KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
หน้า: [1] 2
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่  (อ่าน 44393 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 02:38:01 PM »




เราจะต้องภาวนาไปจนถึงวันตาย อย่าเข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยภาวนาไปปฏิบัติไป
รวมจิตรวมใจเข้าไปภายใน เอาจนตายว่า ถ้ายังไม่ตายภาวนาอยู่อย่างนี้
จะภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้ตั้งใจนึก ตั้งใจเจริญ ตั้งใจพินิจ พิจารณา
ในสิ่งที่ตนยกขึ้นมาเป็นอุบายภาวนานั้น จนให้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้ให้ตลอดทั่วถึง
จิตใจนั้นจึงจะยอมสงบตั้งมั่นได้ คือไม่ให้เพียงแต่ว่าเห็นผิวเผิน โดยทางใน
ในหนังเลือดเข้าไป มันเป็นอยู่อย่างใด มันตั้งอยู่อย่างใด เดี๊ยวนี้จิตใจไม่รวมไม่สงบ
มันเห็นแต่เรื่องภายนอก มันอยู่ภายนอก มันไม่อยู่ในใจ ไม่อยู่ภายในไม่อยู่ในตัว
ไม่อยู่ภายในหนังหุ้มเข้าไป มันโลเลโลเลอยู่ข้างนอก ตัวกูตัวข้าตัวเราของเรา
ตัวเราที่ไหนของเราที่ไหน ภาวนาเพ่งดูให้ดี


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่




ขอบพระคุณข้อมูลจาก : Facebook ชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ http://www.kammatan.com
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 24, 2013, 09:13:13 AM »



เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อย่าได้เข้าใจว่าเราจะสุขสบายมีอายุยืนยาว
แต่แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนอาจตายได้ทุกเวลา แล้วจะมาคิดเอาเองว่าเรายังไม่ใกล้ตาย จึงเป็นการคิดที่ประมาทอยู่

เราทุกคนยืนอยู่ ก็ยืนรอวันตาย
เราทุกคนเดินอยู่ ก็เดินรอวันตาย
เราทุกคนนอนอยู่ ก็นอนรอวันตาย

ผลที่สุดเราทุกคนก็ต้องตายแน่นอน นี่แหละเราทุกคนอย่าได้เป็นผู้ประมาทอีกต่อไป
จงเตือนตนให้รีบเร่งปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 09:58:27 PM »



"..ตั้งจิตดวงนี้"ให้เต็มในขั้น"สมถกรรมฐาน"
พร้อมกับ"วิปัสสนากรรมฐาน" ให้แจ่มแจ้ง
ในดวงใจทุกคนเท่านั้นก็พอ เพราะว่า...
เมื่อเราเกิดมา ทุกคนก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมา
ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไปแล้ว แม้สตางค์
แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้

ด้วยเหตุนี้จงพากัน"นั่งสมาธิ ภาวนา"
ให้เต็มที่จน กิเลสโลภะ โทสะ โมหะ
อันมันนอนเนื่องอยู่ ให้หมดเสียวันนี้ๆ
ถ้า"กิเลสความโลภ"นี้ ยังไม่หมดจาก"จิต"
ก็อย่าหยุดยั้ง"การภาวนา"จนวันตายโน้น.."

_/|\__..หลวงปู่สิม พุทธาจาโร__/|\_

 วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2013, 11:52:48 PM »



ทำไม

" ทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้? กินข้าวทำไมกินได้
นอนทุกคืนทำไมนอนได้ พูดเล่นทำไมพูดได้
ตาดูหูฟังตามอำนาจกิเลส ทำไมจึงดูได้ฟังได้
ไม่ได้ มันเรื่องอะไรไม่ได้ ใครเป็นผู้ว่าไม่ได้
เพียรเพ่งภาวนาเข้า ตั้งจิตตั้งใจลงไปให้แน่วแน่มั่นคง

กิเลสมันหลอกให้ดู ดูไป!
กิเลสมันหลอกให้ฟัง ฟังไป!

จิตโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ลุกขึ้นภาวนาจริงจัง
ออด ๆ แอด ๆ อยู่ จิตดวงรู้อยู่ที่นี้ จะโลเลไปที่ไหน?
นั่งเฝ้ากองทุกข์ นอนเฝ้ากองทุกข์อยู่ที่นี้
รีบภาวนาตั้งอกตั้งใจขึ้นมา แก้ไขจิตใจที่เหลาะแหละ

อย่าทำลายที่พึ่งของตนเอง คือ ข้อปฏิบัติ
ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพาน
และไม่มีอะไรเป็นข้าศึกต่อตัวเรายิ่งกว่ากิเลส
จงเชื่อธรรม อย่าเชื่อกิเลส มันหลอกเราเรื่อยมา
ให้จมอยู่ในทุกข์โดยถ่ายเดียว "


พระธรรมคำสอน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 10:28:59 PM »

มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มันหลง
หลงผิดคิดว่า เป็นตัว เป็นตน
จึงได้มาเวียนว่ายอยู่ ในโลก
ในวัฎฎสงสาร อันแสนทุรกันดารนี้

ผู้ปฎิบัติธรรม ในทางพุทธศาสนา
มารู้แจ้ง แทงตลอดว่า
รูป นาม ไม่เที่ยงจริงอย่างนี้
รูป นาม เป็นก้อนทุกข์ เป็นกองทุกข์อย่างนี้
รูป นาม ไม่ใช่ตัวตนของเราอย่างนี้

เมื่อ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ทำไม จิต จึงมายึดหน้าถือตา ยึดตัวถือตน
มายึดเรา ยึดของของเรา ยึดถือแล้ว ได้อะไร?

ก็ไม่มีอะไรได้ ได้แต่ กิเลสโทสะ
กิเลสโมหะ เต็มไปหมด เมื่อมีกิเลสอันนี้
เกิดขึ้นมา ก็มายึด มาถือ วุ่นว่าย
อย่างที่โลกเขา วุ่นว่าย อยู่อย่างนี้แหละ

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2014, 09:26:28 AM »

คำว่าบารมีไม่ใช่คำพูด มันเป็นจิตใจนั่นแหละ
คนดี คนมีบารมี ทำสิ่งใดเขาก็ทำจริง ปฏิบัติสิ่งใดเขาก็ปฏิบัติจริง นึกภาวนาพุทโธในใจก็นึกจริงๆ รวมเข้าไปได้จริงๆ
ใครจะพูดอย่างไรว่าอย่างไร
ข้าไม่เกี่ยว ข้าภาวนาเสียอย่าง
จิตใจสงบระงับก็สบาย ไม่ต้องไปหาเรื่องราวภายนอกให้มันยุ่งเหยิง
พุทโธอยู่ในดวงใจนี้
ใจอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่ไหน
ไม่ต้องไปหาที่ ที่จิตที่ใจมันมีอยู่ในกายในจิตนี้แหละ

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2014, 09:41:45 AM »



เมื่อเราภาวนาจริงๆ รวมจิตรวมใจเข้ามาจริงๆแล้ว ปล่อยวางอารมณ์ภายนอก
ไม่เก็บเอาอารมณ์อดีต อนาคตมายุ่งเหยิงในอารมณ์ปัจจุบัน

จิตใจปัจจุบันภาวนาติดต่ออยู่ทุกขณะทุกเวลา
จิตใจดวงนี้ก็จะสงบตั้งมั่น จะมีสติ สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา

เมื่อจิตมีปัญญาก็จะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงว่า
คนเราเกิดมามันตายได้ไหม
มันแก่ได้ไหม
มันเจ็บได้ไหม
มันพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นจริงไหม

เหล่านี้ก็คือว่า ปัญญา ปัญญาก็คือว่า จิตนั้นแหละ

ความสว่างแจ้ง ความเห็นจริง ความรู้จักไม่มืดมนนั่นแหละเรียกว่า ปัญญา
เฉลียวฉลาดสามารถเฉียบแหลม ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2014, 09:50:46 AM »

คำว่าเอาจิตที่รู้อยู่นั้นคือว่ามันมีอยู่แล้ว ความจริงจิตของคนเราจริง ๆ
มันไม่ได้ไปไหน คิดไปปรุงไปอันนั้นเป็นเรื่องสังขาร มันปรุงมันแต่งไปเอง
 เป็นเรื่องสังขาร เป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ เป็นเรื่องกิเลสที่มันดิ้นรนวุ่นวาย กามตัณหามันไป

เมื่อจิตใจผู้ภาวนาไม่หลงไปตามไป มันก็ดับไปเอง ไม่มีใครส่งเสริมต่อเติมมันก็ดับ
แต่จิตผู้ใดหลงไป ส่งเสริมต่อเติมให้มันก็ไม่มีที่จบที่สิ้น
เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่มีที่จบที่สิ้น ละวางเสีย หยุดเสีย สงบเสียได้ ขณะนี้

เวลานี้มันก็มีเท่านี้ นั่งอยู่ก็พุทโธจิตใจดวงผู้รู้อยู่อย่างนี้ ยืนอยู่ก็พุทโธจิตดวงผู้รู้นี้
เดินไปมาก็จิตดวงนี้ มานั่งมานอนก็จิตดวงนี้แหละ

ก็ไม่ต้องหาที่ไหนแล้ว รวมกำลังตั้งมั่นรวมไปในจิตใจดวงผู้รู้อยู่ตลอดเวลา

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:40:37 PM »

บริกรรมพุทโธในใจ จนจิตใจสงบระงับได้ทุกวันทุกคืนไม่ให้ขาดระยะ อันนั้นจึงชื่อว่าเป็นคนตั้งใจ เอาใจใส่ในข้อวัตรปฏิบัติที่ตนประกอบอยู่ กระทำอยู่ เราก็ต้องตั้งใจต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้

เราคิดดู รู้ได้ เข้าใจในใจของเราอย่างไร
ก็มีสติประจำใจอยู่
มีสมาธิประจำใจอยู่
มีปัญญา วิชชา ความรู้ประจำใจนี้อยู่
เรียกว่า "อยู่ในใจ"

นั่งก็อยู่ในใจ
นอนก็อยู่ในใจ
ยืนก็มีอยู่ในใจ
เดินไปมาที่ไหนก็มีอยู่ในใจของตัวเอง
ไม่ใช่ใจของผู้อื่น

ใจผู้อื่นคนอื่นเป็นเรื่องของเขา ไมใช่ของเรา

ใจของเรามีอยู่ภายในหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบนี้

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2014, 04:45:44 PM »

คนส่วนมากถ้าเป็นทางโลกก็ว่า ข้าพเจ้ามีกิจกรรมการงานทำมาหาเลี้ยงชีพ
เลี้ยงครอบครัว หาเวลานั่งภาวนานึกกรรมฐานไม่ได้
ความจริงแล้ว เวลาในวันหนึ่งก็มียี่สิบสี่ชั่วโมง
ไม่ว่าคนจะทำไม่ทำ คนจะทำอะไรก็ตาม เวลามีอยู่เต็มที่
ถ้าคนไม่ตั้งใจแล้ว ก็ไม่มีเวลาอยู่ตลอดกาล
ก็ดูอย่างพระภิกษุสงฆ์สามเณรในทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะในประเทศไทยเรา
มีนักบวชเป็นจำนวนแสน แล้วทำไมจึงยังไม่มีเวลาอีก ทั้งๆที่ไม่ได้ไปทำมาค้าขาย ทำราชการที่ไหน ก็ยังไม่มีเวลาภาวนา
นั่นแหละคือว่า ความไม่ตั้งใจนั้นแหละทำให้ไม่มีเวลา ถ้าใครตั้งใจได้ก็มีเวลา ถ้าใครตั้งใจไม่ได้ก็ไม่มีเวลา
ในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านไม่เลือกชั้นวรรณะ
ไม่เลือกว่าเวลา เช้า สาย บ่าย ค่ำ กลางวัน กลางคืน
เมื่อระลึกได้ที่ไหนท่านก็ระลึกภาวนาในที่นั้นๆ
เจริญระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
สิ่งใดที่มันดีมีประโยชน์ก็ชื่อว่านำมาสอนตัวสอนใจได้ทั้งนั้น
ทีนี้ถ้าตั้งใจลงไปจริงๆ เวลามันมีค่ามีราคา มีอยู่ทุกเวลา
 นาฬิกามันบอกอยู่ว่าเท่านั้นโมงเท่านี้โมง มันเวลาทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าคนเราตั้งใจแล้วเวลามีค่ามีราคา
ถ้าไม่ตั้งใจ ใจเลื่อนลอย จิตไม่สงบระงับ ไม่ภาวนาก็หาเวลาไม่ได้
หาตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่มี เพราะจิตมันไม่มีเวลาตั้งใจได้

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 10:00:24 AM »

วันนี้วันที่ ๑๔ สิงหาคมเป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
“พระอริยเจ้าผู้งามดั่งดอกบัว” ครบรอบ ๒๒ ปี หลวงปู่สิม ท่านถือกำเนิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง
ด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม หลวงปู่เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย
และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชนชาวพุทธอย่างแท้จริง หลวงปู่พร่ำสอนเสมอๆ มิให้ตั้งตนในทางที่ประมาท
ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย และความประมาทในความตาย
หลวงปู่เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่าเป็นหนทางอันสูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ได้
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้พยากรณ์ไว้ว่า “.. ท่านสิมเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เบ่งบานเมื่อใด จะหอมกว่าหมู่..”

ชีวประวัติ และปฏิปทาหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๕๒
ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๕
สกุล "วงศ์เข็มมา" เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุล คือ ท่านขุนแก้ว
และ อิทปัญญา น้องชาย ตัวท่านขุนแก้วก็คือ ปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง เ เท้าความในคืนที่หลวงปู่เกิด
ประมาณเวลา ๑ ทุ่ม โยมมารดาของท่านเคลิ้ม หลับไป ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่งแลดูเย็นตาเย็นใจ
อย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต็อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม
นางสิงห์คำก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้ฟัง นายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า "สิม"
ซึ่งภาษาอีสานหมายถึงโบสถ์ อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา
ซึ่งต่อมาเด็กชายสิมผู้นึ้ ก็ได้ครอง ผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมณธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน
เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุ ๑๕-๑๖ ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย
หลวงปู่แว่น ธนปาโล เล่าว่า ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่สิม เป็นหมอแคน
สิ่งบันดาลใจให้หลวงปู่อยากออกบวชคือ ความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า
"ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจ ทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช"
มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาท ในชีวิต
ไม่ประมาทในวัยไม่ประมาทในความตาย เป็นเพราะหลวงปู่กำหนด "มรณํ เม ภวิสฺสติ" ของท่าน
มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัย ของท่าน
หลวงปู่ก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่า
หลวงปู่เทศน์ครั้งใด มักจะมี "มรณํ เม ภวิสฺสติ" เป็นสัญญาณเตือนภัย จากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

เมื่อท่านอายุ ๑๗ ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัว นั้นเอง
ตรงกับวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๖๙ ตรงกับวัน อาทิตย์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง
โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาคณะกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดหนองคาย เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชน
โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิม
จึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล
สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกต ข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจาย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์
และพระอาจารย์ มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น
และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่โดยที่ขณะนั้นยัง ไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น
การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ ๒ ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน
เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน
และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

เมื่อสามเณรสินอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๒ ตรงกับ วันอังคารขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง
โดยมีเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต
เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร"
จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน)
ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น
ท่านพระอาจารย์สิงห์ ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่านให้ได้พิจารณา อสุภกรรมฐานจากซากศพ
โดยพาพระเณรไปขุดศพขึ้นมาพิจารณา หลวงปุ่ได้เล่า ประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานจากซากศพและว่า
"นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป
ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่า กัน"

"สมมติโลกว่าสวยว่างามสมมติธรรมมันไม่สวยงาม อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตาย
ตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ"
ในชีวิตสมณะของท่าน ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "โสสานิ กังคะ"
คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร และที่วัดป่าเหล่างานี้เอง ที่หลวงปูได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่าง
ใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเวลานาน ๓-๔ ปี
ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้นกับพระกรรมฐานองค์สำคัญๆ หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย,
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, ท่านพ่อลี ธมฺมธโร, ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น
ปีพ.ศ.๒๔๗๙ (พรรษาที่ ๘) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโมที่วัดจักราช สมเด็จฯ
ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิมขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจ
ถึงกับปรารถนาจะชวนหลวงปู่ไปอยู่ด้วย กับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัวหลวงปู่สิม
กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ว่า "พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า"
ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้อง ด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมีของหลวงปู่สิม
ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯ นี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย
ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้หลวงปู่สิม ได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น หลวงปู่สิมอยู่รับใช้สมเด็จฯด้วยจริยา ดีเยี่ยม
พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ
พระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่

ปีพ.ศ.๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ
ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม
จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ
โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่
จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๘๐ สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น
"วัดสันติสังฆาราม" พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์ สาขา เกิดอีก ๙ แห่ง

สำหรับ วัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนครนี้ หลวงปู่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๘ จนแล้วเสร็จ
และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓
ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ ๗๑ พรรษา ของหลวงปู่
หลวงปู่สิม ได้ธุดงค์ไปในหลายจังหวัด อาทิ เช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัด ชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(ณ ที่นี้หลวงปู่ได้พบ หลวงปู่มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่น จนการปฏิบัติธรรม ของหลวงปู่ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก)
เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่ วัดโรงธรรม
ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นสำนักชั่วคราว ที่วัดโรงธรรมสามัคคีนี้ เคยเป็นสถานที่ที่ครูอาจารย์หลายท่านเคยใช้พักจำพรรษา
อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, พระอาจารย์กู่ ธัมมทินฺโน และหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นต้น

หลวงปู่สิม ได้พักจำพรรษาที่วัดโรงธรรมสามัคคี แห่งนี้ ติดต่อกันนานถึงห้าปี คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๓ ถึงปี พ.ศ.๒๔๘๗
จึงย้ายไปจำพรรษาที่ ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลังสงคราม โลกครั้งที่ ๒
ในระหว่างนั้น หลวงปู่ได้รับรู้ความคับจิตคับใจของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย
หลวงปู่ได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้านที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยการหยั่งพระ สัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา

ในระหว่างออกพรรษา หลวงปู่สิม ได้จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงใหม่
ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย ๙๖ ปี) โดยในปี พ.ศ.๒๔๘๘ เจ้าชื่น สิโรรส
ได้อพยพครอบครัวหลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ ขณะที่หลวงปู่ธุดงค์ ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะนี้
ท่านเปรียบเสมือนที่พึ่งอันสูงสุดที่มีความหมายมาก สำหรับคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
เนื่องจากสงคราม ปลายปี พ.ศ.๒๔๙๘ เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ
กลับคืน ตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาหลวงปู่ให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษา ที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์)
ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพตรงข้าง กับถนนไปสนามบินเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ
ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ณ ที่นี้เองที่หลวงปู่สิมพบกับลูกศิษย์
คนแรกที่อุปสมบทที่เชียงใหม่คือ พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัด "สันติธรรม"
ซึ่งได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลัง ปีพ.ศ.๒๔๙๐ เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่า เจ้าของบ้านคือ แม่เลี้ยง ดอกจันทร์
และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไปจะกลับคืน ถิ่นฐานเดิม หลวงปู่จึงปรารภเรื่องการสร้างวัด คำปรารภในครั้งนั้น
เป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์ เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างวัดถวายหลวงปู่
ด้วยพลังศรัทธานั้นเอง "วัดสันติธรรม" จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยกำลังศรัทธา ของสานุศิษย์

ปี พ.ศ.๒๔๙๗ โยมมารดาของหลวงปู่ถึงแก่กรรม หลวงปู่จึงได้เดินทาง จากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง
ครั้นเสร็จงานฌาปนกิจศพโยมมารดาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ ไปจังหวัดนครพนมทันที เพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา
ช่วงปี พ.ศ.๒๔๙๘-๒๕๐๓ หลวงปู่ได้กลับไปพักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่
แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้น ยังปรารภความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่างๆอยู่
จนต้นปี พ.ศ.๒๕๐๓ ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ ไปพบ ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่จึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ.๒๕๐๓ ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำ
ได้เป็นคนนำทาง พาหลวงปู่ปีนป่ายภูเขาขึ้นไปตามซอกเล็กๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูง ตามคำปรารภของหลวงปู่ที่ว่า
"กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวติของท่าน
หลวงปู่ได้ พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพักที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ

ที่ถ้ำผาปล่องนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต เคยเสด็จมา
รวมถึงพระอรหันตสาวกมากมาย ตลอดจนพ่อแม่ครูอาจารย์พระสุปฏิปันโน ดังคำของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร กล่าวไว้ว่า...
“ถ้ำผาปล่องที่เราอยู่นี้ เรียกว่าสงัดที่สุด วิเวกที่สุดและที่นี่เป็นที่เก่าแก่โบราณ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้ากกุสันโธมาตรัสรู้ในโลก สาวกท่านก็มาภาวนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก้สสะปะ
พระเจ้ากัสสะปะสาวกท่านก็มาภาวนา มาถึง ศาสนาพระพุทธเจ้าโคตโมของเราท่านทั้งหลายนี้
สาวกท่านก็มาภาวนา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตาผ้าขาว นางชี ฤาษี พราหมณี ท่านก็มาภาวนา”

ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร (ท่านเจ้าคุณวิสุทธิธรรมรังสี)
เจ้าอาวาส วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัด สมุทรปราการ
ซึ่งเป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เช่นกัน ได้ถึงแก่มรณภาพ
ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้หลวงปู่รับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส หลวงปู่จึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม
ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๐๘ และในปี พ.ศ.๒๕๐๙
หลวงปู่ได้รับการขอร้องจาก ท่านเจ้าคุณนิโรธธรรมรังษี ให้หลวงปู่ช่วยรับตำแหน่งรักษาการ
เจ้าอาวาส วัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่สิม จึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาส ให้วัดป่าสุทธาวาสอยู่ ๑ พรรษา
โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่าย คิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป

ในระหว่าง พ.ศ.๒๕๐๖-๒๕๐๙ หลวงปู่ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาตลอด จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๑๐
ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้ตัดสินใจวาง ภารกิจต่างๆ โ
ดยลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้น ท่านก็มาจำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่องตลอดมา

ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงปู่ได้เดินทางไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๒๓
นอกจากนี้แล้วหลวงปู่ยังได้มีโอกาส เดินทางไปที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตลอดถึงทวีปยุโรป และอเมริกาอีกด้วย
หลวงปู่สิม ท่านมีความขยันและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็กดังเช่น พระอาจารย์ศรีทอง (พระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งเป็นมหานิกาย)
ได้เล่าว่า ครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ สามเณรสิมก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด
เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้ว ก็ยังไม่มีน้ำ เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า
"จะขุดไปถึงไหนกัน" สามเณรสิมตอบว่า "ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ"
ปฏิปทาของหลวงปู่ที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อลูกศิษย์ ได้แสดงให้เห็นอยู่เนืองๆ
หลวงปู่ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่น ใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูกๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์
(คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธ หลวงปู่จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่ง
ผู้ป่วยอาการดีขึ้น ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีดผอม เพราะฉัน อาหารไม่ได้เลย "แม่ไล"
ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้
แต่หลวงปู่ซึ่งนั่งเฝ้า อยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า
"วันพรุ่งนี้เถอะเน้อ ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน"
งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง ของหลวงปู่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกัน
ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็นเอนกอนันต์ แก่ชาวบ้านเกษตรกร
ก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้น ลำน้ำอูน ที่ท่าวังหิน ซึ่งก็คือบริเวณ สำนักสงฆ์เวฬุวันสันติวรญาณ

ในปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ.๒๕๒๑ ภายหลังจำพรรษา ที่วัดสันติสังฆาราม
หลวงปู่ก็ได้รับอาราธนาจากชาวบ้านทั้ง ๔ ตำบล ใน ๒ เขตอำเภอ
ให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้นชิ้นนี้
สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของหลวงปู่เด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่
และรับผิดชอบในภารกิจ เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันวันใหม่ หลวงปู่ก็ว่าให้เริ่มงานกันวันนี้เลย
หลวงปู่เป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร
ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานตั้งแต่ตี ๔ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ ๑๐ โมงเช้า จึงพักฉันอาหาร
หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา ๑ ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้ว
ก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ ๔ ทุ่ม หรือบางวัน

งานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา ๔ เดือน นับตั้งแต่ เดือนมกราคม
จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง

หลวงปู่สิม พุทธาจาโรได้รับสมณศักดิ์ "พระครูสันติวรญาณ" ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๒
และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจากสมณศักดิ์ที่ "พระครูสันติวรญาณ" เป็น "พระญาณสิทธาจารย์"
ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ และในคืนวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา
ได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ ฉลองสมณศักดิ์ถวายหลวงปู่ ที่ถ้ำผาปล่อง
หลังจากเจริญพระพุทธมนต์หลวงปู่ได้พาพระเณรและญาติโยมนั่งภาวนา
ต่อจนถึงเวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. แล้วท่านก็นั่งพักดู บริเวณ ภายในถ้ำอีกประมาณ ๒๐ นาที
คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง
และได้มรณภาพในเวลาประมาณ ตีสาม ของเช้าตรู่ในวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕
สิริรวมอายุของหลวงปู่ ๘๒ ปี ๙ เดือน ๑๙ วัน อายุพรรษา ๖๓ พรรษา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 14, 2015, 10:00:14 PM »

นี่แหละอัฐิกับกระดูก 300 ท่อน พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วตั้งสองพันปีกว่า จิตใจคนเราก็ยังไม่สนใจ
ยังไม่เอามาคิดมาอ่านโลเลไป โลเลอยู่ โลเลกิน โลเลนอน โลเลไปตามอำนาจกิเลสราคะ โทสะ โมหะ
ไม่พิจารณาอัฐิกับกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง ก็มาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาไข้ มาตายก็เพราะแบกกระดูก 300 ท่อน

ไม่รู้จักปล่อยวางให้โลกเขาสับมะกอกอยู่ทุกวันทุกคืน ให้เขาด่าอยู่ทุกวัน ทุกคืน ไม่เห็นไม่รู้ไม่เข้าใจ
เขาเอาค้อนตีหัวตีกะโหลกศีรษะก็ตีกองกระดูก ช่างมันที่สุดมันก็ตายแหละ อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอีกเกลียดชัง
ใครก็อย่าไปฆ่าอย่าไปแกงกัน กองกระดูกไม่ถึง 100 ปีมันก็ตายแล้ว 99 ปียังไม่เต็มก็ตาย
เหมือนหลวงปู่แหวนเราน่ะ ตายแล้วก็เห็นไหม อยู่ในหีบนั่น เขาถ่ายรูปไว้ ไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดชหมดเรื่อง
พวกเรายังอยู่ตัวเรายังอยู่ก็เหมือนกัน ดูกระดูกให้มันเห็นชัดเห็นแจ้ง พระก็สมมติเณรก็สมมติ ผ้าขาวก็สมมุติ
มันก็กองกระดูก นั่นแหละ หญิงก็กองกระดูกชายก็กองกระดูก คนชาติใดภาษาใดก็กองกระดูก
ไปหลงกองกระดูกมันทำไม โหวก ๆ หวาก ๆ ไม่เห็นมันสวยมันงามที่ไหน ทำไมจึงไม่กำหนดพิจาณา
ต้องกำหนดพิจารณา ดูให้มันเห็นแจ้งด้วยสติด้วยสมาธิปัญญา เห็นแจ้งในจิตในใจของตัวเองจนไม่ต้องไปถามคนอื่น
ว่ากระดูกตรงไหนมันเป็น อย่างไร คือยังไม่ดูไม่พิจารณา ถ้าดูพิจารณาแล้ว มันเห็นแจ้งเห็นชัดในหัวใจของตัวเองไม่ต้องไปถามใคร

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: มกราคม 14, 2015, 10:01:24 PM »

อันการทำจิตใจของเราให้สงบระงับนั้น ต้องสังเกตว่าดวงจิตดวงหนึ่งมันอยู่ภายในไม่ไปที่ไหน
นับตั้งแต่เรามาปฏิสนธิวิญญาณเกิดมาในชาตินี้ อีกดวงจิตดวงหนึ่งเมื่อคิดขึ้นมาปรุงขึ้นมาแล้ว
คิดแส่ส่ายออกไปภายนอก อันนี้เรียกว่าสังขารจิต สังขารจิตที่ปรุงแต่งอยู่ภายในจิตใจคนเราตลอดเวลา
สังขารจิตนี้แหละ ท่านให้ละ ไม่ต้องตามมันไป ให้รู้สึกว่าดวงจิตดวงใดที่มารู้สึกว่า
เราได้ยินได้ฟังอยู่ในขณะนี้ พอเสียงทั้งหลายเข้าไปในโสตในหู ก็ไปรู้ที่จิตดวงผู้รู้อยู่นี่เอง
ส่วนจิตตัณหาจิตสังขารที่ปรุงแต่งภายนอกออกไปไม่มีที่สิ้นสุดนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์สอนให้ละทิ้ง
อย่าได้ตามมันไป ตามสังขารอันนั้นแล้วมันจะหลงทาง ไม่ถูกทาง วุ่นวายอยู่ในโลก ในวัฏสงสาร ไปสู่พระนิพพานไม่ได้

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2015, 10:11:10 AM »

โอวาทธรรมหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

"...ต้องรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว
และทวนกระแสเข้ามาถึงต้นตอของจิต
จึงจะมองเห็นทุกข์และหยุดโลกวัฏสงสารได้.."

10 กรกฎาคม 2558
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2015, 11:03:19 AM »



".......ทุกข์ทั้งหลายอยู่ที่ตัวอุปาทานความยึดถือ
เมื่อจิตไม่ยึดถือ จิตรู้จักปล่อยวาง
ทุกข์มันมี มันก็มีอยู่ที่ก้อนทุกข์ของเขาต่างหาก
เมื่อจิตไม่ไปยึดไปถือมันก็ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน
เหมือนไฟมันจะร้อนแค่ไหนก็เป็นเรื่องของไฟ
ถ้าเราไม่เอามือไปแหย่ ไปจดเข้า มันจะร้อนได้อย่างไร
มันก็ร้อนอยู่ที่ไฟ ไม่ร้อนที่ตัวเรา......."
...
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1] 2
พิมพ์
กระโดดไป: