KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไรสติปัฏฐาน 4 คืออะไร ประกอบด้วยอะไร สำคัญอย่างไร
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สติปัฏฐาน 4 คืออะไร ประกอบด้วยอะไร สำคัญอย่างไร  (อ่าน 57574 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2007, 03:18:44 PM »

ขอบคุณเว็บ http://dungtrin.com

พุทธพจน์
ในจูฬสาโรปมสูตร พระสุตตันตปิฎกเล่ม 4 มีข้อความสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพราหมณ์ชื่อปิงคลโกจฉะ เรียบเรียงสรุปได้คือ



            การประพฤติพรหมจรรย์ในพุทธศาสนามิใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ พรหมจรรย์นี้มีความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด

           พูดให้ง่ายคือที่สุดของพุทธศาสนานั้น ดีแค่ไหน เก่งปานใด ก็ไม่ชื่อว่าดีพร้อมหรือเก่งพอ ตราบใดจิตยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ยังมีโลภ ยังมีโกรธ ยังมีความหลงเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเป็นตน เนื่องด้วยตน ว่าน่ายึดมั่นถือมั่นอยู่ แม้บางครั้งกิเลสเหมือนเบาบางลง หรือกระทั่งเหมือนสาบสูญไป ถ้ายังคงถูกกระทบกระทั่งให้กิเลสกลับกำเริบด้วยประการใดๆ ก็ชื่อว่าจิตยังไม่หลุดพ้นจริง และเมื่อไม่หลุดพ้นจริง ก็ยังต้องเป็นทุกข์ ยังต้องเดือดเนื้อร้อนใจได้ไม่ต่างจากส่ำสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นก็ยังต้องศึกษา ยังต้องเพียรอยู่ในขอบเขตการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์อยู่

           พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนบุรุษที่เที่ยวหาแก่นไม้ แต่เจอกิ่งใบ เจอสะเก็ด เจอเปลือก หรือเจอกระพี้ แล้วสำคัญว่าเป็นแก่น ก็ได้แค่ส่วนนั้นๆของต้นไม้ติดมือกลับบ้านไป เพราะไม่ทำความรู้จักให้ดี ให้ถ่องแท้เสียก่อนว่าแก่นเป็นอย่างไร

           สรุปว่าความหลุดพ้นย่อมเกิดขึ้นที่จิต แก่นสารอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนาจึงอยู่ที่จิตที่ใจ เวลาเราจะมองว่าตนเองกำลังอยู่ตรงไหน หรือมาถึงไหนแล้ว ก็ให้ดูที่จิตที่ใจนั่นแหละ ไม่ใช่ดูที่กาย เช่นรอให้คนอื่นทักว่าหน้าต่างผ่องใสมีราศีดีอยู่ไหม แต่ดูเวลาที่จิตของตัวเองเกิดปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งกระทบทั้งหลาย ดูว่ายังยึดมั่นถือมั่นมากน้อยเพียงใด ดูเวลาที่จิตปลอดจากสิ่งกระทบภายนอก เหลือแต่ความรู้สึกนึกคิดในภายในต่างๆนานา จิตยังออกอาการซัดส่าย ฟุ้งไปยึด ฟุ้งไปมั่นหมายสะเปะสะปะหรือเปล่า

ความสำคัญของการรู้จักแก่นสารให้ขึ้นใจในโมคคัลลานสูตร พระสุตตันตปิฎกเล่ม 15 พระโมคคัลลาน์ซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ว่า ?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงไรหนอ ภิกษุจึงเป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา ซึ่งก็หมายถึงถามว่าถ้าให้รวบรัดตัดความเอาโดยย่อที่สุดแล้ว จะให้ปฏิบัติอย่างไรเพื่อเข้าถึงแก่นสารของศาสนา พระพุทธองค์ประทานคำตอบคือ?

ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น



             เท่ากับว่าตอนนี้เราทราบทั้ง เป้าหมาย และ วิธีการ ของพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนแล้ว เป้าหมายอันเป็นแก่นสารแท้จริงคือความหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ ส่วนกุญแจหรือวิธีการสู่เป้าหมายคือไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง ซึ่งพระพุทธองค์แจกแจงต่ออีกนิดด้วยว่าไม่ใช่แค่คิดๆเอาว่าจะไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ต้องมีสติกำหนดรู้ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาตามจริง ซึ่งเมื่อมีสติอยู่เช่นนั้น จะเสวยสุข เสวยทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ ก็เห็นความไม่เที่ยงของสุข ทุกข์ เฉย ผลคือความสลัดคืน ความยึดมั่นถือมั่นออกมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจ เพราะเห็นแจ้งแล้วว่าสรรพสิ่งมีค่าอย่างที่สุดแค่ให้สุขอยู่ครู่หนึ่ง ให้ทุกข์อยู่ครู่หนึ่ง ให้เฉยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับแปรปรวนดับสูญไปหมด หาค่าอื่นกว่านั้นให้จดจารึกไว้ไม่ได้เลย

               การทำไว้ในใจอย่างถูกต้องแต่ต้นมือ จะช่วยลดปัญหาระยะยาวลงได้มาก ดูกันที่ความยึดมั่นถือมั่นของจิตเป็นหลัก จะได้ไม่ต้องเถียง ไม่ต้องเกี่ยงเรื่องการปฏิบัติแบบใด สายใด ลัทธิใด หรือกระทั่งศาสนาใด ว่าจะส่งผลให้ถึงที่สุดทุกข์ได้สำเร็จแน่กว่ากัน เหมือนตั้งกติกาไว้อย่างชัดเจนว่าใครวิ่งมาถึงกรุงเทพฯก็ขึ้นชื่อว่ามาเป็นส่วนหนึ่งของชาวกรุงเทพฯ ไม่ต้องแบ่งแยกว่ามาจากภาคไหน ก้าววิ่งด้วยลีลาใด ช้าเร็วต่างกันอย่างไร ขอให้มาถูกทิศจริงเถอะ ขอให้รู้ว่าใกล้ถึงกรุงเทพฯจริงเถอะ ขอให้ประจักษ์ว่าถึงกรุงเทพฯแน่แล้วตรงตามที่เขาร่ำลือกันว่าเป็นกรุงเทพฯเถอะ

              อีกนัยหนึ่ง การทำไว้ในใจอย่างกระจ่างแต่เริ่มแรก ว่าแก่นสารอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนานั้น ผลจะได้อย่างนี้ เป็นการป้องกันความหลงเข้าใจผิด เพราะจิตใจคนเราอาจถูกยกระดับได้จากหลายแนวทาง อย่างเช่นระดับตื้นคือถูกยกขึ้นด้วยการสดับตรับฟัง การคลุกคลีอยู่ในโลกของโวหารอันงดงามลึกซึ้งของปราชญ์ หรือระดับสูงขึ้นมาหน่อยคือถูกยกขึ้นเพราะมีโอกาสใกล้ชิด ซึมซับรับกระแสจากคนแสนดี เลยพลอยจูงจิตให้ดีตาม หรือระดับสูงขึ้นมาอีกหน่อยคือถูกยกขึ้นเพราะปฏิบัติภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดคุณวิเศษเหนือมนุษย์เป็นอเนก หรือกระทั่งระดับที่ร่ำๆจะสูงสุดคือถูกยกขึ้นด้วยการเรียนรู้บัญญัติอันล้ำค่าในขอบเขตของพุทธศาสนาเอง

เมื่อจิตใจถูกยกสูงขึ้น บางทีก็เกิดมุมมองแปลกใหม่แตกต่างจากเดิม เช่นเห็นคนอื่นยืนอยู่ในที่ต่ำกว่า เห็นตนเองยืนอยู่ในที่สูงส่ง ล้วนแล้วแต่เป็นกับดักของธรรมชาติอันไม่ใช่แก่นสารของพุทธศาสนา เราจะผ่านด่าน ผ่านกับดักไปได้ ก็เพียงด้วยสติอันปลูกแล้วจากเมล็ดพันธุ์แห่งสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นชอบ เห็นถูกตรงในตัวแก่นสาร และในหนทางเข้าถึงแก่นสาร การเติบโตขึ้นของสติจึงจะเหมือนโพธิ์ใหญ่ที่ประกอบพร้อมด้วยใบบังร่มเย็น กิ่งก้านสาขากว้างขวาง เปลือกงามชวนชม กับทั้งทรงแก่นแท้ที่แข็งแรงมั่นคง ตั้งตรงอย่างสง่างามบนพื้นอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

ลำดับแห่งการเข้าถึงแก่นสารของพระพุทธศาสนา

              ดังที่เห็นจากพระพุทธวจนะโดยตรงว่าการได้แก่นของงานปฏิบัติธรรมนั้น พุ่งเป้าไปที่จิตอันหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลส พ้นจากการเห็นกายใจและสภาวธรรมใดๆเป็นตัวเป็นตน กับทั้งเป็นการพ้นในระดับเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติของจิต ชนิดที่ล้างผลาญเชื้อกิเลสจนสิ้นซาก อย่างที่เรียกว่า มรรคผล

             เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรก็ตาม จะเป็นคำพูดหรือผัสสะกระทบ จะง่ายหรือยาก จะหยาบหรือประณีต จะสูงส่งหรือต่ำต้อย จะเป็นปาฏิหาริย์หรือเรื่องสามัญ ขอเพียงสามารถกระทบกระแทกจิตให้หลุดพ้น ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ดังจะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงยอมใช้อุบายทุกชนิดเพื่อสะกิดคนประเภทต่างๆให้เข้าถึงมรรคผล




อย่างเช่นในการแสดงธรรมครั้งแรกสุด ก็ทรงแจกแจงมรรค 8 อย่างยืดยาวละเอียดลออกระทั่งท่านโกณฑัญญะบรรลุโสดาปัตติผล เป็นพยานรายแรกให้กับพระศาสดา ว่าสังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา รวมทั้งประจักษ์ว่านิพพานมีจริง คนธรรมดาเข้าถึงมรรคผลได้จริง

แต่กับบางบุคคลที่ควรแก่ธรรมพระพุทธองค์ท่านก็เทศน์เพียงสั้น เช่นทำให้ท่านพาหิยทารุจีริยะบรรลุอรหัตตผลด้วยการแนะให้เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ทราบสักแต่ทราบ รู้แจ้งสักแต่รู้แจ้ง กระทำจิตไม่ให้เหลือที่ยืนของตัวตน ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกอื่นไหน

และกับบุคคลบางประเภท พระพุทธองค์ก็ทรงใช้ฤทธิ์เป็นเครื่องทุ่นแรงให้เกิดปัญญาเห็นธรรม อย่างเช่นพระนางเขมาผู้ติดใจยินดีในรูปลักษณ์อันงดงามแห่งตน พระพุทธเจ้าก็นิรมิตสาวน้อยที่แลดูในคราวแรกเลอโฉม พิศแล้วสะคราญตากว่าพระนางเขมาอันร่ำลือกันว่าเลิศหล้าเองเสียอีก แต่ต่อมาร่างเนรมิตนั้นค่อยๆสูงวัยขึ้นจนล่วงเข้ากลางคน ล่วงเข้าสู่ความแก่หง่อม กระทั่งที่สุดกลายเป็นซากอสุภะน่าสะอิดสะเอียนชวนคลื่นเหียนไป พอพระนางเขมาย้อนมารู้สึกตัว รู้สึกในสังขารอันหลงนึกว่างามของตนอีกครั้ง ก็บังเกิดความสลดอย่างแรง ละพยศอันเกิดแต่ความหลงรูป หลงศักดิ์เสียได้ จึงพร้อมฟังเทศนาธรรม และเกิดความเห็นแจ้งบรรลุมรรคผลและได้บวชเป็นภิกษุณีในเวลาต่อมา

                





            

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 26, 2009, 01:36:34 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2007, 03:20:41 PM »

(ต่อครับ)



                 ส่วนบุคคลบางประเภท พระพุทธองค์ก็ทรงใช้อุบายเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ง่ายๆ เช่นพระจูฬปันถกะผู้มีวาสนาบารมีแก่กล้า ใกล้จะได้เป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว แถมไม่ใช่อรหันต์ธรรมดา ยังจัดเป็นอสีติมหาสาวกองค์หนึ่งอีกด้วย ทว่าอกุศลกรรมเก่ามาขวางปัญญา พูดง่ายๆคือท่านหัวทึบเป็นอย่างยิ่ง ใช้เวลา 4 เดือนท่องคาถาเดียวยังไม่สำเร็จ กระทั่งพระพี่ชายไล่ให้สึกไปเสีย แต่ด้วยพุทธญาณเล็งเห็นนิสัยอรหัตต์ในท่าน พระพุทธองค์จึงมาห้ามปรามไว้ ปลอบประโลมจนคลายโศก และอนุเคราะห์ธรรมด้วยการประทานผ้าเช็ดพระบาท กับทั้งตรัสสั่งให้ลูบไปโดยทำไว้ในใจเรื่อยๆว่าผ้าสำหรับเช็ดสิ่งสกปรก พระจูฬปันถกะท่านเล่าเองว่าเมื่อฟังพระดำรัสแล้วก็เกิดความยินดีในศาสนา พอปฏิบัติตามก็เกิดสมาธิ จิตตั้งมั่นอยู่กับความเห็นผ้าขาวหมองไปเพราะสิ่งสกปรกคือกายของท่านนั้นเอง กระทั่งเกิดความปล่อยวางถึงระดับอรหัตตภูมิในเวลาไม่เนิ่นช้า กลายสภาพจากพระผู้มีปัญญาทึบเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญายิ่งใหญ่ กลับจากหลังมือเป็นหน้ามือไปจนได้

               เมื่อแก่นสารของพุทธศาสนาคือทำให้จิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นระดับที่เกิดปรากฏการณ์ผลาญกิเลสเป็นมรรคเป็นผล กับทั้งอุบายเฉพาะอันจะทำให้มรรคผลเกิดกับแต่ละบุคคลก็มีอยู่ เราจึงควรพิจารณาอย่างดีว่าตรงไหนที่เหมือน ตรงไหนที่ต่าง ตรองแล้วจะพบว่าแม้รูปแบบแตกต่างกันภายนอก แต่ภายในนั้นก็คืออาการที่จิตสลัดหลุดจากอุปาทานว่าโน่นคือตัวนี่คือตนเหมือนๆกันนั่นเอง

คุณภาพของจิตที่สลัดอุปาทานอันเหนียวแน่นว่านี่เป็นเรานั่นเป็นท่านได้อย่างเด็ดขาดนั้น แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่ระดับ คิดได้ หรือ เห็นคล้อยตามจริง จากการอ่าน การฟัง แต่ต้องเป็นจิตในระดับ ใหญ่ และ มีความประจักษ์แจ้งลึกซึ้ง ซึ่งของพรรณนี้ย่อมไม่มาหาเราเอง ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ต้องมีเหตุปัจจัย มีการสั่งสมอันพอดีกับธรรม

             สำหรับเราท่านที่ไม่มีวาสนาพอจะรับ ทางลัด จากพระพุทธองค์โดยตรง ก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยคืบคลานสู่การเข้าถึงธรรมตาม ทางตรง อันได้แก่แนวปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้อย่างรัดกุมเพื่อให้พระสัทธรรมยั่งยืน และแผ่ออกไปในหมู่ชนอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่าเพื่อความรัดกุมนั้น จะไม่มีอะไรง่ายแบบพลิกมือก็สำเร็จหรือเอื้อมหน่อยก็คว้าได้ จะไม่มีอะไรสั้นแบบอยู่ดีๆใครเคาะศีรษะหรือทะลวงจุดทึบให้แล้วกิเลสหลุดทันใจ


เราจำเป็นต้องศึกษาอย่างรอบคอบจากหลักแหล่งที่เชื่อได้มากสุดว่าเป็นพระพุทธวจนะจริง ถึงแม้มีครู มีอาจารย์ที่รู้สึกเคารพนับถือสักเพียงไหน ก็ต้องทำไว้ในใจว่าครูของเรา อาจารย์ของเราก็ต้องพึ่งพระพุทธบารมีเหมือนกัน พูดตามพระพุทธเจ้าเหมือนกัน พูดเองเออเองไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนจะสบายใจได้ว่าไม่หลงทาง ถ้าตามรอยคนนำทางแรกสุดที่ทุกคนเห็นพ้องว่าท่านถึงจุดหมายมาแล้ว

           บางคนอาจด่วนสรุปว่าอย่างนี้เห็นทีรอเกิดในพุทธกาลหน้าจะดีกว่า จะได้มีทางลัด ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก นี่นับว่าเป็นความคิดประมาทประการหนึ่ง ความทุกข์มีอยู่ในปัจจุบันก็ปล่อยปละละเลย ทางดับทุกข์มีอยู่ในปัจจุบันก็ทอดธุระเสียแล้ว ทุกข์ข้างหน้าจะยิ่งกว่านี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ หนทางดับทุกข์จะมาถึงเราในอนาคตแน่หรือเปล่าก็ไม่รู้



             อันที่จริงแล้วใช่แต่คนยุคเราหรอกที่ต้องขวนขวาย ต้องดิ้นรน ต้องเพียรพยายามไต่เต้ากันทุลักทุเลในการดำเนินตามทางสู่ความพ้นทุกข์ คนยุคพุทธกาลส่วนใหญ่ก็ดำเนินตามวิถีทางปฏิบัติเช่นเดียวกัน จะเห็นได้จากหลักฐานมากมายในพระไตรปิฎก ว่ามีภิกษุและภิกษุณีจำนวนหนึ่ง ขอรับแนวทางปฏิบัติจากพระพุทธองค์แล้วหลีกเร้นไปเก็บตัวตามป่าเขา ใช้เวลาบำเพ็ญกันนาน ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน หลายรายเกิดความท้อแท้ ซมซาน โอดครวญ อยากสึกหาลาเพศ ซึ่งพิจารณาแล้วก็หาได้ต่างจากที่เกิดขึ้นตามจริงในปัจจุบันเลย

             ยุคเราลำบากกว่าพุทธกาลหน่อยหนึ่ง ตรงที่ไม่มีพระพุทธเจ้าแบบเป็นตัวบุคคลมาชี้ถูกชี้ผิด หรือระบุตรงๆว่าใครปฏิบัติมาถึงไหน ควรจะพัฒนาให้ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร แม้พระศาสดาจะตรัสสั่งเสียให้คำสอนของพระองค์เป็นตัวแทนสืบไป ก็หาชาวพุทธได้น้อยนักที่จะอ่านคำสอนดั้งเดิมของท่านอย่างทั่วถึงด้วยความเคารพ แถมอ่านคัมภีร์เล่มเดียวกันก็อาจตีความแตกต่างกัน คิดเห็นไม่ลงรอยกัน

สติปัฏฐาน 4 และความเบิกบาน 4 แง่มุม

เพื่อให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพของจิตที่เข้าถึงแก่นของพระศาสนา เราลองตั้งมุมมองแบบรวบรัดกันทีเดียว คือคิดว่าจิตของพระอรหันต์ก็คือสภาวะหนึ่ง ถ้าบรรยายให้พออนุมานได้ ควรจะมีคุณสมบัติหรือภาพลักษณ์ประการใด

ก่อนจะอนุมานก็ต้องมีเกณฑ์ในการอนุมาน เช่นสภาวะอันเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งสภาวะเหล่านี้พอจะทำความเข้าใจจากประสบการณ์แบบหยาบได้ในปุถุชนทั่วไป

แต่หากจะทำความเข้าใจความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของพระอรหันต์ ก็ควรมีหลักเกณฑ์มาซ้อน มาซอยให้ละเอียดลออยิ่งขึ้นไป เกณฑ์นั้นน่าจะได้แก่ผลอันเกิดจากทางดำเนินเข้ามรรคเข้าผลเป็นข้อๆ คือทาน ศีล สมาธิ และปัญญา

ถ้าหากตกลงกันว่าจะอนุมานสภาพจิตอันสมบูรณ์แบบของพระอรหันต์ตามแนวนี้ ก็ควรกล่าวดังนี้

แง่มุมแรก จิตนั้นควรมีความเปิดกว้าง ไม่ปิดแคบ ไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องด้วยพิษความเห็นแก่ตัว นอกจากเปิดกว้างแล้วควรมีคุณสมบัติคู่ขนานกัน คือความเยือกเย็นไม่รุ่มร้อนจากการผูกเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาทจองเวร อันนี้เข้าข่ายของความมีกระแสจิตไหลไปทางเดียวกับกระแสของทาน เรียกว่าทรัพยทานบ้าง อภัยทานบ้าง ธรรมทานบ้าง เห็นออกมาจากภายในว่าจิตตนเป็นทานจิตอยู่โดยปกติ แง่มุมที่สอง จิตนั้นควรมีความสะอาดผ่องใส ไม่สกปรกรุงรังด้วยความคิดอันเป็นอกุศลประการต่างๆ ไม่มีความอยากทำร้ายใคร อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากฆ่า ไม่มีความโลภอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นสมบัติ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากลักขโมย ไม่มีความอยากในกามหลงเหลือ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากลักลอบเป็นชู้ ไม่มีความอยากพูดอย่างไร้ประโยชน์ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากโป้ปดมดเท็จ ไม่มีความอยากบริโภคเกินจำเป็น อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากกินเหล้าเมายา เห็นออกมาจากภายในว่าจิตตนเป็นศีลจิตอยู่โดยปกติ

แง่มุมที่สาม จิตนั้นควรมีความตั้งมั่น นิ่มนวล ไม่ซัดส่าย ไม่แข็งกระด้าง เพราะจิตขาดจากเหตุแห่งความเคลื่อน อันได้แก่กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดเสียแล้ว จิตจึงจับอยู่เฉพาะสภาวะที่รู้ได้ในปัจจุบัน หรือแม้จะต้องคิด ก็ไม่ติด ไม่หลงเตลิดไปเอาเงาในอดีตหรือภาพลวงในอนาคตมารบกวนคุณภาพจิตได้อีก

แง่มุมสุดท้าย จิตนั้นควรมีสติสมบูรณ์ เบิกบาน เป็นอิสระเต็มที่ เพราะรู้เองโดยไม่ต้องพิจารณา รู้เองโดยไม่ต้องระวังจะหลงไปว่ามีสภาวะใดสภาวะหนึ่งเป็นตัวเป็นตน เป็นที่น่าคาดหวัง เป็นที่น่าพิศวาส แม้กระทั่งความหมายรู้หมายจำ ความรู้สึกนึกคิดและตัวของจิตเอง ยังแจ่มแจ้งแทงตลอดว่าเป็นอนัตตา จะยังมีภาวะใดให้ยึดมั่นถือมั่นได้อีก

ลองอนุมานตามมีตามเกิด ว่าถ้ารวมเอาทุกแง่มุมที่กล่าวมาข้างต้น มารวมไว้ในจิตของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งไม่เคลื่อนจากความเป็นเช่นนั้นเลย จะน่าปรารถนาและคู่ควรแก่การเพียรทำให้ถึงพร้อมหรือไม่

ขณะเดียวกันเราก็สามารถใช้ความเบิกบานอันเป็นคุณสมบัติของจิตพระอรหันต์ในแต่ละข้อมาตรวจสอบตนเองได้ด้วย ว่าเราเองใกล้ความจริงเข้าไปหรือยัง ทั้งในส่วนของความสามารถที่จะตั้งเจตนางดเว้นสิ่งที่เป็นโทษ และในส่วนของความสามารถที่จะตั้งสติรู้สิ่งที่เป็นอนัตตา

สรุป

ถ้าหากจะเริ่มต้นปฏิบัติธรรมกันด้วยการ ตั้งมุมมอง เราก็ควรมองให้เห็นว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน การปฏิบัติธรรมก็คล้ายการออกเดินทาง ถ้าเริ่มผิดทิศ ก็จะเสียแรง เสียเวลาเปล่า แต่ถ้าเริ่มถูกทิศ แม้ช้าเหมือนเต่าคลาน ก็ได้ชื่อว่าเขยิบเข้าใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปทุกที

ในการเดินทางนั้น เราเห็นด้วยตาเปล่าว่าภูมิประเทศใกล้เคียงกับจุดหมายหรือยัง แต่ในการปฏิบัติธรรมเราต้องเห็นด้วยจิตซื่อว่ากิเลสคือโลภะ โทสะ และโมหะนั้น ลดลงบ้างหรือยัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 12, 2009, 09:07:39 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2009, 10:28:11 PM »

อ่านเพิ่มเติม มหาสติปัฏฐาน 4 เพิ่มเติมได้ที่

http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 11:51:42 PM »

มหาสติปัฏฐาน เป็นสภาวะจิตอัตโนมัติ

ไป  รู้ไตรลักษณ์ ของกาย หรือเวทนา หรือ จิต หรือธรรมอารมณ์ ใช่หรือเป่า ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:08:28 AM »

ไม่มีแบบอัตโนมัติ...ต้องฝึกและ สั่งสมกันมา ตั้งแต่อดีต....หลายๆหลายๆชาติ.....ติ มาแล้ว...ในศาสนาพุทธไม่มีฟลุ๊คครับ

 

 

บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:10:37 AM »

อัตโนมัติ จริงนะ

เพราะถ้าตั้งใจมันเป็นสมธิ

และที่ท่านกล่าวมานั้น มันเป็นความเพียร ต่างหากละ
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 01:08:52 AM »

ก่อนที่จะมีความเพียร...ใจตั้งมั่น มุ่งมั่นและ เป็นสมาธิ ทำอย่างไรมาก่อนล่ะครับท่านพี่...?

อย่าบอกนะครับว่าว่ามันเป็นอัตโนมัติของมันเอง...ถ้าไม่มีใครโปรแกรมหรือบอกมันก่อน..

ที่คอมพิวเตอร์มันทำงานได้แบบอัตโนมัติ ไม่ใช่มันทำเอง...เราใส่โปรแกรมไปให้มันรู้แล้ว

ถ้าเราไม่ใส่โปรแกรมให้มัน คอมพิวเตอร์ต่อให้สมองมันจุขนาดไหน เร็วขนาดไหน...มันก็แค่เศษเหล้กที่หาคุณค่าไม่ได้เลยครับท่านพี่...

เราเหมือนกัน...ต้องมีคนมาบอกทาง ต้องฝึก ต้องรู้มันจึงจะประมวลผลได้ถูก...ไม่ผิด ไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไปหรือไม่ฝึก

ไม่ใช่แบบอัตโนมัติ..มันถูกหรือผิดมันยังไม่รู้ตัวเองเลยครับ...แต่ที่สำคัญมันไม่มีจิตใจ...มันไม่ด่า ว่าใคร...และมันไม่กลัวใครจะหาว่ามันโง่,มันไม่กลัวหน้าแตก,และมันไม่กลัวเสียฟอร์ม....ดูเนียนจัง...แต่มันยังไม่ได้อรหันต์นะครับ....ทำไม....?
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 07:40:43 PM »

อัตโนมัติ ก็ อัตโนมัติ ครับ  ฝึกจนช่ำชอง ฝึกจนชำนาญ และผ่านการเคี่ยวกรรม มาอย่างโชกโชนแล้ว จึงจะเป็น อัตโนมัติ

(ให้ไปคิดหน่อยเดี๋ยวมันจะง่ายไปน่ะครับ)  ยิ้ม  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:22:45 PM »

ท่านจูฬบัณฑก.. ที่ลูบผ้า จนผ้าดำแล้วบรรลุอรหันต์นั่น

เพราะพระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้ประวัติว่า

ท่านนั้นเคยเป็นสัปเหร่อ และตอนก่อนเผาศพท่านได้ดึงผ้าที่หุ้มศพออก แล้วจิตมีอาการปลงสังเวชมาก่อนบ้างแล้ว

และพระพุทธองค์ท่านจึงต่อยอดให้...ง่ะ

นี่คือประโยชน์ของการใช้อิทธิฤทธิ์ ในทางช่วยคนให้หลุดพ้นจาก กิเลส

มิใช่ให้ หลงงมงาย ติดอยู่กับอิทธิฤทธ์ปาฏิหารย์ และวนอยู่ในสังสารวัฏ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
siwanon
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2011, 09:29:47 AM »

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
anonzero
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 17


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 12, 2014, 11:21:32 PM »

งดงานครับผม ขอบคุณะครับ เจ๋ง เจ๋ง
บันทึกการเข้า

สาระน่ารู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุภาพและความเชื่อเรื่องผีต่างๆ
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: