“...คนเรามันก็เหมือนมีงานอยู่ตลอดเวลาหล่ะนะ หมดพรรษาแล้วใครอยากจะไปอยู่วิเวกก็ไปได้
คือพระเราที่จะอยู่ไปวันนึง วันนึง แบบฆราวาสเขาก็ไม่ได้น่ะ นับวันมันจะมีภาระมากขึ้น พรรษาก็มีมากตามไปด้วย
หน้าที่ของเราที่ต้องปฏิบัติต่อตัวเราเอง อย่างน้อยให้มีความสงบเป็นที่พึ่งของใจมันก็อยู่ได้ ถ้าไม่มีเลยนี่
มันก็จะคว้าเอาเรื่องทางโลกมาปฏิบัติกัน ในสายตาของครูบาอาจารย์ก็จะมองว่ามันไม่เป็นการดีเลยที่จะเป็นอย่างนั้น
...พระพุทธเจ้าออกบวชก็มุ่งที่จะชำระล้างกิเลสที่มีอยู่ในใจขององค์ท่านให้ออกไปให้หมด ท่านเห็นอะไร ไม่ว่าต้นไม้
ใบหญ้าหรือคน ท่านก็จะตีเข้ามาหาตัวเป็นธรรมเสมอว่า โลกนี้มันเป็นโลกที่ไม่เที่ยงนะ มีกฏของไตรลักษณ์
คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าบังคับบัญชาอยู่ตลอดเวลา แล้วมนุษย์เราแต่ละคน แต่ละคน ไม่ใช่ว่าอายุจะยืนยาวอะไรนักหนา
แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่า คนแก่จะต้องตายก่อนวัยเด็กเสมอไป เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิตลง
เกิดโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนทำให้ตายก่อนวัยอันควร ท่านจึงสอนว่าอย่าประมาทในคุณงามความดี
อย่าคิดว่าทำน้อยนิดมันจะไม่ให้ผล เมื่อทำอยู่บ่อย ๆ มันก็จะติดเป็นนิสัย แล้วสิ่งเหล่านี้แหละที่จะชักนำเราให้พ้นทุกข์ไปภายในวันหนึ่งแน่นอน
ทำอะไรก็พยายามน่ะ ทำเอาจริงเอาจัง ผู้ปฏิบัติทางด้านธรรมะ มันจะเอานิสัยทางด้านนั้นมาใช้ แล้วคนที่จริงจัง
คือว่ามีการตั้งสติ ความรู้อยู่กับสติไม่คลาดเคลื่อนไปไหน จิตที่มันฟุ้งซ่านที่เคยมีอยู่ มันต้องสงบลงได้อย่างแน่นอน
เมื่อจิตเราเกิดความสงบ เพียงครั้งแรกเท่านั้นแหละ มันก็มีความตื่นเต้นแล้ว แล้วยิ่งสงบเข้าไปหลายครั้งหลายหน
ได้ความสว่างกระจ่างแจ้ง มันก็จะเกิดขึ้น เราถึงว่าจิตมันเริ่มสัมผัสกับธรรมแล้ว ต่อจากนั้นความขี้เกียจขี้คร้าน
ในการที่จะทำความพากความเพียร มันก็ค่อย ๆ จะหมดไป ๆ แล้วเราก็จะมองเห็นว่า เฮ้ย..ตัวขี้เกียจขี้คร้านเนี่ย
มันเป็นกิเลสโดยแท้เลย ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยคิดเคยนึกนะ พอจิตเจริญขึ้นมันมีความสงบของมันเป็นปกตินี่
เวลาเดินจงกรม มันก็จะขยันเดิน เดินไปบางที นึกว่ามันแค่ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง บางทีเดินไป สามชั่วโมง สี่ชั่วโมงก็มี
เมื่อมีความสงบจากนั้นมีโอกาสก็ก้าวทางปัญญา พิจารณาสิ่งทั้งหลายลงไปสู่ไตรลักษณ์ จนกระทั่งถึงสุดท้าย
ที่มันถอดถอนได้สุด “หมดกิเลส” และไอ้ความทุกข์ของใจที่มันหมดกิเลสแล้ว มันหาอะไรเทียบไม่ได้นะ
แล้วก็จะสามารถรู้ได้ด้วยตนเองได้ว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว...วันนี้ก็ให้ธรรมะย่อ ๆ แค่นี้นะ เสียงมันไม่มีแล้ว...”
โอวาทธรรมคำสอนท่านพระอารย์สุดใจ ทันตมโน เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
_/\_ _/\_ _/\_