เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน) ก่อนเปิดอก พันเอก (พเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ พันเอกพิเศษฝ่ายเสนาธิการประจำกรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
กรุณาอ่าน รินจากเทป
คุณผู้อ่านจะได้ทราบรายละเอียดของการตายแล้วฟื้นของชายร่างสันทัดวัย 49 ผู้นี้
ด้วยการบรรยายนับร้อยหนของเขาที่มีผู้สนใจทั้งสโมสรต่าง ๆ กองทัพ องค์การ โรงเรียน บริษัทห้างร้าน ธนาคาร ฯลฯหากเขาได้ยืนกรานว่า
"ผมจะพูดให้ทหารซึ่งเป็นเพื่อนทหารของผมได้ฟังก่อนเพราะผมเป็นทหารของกองทัพ บก เป็นทรัพยากรของกองทัพเพราะฉะนั้นต้องบรรยายให้แก่หน่วยทหารได้ฟังก่อน"
ที่มาที่มีที่ไปอย่างไรนั้น อ่านได้แล้วค่ะ
รินจากเทป
เรื่องราวที่ผมจะพูดในวันนี้ถ้าคิด ๆ ดูมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วกับผม
และมันเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ตายไปแล้วนะครับ
คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาและพูดหรือบรรยาย ความรู้สึกในสิ่งที่เขาไปพบเห็นมาให้ฟังได้ เพราะเขาไม่มีโอกาสหรือบางท่านอาจจะมีโอกาส แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเกียรติ เมื่อพูดจาไปแล้วก็ดูว่าเชื่อถือไม่ได้ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เลยเป็นสิ่งที่เร้นลับ ไม่มีใครสามารถจะพิสูจน์ได้
แต่ในฐานะที่ผมประสบมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ผมกล้ายืนยันว่า เรื่องเหล่านี้มีจริง เรื่องของผมที่จะเล่าจะเริ่ม ณ บัดนี้
ชีวิตผมเกิดมาเป็นลูกสิบเอก คุณพ่อเป็นทหารรักษาวังชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น เพราะว่าคุณพ่อมีลูกเยอะถึง 10 คน
ผมเป็นคนที่ 3 เมื่ออายุได้ 8-9 ขวบ ช่วงนั้นคุณพ่อมีลูกถึง6-7 คน แล้วนะครับ เพราะฉะนั้นความเป็นอยู่ลำบากมาก เมื่อเวลาฝนตกทุกคนนอน แต่ผมต้องออกไปหาปลา น้องอีกคนไปหากบหาเขียด อีกคนหาผักบุ้ง เพื่อมาเป็นอาหารมื้อเช้า เงินเดือนสิบเอกแค่ 22 บาท เท่านั้น
ผมโตขึ้นผมต้องไปรบเวียดนาม ไม่ใช่เพราะผม ego ที่ไปเพราะผมต้องการเงินมาให้ญาติพี่น้องผมเรียนหนังสือ เพราะคุณพ่อผมเสียตั้งแต่ปี 2513
พูดถึงเรื่องความตายทุกคนก็ไม่อยากจะพบ ไม่อยากประสบ แต่ทุกคนก็อยากรู้ว่า เมื่อเวลาตายแล้วไปไหน จริงหรือไม่เมื่อตายแล้วเราต้องไปนรกหรือไปสวรรค์ เราทำบุญเราจะได้บุญเราทำบาปเราจะได้บาป เรื่องนี้ท่านทุกคนก็สงสัย
ทุกคนมีกรรม แต่ว่ากรรมของเรานี้เมื่อชาติก่อนเราเป็นอะไร อาจจะเป็นมนุษย์ อาจจะเป็นสัตว์ เราได้สร้างกรรมสร้างเวรไว้กับใคร อันนี้เราไม่ทราบได้
แต่เมื่อเกิดมาในชาตินี้ กรรมนั้นมันก็ตามมา บางท่านอาจจะไม่เชื่อว่ากรรมนั้นเป็นมาอย่างไร แต่กรรมนั้นมี แต่เราไม่รู้
ทุกคนเกิดมาก็จะต้องมีการตายแน่นอน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมายความว่ากรรมที่ว่านั้นคือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ซึ่งเราเรียกว่ากรรมดีและกรรมชั่ว
ท่านอาจจะอยากทราบว่าเวลาจะตายนั้นมันเป็นอย่างไรเพราะเมื่อมีการตายนั้นจะต้องมีการตั้งศพสวด นิมนต์พระมาสวดศพ เป็นการแผ่บุญกุศลให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว และก่อนที่เราจะบรรจุศพคนตายลงไปในโลง เรามีการรดน้ำศพที่มือขวา
เวลาที่เรารดน้ำศพ เรามักพูดกันอย่างนี้ คือขออโหสิกรรมผู้ตายเมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ กรรมใดที่เราเคยผิดพ้องหมองใจก็ขออโหสิกรรมเสียในชาตินี้
อีกคนหนึ่งก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านไปสู่สุคติ อีกท่านก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านจงไปสู่สัมปรายภพเทอญ
บางท่านก็บอกว่าชีวิตของคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกัน ขอให้ท่านอย่าได้ห่วงร่างและห่วงวิญญาณในชาตินี้เลยขอจงไปสู่สุคติเถิด
บางคนก็รดน้ำศพไปอย่างนั้นน่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรการที่เราทำอย่างนั้น เราก็ต้องการให้คนที่ตายไปอยู่ภพหน้า ทั้ง ๆที่เราก็ไม่รู้ว่ามีจริงมั้ยจริง ให้เขาไปอยู่ในภพหน้าด้วยความสุขกว่าที่เขาอยู่ในชาตินี้
ถึงแม้ว่าเขาจะมีความลำบากในชาตินี้อย่างไรเพียงใดก็ตาม เมื่อเวลาเขาตาย เราก็ขอให้เขาไปดี แล้วก็ไปอยู่ดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ในชาตินี้
แต่ความจริงแล้วการที่เราพูดอย่างนั้นมันก็มีส่วนถูกบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะ ถูกทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์การที่เรารดน้ำศพ เราควรจะพูดอย่างนี้ครับ
ชีวิตของคนเกิดมา ท่านกับเราตายเหมือนกัน แต่ว่าใครจะตายช้าตายเร็ว ขอให้กรรมดีที่ท่านได้สร้างไว้ในชาตินี้ในภพนี้จงช่วยนำท่านไปสู่สุคติ
อย่างนี้ครับจึงจะถูก
และต้องพูดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนตายต้องการมากที่สุด