เย็นวันสุข พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก “คิดถูก ดับทุกข์ได้”สวัสดีวันสุขอีกครั้งครับ ..
สัปดาห์นี้ ผมได้อ่านพบคำสอน ของพระอาจารย์มิตซูโอะในอินเตอร์เนต
ที่ช่วยเสนอแนวทาง การมีสติ สัมปชัญญะ อันทำให้เกิดปัญญา ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การดับทุกข์
ผมเห็นว่า คำสอนนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ ในการสร้างความเย็นในอารมณ์ และ ความสุขแก่จิตใจ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในสังคมรอบข้างได้
ก่อนจะไปสู่เนื้อหา คำสอน ผมขอแนะนำประวัติสั้นๆของพระอาจารย์ (สำหรับบางท่านที่อาจยังไม่รู้จักท่าน)
พระ อาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น ท่านอุปสมบทในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีหลวงพ่อเจ้าประคุณพระโพธิญาณเถร ( ชา สุภัทโท ) เป็นองค์อุปัชฌาย์
การ ที่ท่านพระอาจารย์ได้มาประเทศไทย และได้บวชเป็นศิษย์ต่างชาติท่านหนึ่ง ของหลวงพ่อพระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) นั้น เป็นเรื่องที่ "เป็นไปเอง" ตั้งแต่เด็กๆ ท่านคิดเสมอว่า "ชีวิตนี้น่าจะมีอะไรดีกว่านี้" ในที่สุดก็ได้ออกเดินทางท่องเที่ยว ไปประเทศต่างๆ วันหนึ่งไปถึงพุทธคยา เมื่อเห็นพระพุทธรูปที่พุทธคยาก็คิดว่า "นี่แหละคือสิ่งที่เราแสวงหา" จากนั้นท่านก็ได้ไปฝึกโยคะอยู่ที่สำนักโยคีแห่งหนึ่ง ในประเทศอินเดียนั่นเอง และก็เริ่มมีประสบการณ์โยคะบ้าง ท่านเกิดความพอใจ คิดว่าจะเป็นโยคีอยู่ที่อินเดีย ตลอดชีวิต แต่บังเอิญวีซ่าหมด มีคนแนะนำ ให้เดินทางมากรุงเทพฯ ต่อมาก็มีผู้แนะนำ ท่านให้ไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ตั้งแต่บัดนั้น
ตลอด ระยะเวลา ที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ในประเทศไทยนั้นท่านบำเพ็ญเพียรมาหลายรูป แบบ และธุดงค์มาแล้วหลายแห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งที่อุดมสมบูรณ์และที่ทุรกันดาร ในประเทศไทยท่านได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการธุดงค์เพื่อหาความสงบวิเวกไปตามภาค ต่าง ๆ ท่านได้รู้จักและเห็นความเป็นอยู่ของคนไทยทั่วทุกภาค ทั้งรู้สึกสำนึกในความศรัทธา ความเสียสละ และความเคารพของคนไทยที่มีต่อพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีส่วนทำให้ท่านยิ่งเร่งทำความเพียรมากขึ้น
ปัจจุบัน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดสาขา ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
(สรุปจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-105.htm )
000000000
คิดไปเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
จิตนี้มีความสำคัญ
ธรรมดาคนเราคิดอะไรมักจะไม่ค่อยรู้ตัว
วันหนึ่งๆ คนที่จะรู้ตัวว่า คิดอะไร ทำอะไร จริงๆ มีน้อย
ส่วนมากก็คิดไปตามความเคยชิน หรือตามอำเภอใจ
ตามอารมณ์นี่แหละ
คิดไปเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ทุกข์เกิดขึ้นกับเราทุกวันนี้ เพราะเราไม่รู้จักความคิด
คิดผิด คิดถูก ก็ไม่รู้
และเมื่อคิดผิด ก็เกิดทุกข์ทันที
บางครั้งก็ทุกข์เกินกว่าเหตุอีกด้วย
บางครั้งเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบายกายนิดหน่อย
แต่จิตใจทุกข์มาก
ทุกข์กายนิดหน่อย แต่ไปเพิ่มทุกข์ใจอีก
เพราะเราปล่อยความคิดของเราให้คิดไปตามกิเลส
ถ้าเราสามารถระงับจิตได้ ทำใจสงบได้ ปัญหาก็จะเบาลง
สมมติว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เรานั่งสมาธิ ทำใจให้สงบสักพักหนึ่ง
5 นาที หรือ 10 นาที ดูลมหายใจเข้า หายใจออก
จิตก็ไม่คิดอะไร ก็สงบสบาย ไม่มีทุกข์ใช่ไหม
นี่แสดงว่าทุกข์เกิดเพราะคิดผิด คิดปรุงแต่งเรื่อยไปนี่เอง
เห็นอะไร ได้ยินอะไร ไม่ชอบใจ ก็คิดปรุงแต่งไปจนไม่สบายใจ
หรือว่าอยู่ดีๆ นึกถึง อดีต ที่เคยมีเรื่องราวไม่ถูกใจ คิดไป นึกไป ปรุงไป
จนไม่สบายใจ เป็นทุกข์ บางทีเกิดอาฆาตพยาบาทก็ได้
การปรุงแต่งของจิตของเราจะมีลักษณะอย่างนี้
การสำรวมจิตอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้ คือการมาจำศีลภาวนาที่วัด
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ทำใจสงบสบายๆ
ฝึกหัดใจให้หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง
เมื่อไม่ปรุง ก็ไม่มีทุกข์อะไร
และนอกจากนั้นก็ พยายามศึกษา พยายามทำความเข้าใจว่า
ที่เราไม่สบายใจกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เพราะคิดผิด
หลวงพ่อชาท่านสอนว่า “ทุกข์เพราะคิดผิด”
คิดถูกได้ มีโอกาส แก้ทุกข์ได้
เราจึงควรพยายามศึกษา
คิดอย่างไรเรียกว่าคิดถูก คิดอย่างไรเรียกว่าคิดผิด
เราต้องเข้าใจชัดเจนทั้งสองอย่าง
ในการปฏิบัติของเรา เราต้องพยายามติดตามดู ความรู้สึกนึกคิด
ตลอดวันตลอดคืน ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะเมื่ออยู่ที่วัด
ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานหรือเที่ยวไป
ก็ตาม พยายามคอยระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ติดตามศึกษา
ความจริงเราไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงแต่คอยสำรวมระวัง คอยสังเกตว่า
เรามีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร
ให้มีสติ สัมปชัญญะ ระลึกรู้อยู่ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
อันนี้ให้ถือเป็นหน้าที่ของเรา
เราไม่ต้องอ่านหนังสือ หรือฟังเทศน์อะไรมากมาย
เพียงแต่พยายาม เปลี่ยนนิสัย ให้เป็นคนช่างสังเกต
คือสังเกตความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
สังเกตว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
การปฏิบัติเช่นนี้ การพยายามติดตามสังเกตเช่นนี้ จะทำให้เกิดปัญญา
000000000
ขอบคุณบทความดีๆจาก :
http://www.oknation.net/blog/StayFoolish/2009/07/17/entry-2