KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรเกี่ยวกับ องค์พระพุทธเจ้า
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เกี่ยวกับ องค์พระพุทธเจ้า  (อ่าน 27527 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2008, 10:28:49 PM »


พระพุทธเจ้า คือผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพุทธศาสนา แบ่งพระพุทธเจ้าออกเป็น 3 ประเภท
1.ปัญญาพุทธเจ้า (ปัญญาธิกะ) คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ
ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย
หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์
ได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้งแรก เหลืออีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย
และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
2. ศรัทธาพุทธเจ้า (สัทธาธิกะ) คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32
อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
3. วิริยะพุทธเจ้า (วิริยาธิกะ) คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากับล์
คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64
อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า พระศรีศากยมนีโคดมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง ปัญญาพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ คือบุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภท
1.พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิยตะโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
2.พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตะโพธิสัตว์
ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยียมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้
แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย
ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
จากบทความข้างบน ผู้อ่านคงได้อ่านคำว่า อสงไขย และ กัป มาแล้ว ผู้เขียนจะอธิบายสั้นๆ ให้ทราบดังนี้
- กัป เป็นหน่วยวัดเวลา ในเชิงประมาณ คือ เมื่อโลกมนุษย์ปราฏกขึ้นหรือบังเกิดขึ้น จนพังสูญหายไป 1 ครั้งเรียกว่า 1 กัป
- อสงไขย เป็นหน่วยวัดเวลา ที่มากกว่ากัป คือจำนวณกัป ที่นับไม่ถ้วน เท่ากับ 1 อสงไขย
*** ตามที่เคยคำนวณมา 1 อสงไขย เท่ากับ จำนวน กัป ที่เอาเลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว
- ต่อไปคำว่า สูญกัป หมายถึงกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น



สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่ยังเป็น อนิยตะโพธิสัตว์ ที่สร้างบารมีสมบูรณ์แล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต่อพระพักตร์พุทธเจ้า ต้องมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์ จึงได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น ก็กลายเป็น นิยตะโพธิสตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้
ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ
1. ได้เกิดเป็นมนุษย์
2. เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกระเทย
3. มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน(ถ้าเกิดเปลียนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
4. ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อพระพักตร์
5. ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสผู้ครองเรือน
6. ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
7. เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
8. ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง
กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตะโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย พุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ
1. อุสสาโห คือประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง
2. อุมัตโต คือประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม
3. อวัตถานัง คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
4. หิตจริยา คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจรีญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ
อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตะโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
1. เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
2. วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
3. อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
4. อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
5. อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
6. นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง


บารมี 30 ทัส
กล่าวถึงบารมี 10 ทัสก่อน มี ดังนี้
1. ทานบารมี คือการให้ทาน ทำบุญ บริจาคทรัพย์ หรือสิ่งของ หรือบริจาค สัตว์ 2 เท้า หรือ 4 เท้า หรือไม่มีเท้า
2. ศีลบารมี คือาการรักษาศีล 5 ศีล 8 หรือศีล 227 ข้อ
3. เนกขัมบารมี คือการออกบวช เป็นพระ หรือเป็นฤาษี เป็นโยคี เป็นพราหมณ์ คือเป็นผู้ไม่ครองเรื่อน ถือศีล 8 ขึ้นไป
4. ปัญญาบารมี คือสร้างเสริมความรู้ ความสามารถ และปัญญาทางธรรมมะให้เพิ่มขึ้น
5. วิริยะบารมี คือมีความขยันหมั่นเพียร กระทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ทั้งในทางธรรมะจนกระทั้งสำเร็จ
6. ขันติบารมี คือมีความอดทนต่ออารมณ์อันไม่พอใจ ต่องานการ ต่อการปฏิบัติธรรม และต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่อำนวย
7. สัจจะบารมี คือการพูดความจริง ที่ประกอบไปด้วยความดี ตามกาล และทำตามที่กล่าวไว้
8. อธิษฐานบารมี คือตังจิตอธิษฐาน เมื่อสร้างบุญกุศล ในสิ่งที่ปารถนาที่เป็นคุณงามความดี
9. เมตตาบารมี คือมีใจเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายเสมอเหมือนกัน
10. อุเบกขาบารมี คือมีใจเป็นอุเบกขา ต่อความสุข ความทุกข์ ที่เกิดขึ้น
บารมี ทั้ง 10 สามารถแตกเป็น 3 ระดับ คือ
1. บารมี ธรรมดาทั่วไป
2. อุปบารมี บารมีอย่างกลางแลกด้วย ปัจจัยภายนอกจนหมดสิ้น
3. ปรมัตถบารมี บารมีอย่างยิ่งแลกด้วยชีวิต
เมื่อแบ่งเป็น 3 ระดับ ก็จะกลายเป็นบารมี 30 ทัส
อานิสงส์ บารมี 30 ทัส ของพระนิยตะโพธิสัตว์
พระนิยตะโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงส์ 18 อย่าง ตลอดจนได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่
1. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
2. ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
3. ไม่เป็นคนบ้า
4. ไม่เป็นคนใบ้
5. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
6. ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน
7. ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจันทาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤาษี ท่านเป็นบุตรคนจันทาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี)
8. ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
9. ไม่เป็นสตรีเพศ
10. ไม่ทำอนันตริยกรรม
11. ไม่เป็นโรคเรื้อน
12 เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
13. ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
14. ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
15. ไม่เกิดเป็นเทวดาใน กามาพจรสวรรค์ ไม่เกิดเป็นเทวดาที่นับเข้าในเทวดาพวกหมู่มาร
16. เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก(พรหมชั้นอนาคามี) และอสัญญสัตตาภูมิพรหม( มีแต่รูปอย่างเดียว)
17. ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
18. ไม่เกิดในจักรวาลอื่น
อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวายสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ(ตายจากการเป็นเทพ)มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2008, 10:40:39 PM »

 พุทธประวัติ มีความจริงเพียงไร.?

พุทธประวัติ  คือพระประวัติของพระพุทธเจ้า

มีความจริงตามที่ท่านแสดงไว้ในที่นั้นๆ  เป็นความจริงเช่นเดียวกับประวัติบุคคลในอดีตเหล่าอื่น แต่แปลกที่เรื่องคนอื่นๆ  ในอดีตไม่ค่อยมีใครสงสัย ความมีอยู่ของท่านเหล่านั้น ในฐานะของคน ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่  ดับไปในอดีต แต่พระประวัติของพระพุทธเจ้ามีหลักฐานยืนยันในด้านต่างๆ  มากมาย คนกลับสงสัยตั้งแง่ต่างๆ  ขึ้นมา จนถึงกลับคนบางพวกมีความเข้าใจและเผยแพร่ความเห็นของตนออกไปว่า พระพุทธเจ้าเป็นเพียงบุคคลในจินตนาการเท่านั้น หาได้มีตัวตนอยู่จริงไม่     ทำไมจึงได้มีความคิดเห็นน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้ก็ไม่รู้แปลกจริง ๆ

            เรื่องราวที่เป็นพระประวัติของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ศึกษาหากต้องการจะพิสูจน์ว่า พระองค์เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์จริงหรือไม่แล้ว เราจะต้องศึกษาใน ๓ ด้านด้วยกัน  คือ

            ความเป็นจริงในด้านประวัติศาสตร์  ในเรื่องนี้เรามีหลักฐานด้านโบราณคดี  วรรณกรรม  ภูมิศาสตร์  ที่สามารถทำลายความสงสัยได้เป็นอย่างดี ยิ่งบุคคลเหล่านั้นได้ไปให้ถึงดินแดนอันเป็นพุทธภูมิด้วยแล้ว จะไม่ติดใจสงสัยเลยว่า เจ้าชายสิทธัตถะ โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา  แห่งกรุงกบิลพัสดุ์  ได้เสด็จออกผนวชจากราชตระกูลศากยะ บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้ ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จนมีคนเคารพนับถือสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันนั้น เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์หรือไม่  เช่นเดียวกับนักศึกษาประวัติศาสตร์ ปรัชญา  เชื่อในความมีอยู่ของ เธเลส อันเป็นปรัชญาเมธีของกรีกในยุคก่อนและยุคใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้า ยอมรับถึงความมีอยู่ของ พระนางคลีโอพัตรา  ของอียิปต์ เล่าจื้อ  ขงจื้อ เม่งจื้อ อันเป็นปรัชญาเมธีของจีน ตลอดถึงคนสำคัญอื่นๆ  ในอดีตพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่เคยเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไปในอดีตเช่นเดียวกับคนอื่นๆ  นั้นเอง  ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องนี้

            ความจริงในด้านปาฎิหาริย์  อันเป็นพระคุณสมบัติที่ทรงขจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ออกไปได้ คือ การที่ทรงขจัดกิเลสและบาปธรรมทั้งปวงได้ จนทำให้ทรงประกอบด้วยปาฏิหาริย์หรือความอัศจรรย์ ๓ ประการ  คือ

 

๑. อิทธิปาฏิหาริย์  ทรงประกอบด้วยฤทธิ์  คือความสำเร็จอย่างอัศจรรย์  บางอย่างเกินกว่าวิสัยของสามัญชนแต่เมื่อบุคคลได้ศึกษาให้ทราบถึงความหมายและเหตุแห่งฤทธิ์แล้ว  สามารถปรับความเข้าใจในรูปของการเปรียบเทียบกับความสำเร็จทางกายของ นักกายกรรม  ยิมนาสติก  ผู้ฝึกมาอย่างดีแล้วก็จะพบว่า คนเหล่านั้นมีความสำเร็จที่เกินวิสัยของสามัญชน เหมือนกัน เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก เป็นคุณสมบัติเฉพาะของท่านที่ฝึกจิตมาดีแล้ว เช่นเดียวกับพวกกายกรรม ที่ฝึกมาในเรื่องนั้นๆ มาดีแล้วฉะนั้น

๒.  อาเทสนาปาฏิหาริย์  เป็นผลของ เจโตปริยญาณ อันผ่านการฝึกอบรมทางจิตมาตามลำดับ  ทำให้พระพุทธเจ้าทรงรู้ใจ  ทายใจ เข้าใจคนอื่นได้ในแง่มุมต่างๆ   อันเป็นอุปกรณ์สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พระองค์ทรงแสดงธรรมให้คนต่างๆเข้าใจได้  ตามพื้นฐานความรู้ของเขาเหล่านั้น ที่ทรงรู้ด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์

๓.  อนุสาสนีปาฏิหาริย์  ทรงมีพระธรรมคำสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือ ข้อใดที่ทรงแสดงไว้ว่าเป็นโทษ ก็คงเป็นโทษตลอดไป  ข้อใดที่ทรงแสดงไว้ว่าเป็นคุณ ก็คงเป็นคุณตลอดไป  เมื่อคนนำมาปฏิบัติแล้วจะอำนวยผลให้ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ  พระธรรมคำสอนของพระองค์  จึงสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ทุกเวลาทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาล

แต่ข้อที่ไม่ควรลืมประการหนึ่ง คือการเรียบเรียงเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์นั้น       ? ความบันดาลใจ ประทับใจ ของผุ้เรียบเรียง มีบทบาทร่วมอยู่ด้วย ?  คือผู้เรียบเรียงมีความประทับใจ เลื่อมใส จนเกิดเป็นจินตนาการการเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ  จึงได้เรียบเรียงไว้เช่นนั้น แม้ว่าพระประวัติของพระพุทธเจ้า ผู้เรียบเรียงจะอยู่ในฐานะของ สุตกวี  คือแต่งโดยได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษามา และ อรรถกวี  แต่งโดยเนื้อหาความจริงเป็นหลักก็ตาม แต่มีบางเรื่องบางตอนที่เกิดขึ้นจากแรงบัลดาลใจ อันอาศัยศรัทธาปสาทะแต่งออกมาในฐานะของ จินตกวี และ ปฏิภาณกวี คือ แต่งโดยปฏิภาณของตนปะปนอยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่ผู้ศึกษาต้องยอมรับว่า นั้นเป็นความจริงตามแรงบัลดาลใจของกวี ซึ่งจะต้องยอมรับในฐานะนั้นๆ  ในกรณีของพุทธประวัติ ผลงานแบบจินตกวีมีบ้างก็ไม่มากนัก

โปรดเข้าใจว่า เรื่องราวของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะตัดเรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ออกหมด ก็ไม่ทำให้กระทบกระเทือนอะไรแม้แต่น้อย เพราะนั่นไม่ใช้รากฐานของพระพุทธเจ้า  แต่รากฐานที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือ  พระปัญญาคุณ  พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ  อันพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์  เกื้อกูลและความสุขแก่โลก จากอดีตถึงปัจจุบันและอาจพิสูจน์ตนเองได้ทุกกาลเวลา

       ๒.  ที่ว่าภายหลังประสูติ ทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงดำเนินไปด้วยพระบาทได้ ๗ ก้าวนั้นจริงหรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

 

             - ตามพุทธประวัติ  คนที่เห็นเหตุการณ์ในยุคนั้นบอกว่าเป็นเช่นนั้น คนที่เกิดไม่ทันและไม่ได้ร่วมอยู่ในกลุ่มของพวกที่โดยเสด็จพระนางสิริมหามายาไปที่ลุมพินีวัน ถ้าไม่คิดว่าตนเองเก่งจนสามารถรู้ว่าอะไรในอดีตจริงหรือไม่จริง ก็ต้องยอมรับว่า  ? ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ว่าเป็นเช่นนั้น ?   ทำไมต้องเป็นเช่นนั้นหรือ?

เรื่องนี้ต้องมองกันในแง่ของหลักฐานในด้านต่างๆ  ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบได้ในระดับหนึ่งเช่น

              ๑.  สมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เมื่อประสูติใหม่ ๆ พระญาติวงค์เห็นเป็น ๔ กร จึงได้ถวายพระนามว่านารายณ์ราชกุมาร เป็นหลักฐานในประวัติศาสตร์ แต่พระกรจริงๆ  มีเพียง ๒ กรเท่านั้น สิทธัตถราชกุมารปรากฎว่าเดินด้วยพระบาทได้ ๗ ก้าวเพียงขณะเดียว  ต่อแต่นั้นก็เป็นทารกที่เดินไม่ได้เช่นเดียวกับทารกทั่วไป  เพราะตอนอสิตดาบสเข้าเยี่ยม พระเจ้าสุทโธทนะทรงอุ้มพระกุมารให้อสิตดาบสดู   การเสด็จดำเนินไปได้  ๗ ก้าว    จึงเป็นเรื่องของบุญฤทธิ์       ที่ท่านเรียกว่า       ปุณณวโตอิทธิ คือความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ เป็นคุณสมบัติเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น

              ๒.  เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นอัจฉริยบุคคล ที่สร้างสมอบรมบารมีมาเป็นพิเศษ การเสด็จดำเนินได้ ๗ ก้าว จึงอาจเป็น กัมมวิปากชาอิทธิ คือความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจกรรมที่เรียกว่า กรรมโยนิ คือ กุศลกรรมอย่างสูงมาเป็นกำเนิน ก่อให้เกิดความอัศจรรย์ขึ้น อันเป็นเรื่องเฉพาะของท่านที่เป็นอัจฉริยบุคคล ซึ่งผู้มีปัญญาอาจพิจารณาเทียบเคียงกับอัฉริยบุคคลในปัจจุบันได้เป็นอันมาก เช่น

- ด.ช. กิมอี้ชุน ชาวเกาหลี อายุ ๖ ขวบ พูดได้ ๖ ภาษา อายุ ๖ เดือน ฟันเต็มปาก

- ด.ญ. สกุลตลาเทวี ชาวอินเดีย ด.ช.เงา ชาวเกาะสมุย สามารถบวกเลขได้เร็วกว่าเครื่องคิดเลข เมื่ออายุได้เพียง ๖ ขวบ

- คุณสมเถา สุจริตกุล อ่านเอนไซโครปีเดียบริตานิกาจบ เมื่ออายุ ๕ ขวบ

- คุณทิพย์สุดา สุนทรเวช อ่านภาษาไทย อังกฤษ ได้คล่องเมื่ออายุ ๑๗ เดือน เรียน ป.๓ ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เมื่ออายุ ๒ ขวบ

- และเด็กแขกอีกคนหนึ่ง ที่สามารถอธิบายไตรเพทได้เมื่ออายุเพียง ๒ ขวบกว่า ๆเป็นต้น

            คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ ยังแสดงความเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ  ออกมาได้ แล้วทำไมเล่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นอัจฉริยะบุคคลที่ไม่มีใครเหมือนจะไม่เหมือนใครในบางเรื่องไม่ได้เชียวหรือ?

            ๓.เป็นพุทธวิสัยคือวิสัยของคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าและองค์พระพุทธเจ้า เรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์หลายเรื่อง ที่เราไม่อาจหยั่งรู้ได้ด้วยความคิด พิจารณา ใครขืนจะรู้เรื่องนี้ให้ได้ด้วยการคิดเอาเอง ทั้งๆ  ที่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้ว อาจกลายเป็นคนบ้าไปได้ง่ายๆ  เพราะเป็นอจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรคิด ซึ่งท่านแสดงไว้ ๔ ประการ คือ

-พุทธวิสัย     เรื่องอันเป็นวิสับของพระพุทธเจ้า

-อิทธิวิสัย     วิสัยแห่งท่านที่บรรลุฤทธิ์ ในชั้นต่างๆ

-กัมมวิปากวิสัย    วิสัยแห่งวิบากกรรม

-โลกจินตา    ความคิดเรื่องกำเนิด ความเป็นมาของโลก

แต่ข้อที่ไม่ควรลืม  คือ บัณฑิตในพระพุทธศาสนาไม่ได้ติดใจในเรื่องเหล่านี้ว่าจะเป็นจริงๆ  หรือไม่ เพราะบัณฑิตย่อมนับถือพระพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงประกอบด้วยพระคุณดังกล่าว และ  พระพุทธคุณที่สำคัญคือการที่พระองค์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา สั่งสอนธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้แก่ชาวโลก และพระธรรมนั้นสามารถรักษาคุ้มครองผู้ปฏิบัติตามได้จริง ชาติกำเนิน   พระรูปกาย  ตลอดถึงจะดำเนินได้ด้วยพระบาท ๗ ก้าวเมื่อประสูติหรือไม่ ไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญ แต่นั้นเป็นข้อเท็จจริงในทางประวัติศาสตร์  ที่ท่านผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็นและบอกกล่าวสืบต่อกันมา ผู้ฉลาดจึงไม่บังอาจปฏิเสธในเรื่องที่ตนเกิดไม่ทัน  และเป็นพุทธวิสัย เพราะไม่เห็นว่าจะได้อะไรขึ้นมา นอกจากจะเป็นการเพิ่มมลทินใจ คือความสงสัยขึ้นภายในจิตใจให้มากขึ้น และเป็นการเสียเวลาในการพัฒนาจิตของตนไปโดยเปล่าปราศจากประโยชน์.

             ในพระไตรปิฎกยังแสดงไว้ชัดเจนถึงคำตรัสของพระพุทธองค์ คือพระองค์ทรงเล่าความเป็นมาของพระองค์เองนับตั้งแต่ครั้งที่เสวยชาติอยู่ในสวรรค์ชั้น ดุสิต จนถึงวันพระประสูติว่า "

              ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำมาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม บังเกิดขึ้นในหมู่ เทพชั้นดุสิต ดำรงอยู่ในหมู่เทพชั้นดุสิต จนกระทั่งตลอดกาลแห่งอายุ" ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ! ข้อที่พระโพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม บังเกิดขึ้นในหมู่เทพชั้นดุสิต นี้ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี เกี่ยวกับพระผู้มีพระภาค.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำมาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ดูก่อนอานนท์! โพธิสัตว์มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม จุติจากหมู่เทพชั้นดุสิต ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดา  ในขณะนั้น แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพของเทวดาทั้งหลายจะบันดาลได้, ได้ปรากฏขึ้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาแลมนุษย์ ถึงแม้ในโลกันตริกนรก อันโล่งโถงไม่มีอะไรปิดกั้น แต่มืดมน หาการเกิดแห่งจักขุวิญญาณมิได้ อันแสงสว่างแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิอานุภาพอย่างนี้ ส่องไปไม่ถึงนั้น แม้ในที่นั้น แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพของเทวดาทั้งหลายจะบันดาลได้ ก็ได้ปรากฏขึ้นเหมือนกันสัตว์ที่เกิดอยู่ ณ ที่นั้น รู้จักกันได้ด้วยแสงสว่างนั้น พากันร้องว่า ! ท่านผู้เจริญทั้งหลายเอ๋ย ผู้อื่นอันเกิดอยู่ในที่นี้ นอกจากเรา ก็มีอยู่เหมือนกัน' ดังนี้ และหมื่นโลกธาตุนี้ ก็หวั่นไหว สั่นสะเทือนสะท้าน. แสงสว่างอันโอฬารจนหาประมาณมิได้ ได้ปรากฏขึ้นในโลก เกินกว่าอานุภาพของเทวดาทั้งหลายจะบันดาลได้ เมื่อใดโพธิสัตว์ จุติจากหมู่เทพชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดาเมื่อนั้น แผ่นดินย่อมหวั่นไหว ย่อมสั่นสะเทือน ย่อมสั่นสะท้าน. อานนท์ ! นี้เป็นเหตุปัจจัยคำรบสามแห่งการปรากฏการไหวของแผ่นดินอันใหญ่หลวง.

 ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีเกี่ยวกับพระผู้มีพระภาค.

                        คัดจาก พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ (พุทธทาส)

        จะสังเกตได้ว่าพระองค์ทรงเน้นย้ำถึงความมีสติอันสมบูรณ์ของพระโพธิสัตว์ ว่ารู้ตัวทั่วพร้อมมิใช่คนหลงสติหลงตายมาเกิดดังเช่นสัตว์ทั้งหลายทั่วไป

๓.พระพุทธเจ้าเมื่อประสูติใหม่ ๆ พราหมณ์ทำนายว่ามีคติเป็นสอง คือถ้าอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช   หากออกผนวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก   ทำไมพระองค์จึงเสด็จออกผนวชเสียเล่า ?

                   

         -   ไม่ให้พระองค์เสด็จออกผนวชแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ   หรือว่าต้องการให้พระองค์เป็นพระเจ้$
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: