AVATAR:
กล่าวถึงให้ทราบกันเพื่อรู้ แต่ไม่ได้บอกว่าให้ไป และนี่แค่เปลือกของศาสนาเท่านั้น...
แก่นของศาสนาจึงไม่ได้สอนว่าให้ไปที่ไหนทั้งนั้นในภพภูมิทั้ง ๓๑ ไม่ว่าจะเป็นพรหม หรือ อรูปพรหม หรือ เทวดา ชั้นต่างๆหรือในอบายภูมิ
จะไม่ไปได้อย่างไร...? ก็ด้วยรู้แจ้งในอริยสัจสี่ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้แล้ว จึงประกาศพระศาสนา เพื่อบอกถึงแนวทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิ นี่ไงเล่าครับ ให้สาวกรับทราบและเดินตามเพื่อหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏนี้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษากับ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘ (สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะ)
ทำไมพระองค์ได้ถึงสมาบัติ ๘ แล้ว เก่งกว่าอาจารย์เนื่องจากเรียนด้วยเวลาอันสั้น และยังมีความสามารถพิเศษด้านอื่นอีกเป็นอันมากที่อาจารย์ไม่มี ยังไม่ประกาศพระศาสนา?
เพราะถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิอยู่ดี ใช่ไหมครับเพราะยังติดอยู่ในภูมิอรูปพรหม....
จนพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แจ้งในอริยสัจสี่ แล้วอันเป็นหนทางแห่งหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิ พระองค์จึงแสดงธรรมและประกาศพระศาสนา สั่นสะเทือนไปทั่ว ๓ โลกธาตุ เทวดา พรหม ต่างสรรญเสริญและนมัสการ
ตลอดจนเทวดา พรหม ต่างสรรญเสริญและนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกพระองค์อีกในการต่อมาจวบจนปัจจุบัน ( ส่วนถ้าใครยังไม่สรรญเสริญและนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกนั้น คงไม่ต้องบอกกล่าวกันนะครับว่ายังเป็นไปเช่นไร...)
นี่คือแก่นแท้ของศาสนาพุทธนะครับ
พยายามอย่าจับโน่นนิดนี่หน่อยในพระไตรปิฎก มาผสมปนเป ตีความเอาเอง สรุป เอาเอง และประกาศออกไปเอง เพราะตัวเองก็เรียนรู้มาจากพระศาสดา เดินตามพระศาสดามา ไม่ได้ตรัสรู้เอง
ระวังอย่าให้ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ยิ่งผิดเพี้ยนเท่าใดก็ยิ่งห่างออกจากแก่นเท่านั้น
ด้วยความปรารถดีและปรารถนาให้ศาสนาดำรงอยู่ครบถ้วนตามวาระสืบไปครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------
คุณ AVATAR ครับ
"ระวังอย่าให้ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ยิ่งผิดเพี้ยนเท่าใดก็ยิ่งห่างออกจากแก่นเท่านั้น"
กรุณาช้มาเลยครับว่า จุดไหนผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก คำกล่าวลอยๆประเภทนี้ผมได้รับมาทุกเว็บแหละครับ หาว่าบิดเบือนพุทธศาสนาบาง สอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าบ้าง พอผมถามว่า บิดเบือนตรงไหน ไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าตรงไหน ..... เท่านั้นแหละจนตรอกเลย
แล้ววิ่งไปหาคำพูดของอรรถกาถาจารย์ ฎีกาจารย์มาแย้งกับผม ผมจึงบอกว่า อรรถกาถาจารย์ และฎีกาจารย์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พวกนั้นโดนมารสิงทั้งนั้นให้ทำสัทธรรมปฏิรูป ทำของปลอมให้เกิดกับพุทธศาสนา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 01:10:49 pm
1. วิธีการเข้าสู่ ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด เอาคำเดียวก่อน เอาเป็นพระไตรปิฎกภาษาไหนก็ได้ ว่าอยู่ที่ไหนในพระไตรปิฎก เล่มที่เท่าไร หน้าไหน ?แปลแล้วต้องได้คำว่า หรือมีความหมายว่า วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด
ผมบอกแล้วว่า ถ้าไอคิวต่ำๆ คิดอะไรไม่ออกหรอกครับ
นิยามของ พรหม ใน ภควัทคีตา
สิ่งที่บุคคลควรรู้สูงสุดคือ พรหม
พรหมคือสภาวะอันสูงสุด ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย เป็นอมตะ ไม่เป็นทั้งสิ่งมีอยู่และสิ่งไม่มีอยู่
พรหมหยั่งรู้ถึง อารมณ์ โลภ โกรธ หลง แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น
พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง
พรหมคือสภาวะอยู่เหนือความดีและความชั่ว
พรหมมิอาจหยั่งรู้ได้ด้วยการคิดและใช้เหตุผล
1. พรหมในทางพุทธศาสนา ล้วนเป็นพรหมในชั้นโลกียะทั้งหมด ยกเว้นพระนิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าก็เรียกตัวของท่านเองว่า "พรหมกาย พรหมภูต ธรรมกาย ธรรมภูต"
....เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91)
2. นอกจากนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทว่า ไม่มีพรหมชั้นอื่น และไม่เคยปฏิเสทนิยามคำว่า "พรหม" ซึ่งหมายถึงพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ในหนังสือ นิพพานในความหมายของหลวงพ่อ....ว่า
"โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้น"
พรหมในชั้นโลกุตตระ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น นิพพานพรหมหรือนิพพานโลก..... ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดแล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไป" อ่านเรื่องเมืองพระนิพพานในคิริมานาทสูตรเอาเองนะครับ
http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=135 3. "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" =อมตะ
4. นินามข้ออื่นๆของศาสนาพราหมณ์ เช่น
พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง = อรหันต์
พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น = นิพพาน = ธรรมหรือธาตุที่ปราศจากอารมณ์
สรุป
พรหม ที่ศาสนาพราหมณ์พูดถึง = สภาวะอันสูงสุด(พระเจ้า) และตามคำนิยามของศาสนาพราหมณ์ ในทุกนิยามก็หมายถึง นิพพาน+พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งนั้น พรหมในชั้นโลกียะไม่ได้เป็นพระเจ้า เพราะทุกชั้นมีอายุจำกัด แม้แต่อรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น แล้วก็ต้องตาย(จุติ) ส่วนพรหมในชั้นโลกุตตระ เป็นอมตะนิรันดร ที่ต้องเรียกว่า "พรหมในชั้นโลกุตตระ" เพราะท่านได้กำจัดราคะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงออกแล้วนั่นเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.นิพพาน ก็คือ พรหมสูงสุด พรหมสูงสุด? คือ นิพพานพรหม หรือพรหมในโลกุตตระ
...หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ในหนังสือ นิพพานในความหมายของหลวงพ่อ....ว่า
"โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้น"
พรหมในชั้นโลกุตตระ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น นิพพานพรหมหรือนิพพานโลก..... ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดแล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไป" อ่านเรื่องเมืองพระนิพพานในคิริมานาทสูตรเอาเองนะครับ
http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=135 2.ถ้าเป็นไปตามข้อ 1.มิต้องเวียนว่าย ตาย เกิด หรือครับ
(เพราะเท่าที่ผมรู้พรหม ก็ยังต้องเวียนว่าย ตาย เกิด)
...พรหมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด คือ พรหมในชั้นโลกียะ แม้แต่อรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000มหากัป ก็ต้องตาย(จุติ) แต่พรหมวิสุทธิเทพ และพรหมอดิเทพ พวกท่านเป็นพระอรหันต์ที่เป็นอมตะ จึงไม่ต้องตาย(จุติ) เมื่อไม่ตาย จึงไม่เกิด พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"
พรหมวิสุทธิเทพ และพรหม อดิเทพ พวกท่านเป็นพระอรหันต์ ได้กำจัดราคะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ออกจากใจไปหมดแล้วยังไงล่ะครับ