1. พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร
ตอบ. จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก)อีก(1)
เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคยทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอีกต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น เทวดา ๖ ชั้น มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก(2) หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ แต่ ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว
อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๙๗ 2. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๖๗
2. ปัจจุบันนี้ ยังมีผู้สอนวิธีปฏิบัติให้บรรลุโสดาบันอยู่อีกหรือไม่?
ตอบ. เรื่อง นี้สามารถสอบถามได้จากท่านผู้ผ่านการศึกษาพระไตรปิฎก และปฏิบัติวิปัสสนาอย่างเข็มข้นต่อเนื่องมาแล้วเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเป็น อย่างน้อย ผู้เขียนเองถึงแม้จะไม่ช่ำชองปริยัติและปฏิบัติมากมายนัก แต่ก็พอ ให้ความมั่นใจได้ว่า ผู้ที่สามารถสอนวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุโสดาบันยังมีอยู่ จริงในปัจจุบัน ซึ่งมีหลักและวิธีการปฏิบัติที่สามารถสอบสวนเปรียบเทียบได้ กับหลักการที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา หรือ ถ้าจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ก็ลองมาปฏิบัติดูก่อนสัก ๑๐ วัน แล้วขอฟังลำดับญาณ ก็จะรู้ว่ามีวิธีการปฏิบัติ ในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการปฏิบัติก็มิได้หนักหนาสาหัสสากัณอย่างที่คิด คือ พักผ่อนประมาณ ๗ ชั่วโมง เวลาที่เหลือนั่งสมาธิเดินจงกรมครั้งละ ๑ ชั่วโมงสลับกัน ปฏิบัติติตต่อกันอย่างถูกหลักสติปัฏฐาน ๔ ประมาณ ๓-๔ เดือนก็จะรู้ได้เองว่า ตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือยังโดยไม่ต้องเชื่อต่อใครทั้งสิ้น (..แม้แต่พระอาจารย์ผู้สอน) ให้ตนเองตัดสินสภาวะจิตของตนเอง(1)
อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ หน้า ๒๗๔
3.บรรลุโสดาบัน เกิดได้อีกเพียง ๗ ชาติ ยังน้อยไปยังอยากเกิดอีก หลายๆ ชาติ
ตอบ ... ต้องการเกิดมากกว่านั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธการตกนรกได้ ให้เลือกเอา !
นรกเป็นเช่นไร? ..น่ากลัวจริงหรือ?
ตอบ.. พอเป็นตัวอย่าง จากคัมภีร์พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๕๒
พวกคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร จับปลา ดักสัตว์ พวกโจร พวกคนฆ่าวัว พวกนายพรานและพวกที่กล่าวอ้างโทษว่าเป็นคุณ พวกเขาจะถูกนายนิรยบาลทั้งหลายเข่นฆ่าด้วยหอกด้วยค้อนเหล็ก ด้วยดาบ ด้วยลูกศรและศีรษะจะปักดิ่งลงไปยังแม่น้ำกรด
ส่วน คนผู้ตัดสินคดีไม่เป็นธรรมจะถูกพวกนายนิรยบาลทุบตีด้วยค้อนเหล็กทุกเย็นทุก เช้าต่อแต่นั้นจะต้องกินอาเจียนที่สัตว์นรกเหล่าอื่นคายออก ที่มีอัตภาพลำบากทุกเมื่อฝูงกา ฝูงสุนัขจิ้งจอก ฝูงแร้งและฝูงกาป่าปากเหล็กก็พากันรุมจิกกัดกินสัตว์นรกผู้กระทำกรรมหยาบช้าซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่
หญิงที่รีดลูกทั้งหลายจะต้องย่างเหยียบนรกบนคมมีดโกนอันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปยังแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยาก
ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็นเหล็ก มีหนามยาว ๑๖ องคุลีห้อยย้อยปกคลุมแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยากทั้ง ๒ ฝั่ง
สัตว์นรกเหล่านั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นไปเบื้องบนหนึ่งโยชน์มีกายเร่าร้อนด้วยไฟที่เกิดเองยืนอยู่เหมือนกองไฟที่ตั้งอยู่ในที่ไกล
หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามีก็ดีชายผู้คบชู้กับภรรยาคนอื่นก็ดี พวกเขาเหล่านั้นต้องตกอยู่ในนรกอันเร่าร้อนมีหนามแหลมคม
สัตว์นรกเหล่านั้นถูกอาวุธทิ่มแทงก็กลิ้งกลับเอาศีรษะลงเบื้องล่าง ตกลงไปเป็นจำนวนมากถูกหลาวเหล็กทิ่มแทงร่างกายจนนอนตื่นอยู่ตลอดกาลอันยาวนาน
ต่อแต่นั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายก็ถูกนายนิรยบาลซัดเข้าไปยังโลหกุมภีอันใหญ่อุปมาดังภูเขามีน้ำร้อนอันเปรียบได้กับไฟ
4. ข้าพเจ้ามีบารมีไม่ถึงปฏิบัติคงไม่บรรลุหรอก ปฏิบัติแล้วไม่บรรลุจะเสียเวลาปล่าว?
ตอบ... คุณ เอาอะไรมาตัดสินว่า ตนเองมีบารมีถึงหรือไม่ถึง จากประสบ การณ์ที่ได้สัมผัสกับผู้ปฏิบัติหลาย ๆ ท่าน ซึ่งคาดว่าได้บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว บางท่านฐานะทางบ้านไม่ดีนัก (..เพราะ ชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทานเอาไว้ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าก็ยังเคยมียาจกเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อสุปพุทธะได้แอบฟัง ธรรมเพียงกัณฑ์เดียวสามารถบรรลุโสดาบันได้(1) ) ผู้ ปฏิบัติบางคนป่วยหนักจน ใกล้จะตายแล้ว แสดงว่าชาติก่อนเคยทำผิดศีลข้อ ๑ ไว้มาก เพื่อนของข้าพเจ้า บางท่านเรียนไม่เก่งเลย ผู้ปฏิบัติบางคนอ่านหนังสือไม่ออกเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกท่านทุกชนชั้นก็สามารถปฏิบัติจนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ภายในระยะเวลา เพียง ๓ -๔ เดือนเท่านั้น
..เรื่องบุญบารมีนี้ ผู้เขียนมีความคิดว่า ถ้าบุคคลผู้นั้นตัดสินใจได้ว่าฉัน จะปฏิบัติวิปัสสนาแบบเอาชีวิตเข้าแลกให้ครบระยะเวลา ๓ เดือน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภายใน ๓ เดือนนี้จะไม่ออกเด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะตาย แม่จะเสียชีวิต หรือบ้านถูกไฟใหม้ ฉันก็จะไม่เลิกจากการปฏิบัติเด็ดขาดจนกว่าจะครบ ๓ เดือน ถ้าหากผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขามีบารมีพร้อมบริบูรณ์ที่จะบรรลุธรรมแล้ว บุญ บารมีในการบรรลุธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับฐานะหรือความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลก และความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติมากกว่า
..การตัดสินใจที่จะลงมือปฏิบัติวิปัสสนาเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเต็มนั้น มิใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้จักคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า การที่ต้องตกนรก เกิดเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีกนับล้านนับโกฎิปี(2) กับการยอมสละเวลา เล็กน้อย เพียงแค่ ๓-๔ เดือน เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมรรคญาณ ปิดประตูอบายเสียให้สนิท เราจะเลือกเอาอย่างไหน??
อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ หน้า ๒๕๖
2.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ หน้า ๖๕๘
5. โสดาบันคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?
ตอบ. โสดาบัน แปลว่า เข้าถึงกระแสที่จะไหลไปสู่ความไม่เกิดอีกภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง(1) (เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว) เป็นมรรคขั้นต้นของมรรคทั้ง ๔ ( โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัตว์ทั้งมวล ผู้รักสุขเกลียดทุกข์และต้องการ สุขแท้สุขถาวร ควร/ต้อง ไปให้ถึงให้ได้ภายในชาตินี้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้วิปัสสนาญาณเกิดไปตามลำดับจนครบ ๑๖ ขั้น ก็จะสำเร็จเป็นพระโสดาบันโดยสมบูรณ์(2)
อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๔๑
2. ดูรายละเอียดใน คัมภีร์อรรถกถา สังยุตนิกาย (บาลี) เล่มที่ ๒ หน้า ๑๔๓
6. วิปัสสนาคืออะไร? ทำไมต้องปฏิบัติ?
ตอบ. วิปัสสนา แปลว่า เห็น(รู้อย่างเข้าใจ)แจ่ม แจ้งในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อาการที่เคลื่อนไหว ใจที่คิด เป็นต้น เป็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำกายและใจ ของผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวดับ สงบ เย็น(นิพพาน)ได้(1) ถ้าต้องการสุขแท้ สุขถาวร ที่ไม่กลับมาทุกข์อีกก็ต้องดำเนินไปตามหนทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติหลายท่าน คิดว่า ?การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ดีกว่า วิปัสสนากรรมฐาน เพราะสมถฝึกแล้วทำให้เหาะได้ รู้ใจคนอื่นได้ เสกคาถาอาคม ได้ ส่วนวิปัสสนาทำไม่ได้? แต่ ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานก็ยังเป็น เพียงปุถุชนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ หาที่สุดของภพชาติไม่ได้ ยังต้อง ตกอบายทรมานในนรกอีก ส่วน ผู้ปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ เสกคาถา ไม่ขลัง แต่ก็เหลือภพชาติเพียงแค่ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง และตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไปก็จะไม่ตกอบายอีกเลย ไม่ว่าอตีดจะเคยทำบาปอกุศลไว้มากมายปานใดก็ตาม
อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๐๑
7. ปฏิบัติวิปัสสนาแล้วจะได้รับผลดีอย่างไรบ้าง?
..ตอบ. ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีมากมายยากที่จะอธิบายให้เห็นจริง ได้ จนกว่าผู้นั้นได้ลงมือปฏิบัติจนได้เห็นผลจริงด้วยตนเอง แต่พอกล่าวเป็นตัวอย่างได้ดังนี้
๑. ทำให้บรรลุโสดาบันได้ภายใน ๓-๔เดือน ทั้งที่มีเวลาพักถึงวันละ ๗ ชั่วโมง
๒. เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว ถ้าหากต้องการมีฤทธิ์ มีเดช ก็สามารถฝึกสมถกรรมฐานต่อได้เลย จะสำเร็จได้ในระยะเวลาไม่นาน ในขณะที่การปฏิบัติสมถล้วนๆ ต้องใช้เวลาปฏิบัติกันถึง ๒-๓ปี หรือนานกว่านั้น จึงจะได้ผล
๓. เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) จนแก่กล้าแล้ว ทำให้โรคบางอย่างหายได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ต่อมไทรอย โรคเกี่ยวกับลม เส้นเอ็นและกระดูก (..นี้เป็นตัวอย่างจริงที่พบเห็นจากผู้ร่วมปฏิบัติ ) เป็นต้น
๔. ถ้า มีเหตุให้ปฏิบัติไม่สำเร็จ ไปติดอยู่เพียงแค่ญาณ ๑๑ ก็ไม่เสียเวลาเปล่า เพราะจะเกิดปัญญาญาณ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกได้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาทางโลกหรือทางธรรม โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวระหว่างสามี ภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้อง (คิดค้นวิธีเอายานไวกิ้งลงบนดาวอังคารได้ ก็ด้วยการนั่งสมาธินี่แหละ)
๕. ล้างอาถรรพ์ มนต์ดำได้ ไม่ว่าจะถูกของ หรือโดนยาพิษ ยาสั่งมา เมื่อปฏิบัติจนถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว อาถรรพ์จะหายไปจนเกลี้ยง ( เรื่องนี้ขอท้าให้พิสูจน์)
8. การปฏิบัติวิปัสสน มีวิธีการอย่างไรบ้าง?
..ตอบ มีขั้นตอนปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้
๑) เดิน จงกรม เดินกลับไปกลับมา ก้มหน้าเล็กน้อย ส่งจิตกำหนดดูอาการของเท้าแต่ละจังหวะที่เคลื่อนไป อย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง รับรู้ถึงความรู้สึกของเท้าที่ค่อยๆยกขึ้น ค่อยๆย่างลง และความรู้สึกสัมผัสที่ฝ่าเท้า(อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ฯลฯ) ส่งจิตดูอาการแต่ละอาการอย่างจรด แนบสนิทอยู่กับอาการนั้น ไม่วอกแวก จนรู้สึกได้ถึงอาการที่เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวนั้นๆ เช่น ขณะย่างเท้า ก็รู้สึกถึงอาการลอยไปเบาๆ ของเท้า พอเหยียบลงอาการลอยๆ เบาๆ เมื่อ๒-๓ วินาทีก่อนก็ดับไป มีอาการตึงๆแข็งเข้าแทนที่ พอ ยกเท้าขึ้นอาการตึงๆแข็งๆด็ดับไป กลับมีอาการลอยเบาๆ โล่งๆเข้าแทนที่ เป็นต้น ยิ่งเคลื่อนไหวช้าๆ ยิ่งเห็นอาการชัด และในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น หากมีความคิดเกิดขึ้นให้หยุดเดินก่อน แล้วส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า ?คิดหนอๆๆๆ? จน กว่าความคิดจะเลือนหายไป จึงกลับไปกำหนดเดินต่อ อย่ามองซ้ายมองขวา พยายามให้ใจอยู่กับเท้าที่ค่อยๆเคลื่อนไปเท่านั้น ถ้าเผลอหรือหลุดกำหนดให้เอาใหม่ เผลอเริ่มใหม่ ๆๆๆ ไม่ต้องหงุดหงิด การปฏิบัติเช่นนี้ เรียกว่า เดินจงกรม ต้องเดิน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
ขอขอบคุณเว็บ :
http://www.tlcthai.com มากๆครับผม : )