ปัจฉิมวาระของหลวงปู่ท่อน.
จากบันทึกของพระธนู ฐานวฑฺฒโน คิลานุปฏฺฐาก และสทฺธิวิหาริกฺ รุ่นสุดท้าย
.
ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอบันทึกความทรงจำอันเกิดขึ้นมีขึ้น ในเหตุการณ์อันสูญเสียพ่อแม่ครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพแห่งวงการพระกรรมฐาน ดังนี้
เช้าวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ วันนั้นเป็นวันธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา หลังจากข้าพเจ้าได้ฉันภัตตาหารเสร็จ ก็ได้เดินเข้าไปยังห้องที่หลวงปู่พักรักษาอาการอาพาธ ในโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ซึ่งเป็นกิจวัตรยามเช้าปกติธรรมดาเหมือนเช่นทุกวัน
พอถึงเวลา ๙ นาฬิกา หมอได้มาอาราธนานิมนต์หลวงปู่ เพื่อไปทำการเอ็กซเรย์สมอง เสร็จแล้วก็ได้นำท่านกลับขึ้นมาพักยังห้องพักดังเดิม ตามด้วยบรรดาพยาบาลได้ขอตรวจคลื่นสมองท่านภายในห้องด้วยเครื่องมือทางการเเพทย์ ในเวลานั้น สังเกตดูสีหน้าของท่านดูซีดเผือดกว่าปกติ ไม่มีน้ำมีนวลให้ปรากฏเห็นเช่นเคย คาดว่าท่านคงเหนื่อยล้า หลังจากที่คณะพยาบาลได้ตรวจคลื่นสมองเสร็จแล้ว ได้แจ้งว่า ขั้นตอนต่อไป จะได้อาราธนาท่านไปทำการฟอกไต และฟอกเลือด โดยอาราธนาท่านลงไปชั่งน้ำหนักที่ ชั้น ๘ เพราะว่าตาชั่งจะมีมาตรฐานกว่าเครื่องที่เคยนำมาชั่งที่เตียง ทีเเรกข้าพเจ้าคิดว่าจะไม่ติดตามลงไป แต่ข้าพเจ้าก็เกิดสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก จึงต้องตามลงไปด้วย
ขณะที่นำท่านลงไปชั่งน้ำหนักที่ชั้น ๘ นั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นอาการของท่านดูไม่ค่อยดีนักเพราะ ท่านจะนิ่งสงบ จนเป็นที่ผิดสังเกต เมื่อชั่งน้ำหนักเสร็จ ผลน้ำหนักท่านชั่งได้ ๖๒ กิโลกรัม ซึ่งแตกต่างจากวันที่ทางพยาบาลมาดำเนินการชั่งให้ที่เตียงห้องท่านพักซึ่งมีน้ำหนักเพียง ๕๘ กิโลกรัม อย่างไรก็ดี มันคงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะน้ำหนักอาจจะไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยของเครื่องชั่งแต่ละเครื่อง
เมื่อท่านชั่งน้ำหนักที่ชั้น ๘ เสร็จแล้ว ก็ได้นำท่านกลับมายังห้องโดยขึ้นทางลิฟ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า ทำไมวันนี้หลวงปู่ถึงได้ซีดและใบหน้าก็นิ่งเฉย ไม่มีการขยับเหมือนดังวันก่อนมา สีสันวรรณะก็เหลืองกว่าทุกวัน ข้าพเจ้ายังได้พูดคุยกับผู้ช่วยพยาบาลถึงข้อสังเกตนั้น เมื่อนำองค์ท่านขึ้นกลับมายังห้องพักที่ชั้น ๑๓ แล้ว คณะพยาบาลกำลังดำเนินการจัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อทำการฟอกเลือดและไตของหลวงปู่ในเวลาอันใกล้
ข้าพเจ้าเกิดความกังวลอยู่ จึงได้เดินไปเดินมาระหว่างที่นั่งกับเตียงของหลวงปู่ ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินไป โดยปกติแล้วข้าพเจ้าจะเอามือของข้าพเจ้าไปจับไปคลำ บริเวณมือและเท้าของท่านเสมอ แต่การจับท่านครั้งนี้มันช่างแตกต่าจากแต่ก่อนเก่ามากเหลือเกิน เพราะบริเวณมือขององค์ท่าน มีสีเหลืองซีด และเริ่มเขียวคล้ำตามเล็บมือขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเกิดความตกใจ จึงได้เอามือไปจับหาจุดชีพจรของหลวงปู่ ปรากฎว่าคลำหาอย่างไรก็ไม่พบการเต้นของชีพจรเลย ข้าพเจ้าจึงได้ให้ผู้ช่วยพยาบาล ได้ทำการใช้เครื่องมือวัดชีพจรและความดัน ผลปรากฎว่า ชีพจรและความดันของท่านไม่มีเลย เขาจึงต้องรีบเรียกระดมแพทย์และพยาบาลมาช่วยกันปั้มหัวใจของหลวงปู่เป็นการด่วน ซึ่งเวลาในตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า จะค่อนๆ ไป ๑๑ โมงเช้า การช่วยเหลือของคณะแพทย์พยาบาลได้พยายามยึ้อชีพจรและความดันของหลวงปู่กลับมาทำงานเป็นผลสำเร็จ
(ข้าพเจ้าจะขอเล่าบรรยายถึงเหตุการณ์ในขณะที่คณะแพทย์และพยาบาลได้ทำการ CPR ต่อหลวงปู่ ข้าพเจ้าได้เห็นการทำงานของคณะแพทย์พยาบาล ทำให้ข้าพเจ้าตั้งอกตั้งใจ มองอย่างไม่จืด ไม่จางเลย ไม่ว่าจะเป็นหมอเล็กหมอใหญ่ต่างก็มีความร่วมมือสามัคคีช่วยกันอย่างคล่องแคล่ว ยิ่งดูยิ่งเกิดความปีติขึ้นมาในใจ คือดูแล้ว การทำงานในตอนนั้นไม่มีใครจะมาถือตัวถือตนว่าเป็นหมอระดับครูหรือหมอระดับเชี่ยวชาญ ต่างคนต่างก็ให้โอกาสกันได้แสดงความสามมารถอย่างเต็มที่ จนสามารถฟื้นชีพจรของหลวงปู่กลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเลยทีเดียว)
จะขอเล่าต่อไปในขณะที่ชีพจรองค์หลวงปู่กลับมาทำงานอีกครั้ง ทางแพทย์ได้นำท่านย้ายลงมาพักอยู่ที่ห้อง ๗๑๐ ภายในห้อง ICU แพทย์ก็ได้ทำการถวายยาเพื่อช่วยกระตุ้นความดัน และกระตุ้นระบบต่างๆ ให้สามารถทำงานได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสรรพสิ่งตั้งอยู่บนกองของอนิจจัง กองทุกขัง และกองอนัตตา เมื่อมีเกิด ก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของคู่กัน สมดังพุทธพจน์ของสมเด็จพระบรมศาสดา เป็นเช่นนี้มา แม้แต่ตัวของข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถคาดคะเนเดาได้
ท่านทั้งหลายขอจงรู้ไว้ว่า เมื่อถึงเวลา ธาตุขันธ์ก็จะแตกสลาย ถึงจะเอาของดีของวิเศษที่ไหนเพื่อมารักษา ก็ไม่สามารถจะเก่งก้าวข้ามกฏของไตรลักษณ์นั้นไปได้ อาการของหลวงปู่ก็เช่นกัน ท่านได้อ่อนลงไปตามลำดับ อุปมาเปรียบเหมือนกับไฟตะเกียงที่มีน้ำมันเลี้ยงไส้เพื่อให้ไฟลุกเกิดแสงสว่าง ในเมื่อน้ำมันที่เลี้ยงไส้ตะเกียงได้ค่อยๆ หมดลงย่อมทำให้แสงของตะเกียงดับลงไปในที่สุด
ในขณะนั้นเป็นเวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๕ นาที เส้นกราฟที่วัดชีพจรความดันและหัวใจ ได้ค่อยๆ ลดลงมาถึงที่ ๐ เป็นอันว่าหลวงปู่พระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือหลวงปู่ท่อน ญาณธโร ได้ละสังขารลงแล้วอย่างสงบและงดงาม ยังความโศกเศร้าอาลัยแก่พระเณรอุปัฏฐาก ที่ดูแลท่าน และบรรดาเหล่าลูกศิษย์ที่มาเฝ้ารออยู่ที่หน้าห้อง ICU บรรยากาศในวันนั้นช่างมีบรรยากาศมืดครึ้ม และอากาศก็หนาวเย็นลงมาอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากวันก่อนๆ ที่ผ่านมา เปรียบเป็นสัญาณแจ้งไว้ว่าจะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มายังบรรดาเหล่าชาวพุทธที่เคารพเเละศรัทธาในองค์ท่าน
.
***หากเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าได้บันทึกความทรงจำที่ได้บรรยายไปแล้วนี้ ขาดตกบกพร่องไปประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ขออภัยกับท่านทั้งหลายไว้ด้วย ที่ข้าพเจ้าได้เขียนบรรยายมานี้ก็ไม่ได้มีเจตนาว่าจะอวดตนอวดกิเลสของข้าพเจ้าแต่ประการใดดอก แต่ข้าพเจ้ามีความทรงจำซึ่งอยู่ภายใต้กฎของกองอนิจจัง ข้าพเจ้าจึงนำมาบันทึกไว้ บางทีท่านทั้งหลายที่มีความสนใจอยากจะทราบถึงเหตุการณ์ในวันที่สูญเสีย หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ก็จะได้ศึกษาเพื่อเกิดความรู้ความเข้าใจ ได้ดังตามที่ข้าพเจ้าจะพอจดจำได้นี้
ฐานวฑฺฒโนภิกฺขุ
ภาพหลวงปู่อร่าม ชินวังโส ดูองค์หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
ขอบพระคุณภาพจาก คุณพัชรินทร์ จั่นทอง
เพจ:ต้นโพธิ์