จิตมีดวงเดียว แต่นิยามของมันกลับมี 2 ดวง ภาค 2ในภาคแรก
http://www.kammatan.com/board/index.php?action=post;topic=765.0;num_replies=1ที่ผมเขียนว่า:
หากคุณเข้าใจ คุณก็ย่อมหาจิตพุทธะที่เป็นแก่นเจอเมื่อเอาจิตสังขารเฮงซวยของคุณออกไป เพราะจิตมี 1 เดียว ที่บดบังมันอยู่คือ กิเลสตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ คือ จิตสังขารเป็นจิตเก๊ มันเป็นเพียงสิ่งที่มาลวงตาลวงจิตคุณเท่านั้น
ท่อนนี้ต้องอธิบายว่า จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต เป็นจิตที่เป็นแก่น และตัวนิพพานจิต/นิพพานธาตุนี้ เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่มีทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "พระตถาคตจะเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้นมีอยู่แล้ว"
ธรรมธาตุ = นิพพานจิต/นิพพานธาตุ = อสังขตธาตุ
บท สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ทุกบทในนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ขันธ์ 5 และสังขารทั้งสิ้น ( เช่น สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพธรรมมาอนัตตา)
นอกจากนี้...พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า นิพพานเป็นอนัตตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะจิตบริสุทธิ์(จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต) มันอยู่เป็นนิรันดร ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย นั่นเอง = เที่ยง ไม่มีทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = อัตตา (ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ในอนัตตลักขณะสูตร)
ในขณะที่ ธรรมชาติใน 3 ภพ มันเป็นสังขตธาตุ คุณสมบัติของมัน เป็นอนิจจัง = เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องดับไป เมื่อสังขตธาตุหรือธรรมชาติใน 3 ภพ อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง มันจึงหลีกหนีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้น มันจึงต้องเป็นทุกข์ทางกาย เมื่อต้องเผชิญกับสภาพทางกายภาพของมัน ที่ต้องแตกสลายเสื่อมและดับไป
อย่างไรก็ตาม เมือจิตเก๊(จิตสังขาร)ของมัน สามารถยอมรับสภาพของการแตกสลายเสื่อมและดับไปได้ 100% ความทุกข์ทางใจของมันจะหมดไปเชิง
ในคัมภีร์มหายานหมวดอวตังสกะระบุว่า:
"พระพุทธองค์สอนอนัตตา ก็เพื่อให้เราค้นพบอัตตาที่แท้จริง