วัดป่าเชิงเลน ( สาขาวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ) ซอย จรัญสนิทวงศ์ 37 แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กทม.
ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมเมือง
วัดป่าเชิงเลนน่าจะเป็นวัดในความคิดคำนึง
ของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่
ด้วยบรรยากาศอันสงบร่มเย็น
ทั้งภูมิทัศน์ตามธรรมชาติ
และจินตทัศน์ทางธรรม ที่อยู่กลางกรุง
..........................................หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
หลักใจของชาววัดป่าเชิงเลน
ทาง เดินเล็กๆ ท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้มนำผู้คนหลากหลายมุ่งหน้าสู่ความสงบอย่างจงใจ ไม่มีเสียงอื่นใด ไพเราะไปกว่าเสียงนกเล็กๆ ขับขานอยู่บนยอดไม้ ไม่มีอะไรเยือกเย็นไปกว่าการนั่งขัดสมาธิ กำหนดลมหายใจอยู่ต่อหน้าองค์พระปฏิมา
อาจกล่าว ได้ว่า วัดป่าเชิงเลน เป็นวัดป่ากลางกรุงหนึ่งในไม่กี่วัด ที่ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสกับความรู้สึกสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด
วัด แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตบางกอกน้อย ไกลจากย่านที่สับสนวุ่นวายเพียงไม่กี่สิบนาที หากแต่เมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในร่มครึ้มของวัดแล้ว กลับรู้สึกห่างไกลจากโลกภายนอกมากนักสถานที่ตั้งของวัดป่าเชิงเลน พ้องกับชื่อเพราะบริเวณนั้นคือ ป่าชายเลน ที่เต็มไปด้วยไม้ใหญ่น้อยที่ชอบสภาพชื้นแฉะชุ่มน้ำ รอบวัดแห่งนี้มีต้นไทรอยู่เป็นจำนวนมาก ม่านไทรทำหน้าที่ตกแต่งทางเดินรอบวัดซึ่งยกพื้นสูงอย่างน่าชม
ด้วย สภาพพื้นที่น้ำท่วมถึงริมคลองชักพระ ที่นี่จึงไม่มีสนามหญ้าหรือลานวัดกว้างๆ มีเพียงอาคารสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และกุฏิสำหรับพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น
ผู้ เฒ่าผู้แก่ซึ่งอาศัยอยู่แถวนั้น เล่าต่อๆ กันมาว่า บริเวณที่ตั้งวัดป่าเชิงเลนนี้ ในอดีตเคยเป็นวัดเก่าแก่มีอายุนานเกินกว่า 4 ชั่วคน ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นวัดอยู่ในสภาพหักพังและรกร้างอยู่แล้ว จากการตรวจสอบอิฐและวิธีการก่อสร้าง พบว่าเป็นวัดรูปแบบเดียวกับวัดที่สร้างในสมัยอยุธยา จึงเชื่อกันว่าวัดนี้ควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 200 ปี
พระอาจารย์อุทัย (ติ๊ก) ฌานุตฺตโม
ผู้ค้นพบและริเริ่มบูรณะวัด
บริเวณ ที่ตั้งวัด ทุกวันระดับน้ำในคลองจะขึ้นลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในฤดูน้ำหลากจะมีน้ำท่วมขังคราวละเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุให้บริเวณวัดทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ พังทลายลงในที่สุด แม้ต่อมาจะมีความพยายามบูรณะฟื้นฟูหลายครั้ง แต่ในเวลาไม่นานสิ่งปลูกสร้างก็หักพังทลายลงไปอีก หมดกำลังที่ชาวบ้านจะบูรณะต่อไปได้ จึงถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างมาเป็นร้อยปี
กระทั่ง ในเดือนมีนาคม 2532 ท่านพระอาจารย์อุทัย(ติ๊ก)ฌานุตฺตโมได้มาพบบริเวณวัดร้างนี้โดยบังเอิญ แรกทีเดียวมองเห็นเป็นบึงกว้างใหญ่ กลางบึงเป็นต้นอ้อขึ้นสูงกว่าที่อื่น ใต้พงอ้อเป็นกองอิฐปะปนอยู่ จึงได้เข้าไปสำรวจและแผ้วถางหญ้าบริเวณที่เป็นโบสถ์ พบซากโบสถ์มีกองอิฐและกองไม้โครงหลังคา และเหลือซากกำแพงบางส่วนของตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำเพียงนิดเดียว ซึ่งใกล้ๆ บริเวณนี้ยังพบพระพุทธรูปเศียรขาด 3 องค์ ที่ถูกลักลอบตัดไปนานแล้ว ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจจึงได้ดำริจะบูรณะวัดนี้ขึ้นมาใหม่
พระครูกิตติวรคุณ
(บุญเลิศ สุจิตฺโต)
ประธานบูรณะวัด
หลัง จากเริ่มการบูรณะไประยะหนึ่ง เจ้าอาวาสเล่าว่า ได้มีผู้นำเศียรพระห่อผ้าขาวใส่พานมาให้ลองสวมดูกับองค์เดิมใส่ได้พอดี จึงดำเนินการปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ใหม่ รวมทั้งสร้างพระประธาน และอาคารต่างๆ ที่จำเป็นขึ้นใหม่ แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2533
แต่ ด้วยเจตนาที่จะให้วัดนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และละกิเลสในเชิงวัตถุทั้งปวง วัดแห่งนี้จึงไม่มีการก่อสร้างอาคารถาวรวัตถุใหญ่โต สิ่งปลูกสร้างต่างๆ แทรกตัวอยู่ท่ามกลางร่มไม้ เป็นตัวอย่างของการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติผู้มีคุณอันยิ่งใหญ่
โบสถ์ ของวัดป่าเชิงเลน จะมีเพียงฐานรากและหลังคาเท่านั้นที่ทำขึ้นมาใหม่ให้แข็งแรง นอกนั้นได้อาศัยต้นไม้ที่เรียงรายกันเป็นแถวเป็นแนวกำแพง ส่วนซากกำแพงเก่าคงเหลือไว้บางส่วน เป็นแนวอิฐเตี้ยๆ เพื่อเปิดเผยให้เห็นถึงลักษณะการเรียงอิฐ อันเป็นรูปแบบเฉพาะของสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา
นอก จากโบสถ์ซึ่งสร้างขึ้นบนฐานรากเดิมของวัดสมัยอยุธยาแล้ว สิ่งปลูกสร้างอื่นส่วนใหญ่จะสร้างบนทุ่นลอยน้ำ เนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศบริเวณนี้เป็นช่วงต่อระหว่างน้ำทะเลที่หนุนเข้ามา บรรจบกับน้ำเหนือที่ไหลลงมา เกิดเป็นดินเลนจำนวนมาก ทำให้ยากที่จะลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง
รูปของครูบาอาจารย์ สายวัดป่า
รูปของครูบาอาจารย์ สายวัดป่า
เจ้า อาวาสบอกว่า เมื่อมาสร้างวัดได้หาต้นไม้มาปลูกเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความร่มรื่นเหมาะแก่การบำเพ็ญศีลภาวนาและเป็นที่จำพรรษาของพระ สงฆ์ รวมทั้งเป็นที่ปลีกวิเวกสำหรับพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป
และ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ วัดแห่งนี้ได้อบรมการปฏิบัติธรรมให้กับญาติโยม โดยแนะนำการฝึกสมาธิที่ถูกต้อง พระลูกวัดองค์หนึ่งกล่าวว่า
" เราไม่ต้องการให้คนไปลุ่มหลงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และสิ่งอื่นที่มาหลอกล่อจิตใจ เพราะมันจะทำให้เราตกอยู่ในกิเลสไม่รู้จบ เราบูรณะวัดนี้ก็เพื่อประโยชน์กับชาวพุทธที่มาปฏิบัติธรรม"
ที่ นี่มีพระจำพรรษาอยู่ 5 รูป ครองตนเยี่ยงพระป่าโดยทั่วไป กิจวัตรเริ่มตั้งแต่ ตี 3 ของทุกวัน ฉันมื้อเดียว และจะต้องทำวัตรเย็นนั่งสมาธิ ตั้งแต่ทุ่มตรงจนถึงสามทุ่ม เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนี้
พระอาจารย์ภัลลภ อภิปาโล เจ้าอาวาสวัดป่าเชิงเลน
พระอาจารย์ภัลลภ อภิปาโล
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
เกือบ ทุกวันจะมีผู้ที่ต้องการหาความสงบแวะเวียนมาที่วัดแห่งนี้ บ้างก็มาสนทนาธรรม บ้างก็มาฝึกสมาธิ หรือบางคนก็ต้องการเพียงแค่นั่งเงียบๆ แม้ว่าจะไม่มีญาติโยมมาทำบุญกันมากเหมือนวัดดังๆ แต่คนที่มาที่นี่.. ส่วนใหญ่คือผู้ที่ตั้งใจจะอาศัยพุทธศาสนาเป็นเครื่องชี้นำจิตใจ และไม่ต้องการใช้ทางลัดในการเข้าถึงบรมธรรม
เช่นนั้นเองวัดป่าเชิงเลนจึงให้ความร่มเย็นทั้งทางกายและทางใจอย่างแท้จริง
ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก :
http://www.luangpumun.org/watpakrangkrung/watpa.htmแล้ว
http://kammatan.com