KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรหลักการปฏิบัติธรรมและวิธีการสูงสุด ของ พระพุทธศาสนา
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: หลักการปฏิบัติธรรมและวิธีการสูงสุด ของ พระพุทธศาสนา  (อ่าน 22430 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2008, 07:47:45 PM »


คำแถลง

               พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลก  เมื่ออัญชันศักราช 103 กลียุคศักราช 2513 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี
พระผู้มีพระภาคเจ้าโคตโมพระศาสดา  ทรงประกาศครั้งแรกเมื่อวันเพ็ญ เดือนอาสาฬหะ (เดือน 8 ) ปีนั้น

                จากนั้นได้เสร็จจาริกประกาศพระพุทธศาสนา  ตามคามนิคมราชธานีในประเทศต่างๆทั่งภาคพื้นชมพูทวีป  
เป็นเวลา 45  ปี เสด็จดับขันธ์สู่พระปรินิพพาน  เมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ(เดือน 6 ) อัญชันศักราช 148  กลียุคศักราช 2558 ซึ่งเป็นวันตั้งต้นของพุทธศักราช นับแต่ทรงประกาศครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบัน ( พ.ศ.2519) ได้ 2564 ปีแล้ว

                 พระพุทธศาสนาได้นำสืบทอดกันนานเช่นนี้  จึงเป็นธรรมดาที่เกิดมีมติผิดแปลกแตกต่างจากเดิมไปบ้าง  ในสาระสำคัญบางประการ   โดยเฉพาะ  พระปรมัตถธรรมซึ่งเป็น  ธรรมชั้นสูงที่เข้าใจยาก   จึงย่อมเกิดความเข้าใจผิดแผกแตกต่างกันขึ้น  แต่เท่าที่พบก็มีในพระสูตรที่สาวกแสดง  และในคัมภีร์ที่รจนาในชั้นหลัง

                 พระสูตรชื่อ สัมมาทิฐิสูตร  ของพระสารีบุตรอัครสาวก  ตอน แจงรายละเอียดของวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท ท่านเอานิเทศแห่งวิญญาณขันธ์มาใส่ลง

                 ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  เกิดจากความผลั้งเผลอในคราวคัดลอกต่อๆกันมา  ได้นำเอานิเทศวิญญาณขันธ์มาใส่เข้าไป
มิใช่ฐานะที่พระอรหันต์ชั้นอัครสาวกจะแสดงผิดพลาด เพราะว่าพระอรหันต์ย่อมรู้แจ้งวัตถุอันเป็นที่ประดิษฐ์ของอวิชชาแล้ว

 

ที่ตั้งของอวิชชา

                 วัตถุอันเป็นที่ประดิษฐานของอวิชชา  8 ประการ  คือ

               1.ปุพพันตะ  จุดเริ่มตันของสังสารวัฏ  คือจุดแรกที่ปฐมวิญญาณเกิดมีอวิชชา และภวตัณหา  ประยุกต์แล้วจึงเกิดเป็นสัตว์
               2 .อปรันตะ  จุดสุดท้ายของสังสารวัฏ คือจุดบรรลุอรหันตผล  ปฐมวิญญาณพ้นจากความเป็นสัตว์  หยุดเกิดตายในสังสารวัฏ  ดำรงอยู่อย่างอิสรเสรี  ไม่มีสังขารใดๆเป็นที่อาศัย  บรรลุถึงเอกภาพสมบูรณ์  ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งโดๆเป็นตนของตนอย่างแท้จริง (ปรมาตมันบริสุทธ์) ดำรงอยู่อย่างสันติตลอดกาลนิรันดร

             3.ปุพพันตาปรันตะ  จุดกลางจากจุดเริ่มตันไปยังจุดสุดท้ายสัตว์ท่องเที่ยวเกิดตายในสังสารวัฏอันยาวนาน  ด้วยปัจจัย 3 ประการที่เรียกว่าสังสารจักร   คือ    กิเลส   อภิสังขาร(กรรม)   วิบาก(ขันธ์)

             4.ปฏิจจสมุปบาท  (ปัจจยาการ 12 ) เหตุปัจจัยการเกิดแห่งทุกข์ซึ่งเกิดสืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่
             5. ทุกข์ โดยรวบยอดได้แก่ เบญจขันธ์
             6.ทุกข์สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ซึ่งได้แก่ตัณหาทั้ง3 ซึ่งมี  อวิชชา เป็นหัวหน้า ได้แก่  กามตัณหา   ภวตัณหา   วิภวตัณหา
             7. ทุกขนิโรธ พระอมฤตนิพพาน คือจิตบริสุทธิ์ที่สุด (ปรมสุทธิ์)สามารถดับเหตุแห่งทุกข์ได้เด็ดขาด
             8. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางปฏิบัติพาให้บรรลุพระอมฤตนิพพาน ซึ่งได้แก่ พระอริมรรค 8



 
ความหมายของวิญญาณ

                   ความจริงคำว่า "วิญญาณ"  ในภาษาบาลี มีความหมาย 2 อย่าง คือ

              1.ปฐมวิญญาณ ซึ่งเป็นธาตุแท้ในกลุ่มธาตุแท้ทั้ง 6 คือ ธาตุ ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  อากาศวิญญาณ   ธาตุแท้ไม่มีการเริ่มต้น  สิ่งใดที่ไม่มีการเริ่มต้น สิ่งนั้นย่อมไม่มีสิ้นสุด เป็นอักขรัง (อักษร) แปลว่า ไม่สิ้นสุด   พระอมฤตนิพพาน  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงบัญญัติเรียกว่า "อักขรัง" แปลว่า ไม่สิ้นสุด  เช่นเดียวกัน ดังนั้น  พระนิพพานจึงมิใช่สิ่งดับสูญ  เพราะหมายถึงปฐมวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

              2. วิถีวิญญาณ ซึ่งหมายถึง วิญญาณทางทวารทั้ง 6  สำหรับรับรู้อารมณ์สื่อสัมผัส  สิ่งนี้มีลักษณะเกิดดับ  เหมือนสังขารทั้งหลาย เพราะเกิดจากกรรมในอดีตชาติ  

                เพราะเหตุที่ "วิญญาณ"  มีความหมายสองอย่างนี้เอง  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติคำว่า "จิตตัง"   ขึ้นใช้ในความหมายของ ปฐมวิญญาณ  เราใช้ในภาษาไทยว่า "จิต" เพราะเราไม่มีคำที่มีความหมายตรงกับคำนี้ใช้  แต่คงจะเป็นเพราะคำว่า  "วิญญาณ"    เป็นศัพท์วิชาการโบราณซึ่งจำเป็นต้องใช้อยู่  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงยังทรงใช้อยู่ เช่นใน ปฏิจจสมุปบาท ก็ทรงใช้คำว่า "วิญญาณ"  ในความหมายของปฐมวิญญาณ

                 ดังนั้นเมื่อเราพบคำนี้  จึงควรสำเหนียกว่า ความหมายถึง ปฐมวิญญาณ หรือ วิถีวิญญาณ อย่าด่วนตีความหมายไปทางใดทางหนึ่ง  พึงใคร่ครวญดีๆก่อน จึงตีความลงไป

เหตุเกิดวิญญาณ


         วิญญาณทั้ง 2 ประเภทเกิดขึ้นเพราะเหตุ  คือ

        1. ปฐมวิญญาณ  เกิดเป็นสัตว์เพราะถูกอวิชชาและภวตัณหาประยุกต์
        2. วิถีวิญญาณ  เกิดขึ้นทางทวารทั้ง 6 เพราะมีอารมณ์เข้าสู่ทวาร  ดั่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อายตนะภายใน   อายตนะภายนอก  วิญญาณ   3 สิ่งประจวบกัน  เกิดเป็นผัสสะ  (สัมผัส)  เพราะเหตุนี้  วิญญาณทุกประเภทเพราะเหตุทั้งนั้น  สมจริงดังสาวกภาษิตว่า

           "เย  ธมฺมา   เหตุปฺปภวา    เตสํ    เหตํ   ตถาคโต   เตสญฺจ   โย  นิโรโธ จ  เอวํ  วาที  มหาสมโณ"

           สิ่งเหล่าใด  เกิดเพราะเหตุพระผู้บรรลุนิพพานแล้ว  ตรัสบอกเหตุของสิ่งเหล่านี้( บอกเหตุเกิด) พระนิพพานซึ่งเป็นภูมิดับเหตุของสิ่งเหล่านั้นอันใด  พระผู้บรรลุนิพพานแล้ว  ก็ตรัสบอกพระนิพพานนั้นด้วย( บอกเหตุดับ)   พระมหาเถระทรงมีพระวาทะอย่างนี้
 

      
         ดังนั้นเมื่อจะพูดให้ถูกต้องควรจะพูดว่า "สัตว์ท่องเที่ยวเกิดตายในสังสารวัฏ"  ไม่ควรพูดว่า  "วิญญาณท่องเที่ยวเกิดตายในสังสารวัฏ"   เพราะว่าปฐมวิญญาณ เมื่อเป็นธาตุแท้  ไม่มีการท่องเที่ยวเกิดตาย  แต่เมื่อเกิดมีอวิชชาและภวตัณหา  จึงเกิดเป็นสัตว์ตั้งแต่นั้น  จึงมีการท่องเที่ยวเกิดตายในสังสารวัฏ   เมื่อมาปฏิบัติกำจัดเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว  ก็พ้นจากความเป็นสัตว์  หยุดเกิดตายได้

         ข้อความนี้ในพระสูตรเทวตาสังยุต  ในสคาถวรรค  สังยุตตนิกาย  พระสุตตันตปิฏก ที่ข้าพเจ้าเลือกเฟ้นมาแปลและอธิบายไว้ใน หลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนานี้

       ข้าพเจ้าชี้แจงยืดยาว  ก็ด้วยมุ่งหมายให้ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง และประสงค์ให้พระพุทธศาสนาแท้ๆ(บริสุทธิ์)  ดำรงอยู่นานๆเพื่อสำเร็จประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงไปนานจนถึงกาลอวสานของพระพุทธศาสนา




พระอริยะคุณาธาร  เส็ง  ปุสฺโส  ป.ธ.๖
คำชี้แจงหลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนา

 
             หลักการใหญ่ๆของพระพุทธศาสนามี 3 หลัก

             1.สังสารวัฏ  สัตว์โลก มีการเกิดตายในสังสารวัฏ  ตลอดกาลยาวนานจนนับชาติไม่ถ้วน
             2.กรรม  สัตว์โลกสร้างกรรมใส่ตัวด้วยอำนาจกิเลส  คือ กามตัณหาและอวิชชา แล้วถูกกรรมนั้นๆ บังคับให้ท่องเที่ยวเกิด ตาย  เป็นเวลายาวนานนับชาติไม่ถ้วน
             3.นิพพาน  สัตว์โลกเกิดความสำนึกชอบ  จึงหาหนทางทำให้การท่องเที่ยวเกิดตาย ในสังสารวัฏสิ้นสุดลง  การหยุดการเกิดตาย ได้จัดเป็นพระนิพพานขั้นสูงสุด   จิตที่บรรลุพระนิพพานแล้วพ้นความเป็นสัตว์  เป็นอิสรเสรีที่สุด   ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของใครหรือสิ่งใด  ดำรงอยู่ในสภาพสันติสุขตลอดกาลนิรันดร์



             ข้าพเจ้าได้อ่านพระไตรปิฏก ได้พบ หลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนา    เกิด ศรัทราเลื่อมใส  จึงแปล  ทำคำอธิบายเพิ่มเติม มุ่งเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เชื่อและเข้าใจว่าถูกต้อง  แก่เพื่อนพุทธสาสนิกชน   ผู้ซึ่งมุ่งปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาชั้นสูงเพื่อพ้นสรรพทุกข์

            พระผู้มีพระภาคเจ้าพระศาสดาของศาสนาพุทธ ทรงบรรลุภูมิพ้นความเป็นสัตว์  ทรงหยุดท่องเที่ยวเกิด ตาย  ในสังสารวัฏแล้ว  ได้ทรงประกาศ  หลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนา  นี้แก่ประชาชนชาวชมพูทวีป  เมื่อก่อนพุทธศักราช 45 ปี บัดนี้ศักราช 2519+45 เท่ากับ 2564  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  พระอรหันต์พุทธสาวก ได้เอาธุระรวบรวมเป็นพระพุทธศาสนา  นำสืบๆกันมาจนถึงปัจจุบัน

          หลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนานั้นก็ยังบริสุทธิ์บริบูรณ์  มีพร้อมมูลในพระไตรปิฏก    แต่เราชาวพุทธศาสนิกชนส่วนมากไม่ได้ศึกษาจากพระไตรปิฏกโดยตรง  ได้ศึกษาจากอรรถกถา  ฏีกา  อนุฏีกา และปกรณ์  ที่รจนาในชั้นหลัง  จึงได้ความรู้ไม่สู้ตรงกับหลักเดิม  

           เมื่อข้าพเจ้าได้พบ  หลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฏกแล้วจึงปรารถนาจะเผยแพร่แก่พุทธศาสนิกชนด้วย  หวังว่าจะได้ประโยชน์แก่เพื่อนพุทธศาสนิกชน และจักดำรงรักษา หลักการและวิธีการสูงสุดของพระพุทธศาสนาด้วย.....



โดย  อดีตพระอริยะคุณาธาร เส็ง ปุสฺโส
ขอบคุณเว็บข้อมูล : http://ariyadham.saiyaithai.org
รูปโดย golfreeze[at]packetlove.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2011, 04:15:00 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2008, 08:06:33 PM »

อ่านต่อได้ที่

http://ariyadham.saiyaithai.org/dham_ariya1.php


http://ariyadham.saiyaithai.org/tippaya.php
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2011, 04:10:57 PM »


บทนำ
หลักการสูงสุดของพระพุทธศาสนา   คือ

              1. หลักสังสารวัฏ
              2.หลักกรรม
              3.หลักพระนิพพาน

หลักที่ 1 หลักสังสารวัฏ

           ว่าด้วยการเวียนว่าย ตาย เกิด  เป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่างๆในโลก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้หลักนี้ในยามของราตรี  ในวันเพ็ญเดือน 6 ปีอัญชันศักราช 103 กลียุคศักราช 2513  ก่อนพุทธศักราช 45 ปี การเวียนว่ายตาย-เกิดนั้น  มีจุดที่สำคัญเป็นที่เกิดขอองอวิชชา 3 จุดดังนี้

จุดเริ่มต้น

            1.ปุพพันตะ  จุดเริ่มต้นเป็นสิ่งมีชีวิตในโลก ( จุดเริ่มตันของสังสารวัฏ )
              ธาตุแท้   ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติ เรียกว่า "อสังขตธาตุ" มี 6 สิ่ง  คือ   ปฐวีธาตุ(ดิน)     อาโปธาตุ (น้ำ)     เตโชธาตุ (ไฟ)      วาโยธาตุ(ลม)  อากาศธาตุ(ช่องว่าง)   วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ หรือปฐมวิญญาณ)   สิ่งทั้ง 6 สิ่ง  ไม่มีใครสร้างขึ้น  จึงไม่มีจุดเริ่มต้น  สิ่งใดที่ไม่มีจุดเริ่มต้นย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด  เป็นอักขรัง ไม่มีสิ้นสุด

           ในธาตุแท้ทั้ง 6 นั้น วิญญาณธาตุเป็นสิ่งประเสริฐ  เมื่อยังเป็นธาตุแท้ๆอยู่นั้น   ไม่มี วิชชารักษาตัว  จึงเกิดมี อวิชชา ขึ้นประยุกต์   นับแต่มีอวิชชาประยุกต์แล้วก็แปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต(สัตว์) เกิดขึ้นในโลก

           ความข้อนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตรัสไว้ในพระสูตรที่ 61 ในพระสุตันตปิฏก

     "ปุริมา  ภิกฺขเว  โกฏิ  น ปญญายติ  อวิชฺชา  ปุพฺเพ  นาโหสิ  อถ  ปจฺฉา  สมฺภวิ "
 "ภิกษุทั้งหลาย! จุดเริ่มต้นของอวิชชา  ไม่รู้  แต่ก่อนอวิชชายังไม่มี  ภายหลังอวิชชาจึงมี"

           อธิบายว่า  ปฐมวิญญาณ หรือ ปุริมวิญญาณ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติใหม่ว่า "จิต" นั้นไม่มีอวิชชาประยุกต์มาแต่แรก  อวิชชาเกิดขึ้นและประยุกต์ในภายหลัง

     จุดแรกที่อวิชชาประยุกต์ปฐมวิญญาณนี้  อันใครๆ  ไม่อาจรู้  เพราะ เป็นระยะไกลเกินวิสัยของญาณจะส่องไปถึง   แต่ละคนได้เกิด-ตาย มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน  จึงไม่อาจสาวไปถึงจุดแรกเกิดอวิชชา ว่าเริ่มต้นเมื่อไหร่   เพียงแต่รู้โดยอนุมานว่า      มีการเริ่มต้นของอวิชชาเท่านั้น

   สิ่งใดมีการเริ่มต้น  สิ่งนั้นย่อมมีการสิ้นสุด   ดังนั้นอวิชชาจึงเป็นสิ่งที่อาจทำให้สิ้นสุดลงได้

           หลักการอนุมานนี้  เป็นหลักการถูกต้อง  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้หลักการอนุมานไต่เต้าไปสู่การตรัสรู้มาแล้ว   เมื่อเกิดอวิชชาขึ้นประยุกต์ปฐมวิญญาณแล้ว   ก็เป็นปัจจัยให้เกิดเจตจำนงเพื่อเป็นอย่างนี้ต่อไป

       เจตจำนงนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงบัญญัติเรียกว่า  ภวตัณหา   

          ภวตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด   ก็ไม่อาจรู้เหมือนกัน  เพราะแต่ละคนได้ท่องเที่ยวเกิด-ตายมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน  สุดวิสัยที่ญาณจะส่องไปถึง  แต่ก็อนุมานได้เช่นเดียวกับอวิชชา

         ภวตัณหา คือเจตจำนง หรือ กรรม เป็นหลักสำคัญที่สุดหลักหนึ่งของพระพุทธศาสนา  ซึ่งจะได้บรรยายรายละเอียดให้ทราบในหลักกรรม

       2.อปรันตะ  จุดสุดท้ายของการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในโลก (จุดสุดท้ายของสังสารวัฏ)

     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย   สิ่งทั้ง 3 คือ  กิเลส   อภิสังขาร(กรรม)  วิบาก(ขันธ์)  เป็น ส้งสารวัฏ    ถ้าสิ่งทั้ง 3 นี้ยังประยุกต์จิตอยู่แล้ว  สัตว์ก็จะท่องเที่ยวเกิด-ตายเรื่อยไป    เมื่อทำลายสังสารวัฏ 3 สิ่งนี้  ให้หมดไปจากจิตใจแล้ว เมื่อนั้นก็พ้นจากความเป็นสัตว์ หยุดท่องเที่ยวเกิดตาย

      เมื่อนับแต่เกิดมี อวิชชา(ยอดกิเลส)  และ ภวตัณหา(กรรม) แล้ว  ปฐมวิญญาณก็แปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต(สัตว์) แล้วท่องเที่ยวเกิด-ตายร่ำไป

         แปลว่าสัตว์มีบาปติดตัวมาเกิดใหม่ทุกๆชาติ  เมื่อใดบรรลุจุดสุดท้ายแล้ว  เมื่อนั้นก็หยุดท่องเที่ยวเกิด-ตายได้
         ปัจจัยแห่งการเกิด-ตายของสิ่งมีชีวิต  ที่สำคัญที่สุดได้แก่ภวตัณหา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
phraedhammajak
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
***

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 16
กระทู้: 109


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 08, 2012, 12:52:43 AM »

มหาปรินิพพานสูตร ในพระไตรปิฏกมาพูดสรุปแนวทางที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงมอบลายแทงตามหาแนวปฏิบัติของพระองค์เอาไว้ในมหาปรินิพพานสูตร
     ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานมีปริพาชกนามว่า สุภัททะ อาศัยอยู่ในเมืองกุสินาราได้ออกศึกษาวิชาการดับทุกข์จากหลายสำนักหลายครูบาอาจารย์ แต่ละอาจารย์ก็อ้างตัว่าเป็นอรหันตและสุภัททะก็ได้ไปศึกษากับอาจารย์เล่านั้นมาแล้วแต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่จึงเกิดความสงสัย สุภัททปริพาชกได้สดับว่า พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ สุภัททปริพาชกได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ก็เราสดับถ้อยคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกในบางครั้งบางคราว พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอยู่ เราเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา โดยประการที่เราจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้ ฯ
สุภัททปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านี้ใด เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นคนดี คือบูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลยสุภัททะ ที่ข้อถามนั้นงดเสียเถิด

ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

สุภัททปริพาชก ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

            ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
            ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

(คำว่าสมณะ ที่๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์)

จาก มหาปรินิพพานสูตร ก็ทำให้เราได้ลายแทงว่าการปฏิบัติแต่ละรูปแบบจะแนวไหนก็ตาม  ถ้าอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้าก็จะต้องสามารถทำให้มรรค ๘ เกิดขึ้นพร้อมด้วย ถ้าปฏิบัติแล้วสามารถทำให้มรรค๘เกิดขึ้นพร้อมได้  ก็ถือว่าการปฏิบัตินั้นๆเป็นไปตามแนวทางดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอน นี้คือลายแทงตามหาครู


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 08, 2012, 12:56:36 AM โดย phraedhammajak » บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 08, 2012, 12:57:19 AM »

สาธุ ครับ ทางแห่งความสงบซึ่งกิเลสโดยแท้
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: