ความคิดเห็นเพิ่มเติม : กรณีของนายสงบคงพบผู้หญิงเช่นที่ว่าได้ยากครับ
แต่ก็ขอเอาใจช่วยและอวยพรให้ได้พบ
ระหว่างยังไม่พบนี้ก็ขออวยพรไปอีกทาง
ให้ปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงจนประสพความสำเร็จทางธรรมอย่างสูง
เพราะเหตุดึงดูดให้พบกับผู้หญิงที่นายสงบปรารถนา
บางทีก็มาจากที่เขามาขอฟังธรรม ด้วยความเลื่อมใสในธรรมของเรานั่นเองครับ
มีพระลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง
ท่านเจอเนื้อคู่ที่ตามกันมาจากอดีต
เกิดความใคร่อยากสึก จนต้องตัดใจลาหลวงปู่มั่นไปบำเพ็ญธรรมถิ่นอื่นไกลออกไปจากจุดเดิม
แต่ปรากฏว่าบิณฑบาตไปบิณฑบาตมา ก็เจอผู้หญิงคนนั้นเข้าอีก
ย้ายตามกันไปจนได้ จนที่สุดท่านก็ต้องสึกหาลาเพศ ออกไปอยู่กินกับผู้หญิงคนนั้น
หลวงปู่มั่นปกติท่านเข้มงวดและดุเก่งในเรื่องเอาใจออกห่างจากเพศบรรพชิต
แต่รายนี้ท่านหัวเราะ และบอกว่าเขาเกิดมาคู่กัน ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก
นี่แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าระหว่างเรายังไม่เจอเนื้อคู่
ก็ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง พยายามหนีเนื้อคู่ได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สำคัญคือปฏิบัติเป็น ปฏิบัติจริงเอาทุนไว้ก่อน
เพราะเมื่อพบและอยู่กับคู่ครองแล้ว ไม่มีอะไรประกันว่าจะได้กลับมาปฏิบัติอีกหรือเปล่า
ผมไม่เข้าใจประเด็นของคุณ biggy ชัดเจนนัก
แต่อยากกล่าวถึงนางวิสาขานะครับ
ว่าเป็นกรณีตัวอย่างชิ้นใหญ่ของพุทธศาสนาทีเดียว
เดิมทีเมื่อชั่วกัปป์ชั่วกัลป์โพ้นนั้นท่านเป็นนางทาสี
ถวายข้าวคำเดียวให้กับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน
แล้วปรารถนาได้มีส่วนทำนุบำรุงพุทธศาสนา
หากคิดอุปถัมภ์พระศาสนาแล้วอย่าได้มีความติดขัดประการใดเลย
ผลของการอธิษฐานจิตอย่างแรงกล้าในขณะที่เหนื่อยและหิว
แต่ยังมีใจเต็มร้อยที่จะถวายคำข้าวส่วนของตนให้กับพระพุทธเจ้า
จึงเกิดเป็นพลังกรรมฝ่ายดีหนักแน่นมหาศาล ทำให้นางทาสีเวียนเกิดเวียนตายในภพภูมิที่ดี
และมีทรัพย์มากไม่เคยขาดพร่อง จนชาติสุดท้ายก็ได้เป็นสาวิกาที่มีส่วนอุปถัมภ์พระศาสนามากกว่าหญิงนางใดสิ้น
ดูเหมือนนางวิสาขาจะพบและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ครั้งแรกอายุ 7 ขวบ
(ถ้าผิดขออภัย) และบรรลุพระโสดาปัตติผลตั้งแต่ครั้งนั้น
นางวิสาขาเป็นตัวอย่างพระโสดาบันที่ลุแล้วไม่ใฝ่ใจทำนิพพานให้แจ้ง
เพราะทำบุญแต่ละครั้งปรารถนาภพภูมิเบื้องหน้า คือดาวดึงส์สวรรค์
และระหว่างมีชีวิตก็แสดงให้เห็นว่ามีความยินดีในเพศฆราวาสอยู่
อย่างเช่นเมื่อมีเถ้าแก่มาถามว่าทำไมจะลงน้ำต้องค่อยๆย่อง ค่อยๆลดผ้า
นางวิสาขาตอบว่านารีมีรูปเป็นทรัพย์ ต้องถนอมไว้เหมือนสินค้า
เมื่อใครมาสู่ขอไปก็จะได้สินค้าที่ไม่เสียหาย ไร้ร่องรอยตำหนิ
แสดงให้เห็นว่าท่านเตรียมออกเรือนเต็มที่ ไม่ได้มีประสงค์จะออกบวชเลย
ตรงนี้ส่วนใหญ่มองข้ามไป แต่ผมอยากชี้ให้เห็นว่าเมื่อลุธรรมแล้ว
ก็ไม่ใช่ทุกคนที่แสวงนิพพานเต็มกำลัง ลุให้ได้ในชาติปัจจุบันเสมอไป
เพราะท่านทราบว่าท่านเที่ยงที่จะถึงนิพพาน
*** มีสิทธิ์คิดว่าขออยู่เสพสุขในสังสารวัฏเป็นช่วงสุดท้ายไปก่อน ***
หลวงปู่เทสก์ท่านเคยกล่าวไว้ว่าท่านไม่เข้าใจนางวิสาขาเลย
ได้ลิ้มรสอมตะธรรมตั้งแต่ยังเล็ก ทำไมไม่ขวนขวายหาทางทำนิพพานให้แจ้งถึงที่สุด
จนบางคนเอะใจ คิดบาปสงสัยหลวงปู่เทสก์ว่าท่านถึงธรรมจริงหรือเปล่า
ถึงแล้วทำไมไม่เข้าใจพระอริยะด้วยกัน
อันนี้ก็เป็นประเด็นทางพุทธศาสนาที่แสดงให้เห็นว่าพุทธสาวกมีความแตกต่าง
มีพื้นหลังและภูมิธรรมผิดแผกกันไป ต้องดูว่าหลวงปู่เทสก์ท่านเป็นเณรมาแต่เล็ก
และท่านก็มีกิเลสเบาบางมากเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป
ท่านถึงธรรมด้วยกำลังปฏิบัติ มีความสุขในฌานญาณเป็นทุนเดิม
ห่างเรื่องทางโลกมาแต่ไหนแต่ไร
ส่วนนางวิสาขาถึงธรรมด้วยกำลังบารมีหนุน
ประจวบกับที่ในชาติล่าสุดวาสนาสูงพอจะพบพระพุทธองค์ ได้ทางลัดที่ตรงกับนิสัยตน
จึงบรรลุธรรม *** ทั้งที่ปกติยังอาจพอใจในวิสัยโลกอยู่ ***
ส่วนเรื่องที่ว่านางวิสาขามีลูกมากนั้น
บางคนก็ไปนึกอกุศลกับท่าน อันนี้ก็ลืมมองกันไป
และในพระสูตรก็ไม่มีร่องรอยบันทึกไว้เกี่ยวกับสามีของท่านเท่าไหร่
อยู่คู่ครองเรือนกันนั้นใครชวนใครเราไม่รู้นะครับ
ประเด็นสำคัญอยู่ท่ว่า
*** ถ้ายังไม่ถึงธรรมก็อย่าเพิ่งประมาท ***
พระอริยบุคคลเห็นว่าตนถึงธรรมแล้วประมาทนั้น
ต่างกันเป็นคนละเรื่องกับปุถุชนที่ยังไม่ถึงธรรมแล้วประมาท
ถ้าพากันเห็นว่า เอ๊ย...พระโสดาบันท่านยังอยู่ในโลกได้
มีลูกมีหลานกันได้ หวังสวรรค์ได้ เราก็หวังอย่างท่านบ้าง
อย่างนี้เสร็จครับ
พระโสดาบันเปรียบเหมือนคนคว้าเรือ ขึ้นเรือที่มีเสบียงเพียบพร้อมได้แล้ว
ถ้าท่านจะนอนตากแดดของท่านบ้างก็เป็นเรื่องพอทำเนา
แต่ปุถุชนนั้นเปรียบเหมือนคนยังลอยคอเท้งเต้งในน้ำ
ขืนทอดหุ่ยงอมืองอเท้าก็เป็นเหยื่อฉลามชื่อกิเลสซ้ำแล้วซ้ำอีก
คุณพิมพ์...
ส่วนใหญ่ที่เขาไปกันไม่ค่อยได้
บางทีก็น่าเสียดายนะครับ เพราะบางคู่มีทุนเดิมอยู่ก่อน
แต่ใช้ทุนไม่เป็น เหมือนมีเงินมาหนึ่งล้าน แทนที่จะทำให้งอกเงยกลับซื้อเพชรนิลจินดาฉาบฉวย
กระทั่งทรัพย์หมดก็ต้องเลิกรากันไป
ความจริงถ้าต้องตาต้องใจกัน ใคร่อยากจับคู่กัน
เจตนาแท้จริงก็คืออยากมีความสุขร่วมกันตามประสาธรรมชาติสิ่งมีชีวิตนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นความอุ่นกายหรือความเย็นใจในการอยู่ใกล้
น่าสังเกตว่าแค่ช่องว่างและทิฐิมานะระหว่างมนุษย์ก็เพียงพอแล้ว
ที่จะทำให้อยู่ร่วมแบบไม่ยอมกัน ไม่ลงให้กัน อยากบังคับอีกฝ่ายตามใจฉันให้ได้
แม้คู่ที่มีความคิดอ่านดี อยากทำชีวิตให้มีสุข อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
เรียกว่าเสพสุขในการอยู่ร่วมระดับของบุญ ยังอาจมีความเคลือบแคลงระแวงใจในกันได้
เพราะมีสิทธิ์นอกใจกันตลอดเวลา
แต่ถ้าคู่ไหนเริ่มขยับ เริ่มอัพเกรดสัมพันธภาพให้อยู่ร่วมกันในระดับของศีล
จะมีความสุขอีกชนิดเกิดขึ้น ที่คู่รักส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้จักกันนัก
นั่นคือ *** ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ***
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากศีล เป็นคุณของศีลที่เห็นได้อย่างชัดเจน
วิธีมีความสุขด้วยการอยู่ร่วมกันระหว่างชายหญิงนั้นมีมากมายพิสดารนัก
มีตำราเขียนออกมาและทดลองกันโดยอาสาสมัครเป็นร้อยนะครับ
ว่าหญิงชายที่รักกันสามารถสร้างฝันร่วมกันได้
หมายถึงเข้าไปอยู่ในฝันเดียวกัน เป็นบันทึกที่ซีเรียส และไม่ใช่เรื่องหลอก
ทั้งคู่สามารถใช้กำลังเสริมกันเนรมิตฝันให้เป็นอย่างไรก็ได้
คิดดู...
โลกของความจริงไม่สวย ไม่หล่อ ไม่ใช่สุขุมาลชาติ
แต่ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
แล้วพบกันในฝันด้วยธาตุแท้ จะเห็นกันอีกแบบที่สะสวยสูงส่งอย่างไรก็ได้
กระชับรักให้มั่นคง อยากซื่อสัตย์ต่อกันแค่ไหนก็ได้
นี่แหละครับ มีวิธีมากมายที่จะอยู่เป็นคู่ด้วยความสุขสม
นับแต่ขั้นตื้นๆถึงขั้นพิสดารพันลึก แต่ไม่ขยับจะทำกัน
ส่วนใหญ่อยู่กันแกนๆตามวิถีโลก
เริ่มนึกสนุกอยากเรียกอีกฝ่ายว่าอีแก่ก็เรียก
ทีแรกเรียกสนุกๆ ตอนหลังพออีกฝ่ายสวนกลับว่าอั้ยแก่
เลยเรียกกันจริงๆ เรียกกันด้วยโทสะทุกครั้ง
แรงแม่เหล็กตามธรรมชาติที่เคยดึงดูดเข้าหากันในระยะแรกก็หดหายสลายสูญครับ
ไม่เหลือหรอก
คุณคิดเอาเอง...
เท่าที่อ่านๆคุณตอบกระทู้มา
ผมรู้สึกว่าคุณและภรรยาน่าจะเป็นคู่ตัวอย่างได้นะครับ
ว่างๆน่าจะเล่าเรื่องดีๆให้ฟังกันบ้างเป็นหลักฐานหรือของจริงของการอยู่ร่วมกันในกระแสบุญ
อ้อ...น้องโจ้ด้วยนะ :-)
[email protected]http://www.geocities.com/athens/aegean/1847http://www.geocities.com/athens/delphi/6613โดยคุณ : ดังตฤณ - [12 ก.พ. 2542 11:52:44]