KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
หน้า: 1 2 [3] 4 5
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน  (อ่าน 140678 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #30 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2013, 09:27:36 AM »

"ดูหัวใจเจ้าของนั่นซิ อย่าไปดูหัวใจคนอื่น ไปตำหนิคนนั้น ไปเกลียดคนนี้
ไปชังคนนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่เข้าเนื้อเจ้าของทั้งนั้น
ดูเจ้าของมันบกพร่องตรงไหนดูเจ้าของ ซ่อมเจ้าของลงไปให้เต็มที่แล้วพอแล้วเท่านั้นพอ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #31 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2013, 08:29:54 PM »

"..วันหนึ่งคืนหนึ่งให้ไหว้พระสวดมนต์
การไหว้พระสวดมนต์นี้ เป็นจิตเป็นใจเป็นสารคุณมหาคุณต่อจิตใจของเราจริงๆ
การระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันเลิศเมื่อน้อมเข้าสู่จิต จิตจะกลายเป็นจิตที่เลิศเลอไปตามกัน

การสวดมนต์ให้อยู่กับบทสวดมนต์ด้วยสติ ให้สติกับคำสวดมนต์ติดแนบกันไป
นั้นแล คือการบำเพ็ญธรรมอยู่ในนั้น และขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมนี้
 เป็นที่ระลึกไหว้พระสวดมนต์จากนั้นให้พากันทำความสงบใจ บำเพ็ญภาวนาจึงสมชื่อว่าเป็นชาวพุทธ.."

โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #32 เมื่อ: กันยายน 04, 2013, 06:38:27 PM »



หลวงตาพระมหาบัว เล่าถึง

วินาทีมรณภาพของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



ท่านพระอาจารย์มั่น ในเวลาต่อมาตอนท่านเริ่มป่วย จำได้แต่เพียงว่าเดือน ๔ ขึ้น ๑๔ ค่ำ พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นวันท่านเริ่มป่วย ท่านเล่าให้ฟังตอนไปเที่ยวกลับมา กราบนมัสการท่าน ท่านเริ่มป่วยคราวนี้ไม่เหมือนกับคราวใดๆ ซึ่งแต่ก่อนเวลาท่านป่วย ถ้ามีผู้นำยาไปถวายท่าน ท่านก็ฉันให้บ้าง มาคราวนี้ท่านห้ามการฉันยาโดยประการทั้งปวงแต่ขั้นเริ่มแรกป่วย โดยให้เหตุผลว่า “การป่วยคราวนี้ไม่มีหวังได้รับประโยชน์อะไรจากยา เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ตายยืนต้นอยู่เท่านั้น ใครจะมารดน้ำพรวนดินทะนุบำรุงเต็มสติกำลังความสามารถ ต้นไม้นั้นจะไม่มีวันกลับมาผลิดอกออกผลใบและแสดงผลต่อไปอีกได้เลย เพียงสักว่ายังยืนต้นอยู่เท่านั้น ไม่แน่ใจว่าจะล้มลงจมดินวันใด ธาตุขันธ์ที่แก่ชราภาพขนาดนี้แล้ว ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นหยูกยาจึงไม่เป็นผลอะไรกับโรคประเภทนี้ ที่เขาเรียกว่า โรคคนแก่”

ท่านว่า แม้ท่านจะห้ามยามิให้นำมาเกี่ยวข้องกับท่าน แต่ก็ทนต่อคนหมู่มากไม่ไหว คนนั้นก็จะให้ท่านฉันยานั้น คนนี้ก็จะให้ท่านฉันยานี้ คนนั้นจะฉีด คนนั้นจะให้ฉัน หนักเข้าท่านก็จำต้องปล่อยตามเรื่อง มีคนมากราบเรียนถามเรื่องยาถูกกับโรคของท่านหรือไม่ ท่านก็นิ่งไม่ตอบโดยประการทั้งปวง

เมื่ออาการของท่านหนักจวนตัวเข้าจริงๆ ท่านก็บอกกับคณะลูกศิษย์ทั้งพระและญาติโยมว่า

“จะให้ผมตายในวัดป่าหนองผือนี้ไม่ได้ เพราะผมน่ะตายเพียงคนเดียว แต่ว่าสัตว์ที่ตายตามเพราะผมเป็นเหตุจะมีจำนวนมากมาย เพราะฉะนั้นขอให้นำผมออกจากที่นี้ไปจังหวัดสกลนคร เพื่อให้อภัยแก่สัตว์ซึ่งมีจำนวนมาก อย่าให้เขาพลอยทุกข์และตายไปด้วยเลย ที่โน้นเขามีตลาดซึ่งมีการซื้อขายกันอยู่แล้ว ไม่มีทางเสียหายเนื่องจากการตายของผม”

พอท่านพูดและให้เหตุผลอย่างนั้น ทุกคนต้องยอมทำตามความเห็นของท่าน จึงเตรียมแคร่ที่นอนมาถวายและอาราธนานิมนต์ท่านขึ้นนอนบนแคร่ แล้วพร้อมกันหามท่านออกไปในวันรุ่งขึ้น พอมาถึงวัดป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร แล้วก็พาท่านพักแรมคืนอยู่ที่นั้นหลายคืน ท่านก็คอยเตือนเสมอว่า

“ทำไมพาผมมาพักค้างที่นี่ล่ะ ผมเคยบอกแล้วว่าจะไปจังหวัดสกลนคร ก็ที่นี่ไม่ใช่สกลนคร” ท่านว่า

เมื่อจวนตัวเข้าจริงๆ ในสามคืนสุดท้าย ท่านไม่ค่อยจะพักนอน แต่คอยเตือนให้รีบพาท่านไปสกลนครเสมอ เฉพาะคืนสุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่หลับนอนเท่านั้น ยังต้องบังคับว่า

“ให้รีบพาผมไปสกลนครในคืนวันนี้จงได้ อย่าขืนเอาผมไว้ที่นี่เป็นอันขาด” ท่านพูดย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่ทำนองนั้น

แม้ที่สุดท่านจะนั่งภาวนา ท่านก็สั่งว่า “ให้หันหน้าผมไปทางจังหวัดสกลนคร”

ที่ท่านสั่งเช่นนั้น เข้าใจว่าเพื่อให้เป็นปัญหาอันสำคัญแก่คณะลูกศิษย์ จะได้ขบคิดถึงคำพูดและอาการที่ท่านทำอย่างนั้นว่า มีความหมายแค่ไหนและอย่างไรบ้าง พอตื่นเช้าจะเป็นเพราะเหตุไรก็สันนิษฐานยาก เผอิญชาวจังหวัดสกลนครซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน พร้อมกันเอารถยนต์มารับท่าน ๓ คัน แล้วอาราธนานิมนต์ให้ท่านไปจังหวัดสกลนคร ท่านก็เมตตารับทันที เพราะท่านเตรียมจะไปอยู่แล้ว

ก่อนจะขึ้นรถยนต์ หมอได้ไปฉีดยานอนหลับให้ท่าน จากนั้นท่านก็นอนหลับไปตลอดทางจนถึงวัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร เวลา ๐๑.๐๐ นาฬิกา ท่านก็เริ่มตื่น พอตื่นจากหลับแล้ว จากนั้นท่านก็เริ่มทำหน้าที่เตรียมลา “ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ห้าเป็นภาระหนัก” จะมรณภาพ

จนถึง ๐๒.๒๓ นาฬิกา ก็เป็นวาระสุดท้าย ก่อนหน้านี้ประมาณสองชั่วโมงเศษ ท่านนอนท่าตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านจะเหนื่อยมาก เพราะนอนท่านี้มานาน จึงพากันเอาหมอนที่หนุนอยู่หลังท่านถอยออก เลยกลายเป็นท่านนอนหงายไป พอท่านทราบก็พยายามขยับตัวหมุน กลับจะนอนท่าตะแคงข้างขวาตามเดิม พระเถระผู้ใหญ่ซึ่ง เป็นศิษย์ของท่าน ก็พยายามเอาหมอนหนุนหลังท่านเข้าไปอีก ท่านเองก็พยายามขยับๆ เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นอาการของท่านอ่อนเพลียมากและหมดเรี่ยวแรง ก็เลยหยุดไว้แค่นั้น ดังนั้น การนอนของท่านจะว่านอนหงายก็ไม่ใช่ จะว่านอนตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นอาการเพียงเอียงๆ อยู่เท่านั้น ทั้งเวลาของท่านก็จวนเข้ามาทุกที บรรดาศิษย์ ก็ไม่กล้าแตะต้องกายท่านอีก จึงปล่อยท่านไว้ตามสภาพ คือท่านนอนท่าเอียงๆ จนถึงเวลา ซึ่งเป็นความสงบอยู่ตลอดเวลา

ในวาระสุดท้ายนี้ ต่างก็นั่งสังเกตลมหายใจของท่านแบบตาไม่กระพริบไปตามๆ กัน การนั่งของพระที่มีจำนวนมากในเวลานั้น ต้องนั่งเป็นสองชั้น คือ ชั้นใกล้ชิดกับท่านและชั้นถัดกันออกมา ชั้นในก็มีพระผู้ใหญ่ มี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นต้น ชั้นนอกก็เป็นพระที่มีพรรษาน้อย แล้วถัดกันออกไปก็เป็นพระนวกะและสามเณร บรรดาพระทั้งพระเถระและรองลำดับกันลงมาจนถึงสามเณร ในขณะนั้นรู้สึกจะแสดงความหมดหวัง และหมดกำลังใจไปตามๆ กัน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากออกมา นอกจากมีแต่อาการที่เต็มไปด้วยความหมดหวังและความเศร้าสลดเท่านั้น เพราะร่มโพธิ์ใหญ่มีใบหนา ซึ่งเคยเป็นที่อาศัยและร่มเย็นอย่างยิ่งมาเป็นเวลานาน กำลังถูกพายุจากมรณภัยคุกคาม จะหักโค่นพินาศใหญ่ขณะนั้นอยู่แล้ว การทำหน้าที่ของท่านก็กำลังเป็นไปแบบมองดูแล้วหลับตาไม่ลงทั้งท่านผู้อื่นและเรา

ขณะที่ท่านจะสิ้นลมจริงๆ รู้สึกว่าอาการทุกส่วนของท่านอยู่ในความสงบและละเอียดมาก จนไม่มีใครจะสามารถทราบได้ว่า ท่านสิ้นลมไปในขณะใด นาทีใด เนื่องจากลมหายใจของท่านละเอียดเข้าเป็นลำดับ จนไม่ปรากฏว่าท่านสิ้นไปเมื่อไร เพราะไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแสดงอาการในวาระสุดท้าย พอให้ทราบได้ว่าท่านสิ้นไปในวินาทีนั้น

แม้จะพากันนั่งสังเกตอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีใครรู้ขณะสุดท้ายของท่าน ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นประธานอยู่ในที่นั้น เห็นท่าไม่ได้การ จึงพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ ?” จากนั้นท่านก็ดูนาฬิกาเป็นเวลา ๐๒.๒๓ นาฬิกา จึงได้ยึดเอาเวลานั้นเป็นเวลามรณภาพของท่าน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #33 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2013, 10:59:32 PM »



ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช กับเราสนิทสนมกันมาก เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว สนิทกัน เราไปพักวัดบวรฯ แรก ๆ ก็ไปพักกุฏิท่าน ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่านให้อยู่ชั้นบนเลย ท่านนิมนต์เราขึ้นชั้นบนเราไม่ขึ้น จากนั้นมาแล้วเราจะพักคณะไหน ๆ วัดบวรฯ เราก็พัก พอท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วเราก็ไม่ได้ไปกราบเยี่ยมท่านเลย ถ้าหากว่าพูดตามทางโลกแล้วเรียกว่าเรานี้ถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง แต่ภายในใจของเราแล้วไม่มี เราเคารพท่านตลอดมา

ที่ไม่ไปก็เพราะว่า ปรกติท่านมีพระภาระมากมายอยู่แล้ว แม้เราเพียงตัวเท่าหนูงานของเราก็ไม่เคยว่าง ไหนอาจารย์มหาบัวจะมาเยี่ยมแล้วจะยุ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ เพราะไปหาท่าน ไม่ไปกราบเรียนท่าน ปุบปับเข้าไปเลยก็ไม่เหมาะ ก็เสียอีกทางหนึ่ง ถ้าจะกราบเรียนท่านแล้วค่อยเข้าไปก็เสียอีกทางหนึ่ง สุดท้ายเลยไม่ไป ไม่ไปเลยนะตั้งแต่ท่านเป็นสังฆราชแล้วไม่ไป ท่านมาที่นี่นะ ท่านมางานกุมภวาปี ออกจากนั้นท่านเสด็จบึ่งมาเลยบอกว่าจะมาวัดป่าบ้านตาด ออกจากนี้ดูว่าขึ้นเครื่องบินกลับเลย ท่านยังอุตส่าห์มาท่านเป็นสมเด็จสังฆราชแล้วนะ เราเป็นฝ่ายถือตัว เลยไม่ได้ไปหาท่านเลยจนกระทั่งป่านนี้ ท่านเคยมาภาวนาที่นี่แต่ก่อนที่ท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จสังฆราช สมัยนั้นสมเด็จพระสังฆราชท่านยังทรงพระชนม์อยู่ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์น่ะ ท่านก็มีโอกาสมาล่ะซิ มาพักอยู่กับเราทีละไม่น้อยกว่าสิบแหละท่านมาแต่ละครั้ง ๆ

นั่นละคำว่าสนิทกัน สนิทมากมานาน ก่อนนี้อีกด้วยนะ ท่านเป็นพระที่สุขุมมาก เราอยากจะพูดว่าท่านดุใครไม่เป็น ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลยนะ เรานี้ไปที่ไหนมันต้องได้สะพายยาทันใจติดย่ามไปด้วยแก้ปวดหัว วันไหนไม่มีอะไรดุแล้ววันนั้นปวดหัว ต้องงัดยาทันใจออกมาฉันเพื่อระงับปวดหัว มันไม่ได้ดุ วันนี้ปวดหัวมากเข้าใจไหม ต้องมียาทันใจติดย่ามไปด้วย ไปทั้งมองโน้นมองนี้ไม่เห็นอะไรก็คว้าเอายาทันใจออกมาฉันแล้วก็เดินไป พอไปเจออะไรเข้าไปนี้เวิกวากแล้วยาทันใจก็สบาย นอนหลับ มันคนละแบบเราน่ะ ท่านแบบหนึ่ง ถ้าท่านดุแล้วท่านก็คงจะปวดหัว เราไม่ได้ดุเราปวดหัว นี่มันต่างกันนะนิสัยคนเรา มันต่างกัน มันหากเป็นตามนิสัยนะ ไม่ต้องมีท่ามีทางตั้งโปรกงโปรแกรมอะไรไว้เรื่องดุไม่ดุ ท่านไม่เคยดุท่านก็เป็นของท่านอย่างนั้น ไอ้เราเคยดุเราก็เป็นของเราอย่างนี้ แม้ที่สุดนอนก็ต้องเอาย่ามมัดติดคอไว้ บางทีหนูมาครอกแครกนี้ดุหนูล่ะซี ถ้าไม่ได้ดุหนูมันก็ปวดหัว อย่างนั้นละเรา มันเป็นนิสัยคนละอย่าง ๆ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
"นิสัย"
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #34 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2013, 11:26:12 AM »



ผู้สำเร็จชั้น "พระโสดา" ท่านกล่าวไว้ว่า
ละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ ๑
วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑

แต่ ทางด้านปฏิบัติของธรรมะป่า
รู้สึกจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เฉพาะสักกายทิฏฐิ ๒๐
นอกนั้น ไม่มีข้อข้องใจในด้านปฏิบัติ
จึงเรียนตามความเห็น ของธรรมะป่าแทรกไว้บ้าง

ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้เด็ดขาดนั้น
เมื่อสรุปแล้ว ก็พอได้ความว่า ผู้มิใช่ผู้เห็นขันธ์ ๕ เป็นเรา
เห็นเราเป็นขันธ์ ๕, เห็นขันธ์ ๕ มีในเรา เห็นเรามีในขันธ์ ๕
คิดว่า คงเป็นบุคคลประเภท ไม่ควรแสวงหา
ครอบครัว ผัว-เมีย เพราะครอบครัว (ผัว-เมีย)
เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นรวงรัง ของสักกายทิฏฐิ
ที่ยังละไม่ขาดอยู่โดยดี

ส่วนผู้ละสักกายทิฏฐิ ได้โดยเด็ดขาดแล้ว
รูปกาย ก็หมดความหมาย ในทางกามารมณ์
ขันธ์ทั้ง ๕ ของผู้นั้น ไม่เป็นไปเพื่อกามารมณ์
คือ ประเพณีของโลกโดยประการทั้งปวง
ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้โดยเด็ดขาด คิดว่า
เป็นเรื่องของ "พระอนาคามีบุคคล"

โอวาทธรรมโดย
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #35 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2013, 09:57:37 PM »

"สิ่งที่เราได้ สิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นนั้น
จิตเป็นผู้สร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้น
ด้วยอำนาจของกรรมดีหรือกรรมชั่ว
บุญหรือบาป จึงมีผลเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง

จิตที่ตั้งไว้ผิด จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเรายิ่งกว่าศัตรูคู่เวร
ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากเท่ากับเราทำร้ายตนเอง
ไม่มีใครต้มตุ๋นเราเท่ากับเราต้มตุ๋นตนเอง
ไม่มีใครหลอกลวงเราเท่ากับเราหลอกลวงตนเอง
ก็คือกิเลสหลอกจิตนั่นเอง"

100 ปี ชาตกาล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #36 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2013, 09:52:36 PM »

"..เวลาประกอบ ความพากเพียรเท่านี้
ทำไมจะเห็นว่า เป็นความทุกข์ เป็นความลำบาก
เราจะหา "แดนพ้นทุกข์" ได้ที่ตรงไหน?
หนักก็เอา เบาก็สู้ เป็นก็สู้ ตายก็สู้ ไม่ถอยหลัง
ทำแบบนี้แล คือ ลูกศิษย์ตถาคต
ให้ถือกิจนี้เป็นสำคัญ
นี่แหละ แดนแห่งความพ้นทุกข์ อยู่ที่ตรงนี้.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #37 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 10:05:21 PM »

"โรคกรรมเก่า" : หลวงปู่มั่น

มาถึงตอนนี้มีเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่น่าจะมีได้ แต่ก็ได้มีแทรกขึ้นในวงกรรมฐานมาแล้วสมัย
ท่านพักอยู่ในเขาที่เชียงใหม่ จึงขออภัยเขียนไว้บ้างตามที่ได้ยินมา เพื่อเป็นข้อคิดและ
เป็นคติเตือนใจแก่ชาวเราต่างก็กำลังตกอยู่ในภาวะทำนองเดียวกัน

เรื่องนี้คิดว่า เป็นเรื่องกรรมกันโดยมาก บรรดาที่ได้ทราบกันในวงใกล้ชิดมี
ท่านพระอาจารย์มั่น เป็นต้น ผู้ให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้พอได้เป็นข้อคิดตลอดมา

พระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเคยอยู่กับท่านอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า บ่าย ๆ
วันหนึ่งท่านกับพระอีกรูปหนึ่งไปอาบน้ำที่แอ่งหิน ใกล้กับหนทางไปไร่ไปสวนของชาวบ้านแถบนั้น
แต่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก

ขณะลงอาบน้ำ เผอิญมีพวกสีกามาจากไร่ เดินผ่านมาที่ตรงนั้น ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีเลยพอพระรูปนั้นเจอเข้า
จิตก็เกิดแปรปรวนขึ้นมาทันทีทันใด โดยไม่ทันได้มีสติยับยั้งเอาเลยจึงเกิดเป็นไฟราคะตัณหาเผาลนตัวเองขึ้น
ในขณะนั้นและร้อนสุมอยู่ตลอดไป พยายามแก้ไขเท่าไรก็ไม่ตก ทั้งกลัวท่านอาจารย์จะทราบก็กลัว
ทั้งกลัวเจ้าตัวจะเสียไปเพราะเรื่องนี้ก็กลัว เลยทำให้พระรูปนั้นตั้งตัวไม่ติด

นับแต่ขณะนั้นไปถึงกลางคืน จนตลอดคืนที่พิจารณากันอยู่อย่างไม่หยุดยั้งลดละ
เพราะความไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เพิ่งมาเจอเอาขณะนั้น ท่านจึงรู้สึกเป็นทุกข์มาก
 ในคืนนั้นท่านอาจารย์ก็พิจารณาทราบเช่นกันว่า

พระรูปนี้ไปเจอเอาของดีเข้าแล้ว กำลังเกิดความกระวนกระวายด้วยความรัก
และความกลัวตลอดคืนมิได้หลับนอนด้วยความพยายามแก้ไขอย่างสุดกำลัง

ตื่นเช้าขึ้นมาท่านก็มิได้ว่าอะไร เพราะทราบว่าเจ้าตัวกำลังกลัวท่านมากแล้ว
ถ้าไปว่าเข้าเดี๋ยวเกิดเป็นอะไรไปก็ยิ่งจะแย่เข้าไปอีก ท่านแสดงอาการยิ้มต่อพระองค์นั้นขณะที่มาพบกันตอนเช้า
 ดูอาการของเธอทั้งอายทั้งกลัวท่านมากแทบตัวสั่น ท่านก็ทำอาการเป็นไม่รู้ไม่ชี้เฉย ๆ ไปเสีย

พอถึงเวลาบิณฑบาต ท่านเลยหาอุบายพูดเพื่ออะไรก็ยากจะเดาได้ถูก ว่าท่าน…..
กำลังเร่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง จะเร่งต่อไปไม่ต้องไปบิณฑบาตก็ได้
 ไปแต่พวกเราก็ยังได้พระเพียงองค์เดียวจะเลี้ยงไม่ได้อย่างไร

ท่านอยากภาวนาต่อก็ไปภาวนาเสีย ภาวนาเผื่อหมู่คณะด้วยนะ แต่ท่านมิได้มองดูพระรูปนั้นเลย
 เพราะท่านทราบดียิ่งกว่าพระรูปนั้นจะทราบเรื่องของตัวอยู่แล้ว

ว่าแล้วท่านก็นำหมู่คณะออกบิณฑบาต ส่วนพระรูปนั้นก็จำใจเข้าทางจงกรมทำความเพียร
ทั้งนี้ท่านทำเพื่ออนุเคราะห์พระที่เป็นขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่มีเจตนา แต่สุดวิสัยจะห้ามได้
ท่านก็ทราบว่าพระรูปนั้นพยายามอยู่อย่างเต็มใจที่จะแก้เรื่องของตัว
จึงต้องหาอุบายช่วยด้วยวิธีต่าง ๆ โดยมิให้กระทบกระเทือนจิตใจเธอแต่อย่างใด

เวลากลับจากบิณฑบาตมาถึงที่พักแล้ว ก็พร้อมกันจัดอาหารใส่บาตรเธอ
และสั่งให้พระไปนิมนต์เธอมาฉัน หรือจะฉัน ณ ที่อยู่ของตนก็ได้ตามแต่สะดวก
พอทราบเธอก็รีบมาฉันร่วมหมู่คณะ ขณะเธอเดินมา ท่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่มอง
แต่พูดอย่างนิ่มนวลอ่อนหวาน เพื่อประสานใจที่เป็นรอยร้าวตลอดมานั้น ไม่ปรารภเรื่องที่จะทำให้เสียใจใด ๆ เลย

แม้เธอจะมาฉันร่วมหมู่คณะ แต่ก็ฉันได้นิดเดียว พอเป็นพิธีไม่ให้เสียมรรยาทเท่านั้น
วันนั้นพระที่อยู่ด้วยกันสองรูปคือรูปที่เล่านี้ด้วย เพราะแต่ก่อนท่านยังไม่ทราบเรื่อง
พากันเกิดความสงสัยโดยคิดว่า แต่ก่อนท่านอาจารย์ไม่เคยทำอย่างนี้กับใครเลย

แต่มาคราวนี้ท่านทำไมถึงทำอย่างนี้กับท่าน……นี้ ชะรอยท่านคงภาวนาดีแน่ ๆ
ท่านถึงได้ช่วยสนับสนุน พอได้โอกาสก็แอบไปหาท่าน…..นั้น
ถามถึงการภาวนาว่าท่านอาจารย์ว่าท่านกำลังเร่งความเพียรจึงไม่ให้ไปบิณฑบาต
แต่ท่านมิได้บอกว่า ท่านภาวนาดี ที่นี่การภาวนาท่านเป็นอย่างไรบ้าง นิมนต์เล่าให้ผมฟังบ้าง

พระรูปนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ แล้วตอบว่าผมจะภาวนาดียังไง
ท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ทำท่าช่วยเสริมไปตามอุบายแห่งความฉลาดของท่านอย่างนั้นเอง
ผู้ถามเซ้าซี้ให้เล่าให้ฟังตามความจริง ต่างก็ไล่กันไปเลี่ยงกันมาอยู่พักหนึ่ง
และถามว่าที่ว่าท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ช่วยเสริมไว้นั้นจะตายอย่างไร และช่วยเสริมอย่างไร? เมื่อทนไม่ไหว

เธอก็กำชับว่า ไม่ให้เล่าถวายท่านอาจารย์ทราบ เพราะท่านทราบเรื่องของผมละเอียดแล้วยิ่งกว่าผมทราบเรื่องของตัวเป็นไหน ๆ
ฉะนั้นผมจึงกลัวและอายท่านมาก แล้วพูดต่อไปว่าวานนี้เราไปอาบน้ำด้วยกันที่แอ่งหิน
 ท่านได้เห็นอะไรบ้างขณะกำลังจะอาบน้ำ รูปที่ถามตอบว่าก็ไม่เห็นเห็นอะไร
นอกจากผู้หญิงที่พากันมาจากไร่ผ่านไปบ้านตอนพวกเรากำลังจะอาบน้ำนั้นเท่านั้น

พระที่ถูกถามตอบว่า นั่นแลท่านที่ผมจะตายอยู่ขณะนี้ จนถึงกับท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ผมไปบิณฑบาต
ท่านกลัวจะไปสลบหรือตายอยู่ในบ้านขณะที่จะไปเจอเข้าอีกอย่างไรเล่า ผมจะภาวนาดีอย่างไร
ท่านทราบหรือยังว่าคนจะตายนั้นหรือคือคนภาวนาดี องค์ที่ถามตกตะลึง โอ้โฮตายจริง ท่านไปเป็นอะไรกับเขาพวกนั้นเข้าล่ะ

รูปนั้นตอบว่า ผมจะไปเป็นอะไรกับเขา นอกจากไปขโมยรักเขาเข้าโดยไม่รู้สึกตัวจนกรรมฐานแตกกระเจิงไปหมด
ปรากฏแต่ความสวยงามกับความบ้ารักของผมเท่านั้น เหยียบย่ำทำลายหัวใจผมแทบตายทั้งคืนเมื่อคืนนี้
แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลดละเรื่องบ้านั่นเลย ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับมัน ท่านช่วยผมหน่อยได้ไหม นับว่าเมตตาเอาบุญ

องค์ถาม เวลานี้ก็ยังไม่ลดลงบ้างหรือ? เปล่า เธอตอบ ซึ่งเป็นคำที่น่าสงสารเอามากมาย องค์ถาม
ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยให้อุบายท่าน คือถ้าท่านไม่สามารรถระงับมันได้
ท่านฝืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากมันจะกำเริบขึ้นเท่านั้น ผมว่าท่านควรหลีกจากที่นี่ไปหาภาวนาเสียที่อื่นจะดีกว่า

ถ้าท่านไม่สามารถกราบเรียนท่านอาจารย์ได้ ผมจะช่วยกราบเรียนท่านให้
ว่าท่านประสงค์จะไปแสวงหาที่วิเวกใหม่ เพราะอยู่ที่นี่ไม่สบาย เข้าใจว่าท่านคงจะอนุญาตทันที
เพราะท่านก็ทราบเรื่องท่านดีอยู่แล้วโดยปริยาย เป็นแต่ท่านยังไม่พูดเท่านั้น
เกรงท่านจะอายท่าน เธอก็เห็นดีด้วยและตกลงกันในขณะนั้น

พอตกเย็นท่านที่จะช่วยอนุเคราะห์ก็เข้าไปกราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านก็อนุญาตทันที
แต่มีปัญหาเหน็บแนมมาด้วยอย่างลึกลับว่า โรคกรรมนี้มันหายยาก โรคที่มีเชื้อเดิมอยู่แล้วติดต่อลุกลามได้เร็ว
เท่านี้ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรต่อไปอีก แม้ผู้ไปกราบเรียนก็ไม่เข้าใจปัญหาท่าน

เรื่องนี้ต่างคนต่างปิดกัน คือผู้เป็นก็ปิดท่านอาจารย์ ผู้อนุเคราะห์ช่วยเหลือก็ปิดท่านอีก
แม้ท่านอาจารย์เองก็ปิด ทั้งที่ทราบอย่างเต็มใจแล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่ทราบ
ต่างคนต่างไม่ยอมบอกความจริงต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้เรื่องได้ดีด้วยกัน
วันหลังเธอก็เข้าไปกราบนมัสการลาท่าน ท่านก็อนุญาตให้ไปด้วยดี โดยมิได้พูดเรื่องเธอแต่อย่างใด

เธอไปพักอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากหมู่บ้านนั้นมาก ถ้ามิใช่กรรม


ดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ ก็คงหวังพ้นภัยได้แน่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีก

แต่ก็เจ้ากรรม อนิจจาเป็นดังท่านว่าไม่ผิดแม้กระเบียดเดียว พอเธอหายหน้าไป
 จากบ้านนั้นไม่นานนัก ลูกศรที่อยู่ทางนี้ก็คงเจ้ากรรมอย่างเดียวกันอีก อุตส่าห์ด้นดั้นเปะปะไปหาจนเจอเข้าจนได้

ซึ่งธรรมดาผู้หญิงป่าไม่เคยเป็นไปอย่างนั้น แต่ก็ได้เป็นไปแล้ว จึงเป็นเรื่องน่าคิดอย่างยิ่ง
หลังจากท่านอาจารย์และหมู่คณะจากหมู่บ้านนั้นไปไม่นานนัก

ก็ทราบว่าพระองค์นั้นสึกเพราะดมยาสลบซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนทนไม่ไหว
สุดท้ายกรรมก็พาหมุนกลับมาได้เสียเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน
กับสาวงามชาวเขาเผ่ามูเซอคนนั้น ที่บ้านนั่นเอง นับว่ากรรมเอาเสียจริง ๆ ถ้าไม่กรรมแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร

เพราะเท่าที่พระองค์นั้นเล่าให้ฟังขณะที่ใจเริ่มกำเริบทีแรก ก็เพิ่งเริ่มพบกันขณะเดียวเท่านั้น
มิได้เคยพบเห็นและพูดจาพาทีกันที่ไหนมาก่อนเลย ข้อนี้บรรดาพระที่อยู่ร่วมกันมา
ก็ยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะอยู่ด้วยกันในวัดตลอดเวลา มิได้ไปไหนมาไหนพอจะหลวมตัว
ทั้งก็อยู่กับท่านพระอาจารย์เสียเอง อันเป็นสถานที่ให้ความปลอดภัยตลอดมา
 ไม่มีข้อที่น่าสงสัย นอกจาก เจ้ากรรมหรือคู่บาปคู่บุญมาถึงเข้าเท่านั้น

เธอเล่าให้พระเคยอนุเคราะห์ฟังว่า เพียงประสาททางตากระทบกันเท่านั้น
มันเหมือนดมยาสลบเข้าไปไม่ได้สติสตังเอาเลย ปรากฏแต่ความรักความผูกพันมัดจิตใจจนแทบจะหายใจไม่ออก
 ทำให้จิตใจเซ่อซ่าไปตามอารมณ์นั้นจนตัวไม่เป็นตัวของตัว และไม่มีเวลาลดหย่อนผ่อนคลายลงบ้างเลย

เมื่อเห็นท่าไม่ได้การก็พยายามปลีกตัวหนีไป เจ้าของยาก็ตามไปเยี่ยมคนไข้อีก
เรื่องก็เสร็จกันเท่านั้นเองจะไปที่ไหนรอด ใครไม่เคยถูกก็ดูยิ้มได้ ถ้าถูกเข้าก็รู้เอง
 เพราะมิใช่พระสุนทรสมุทรพอจะเหาะออกจากทางทวารบนแห่งบ้านได้

ตามปกติพวกนี้ไม่คุ้นกับพระแต่หากกรรมพาเป็นไปเอง เรื่องกรรมนี้จึงไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใด
เพราะกรรมมีอำนาจเหนือใครในโลกที่สร้างกรรม พระอาจารย์ท่านทราบอย่างเต็มใจจึงต้องมีอุบายปฏิบัติต่อเธออย่างนั้น
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำต่อผู้ใดมาก่อนเลย

แต่ก็คงสุดวิสัย ท่านจึงมิได้แนะอุบายอะไรเพื่อเธอให้ยิ่งไปกว่าที่อนุเคราะห์มาแล้วนั้น
เรื่องก็ลงเอยกันตรงที่เมื่อไปไม่รอดก็จำต้องจอดเรือ ซึ่งเป็นคติธรรมของโลกที่อยู่ใต้อำนาจของกรรม

ดังนั้นจึงได้นำเรื่องนี้มาลงไว้เพื่อเป็นคติเตือนใจพวกเราที่อาจเป็นได้
หากเป็นการไม่สมควรประการใดก็หวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านตามเคย ...


ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยพระอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2013, 08:11:23 PM »

หลวงตาพระมหาบัว กล่าวถึง

เจ้าคุณมหาไข เปรียญ ๖ ประโยค อยู่จังหวัดหนองบัวลำภู ไม่ไปภาวนา...ผีจะฆ่าเอาให้ตาย...สมัยนั้นมีผีใหญ่ตัวหนึ่งอยู่วัดมหาชัย มันก็ไปคำคอ กำเอา จะฆ่าทิ้ง บวชมาถึง ๔๗ พรรษา ไม่ได้รับผลอะไรสักอย่างในศาสนา...ผีมันกำคอแน่นเข้าๆ จนจะตาย ถ้าไม่ไปภาวนามันจะเอาให้ตาย...ท่านจึงยอม พอเช้าจึงไปวัดถ้ำกลองเพล ก็มอบตัวให้หลวงปู่หลุย และหลวงปู่ขาว “ขอให้ท่านช่วยสอนในด้านสมถวิปัสสนา เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนาทำอย่างไร แต่คืนนี้ผมไม่เดินหรอก กลัวเสือและกลัวช้าง จะเอาแต่นั่ง” “เออดี ไม่เป็นไร เอาคืนยืนรุ่งนะ” แล้วท่านก็บอกวิธีให้ “นั่งเข้าที่เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นเฉพาะหน้า ปล่อยวางความอยากและอุปทานปล่อยวางหมดเสียสิ้น ทำใจให้เหมือนดินและน้ำ หรือผ้าเช็ดเท้า หายใจเข้า พุท ออก โธ เท่านั้น อย่าส่งจิตไปอื่น นั่งคืนยังรุ่งนั้นแหละ ถ้านอนแสดงว่าเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน มาเลี้ยงกิเลส

ท่านเจ้าคุณก็เจริญในคืนนั้น มีนกเค้าไฟมันมาร้องว่า “อ๊ด...อ๊ด...อ๊ดเถิด” แหม...ถึงใจ ธรรมะนี้มันถูกกับความอดทนเป็นตะปะ แผดเผาเสียซึ่งกิเลส จิตก็เลยรวมใหญ่ ลงถึงฐานอุปจารสมาธิ ค้นคว้าในกายนี้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงสภาพตายก็ตายพึ้บ ท่านก็เพ่งอืดพองเปื่อยเน่าขึ้น เห็นแจ้งชัด ท่านก็ใช้ปัญญาถอนสังโยชน์ ๓ ขนาดจากใจทีนี้ ความหิวโหยอยากนอนไม่มี กลัวเสือ กลัวช้าง ไม่มี จิตของท่านสว่างผ่องใส น้ำตาไหลคืนยันรุ่ง คิดว่าพึ่งได้บวชวันนี้คืนนี้ แต่ก่อนนี้บวชเป็นโมฆะ ถึงได้เปรียญ ๖ ก็เป็นโมฆะ ๔๗ พรรษก็เป็นโมฆะ... “สาธุ อะโห พุทโธ ธัมโม สังโฆ ข้าพเจ้าเป็นคนประมาท...นึกประมาทแล้วหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น หรือหลวงปู่ใดก็ดี หลายๆ องค์หลวงปู่ที่ท่านเที่ยวธุดงธ์ภาวนา ประมาทว่าไปนั่งหลับหูหลับตาอยู่ในป่าเขาลำเนาไพรนั้น หาว่าอวดดี และว่าจะได้รู้วิชาอะไร เราเรียนเราจึงได้ นั้นแหละ...ประมาทไปแล้วเพราะความไม่รู้ ขอขมาโทษอย่างให้เป็นบาปเป็นกรรม จะได้ปฏิบัติบูชาคุณท่าน ทั้งหลายตลอดชีวิตไปจนวันตาย”

ต่อมาในฤดูแล้ง ปีนั้นท่านเจ้าคุณก็ป่วยหนักเป็นโรคตับ ไต เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าไม่ไหวแล้วจะสิ้นลมโดยเร็วให้กลับบ้าน... พระหลวงปู่ขาวได้ให้โอวาทแบบแนวทางว่า “ตั้งใจดีๆ นะ อารมณ์อดีต อนาคต ปล่อยวางให้หมด เอาปัจจุบันธรรม พิจารณาทุกข์ ทุกลมหายใจเข้าออก เกิดก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ในโลกทั้ง ๓ นอกจากทุกข์ไปแล้วไม่มี นั้นแหละ มีสติ ปัญญา กำกับจิตให้ทุกข์อย่างนั้น จิตมันจะรื้อถอนเครื่องร้อยรัด อวิชชา ตัณหา สังโยชน์ ปัจจัยให้หมดเสียสิ้น ในขณะนั้นนั่นแหละ พระอริยสัจเจ้าทั้งหลายในครั้งพุทธกาลโน้น ท่านก็ได้สำเร็จอรหันต์ในขณะที่เจ็บป่วยก็มาก ได้สำเร็จอรหันต์ในระยะสิ้นลมหายใจก็นับไม่ถ้วน” แล้วท่านก็กลับวัด คืนนั้นหลวงปู่ขาวไม่นอนนะภาวนาเพ่งดู ช่วยอยู่...

ท่านเจ้าคุณก็ตั้งใจภาวนา เมื่อจะสิ้นลมในคืนนั้น ปัญญาเกิดขึ้นเห็นพร้อมว่า “เรามาอยู่กับกองทุกข์ ดับทุกข์ ไปก็ทุกข์ ไปโลกหน้าก็ทุกข์ มาแต่ก่อนก็ทุกข์” ท่านก็เลยปล่อยวางสังโยชน์ ปัจจัย ๑๐ หมดสิ้นกิเลสในระยะนั้น พอสิ้นกิเลสพึ้บก็รู้แจ้งว่าสิ้น...
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2013, 08:25:38 PM »

“...การฟังเทศน์อบรมจิตใจ ให้ตั้งไว้ที่จิตของเรานี้ เรียกว่า สติเฝ้าบ้าน จิตนั่นแหละเป็นบ้าน เวลาท่านเทศน์ไปจะเห็นผลประจักษ์ ดังท่านแสดงไว้ในธรรมว่า การฟังเทศน์มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่าง

ข้อที่ ๑. ผู้ฟังจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

ข้อที่ ๒. สิ่งใดที่เคยได้ยินได้ฟังแล้วแต่ยังไม่เข้าใจชัด จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดขึ้น

ข้อที่ ๓. จะบรรเทาความสงสัยเสียได้

ข้อที่ ๔. จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้

ข้อที่ ๕. เป็นข้อสำคัญ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่เกิดขึ้นจากขณะฟังเทศน์ จิตเมื่อไม่ส่งออกข้างนอกย่อมสงบ เมื่อสงบย่อมผ่องใส

นี่เป็นคุณสมบัติประจำผู้ที่ฟังเทศน์ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ผลจะปรากฏอย่างนั้น จิตสงบผ่องใสนี่สำคัญ ถ้าสงบแล้วก็ผ่องใส…”

พระธรรมเทศนา
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #40 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2013, 07:13:45 PM »



พระเจ้าแผ่นดินเสด็จสนทนาธรรมเป็นการส่วนพระองค์

ในตอนเช้าของวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 หลวงตามหาบัวได้สั่งกำชับพระเณรในวัดว่า
“วันนี้ จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบร้อย อย่าให้บกพร่อง”
พระทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ”

...ในบ่ายวันนั้นเอง ชาวนาคนหนึ่งเดินสะพายแห เพื่อออกไปหาปลาเป็นอาหาร
 มีรถยนต์คันงามวิ่งมาจอดเทียบแล้วเรียกถามด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า “ลุงๆ ทางที่จะไปวัดหลวงตาบัวไปทางไหน”
“ไปทางนี้...เด้อ...” เขากล่าวห้วนๆ แบบภาษาชาวบ้านพร้อมทั้งชี้มือและแหงนหน้าดูคนที่ถามไถ่
เมื่อเขามองดูใบหน้าบุคคลที่ถามทางอย่างเพ่งพินิจพิจารณา
ภาพแห่งบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าในสมองเริ่มปรากฏห้วงนึก
เข่าเริ่มอ่อนและนั่งลงกับพื้น พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า
กล่าวข้อความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้สัมผัสสมมุติเทพด้วยตาเนื้อใกล้ๆแค่เอื้อมถึง
“โอ! ในหลวง...สาธุเด้อในหลวง...สาธุ...สาธุ” เขาอุทานเสียงดัง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ

หลังจากนั้นพระองค์ท่าน จึงเสด็จไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบนมัสการองค์หลวงตามหาบัว
เมื่อถามไถ่สนทนากันจึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมากับพระบรมศานุวงศ์
จากตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ไม่ได้บอกแม้กระทั้งทหารใกล้ชิด ทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวเป้นการโกลาหลว่า
เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก ไม่รู้ว่าเสด็จไป
ณ ที่ใด ถ้าบอกข่าวการเสด็จมาล่วงหน้า กลัวเป็นการเอิกเกริกรบกวน ต้องการเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์

หลวงตามหาบัว จึงให้โอวาทว่า “มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว
เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จมาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ถ้าพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?”
“กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา” พระองค์กล่าวพร้อมพนมพระหัตถ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
“รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ”

บันทึกของหลวงตามหาบัว เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เสด็จไปกราบหลวงตามหาบัว เป็นการส่วนพระองค์พร้อมพระบรมสานุวงศ์ที่วัดป่าบ้านตาด มีใจความดังนี้

“ วันที่ 10 พ.ย. 22 เวลา 16.20 น.
พระเจ้าอยู่หัว-พระราชินี พร้อมกับเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์
เสด็จมาเยี่ยม ประทับอยู่ 2 ชม.กับ 20 นาที จึงเสด็จกลับสกลนคร
คือ เสด็จมา 16.20 น. เสด็จกลับ 19.10 น.
ทรงถวายผ้าห่มและไทยทานอื่นๆมากมาย
พร้อมกับปัจจัย 3 หมื่นบาท (ใบละ 1 ร้อยล้วนๆ 300ใบ)
เราได้ถวายธรรมะพอประมาณ เป็นธรรมะสำคัญหลายประโยค หลายข้อ”

ที่องค์พระหลวงตามหาบัวเป็นห่วงเช่นนั้น เพราะสมัยนั้นคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไป
หลังจากนั้นอีกไม่นาน เสียงรถทหารตำรวจที่สืบทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 เสด็จมาวัดป่าบ้านตาด จึงติดตามมาอารักขาเป็นทิวแถว ชาวบ้านบางคนไม่รู้เรื่อง
เห็นรถทหารตำรวจบึ่งมาเป็นทางยาว บางคนวิ่งหนีเข้าบ้านนึกว่าเกิดศึกสงคราม

คัดลอกจากหนังสือ “หลวงตามหาบัว มหัศจรรย์มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่”
เรียบเรียง เรียงร้อยถ้อยคำโดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร

ลูกกราบนอบน้อมบูชาคุณ องค์พระหลวงตา พระอริยเจ้าผู้กู้ชาติกู้แผ่นดิน
ลูกขอเทิดพระเกียรติสดุดี องค์พระมหาราชันย์ พระผู้เป็นดวงใจไทยทั้งชาติ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ "ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน" และ "กรรมฐานดอทคอม"



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB: ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #41 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2013, 10:43:05 AM »

"สิ่งที่ให้ร้ายได้ที่สุดก็คือคำพูด ให้ดีที่สุดก็คือคำพูด
ต้องได้ระมัดระวังกันอย่างมาก
เป็นสิ่งที่ให้โทษให้คุณมากที่สุดก็คือคำพูด
ท่านจึงว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี
ทั้งนี้ก็เพราะปากเป็นหนึ่งในการแสดงออก
แก่ผู้อื่นและสังคมนั่นเอง"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #42 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2013, 01:38:58 PM »


"..เวลาเราปฏิบัติเราไม่ได้สู้รบกับใคร
แต่เรารบรากับกิเลสในหัวใจของเราเอง
เริ่มแรกเริ่มต้นปฏิบัติต้องแพ้กิเลสก่อนไปเรื่อย ๆ
การแพ้ไม่เป็นไร เพราะกิเลสมันช่ำชอง
ในวงเวียนวัฏฏะ หมุนจิตใจของสัตว์โลก
ให้ลงขั้นต่ำ(อบายภูมินรก เปรต อสุรกาย สัตว์)
มานานแสนนาน แต่เราจะฟื้นจิตใจของเราให้
ขึ้นสู่ความดีงาม

ในเบื้องต้นนี้ชั่งรู้สึกว่ายากลำบาก ประหนึ่งว่า
จะไปไม่ไหว เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรง
มากจนจะทดท้อถดถอยน้อยใจ ถอดใจ

ยิ่ง"การตำหนิทับถมใจตน"ก็มาซ้ำให้กิเลส
ได้กำลังเพิ่มเข้าอีก ว่ามี"เรานี้นิสัยวาสนาน้อย"
ไม่สมควรแก่"การปฏิบัติ"ความดีงามทั้งหลาย
ปล่อยไปตามบุญตามกรรมอย่างนี้ดีกว่า

นี้เรียกว่ากิเลสได้ชัยชนะแล้ว และนับวันที่จิตใจ
จะอ่อนปวกเปียกลงไปหาหลักยึดจิตยึดใจไม่ได้
หาวันที่จะเจริญก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าใครถ้าคิด
แบบนี้นะไม่เจริญ..เพราะไม่มีน้ำอดน้ำทนไม่ฝึก
ไม่หัด ไม่ขัดไม่เกลากิเลสความหยาบ
จึงต้องแพ้กิเลสมาทุกชาติ "

โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #43 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2013, 02:02:16 PM »



"อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย
เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว
มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด
มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ
สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้ว
สกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง
มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบ
เพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี"

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโณ
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี




ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB: ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #44 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 04:30:17 AM »

" ทรัพย์ภายนอกนั้น
อาศัยชั่วกาลเวลา
ทรัพย์ภายในคือ ศีลธรรมนี้
อาศัยตลอดไป "

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: 1 2 [3] 4 5
พิมพ์
กระโดดไป: