คุณอโนทัย เจียรสถาวงศ์ หนังสืออาทิตย์อัสดง
เริ่มต้นศึกษาจากพระไตรปิฎก แล้วถอดความจากพระไตรปิฎกอย่างไรคะ ครั้ง แรกที่เข้าปฏิบัติธรรมใหม่ๆ มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านมาจากเมืองนอก แต่เป็นพระไทย ท่านเรียนจบอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แล้วท่านให้ธรรมะง่ายมากด้วยการเล่าเรื่อง ตอนนั้นเรื่องที่ท่านเล่า ฟังแล้วเราน้ำตาไหลเลย เห็นธรรมแล้วรู้สึกโศกสลด เกิดความประทับใจว่า วันหนึ่งถ้าเราจะเป็นผู้เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะใช้วิธีนี้ด้วย จึงเริ่มอ่านพระไตรปิฎก
ปรากฏ ว่า ภาษาที่อยู่ในพระไตรปิฎกเอย ภาษาที่อยู่ในธรรมบทเอย อ่านแล้วงงมาก เพราะเขาถอดความจากภาษาบาลี เขาต้องการรักษาความเดิมของภาษาไว้ อ่านยากมาก ก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี เลยปฏิบัติธรรมมากขึ้นๆ แล้วจะมีความเข้าใจไปเอง
พอ ตอนหลังมาอ่าน เวลาพูดถึงสาวัตถี เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราเดินอยู่ที่นั่นเลย ได้กลิ่นอายของอากาศ ก็เลยคิดว่าต้องไปอินเดียซักทีดีกว่า ก็เลยไปอินเดียกับเพื่อน ตอนนั้นสตางค์ก็ไม่มี คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่เขียนหนังสือ 'เข็มทิศชีวิต' สนิทกัน เขามาเคี่ยวเข็นว่าจะขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอันนี้ทั้งหมด ขอให้เราไปอินเดีย เพราะจะเกิดประโยชน์ที่เราจะเอามาใช้
พอ ไปถึงอินเดีย ที่สาวัตถี หรือที่อื่นๆ ในอินเดียรู้สึกคุ้นมากๆ พอมาอ่านงานเหล่านี้อีกทีแล้ว แล้วเขียนถ่ายทอดออกมาก็รู้สึกว่าได้อรรถรส จากนั้นก็เริ่มเล่าให้เด็กฟังก่อน เวลาสอนธรรมะเด็ก จำคำที่ท่านพุทธทาสพูด ท่านกล่าวว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ผู้ใหญ่เรียนรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอริยสัจสี่ ไตรลักษณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เด็กเรียนรู้ได้หมด ต่างกันที่เทคนิคการสอน
อ้าว ทีนี้เป็นหน้าที่สิ ตัวเราเองจะสอนออกไปทื่อๆ ก็ไม่ได้ ก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กรู้จักอริยสัจสี่ เข้าใจกฎไตรลักษณ์ และเข้าใจรูปนาม คือความเป็นกาย ใจของมนุษย์แล้วให้เด็กนำไปใช้ในการเจริญสติได้จริง ก็เป็นที่มาของกลุ่มที่ตั้งกันขึ้นมา โดยมีคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เป็นหัวขบวน แล้วก็ได้ผลมาก เวลาให้เด็กรู้ไตรลักษณ์ รู้ผัสสะ เราให้เด็กสัมผัสได้จริงๆ เลย คือเอาภาพมาให้เขาเห็น พอตาเห็น ใจเขารู้สึกคิดอย่างไร เป็นธรรมดาของมนุษย์ การรับผัสสะมี 6 ประตู คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกประตูลงที่ใจหมด แล้วใจเป็นมโนกรรมผลักดันให้คนทำอะไรต่างๆ นานา เพราะใจที่คิดนั้น อย่าคิดว่า คิดแล้วลอยหายไปในอากาศ แต่มันจะลงเข้ามาในจิตไร้สำนึก แล้วตัวจิตไร้สำนึกที่จะผลักดันให้คนทำสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ถ้า หากเรามีสติครองใจตลอด สิ่งที่ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมจะเป็นปัญญา แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีสติ มีแต่ความเผลอ มีแต่การไหลไปในกระแส สิ่งที่ผลักดันให้เรากระทำคือกิเลส พอเราจับตัวนี้ได้ปั๊บ เรารู้เลยว่า จะต้องสอนเด็กให้เท่าทันกระบวนการของใจที่คิด แล้วทำอย่างไรให้เป็นธรรมชาติ ให้มันซึมซาบเข้าไปอยู่ในเลือดเนื้อ เอาไปใช้ได้จริง ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้จริงๆ เราทุกคนก็รู้ว่า สิ่งที่เราเผชิญมาตอนเด็ก มันฝังใจเราลึกมาก
ขอบอก เลยว่า ถ้าผู้ใหญ่ในคณะรัฐบาลเห็นจริงๆ เลยนะว่า ปัญหาที่เกิดอยู่ในสังคมตอนนี้ เขาสามารถเหลียวกลับไปดูเลยว่า รากเหง้า ถ้าเขาปลูกฝังแล้วหย่อนเมล็ดพันธุ์ที่ดีไว้ แทนที่จะมานั่งพูดกันแต่เรื่องวัตถุ เศรษฐกิจ มีแต่เรื่องให้คนไปเป็นหนี้ คุณทำอย่างไรจะนำสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสอนเรื่องความพอเพียง ก็คือแก่นของพระพุทธศาสนา ถ้ารู้จักที่จะปลูกฝังอย่างจริงๆ ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์นะ รัฐบาลจะต้องไม่เอาศาสนาเป็นแค่สิ่งประชาสัมพันธ์ ต้องทำมันจริงๆ เลย
คำ ว่าจริงๆ คือตัวของรัฐมนตรี ตัวของนายกรัฐมนตรีเองต้องปฏิบัติธรรมจนซึ้งอยู่แก่ใจ เสร็จแล้วค่อยใส่หลักสูตรให้กับเด็ก บอกได้เลย ถ้าทำอย่างนี้อีก 10 ปี 20 ปี บ้านเมืองเราจะสงบกว่านี้อีกเยอะ เพราะเด็กฉลาด ผู้ใหญ่นั่นแหละโง่ ต้องบอกอย่างนี้เลย
เรา ดูสิ่งที่รัฐบาลผลักดันกันอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องของเงินทั้งสิ้น แล้วก็ดันให้คนมุ่งไปสู่การเสพซึ่งฟุ่มเฟือยและเป็นหนี้ ไม่ได้กลับมาหาจุดที่เป็นรากหญ้าจริงๆ รัฐบาลทำอะไร เรารู้สึกว่า ทำเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นเอง
สอนธรรมะเด็กๆ ที่ไหนคะ ที่ยุวพุทธฯ ค่ะ เด็กๆ มากันทุกที่เลย ครั้งละประมาณ 200 กว่าคน สอนตอนปิดเทอม ปีละ 2 ครั้ง มาปี 2548 นี้ที่หยุดไปก่อน เพราะคุณฐิตินาถ ปฏิบัติธรรมยาว เราก็เลยบรรยายอย่างเดียว กลุ่มเพื่อนๆ เป็นผู้บริหารกันหมด เขาจะเก็บวันหยุดเอาไว้มาสอนเด็ก บางคนไม่สามารถบรรยายได้ ก็มาเป็นพี่เลี้ยง ระดับเอ็มดี ก็มาคอยเช็ดฉี่เช็ดอึเด็กๆ แต่ละคนก็มีความสุขที่มาช่วยกันสร้างกุศล
ทุกวันนี้ได้ทำงานมีรายได้ ไปพร้อมๆ กับการปฏิบัติธรรมและการพักผ่อนแล้วหรือยังคะ ค่ะ เพราะไม่ได้ทำงานประจำ ทุกๆ วันตื่นขึ้นมาก็นั่งสมาธิซักหน่อย อ่านหนังสือธรรมะ อ่านพระไตรปิฎก แล้วกรอง เกิดความรู้สึกอะไรก็เขียน ตั้งใจว่างานเขียนที่ทำ ต้องยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่เพื่อนมนุษย์ในสังคมด้วย เวลาปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่บนหิ้ง คือธรรมะไม่ได้สูงส่งจนหยิบจับไม่ได้ หรือตัวเราวิเศษวิโสกว่าคนอื่น แต่ธรรมะอยู่ในทุกอย่าง เราจะเดินไปล้างจานก็รู้ เราคิดเผลอไป เราก็รู้ เราเห็นอะไรเราก็รู้
ตอนนี้ไม่ได้ทำธุรกิจอื่นใดแล้ว? ตอน ที่ปิดบริษัทมาปฏิบัติธรรม เคยมีคนมายื่นข้อเสนอให้เป็นหุ้นส่วนตัวแทนจำหน่ายสุรายี่ห้อหนึ่ง เขาก็แย่งกันจะเป็นจะตายเพื่อจะได้เป็นตัวแทนใหญ่อันนี้ รับประกันรายได้ 50,000 บาทต่อวัน ตอนนั้นจนมาก แต่ไม่ทำ เพราะผิดศีลข้อ 5 แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเราไม่ผิดศีลข้อ 5 แต่เรายังไปยัดเยียดเหล้าเข้าปากมนุษย์ เราก็ผิดเหมือนกัน เพราะเมื่อไหร่ที่มนุษย์ผิดศีลข้อ 5 ศีลข้ออื่น ผิดได้ทันที ก็ไม่ทำ เพราะไม่ใช่สัมมาอาชีวะ
ครอบครัวปฏิบัติธรรมกันหมดเลยหรือเปล่าคะ เพราะสามีเขาเป็นวิศวกร ก็มีรายได้ประจำ เขาเอื้อให้เราปฏิบัติธรรม ลูกสองคนปฏิบัติธรรมทั้งคู่ ตั้งแต่ตอน 9 ขวบ ลูกชายบวชแทบจะทุกปิดเทอม แล้วปฏิบัติธรรมเต็มๆ เป็นเดือน ลูกสาวก็เข้าปฏิบัติธรรม หลาน 3 คนก็ปฏิบัติธรรมหมด
ทำอย่างไรให้ลูกๆ มาปฏิบัติธรรมกับคุณแม่? วิธี การดึงเด็กๆ ออกจากคอมพิวเตอร์ มาสนใจปฏิบัติธรรม เราต้องมีกุศโลบายง่ายๆ อย่างเช่น แมวที่พเนจรมา เรายิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว คือดึงเด็กๆ ให้มาดูแมวพเนจร สอนให้เขาหัดให้อาหารมัน พอเด็กมองสัตว์แล้วเด็กจะมีความเมตตา ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นมด แมลง เราจะไม่ให้เด็กทำร้ายตั้งแต่เล็กแล้ว ยุงก็ไม่มีการตบ แมลงสาบที่มีการรังเกียจกันที่บ้านไม่มีการฆ่า แต่มีวิธีการจับแล้วเอาไปปล่อย
ที่ ต้นไม้จะมีกระรอกมาอาศัยอยู่ เราก็ให้เด็กหาอาหารไปให้ สัตว์เขาก็รับรู้ถึงความเมตตา เขาก็มาใกล้ๆ เราก็สอนเด็กๆ ให้ลึกลงไปอีกว่า อย่าไปแกล้งเขา สัตว์เขาก็รู้จักเจ็บเหมือนเรา เวลาไปทำเขา เขาเจ็บอย่างไร เราก็เจ็บอย่างนั้น เขามีแม่ มีลูกที่เขาห่วงใยก็เหมือนที่ลูกรู้สึกกับแม่ และเหมือนกับแม่รู้สึกกับลูกอย่างเดียวกัน ถ้าเราไปทำร้ายเขา เขามีแม่รออยู่ที่บ้าน ถ้าลูกไม่กลับ แม่จะทำอย่างไร หรือลูกเขากลับไปบาดเจ็บ ก็ไม่ดีนะ.
ที่มา :
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2123*****
คุณอโนทัย เจียรสถาวงศ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2503 นับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่เกิด อย่างเคร่งครัด
อดีต
- เคยเปิดร้านขายดอกไม้สด
- ทำจิวเวลรี่
- เปิดบริษัทขายหินอ่อน
- ร้องเพลง
- ทำเหมือง
จนกระทั่งเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 - 2541 จึงเข้าปฏิบัติธรรมตั้งแต่นั้น
เมื่อประสบทุกข์อย่างสาหัสในชีวิต ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย พระครูปลัดประจาก สิริวัณโณ และพระสว่าง ติกขวีระ
ต่อ มาได้ศึกษาธรรมปฏิบัติเพิ่มเติมกับหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี และหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช กระทั่งเกิดความเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอน
ปัจจุบันเธอเป็นวิทยากรสอนและบรรยายธรรม โดยเฉพาะกับเด็กๆ และผันตัวเองจากนักธุรกิจมาเป็นนักเขียนอิสระอย่างเต็มตัว
ปัจจุบัน เป็นนักเขียนหนังสือหลายเรื่อง อาทิเช่น ก่อนอาทิตย์อัสดง, ข้าวคลุกปลาทู ฯลฯ
ที่มา :
http://www.prajan.com/webboard/view.php?id=7941&PHPSESSID=55e49413ff9882f236b96ca3b80c