- “การที่เราดูจิตนั้น อย่าไปกังวลว่าสิ่งที่ถูกรู้จะดับหรือไม่
ดับเพราะเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อดับสิ่งที่ถูกรู้
หากแต่ปฏิบัติเพื่อจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏด้วยจิตใจที่เป็น
กลางจะเห็นเองว่าสิ่งนั้นแสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา
อย่าไปกังวลว่าในขณะนั้นจิตจะเป็นทุกข์ แล้วพยายาม
ดับทุกข์เพราะเราไม่ได้ดูจิตเพื่อดับทุกข์
หากแต่ดูเพื่อให้รู้ความจริงว่า
ทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร
ซึ่งเมื่อดูนานเข้าจะประจักษ์ชัดว่า
ทุกข์เกิดขึ้นเพราะจิตหลง / ไหล ไปยึดอารณ์นั่นเอง
เมื่อจิตรู้ความจริงแล้ว จิตก็ย้อมหาทางพ้นทุกข์ของเขา
เองเรามีหน้าที่รู้เท่านั้น
ที่จริงจิตไม่เคยว่างจากอารมณ์
แม้อารมณ์หยาบจะดับไป เช่นดูแล้วความโกรธดับไป
ความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไร ที่บางคนบอกว่า ว่างๆ
ที่เข้ามาคั่นก่อนที่อารมณ์หยาบตัวใหม่จะจรมา
อันนั้นก็คืออารมณ์อีกตัวหนึ่ง
จิตไม่เคยปราศจากอารมณ์
เราปฏิบัติก็ไม่ใช่เพื่อไม่ให้จิตรู้อารมณ์
แต่ปฏิบัติเพื่อให้จิตฉลาด
ไม่หลงอารมณ์ที่กำลังไปรู้เข้า
ที่ว่าจิตฉลาดก็คือจิตเขารู้อริยสัจจ์
คือรู้ว่า ถ้าเมื่อใดจิตอยาก จิตยึด จิตก็ทุกข์
ถ้าจิตสักแต่รู้ ไม่อยาก ไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์
ธรรมะเป็นเรื่องง่ายๆ ครับ
อย่าไปคิดมากจนซับซ้อนเลยครับ”
- “มาร(กิเลส)นั้นกลัวว่าเราจะมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา
เอาตัวรอดได้มันจึงหาอะไรๆ มาล่อให้เราลืมตัว เผลอคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ”
- “แต่ไม่ว่าจะปฏิบัติแนวไหน สิ่งที่ต้องเน้นที่สุดก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะ
และถ้าเจริญสติสัมปชัญญะได้ถูกต้อง
ธรรมก็จะลงเป็นเนื้อเดียวกับที่ ความพ้นทุกข์”
- “อย่าพากันท้อถอยเสีย เมื่อได้ยินคนอื่นพูดธรรมะแล้ว
เราฟังเขาไม่รู้เรื่องเราไม่ต้องรู้อะไรเลยก็ได้ รู้แค่ว่า ทำ
อย่างไรเราจะไม่ทุกข์ก็พอแล้วเพราะนั่นคือใจความทั้ง
หมดของพระพุทธศาสนาซึ่งจำเป็นที่คนๆ หนึ่งควรจะเรียนรู้ไว้”
- “ความยากของการปฏิบัติวิปัสสนานั้น
อยู่ตรงที่ไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ
แต่การปฏิบัติไปปนเปื้อนด้วยความคิดบ้าง ด้วยการเพ่ง
โดยไม่รู้ตัวบ้างเรื่องเหล่านี้พูดกันเถียงกันเท่าไรก็ยากจะ
เข้าใจกันครับต้องลงมือทำกันจริงๆ แล้วเอาของจริงในจิตใจมาวิจารณ์กัน”
-“ ทางสายกลางที่เป็นพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
เป็นเรื่องที่ต้องสังเกตเอาเองว่าทำอย่างใด
อกุศลจะลดลง กุศลจะเจริญขึ้น
ส่วนกลางของจิตนั้น เหมือนกันทุกคน
คือ รู้ ที่ไม่ ปล่อยจิต ให้เพลิดเพลินยินดีไปกับอารมณ์
หรือเพ่งอารมณ์ เพื่อ บังคับจิต ให้แนบกับอารมณ์อันเดียว”
-“หากผู้ปฏิบัติพยายามรู้ตัวอย่างต่อเนื่องเข้าไว้
และมีสติสอดส่องอยู่ในกายในจิต
หรือในวงขันธ์ 5 ของตนอย่างเป็นปัจจุบัน
ก็แทบไม่มีปัญหาจะต้องถามใครอีกต่อไปแล้ว”
-“เมื่อมีศีลอันงามจนตนเองติเตียนตนเองไม่ได้แล้ว
จิตจะเกิดความอบอุ่นใจ หรือเกิดปีติก็ได้
ถัดจากนั้น จะสามารถเจริญวิปัสสนาต่อไปได้เลยครับ
คือรู้ความสงบใจ รู้ปีติสุขไปเลย ด้วยจิตที่เป็นกลาง
พระพุทธเจ้าท่านจึงรับรองธรรมที่พราหมณ์ผู้หนึ่งกล่าว
ว่าศีลขัดเกลาสมาธิ สมาธิขัดเกลาคีล
เหมือนมือขวาล้างมือซ้าย และมือซ้ายล้างมือขวา ฉะนั้น”
-“ผมศึกษาปฏิบัติธรรมมาก็เพื่อความพ้นทุกข์ครับ
เมื่อศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว ก็รู้สึกซาบซึ้งประทับใจ
อยากนำความร่มเย็นนั้นมาเล่าสู่กันฟังในหมู่ญาติมิตร
จึงอยากให้พวกเราทำใจให้ร่มเย็น เพื่อฟังธรรมอันร่ม
เย็น ที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ดีแล้ว
ถ้าเริ่มศึกษาด้วยความร้อน ก็จะไม่ได้รับความซาบซึ้งในธรรมเท่าที่ควรหรอกครับ”
โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 13:36:22