๕.อนาคตังสญาณ และ ๖.ปัจจุปปันสญาณ ญาณทั้งสองเอามาพูดควบกัน เพราะไม่มีอะไรจะพูดมากนัก ได้พูดมามากในญาณต้น ๆ แล้ว พูดมากไปก็รำคาญท่านผู้อ่านเปล่า ๆ อนาคตังสญาณเป็นญาณเป็นญาณรู้เรื่องในกาลต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุเหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏถ้าภาพปรากฏไม่ชัดก็อธิษฐานภาม ก็จะรู้ชัดและไม่ผิด ส่วนใหญ่ท่านนักปฏิบัติระดับสูงท่านอธิษฐานถามกันเป็นสำคัญ เพราะท่านทราบดีว่า ถ้าท่านกำหนดรู้เองอาจพูดอุปาทานหลอกหลอนเอาได้ ท่านชำระจิตของท่านให้แจ่มใส แล้วท่านก็อธิษฐานถามจะได้รับความรู้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด
สำหรับปัจจุปปันนังสญาณ เป็นญาณรู้เรื่องในปัจจุบันว่า ขณะนี้ใครทำอะไรอยู่มีสภาพเป็นอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น เป็นการรู้ผลในขณะนั้น การถามหรือกำหนดรู้ก็เป็นไปเช่นเดียวกับญาณอื่น ๆ
๗.ยถากัมมุตาญาณ ญาณนี้เป็นชื่อของการรู้ผลกรรมคือรู้ว่าใครที่มีความสุขความทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้เป็นผลกรรมอะไร ตั้งแต่ชาติใด จะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด การแก้ไขนั้นต้องทำอย่าง แก้ไขแล้วอาจจะมีผลเป็นอย่างไร ถ้าต้องการรู้ผลในชาติต่อไปก็ได้ ใช้อตีตังสญาณตรวจดูอดีต แม้อนาคตก็เช่นเดียวกัน ญาณนั้นเป็นประโยชน์ในการู้ผลกรรม
มีประโยชน์แก่ตนเองดังนี้ เมื่อเห็นเขามีทุกข์ในการเกิด หรือทุกข์ที่ต้องเกิดในอบายภูมิ เพราะผลกรรมอะไร จะไดยับยั้งตนเองไม่ให้สนใจในกรรมนั้น ถ้าเห็นท่านที่เสวยผลในทิพยสมบัติ หรือในพรหมโลก หรือท่านที่เช้าสู่พระนิพพานท่านมีความสุขเพราะผลกรรมที่มีปฏิปทาเป็นกรรมใด ท่านสร้างสมบุญกุศลไว้อย่างไร เราก็แสวงหาความดีตาม ก็จะให้ผลตามเช่นท่าน กรรมนี้มีประโยชน์แต่ตนและคนอื่น
ญาณทั้งเจ็ด ในผลทางปฏิบัติ ท่านจะเห็นว่า ญาณที่กล่าวมาแล้วทั้งเจ็ดอย่างคือ
๑.จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดที่ใด สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน
๒.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
๓.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกันชาติ
๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ไม่จำกัดกาลเวลา
๕.อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา
๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของสถานที่ได้ตามความจริง
๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ญาณทั้งเจ็ดนี้ เมื่อท่านอ่านอยู่ ท่านอาจจะหนักใจว่า ตั้งเจ็ดอย่างมากมายเหลือเกินชีวิตนี้ทั้งชีวิด หรือเดิมอีกหลาย ๆ ชาติอาจไม่มีหวัง ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ผู้เขียนก็เห็นใจท่านทั้งผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกับท่านมาก่อน แต่พอได้โอกาสสอบทานตามพระไตรปิฎกและสนทนาปราศรัยกับท่านผู้ทรงคุณธรรมพิเศษ ตามที่ท่านได้ญาณทั้งเจ็ดอย่างในสมัยผู้ที่เขียนเองเป็นนักนิยมไพรของชาวบ้าน ชาวบ้านขอบนิยมทำลายไพรและทำลายสัตว์ในไพร แต่ผู้เขียนเป็นนักนิยมเดินในไพรนอนค้างอ้างแรมในไพร และนิยมคอยหลบหลีกหนีสัตว์ในไพรไม่ชอบรบราฆ่าฟันสัตว์ในไพร ตั้งแต่เข้าป่ามาแล้วเกินสิบวาระ คราวละไม่น้อยกว่าสามเดือน ไม่เคยทำลายต้นหญ้าให้ขาดติดมือมาเลยแม้แต่ต้นเดียว ทั้งนี้หมายถึงมีเจตนาอย่างนั้น แต่ถ้าเดินไปหญ้าขาดหรือตายเพราะการเดินไม่ติดเอามารวม นั่นเป็นไปเพราไม่เจตนาอย่างนั้น ทานผู้ทรงญาณที่อยู่ในป่า ท่านพูดตรงตามพระไตรปิฎกว่า ญาณทั้งเจ็ดอย่างนี้ ไม่มีอะไรมากเมื่อได้ฌาน ๔ คล่องแคล่วเสียอย่างเดียว ญาณทั้ง เจ็ดก็ได้หมด ทุกท่านอธิบายเหมือนกันอย่างนี้ ขอท่านผู้อ่านลองทำตามดูบ้างอาจจะมีผล สำหรับผู้เขียนเชื่อแน่ ไม่มีอะไรสงสัย
(ขอยุติวิชชาสามไว้เพียงเท่านี้)