KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมวิถีแห่งท่าน phonsak(w)
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: วิถีแห่งท่าน phonsak(w)  (อ่าน 117085 ครั้ง)
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:36:06 PM »

ไม่เข้าใจนิยามของ อัตตา อนัตตา อัตตา(นุทิฏฐิ) ก็ตีความพุทธศาสนาผิดหมด   

    1.  ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อนัตตา" ไว้ว่า:
   
   ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
   
   ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา( หรือสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา)

   
  2.  ในอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน  พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ โดยเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับอนัตตาแล้ว คือ สิ่งนั้นต้องเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
   
   นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังตรัสว่า:
   
   " ดูกรภิกษุทั้งหลาย....
   
  ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย "
   
   
   3.  ส่วนอัตตานุทิฏฐิ พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า"อัตตานุทิฏฐิ" ดังนี้:
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ...(พูดแบบเดียวกันทุกอัน)
     
      เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ.
     
     
      สรุป
     
     
      อัตตา          =   สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา= นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
     
      อนัตตา         =   สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา= นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่เป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
     
      อัตตานุทิฏฐิ =   ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา   ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา  เขาหลงยึดมั่นถือมั่นผิดๆเอาเอง

...

ตัวอย่างผู้ที่เข้าใจผิด  ไปเอาอนัตตาที่เป็นอัตตานุทิฏฏิมาเป็น "อัตตา"

คุณสหายธรรม เว็บธรรมะไทย เขียน:

ถ้านิพพานเป็นอัตตา เราทุกคนก็คงเข้าใกล้นิพพานเข้าไปทุกขณะ เพราะ ทุกคนมีอัตตา เป็นพื้นเดืมอยู่แล้ว และ ก็คงต้องประกาศให้ทุกๆคนช่วยกันรักษาอัตตาที่มีอยู่ไว้อย่าได้ละเสีย เพราะจะไม่ได้เห็นนิพพาน ตรงกันข้ามต้องพยายามเพิ่มอัตตาที่ตนมีไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้

สุนัข โคกระบือสุกร ตัวมันเองก็เห็นว่ามันเป็นอัตตาตัวตน มันคงไม่คิดว่าอันตัวมันนี้แท้จริงไม่ใช่อัตตาแต่เป็นอนัตตา สุนัข โคกระบือสุกร ก็คงจะเห็นนิพพานได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน

ความจริงเมื่อมีสังขารธรรม ธรรมที่มีสิ่งปรุงแต่งก็ต้องมีวิสังขารธรรมที่ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง นิพพานจัดเป็นธรรมที่เป็นวิสังขารธรรม ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอัตตา แต่ไม่ได้หมายความว่ามีอนัตตาก็ต้องมีอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะของธรรมะ ไม่ใช่สังขารหรือวิสังขาร อัตตามีได้เพราะอุปาทานเป็นเหตุ ต้องละอัตตาเพื่เข้าถึงความเป็นอนัตตาเป็นวิสังขารจึงจะพ้นทุกข์พ้นความเวียนว่ายตายเกิดทางเดียวเท่านั้นทางเดียวจริงๆ ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี

ตอบ

คุณสหายธรรมครับ


1.  เพราะความไม่เข้าใจในพุทธศาสนา และไม่ศึกษาให้กระจ่าง จึงทำสัทธรรมปฏิรูปได้ง่ายๆ

อัตตาที่พระพุทธเจ้าพูดถึง เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา สิ่งนี้คือ อายตนนิพพาน(ธรรมกาย ธรรมธาตุ ธรรมขันท์)

แต่อัตตาของท่านสหายธรรมกล่าว เป็นความเข้าใจผิด ไปเห็นว่าขันธ์ 5 ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = อนัตตา ท่านสหายธรรมกลับคิดว่า อนัตตา มันเป็นตัวตน ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็น อุปทาน หรือทิฏฐิ เท่านั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า

อัตวาทุปาทาน หรือ อัตตานุทิฏฐิ = ทิฏฐิที่ไปยึดมั่นในสึ่งมายา สิ่งลวงตาใน 3 ภพว่า นี่ตัวกู นี่ของกู


ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ 


2.   คุณสหายธรรมครับ ความหมายของ อัตตา ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง = สิ่งนั้นเที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วนิพพานเที่ยงหรือเปล่าครับ นิพพานมีทุกข์หรือเปล่าล่ะ นิพพานมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)หรือไม่
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:39:46 PM »

พุทโธ=รู้แล้ว ตื่นแล้ว=ตื่นจากความฝันในโลกมายา(จินตนาการ)« เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 12:09:40 am »

[๔๔๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า  "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น  เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่ง  พึงมีโครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูก ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้ ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้ และกระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก็ไม่พึงหมดไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุด  เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ


***  แค่กัปเดียวเท่านั้น กองกระดูกคนๆเดียว ยังใหญ่เท่าภูเขา    ตลอดสังสารวัฏฏ์ กองกระดูกจึงไม่สามารถนับได้ว่าเยอะขนาดไหน

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น
ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์
เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง
เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น .........


*** ในทางเถรวาท พระพุทธองค์ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด  แต่ตรัสสอนแค่ จุดเริ่มต้นของสังสารวัฏฏ์มาจากอวิชชาของจิตประภัสสร  แต่ถ้าศึกษาให้ลึกจริงๆจะพบว่า พระนิพพานเป็นผู้สร้างสังสารวัฏฏ์(โลกและจักรวาล) อ่านกระทู้พระพุทธองค์เฉลยว่า "นิพพานเป็นผู้ให้กำเนิดจักรวาลและโลก" http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=482.0

*** ในทางมหายาน พระพุทธองค์ผู้ระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด  ตรัสสอนถึงต้นกำเนิดก่อนสังสารวัฏฏ์ว่ามาจาก อาทิพุทธ(เจ้า) ซึ่งหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ประถม พวกเราทุกจิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอาทิพุทธ  พวกเราจึงหาเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่ได้ (อสังขตธาตุ)

จากอสังขตธาตุที่เป็นอมตะ  พวกเราได้สร้างสังขตธาตุที่ไม่เป็นอมตะขึ้นมา  เมื่อเราเบื่อสังสารวัฏฏ์ ต้องการทิ้งความทุกข์และความไม่เป็นอมตะ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) เราก็ต้องเข้านิพพานไป

พระพุทธเจ้าตรัสบอกเรื่องนี้กับเราทุกวันในคำบริกรรม "พุทโธ" = รู้แล้ว ตื่นแล้ว = เอ็งกำลังฝันอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ที่มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความฝันของเอ็ง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:46:17 PM »

1. ผมเพียงแต่นำคำสอนของพระพุทธองค์มาบอกต่อ  พระพุทธเจ้าท่านวิปัสสนูกิเลสหรือเปล่าล่ะครับ 
2. ในโลกนี้ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนสอนผมได้หรอกครับ  เพราะพวกท่านไม่ไดอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน  ความจริง...หลวงพ่อหลวงปู่คนไหนผมสอนได้ทุกคน  ทิฏฐิมานะ ฟ้งุซ่าน หรือวิปัสสนูกิเลส  ย่อมไมรู้ และรู้ไม่ได้ถึงระดับผม  แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังรู้ได้แค่บางส่วนของผมเท่านั้น  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำบุญบารมีสะสมมา ฟ้าจึงจะเปิดทางให้รู้
------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. ผมเพียงแต่นำคำสอนของพระพุทธองค์มาบอกต่อ  พระพุทธเจ้าท่านวิปัสสนูกิเลสหรือเปล่าล่ะครับ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าท่านเข้าสู่วิปปสนูปกิเลสแล้วออกไม่ได้ พระองค์จะทรงตรัสรู้ ไม่ได้นะครับ

2. ในโลกนี้ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนสอนผมได้หรอกครับ  เพราะพวกท่านไม่ไดอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน  ความจริง...หลวงพ่อหลวงปู่คนไหนผมสอนได้ทุกคน  ทิฏฐิมานะ ฟ้งุซ่าน หรือวิปัสสนูกิเลส  ย่อมไมรู้ และรู้ไม่ได้ถึงระดับผม  แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังรู้ได้แค่บางส่วนของผมเท่านั้น  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำบุญบารมีสะสมมา ฟ้าจึงจะเปิดทางให้รู้

ผู้ที่ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับในยุคนี้ ท่านก็เรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเพิ่งทะนงตนว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้วดีกว่าตน นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การดูถูกพระอรหันต์สาวกนั้น เป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง ท่านได้บารมีธรรมอันยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายหรือ มีใครอนุโมทนาและรับรองท่านหรือ ? และฟ้าฝนที่ไหนก็เปิดทางให้ท่านไม่ได้หรอกครับ นอกจากตัวท่านเอง


พระพุทธเจ้าตรัสบอกเรื่องนี้กับเราทุกวันในคำบริกรรม "พุทโธ" = รู้แล้ว ตื่นแล้ว = เอ็งกำลังฝันอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ที่มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความฝันของเอ็ง

คุณรู้ตัวเองนี่ครับว่ายังฝันอยู่....ฝันไปไกลแล้วครับ...และท่าจะยังไม่ตื่นเสียด้วย

   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2010, 01:20:10 am โดย AVATAR » 
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอบคุณAVATAR

 
1. ผู้ที่ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับในยุคนี้ ท่านก็เรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเพิ่งทะนงตนว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้วดีกว่าตน นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การดูถูกพระอรหันต์สาวกนั้น เป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง ท่านได้บารมีธรรมอันยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายหรือ มีใครอนุโมทนาและรับรองท่านหรือ ? และฟ้าฝนที่ไหนก็เปิดทางให้ท่านไม่ได้หรอกครับ นอกจากตัวท่านเอง

อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ขั้นเป็นสัพพัญญู เป็นพระพุทธเจ้า  ผมไม่เถียง  แต่น้องๆอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน  หรือน้องๆสัพพัญญู  พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านรู่นะครับ  แล้วคุณAVATARก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร  ผมอาจจะเป็นอวตารของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ก็ได้นะครับ

อีกอย่างผมไม่ทะนงตนหรอกครับ  แต่ผมมั่นใจว่าบารมีธรรมของผมยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย  ถ้าผมบอกคุณว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระสารีบุตร ต่างเรียกผมว่า "เมตตรัยโย" และพระพุทธองค์เรียกผมว่า "บารมีธรรมโพธิสัตว์" นอกจากนี้ ชาวคริสต์คนหนึ่งที่เคยคิดว่าผมเป็นซาตานมาล่อลวงเขาเรื่องศาสนา ก่อนตาย เขาพบพระบิดาในศาสนาคริสต์(ยะโฮว่า)  พระบิดาบอกกับเขาว่าผมเป็นพระบุตรของพระเจ้า เหมือนกับพระเยซูคริสต์  เขาเพ้อตลอดตอนเข้าห้องไอซียูว่า "พลศักดิ์ พลศักดิ์ บุตรของพระเจ้า"

ผมบอกความจริงกับคุณ  แต่ความจริงนี้  คุณอาจจะไปคิดปรุงแต่งว่า "โม้ อวดเก่ง ทะนงตน" นั่นเป็นเรื่องของใจคุณ  ผมไม่เกี่ยว


2. คุณรู้ตัวเองนี่ครับว่ายังฝันอยู่....ฝันไปไกลแล้วครับ...และท่าจะยังไม่ตื่นเสียด้วย

ปัญหาคือ  ผมตื่นแล้ว  และพยายามปลุกให้คนอื่นรวมทั้งคุณด้วยตื่น  แต่ผมกลับโดนคุณถีบกระเด็น ที่เข้ามากวนควาฝันของคุณ



 
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 21, 2010, 12:44:03 am โดย phonsak »
---------------------------------------------------------------------------------------------------
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:49:23 PM »

ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ไม่ใช่ศาสนาอเทวนิยาม

« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2010, 10:41:00 am »ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด


เพราะบอกวิธีการเข้าไปเป็นเทพเจ้าและเทวะในทุกชั้นภูมิ

1.  วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ = พระพุทธเจ้าต่างๆ  ศาสนาอื่นเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระบิดา  ศาสนาพุทธเรียกว่า "พระธรรม"

...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม)

ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "

(ที.ปา. 11/51/91)

หมายความว่า:

- พรหมชั้นภูมิสูงสุด = ธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต  พรหมภูต
- พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นพระธรรม และล้วนเกิดจากพระธรรม  นอกจากนี้..พระธรรมนั้นยังเป็นผู้สร้าง หรือ เป็นพระเจ้าผู้สร้าง ที่เรียกันว่า พรหม หรือพรหมัน หรือ ตรีมูรติ "พรหม ศิวะ นารายณ์". ซึ่งเป็นพรหมที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีกิเลสตัณหาใดๆ ศาสนาอิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์"

อนึ่ง...การเป็นพระพุทธเจ้านั้นมีหลายประเภท แต่ละประเภทแบ่งจากการสร้างสมบารมีของมนุษย์คนนั้น  พูดให้ชัดคือ พระพุทธเจ้ามี  ๓ ประเภท คือ

๑.  พระปัญญาธิกพุทธเจ้า  ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

๒.  พระสัทธาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี  ๔๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

๓.  พระวิริยาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี  ๘๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

2. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ก็ต้องสะสมบารมีด้วยเช่นกัน

- ที่เป็นอุคฆติตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า ปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญาฯ
- ที่เป็นวิปจิตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๘ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า สัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธาฯ
- ที่เป็นเนยยโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า วิริยาธิกะ ยิ่งด้วยความเพียรฯ

3. วิธีการเข้าสู่ความเป็นเทพชั้นรองๆลงมา เช่น วิสุทธิเทพ (พระอรหันต์)   ศาสนาพุทธก็สอน  โดยให้ละราคะ โทสะ โมหะ ออกจากใจทั้งหมด

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

พระอรหันต์ถือว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า(พระธรรม)องค์ใดองค์หนึ่ง   ท่านเป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สาวกพุทธะ   เพราะพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นพุทธะที่เป็นสัพพัญญูพุทธะ

4. วิธีการเข้าสู่ความเป็นเพรหมชั้นโลกุตตระรองลงมาอีก
 
- พรหมชั้นสุทธาวาส ได้แก่ พระอนาคามีต่างๆซึ่งมีอยู่ ๕ ชั้น เป็นพรหมชั้นที่ 12 – 16 ซึ่งจะบรรลุเป็นพรหมได้ ต้องสามารถขจัดกิเลสจน  กำจัดกิเลสขั้นต้นและขั้นกลางได้เด็ดขาด ยังเหลือแค่กิเลสขั้นละเอียดเท่านั้น

พรหมชั้นสุทธาวาส  ชั้น 12. อวิหา,  ชั้น 13. อตัปปา, ชั้น 14. สุทัสสา, ชั้น 15. สุทัสสี, ชั้น16. อกนิฏฐา

ในโลกใบนี้  ก่อนมีพระพุทธศาสนา  ยังไม่มีผู้เข้าถึงความเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส  พรหมในชั้นสุทธาวาสที่พระพุทธเจ้าไปพบเจอ ล้วนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ซึ่งอยู่ในโลกธาตุอื่น

5. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นโลกียะ

ทางไปเกิดเป็นพรหมนั้น ต้องมีฌานเป็นหนทางไป บุคคลที่จะทำฌานให้บังเกิดขึ้นได้นั้น ได้แก่ ผู้ฏิบัติสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ เช่น พวกโยคี  แล้วท่านเหล่านี้ได้ตายในฌาน

 อรูปพรหม

 มี 4 ชั้น คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ  ศาสนาพุทธก็สอนวิธีเข้าถึงความเป็นอรูปพรหมในแต่ละชั้นด้วย 

อากาสานัญจายตนภพรหม  ได้ยึดเอา อากาศอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
วิญญาณัญจายตนพรหม ได้ยึดเอา วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอารมณ์
อากิญจัญญายตนพรหม ได้ยึดเอา ภาวะความไม่มีอะไรเลย ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ได้เข้าถึงภาวะมี สัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (ภาวะที่มีสัญญาไม่ปรากฏชัด)

 รูปพรหม

ผู้ที่ตายในปฐมฌาน ผู้ที่ตายในทุติยฌาน  ผู้ที่ตายในตติยฌาน และผู้ที่ตายในจตุตถฌาน  ย่อมเกิดเป็นรูปพรหม

....ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากปฐมรูปฌาน ก็เป็นรูปพรหมชั้น 1-3 
....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากทุติยรูปฌาน ก็เป็นรูปพรหมชั้น 4-6
....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากตติยฌาน ก็จะได้มาบังเกิดเป็นพรหมชั้น 7-9
....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากจตุตถฌาน(ฌาน ๔) ก็จะได้มาบังเกิดเป็นพรหมชั้น 10 (เวหัปผลาภูมิ) เป็นภูมิของเวหัปผลพรหม

อย่างไรก็ตาม ในบางตำรา แบ่งจตุตถฌานเป็นอย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีต

และยังแบ่งฌานออกเป็นฌาน 5(ปัญจมฌาน)ด้วย ฌาน 5 เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก ท่านจะแยกตัวเอกัคตากับตัวอุเบกขาออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นฌานที่ ๕ การจำแนกภูมิก็จะต่างออกไป  กลายเป็นว่า จตุตถฌานเป็นอย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีต ก็จะไปตกในพรหมชั้น 7-9  แต่ผมจะไม่จำแนกอะไรเพิ่ม ณ ที่นี้ เดี๋ยวจะสักสนกันไปใหญ่

เอาเป็นว่า ผู้ที่แบ่งฌานออกเป็นฌาน 5 ผู้มาเกิดในเวหัปผลาภูมิ ก็จะมาจากอำนาจของปัญจมฌานกุศลเท่านั้น (เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก)   ผู้ที่ได้จตุตถฌานยังเข้ามาไม่ได้

พรหมในเวหัปผลาภูมิ มีอายุ ๕,๐๐๐ มหากัป เป็นภูมิที่พ้นจากโลกาวินาศ คือการที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ-น้ำ-ลม พรหมในขั้นที่ 10 ภูมินี้ นับว่าเป็นยอดภูมิ และเป็นภูมิที่ประเสริฐกว่าพรหมปฐมฌาน-ทุติยฌาน-ตติยฌานภูมิ ซึ่งย่อมไม่พ้นจากโลกาวินาศ   

สรุป

พวกที่เรียนทางภาคทฤษฎี หรือสายปริยัติ  ย่อมไม่ได้ปัญญาทางศาสนา เกิดมิจฉาทิฏฐิได้  ทำให้มีความเชื่อที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม   ทั้งๆที่ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะบอกวิธีการเข้าไปสู่ความเป็นเทวะในทุกชั้นภูมิ ชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ (พระพุทธเจ้าต่างๆ) ไล่ลงมาถึงขั้นพระวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์) ต่อเนื่องลงไปถึงชั้นพรหมโลกุตตระและพรหมโลกียะ  รวมทั้งเทพในสวรรค์ชั้นต่างๆด้วย
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:50:22 PM »

โคตมีสูตร

“ดูก่อน อานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็จะตั้งอย่ได้นาน สัทธรรมพึงอย่ได้ 1,000 ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน มันจะดำรงอย่เพียง 500 ปี”

โคตมีสูตร ชี้ชัดว่า  พระสัทธรรมของแท้เสื่อมไปแล้วล่ะครับ  สัทธรรมปฏิรูปบังเกิดขึ้นหลังจากพุทธกาล 500 ปี   ช่วงนั้นมีเหตุการณ์สำคัญดังนี้:

1. ในประวัติวิชชาธรรมกายบอกว่า วิชชาธรรมกายสูญหายไปหลังพุทธกาลราว 500 ปี   ซึ่งไปตรงกับพุทธทำนายว่า  “สัทธรรมจักจำดำรงอยู่เพียง 500 ปีเท่านั้น”

2.  ศาสนาพุทธนิกายมหายานทุกนิกาย รวมตัวกันได้  แยกตัวออกจากเถรวาทอย่างชัดเจน  เหตุผลหนึ่ง คือ สงฆ์ในนิกายเถรวาทมือไม่ถึงขั้น   ปฏิบัติไม่ได้ถึงอรหันต์  แล้วก็ไปตีความเองว่า พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพระเจ้า  และศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม 

ทั้งๆที่ในปฐมสังคายนา  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรทั้งเถรวาทและมหายานว่า  พระพุทธองค์เป็นพระเจ้า(พรหมภูต พรหมกาย)=พระธรรม  และยืนยันด้วยว่า ท่านเองเป็นพระราม(อวตารของพระเจ้า)มาเกิด

แต่ผมแสดงหลักฐานออกมาทีไร  พระยามารร้อนก้นทันที  ครั้งก่อนไล่ผมออกอย่างถาวรพร้อมกันในวันเดียวกัน 3 เว็บ คือ เว็บdhammakaya.org เว็บdhammajak.net  และเว็บพลังจิต
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:52:26 PM »

อ้างจาก:
golfreeze ที่ กรกฎาคม 15, 2010, 10:17:41 am
ใจเย็นนะครับท่าน ผมเองก็อ่านข้อมูล ที่ท่านโฟสขึ้นมาเหมือนกัน

อยากจะขอฝาก ในฐานะกัลยาณมิตรผู้น้อย แล้วกันนะครับ

ขอบพระคุณท่าน phonsak ที่มีข้อมูลในศาสนาพุทธ มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในบอร์ดแห่งนี้ ได้ทราบกัน

แต่ถ้ารบกวนท่านเน้นพูดเรื่อง ที่เกี่ยวกับธรรมะจากการปฏิบัติ ตามองค์มรรคทั้ง 8 โดยมีสัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ เป็นตัวนำ

.......
กอล์ฟ@kammatan.com
-----------------------------------------------------------------------------------------------


ผมเข้ามาในเว็บธรรมะด้วยจุดมุ่งหมายเดียว คือ ฟื้นฟูพุทธศาสนา ให้ออกจากลัทธิมารที่เรียกว่าสัทธรรมปฏิรูป  เรื่องที่คุณกล่าวเป็นเรื่องทั่วไปที่มีคนสอนคนถกอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นที่ผมต้องเข้าไป ยกเว้นในบางครั้ง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:55:15 PM »

AVATAR:
กล่าวถึงให้ทราบกันเพื่อรู้ แต่ไม่ได้บอกว่าให้ไป และนี่แค่เปลือกของศาสนาเท่านั้น...

แก่นของศาสนาจึงไม่ได้สอนว่าให้ไปที่ไหนทั้งนั้นในภพภูมิทั้ง ๓๑ ไม่ว่าจะเป็นพรหม หรือ อรูปพรหม หรือ เทวดา ชั้นต่างๆหรือในอบายภูมิ

จะไม่ไปได้อย่างไร...? ก็ด้วยรู้แจ้งในอริยสัจสี่ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้แล้ว จึงประกาศพระศาสนา เพื่อบอกถึงแนวทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิ นี่ไงเล่าครับ ให้สาวกรับทราบและเดินตามเพื่อหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏนี้

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษากับ  ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘ (สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะ)
ทำไมพระองค์ได้ถึงสมาบัติ ๘ แล้ว เก่งกว่าอาจารย์เนื่องจากเรียนด้วยเวลาอันสั้น และยังมีความสามารถพิเศษด้านอื่นอีกเป็นอันมากที่อาจารย์ไม่มี ยังไม่ประกาศพระศาสนา?

เพราะถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิอยู่ดี ใช่ไหมครับเพราะยังติดอยู่ในภูมิอรูปพรหม....
จนพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แจ้งในอริยสัจสี่ แล้วอันเป็นหนทางแห่งหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิ พระองค์จึงแสดงธรรมและประกาศพระศาสนา สั่นสะเทือนไปทั่ว ๓ โลกธาตุ เทวดา พรหม ต่างสรรญเสริญและนมัสการ
ตลอดจนเทวดา พรหม ต่างสรรญเสริญและนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกพระองค์อีกในการต่อมาจวบจนปัจจุบัน ( ส่วนถ้าใครยังไม่สรรญเสริญและนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกนั้น คงไม่ต้องบอกกล่าวกันนะครับว่ายังเป็นไปเช่นไร...)

นี่คือแก่นแท้ของศาสนาพุทธนะครับ

พยายามอย่าจับโน่นนิดนี่หน่อยในพระไตรปิฎก มาผสมปนเป ตีความเอาเอง สรุป เอาเอง และประกาศออกไปเอง เพราะตัวเองก็เรียนรู้มาจากพระศาสดา เดินตามพระศาสดามา ไม่ได้ตรัสรู้เอง

ระวังอย่าให้ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก   ยิ่งผิดเพี้ยนเท่าใดก็ยิ่งห่างออกจากแก่นเท่านั้น

ด้วยความปรารถดีและปรารถนาให้ศาสนาดำรงอยู่ครบถ้วนตามวาระสืบไปครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------

คุณ AVATAR ครับ


"ระวังอย่าให้ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก   ยิ่งผิดเพี้ยนเท่าใดก็ยิ่งห่างออกจากแก่นเท่านั้น"

กรุณาช้มาเลยครับว่า จุดไหนผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก     คำกล่าวลอยๆประเภทนี้ผมได้รับมาทุกเว็บแหละครับ  หาว่าบิดเบือนพุทธศาสนาบาง  สอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าบ้าง  พอผมถามว่า บิดเบือนตรงไหน ไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าตรงไหน ..... เท่านั้นแหละจนตรอกเลย   

แล้ววิ่งไปหาคำพูดของอรรถกาถาจารย์ ฎีกาจารย์มาแย้งกับผม  ผมจึงบอกว่า อรรถกาถาจารย์ และฎีกาจารย์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า  พวกนั้นโดนมารสิงทั้งนั้นให้ทำสัทธรรมปฏิรูป ทำของปลอมให้เกิดกับพุทธศาสนา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 01:10:49 pm
1.  วิธีการเข้าสู่ ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด  เอาคำเดียวก่อน เอาเป็นพระไตรปิฎกภาษาไหนก็ได้ ว่าอยู่ที่ไหนในพระไตรปิฎก เล่มที่เท่าไร หน้าไหน ?แปลแล้วต้องได้คำว่า หรือมีความหมายว่า วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด 

 


ผมบอกแล้วว่า  ถ้าไอคิวต่ำๆ  คิดอะไรไม่ออกหรอกครับ

นิยามของ พรหม ใน ภควัทคีตา

สิ่งที่บุคคลควรรู้สูงสุดคือ พรหม
พรหมคือสภาวะอันสูงสุด ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย เป็นอมตะ ไม่เป็นทั้งสิ่งมีอยู่และสิ่งไม่มีอยู่
พรหมหยั่งรู้ถึง อารมณ์ โลภ โกรธ หลง แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น
พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง
พรหมคือสภาวะอยู่เหนือความดีและความชั่ว
พรหมมิอาจหยั่งรู้ได้ด้วยการคิดและใช้เหตุผล

1. พรหมในทางพุทธศาสนา ล้วนเป็นพรหมในชั้นโลกียะทั้งหมด ยกเว้นพระนิพพาน  แล้วพระพุทธเจ้าก็เรียกตัวของท่านเองว่า "พรหมกาย พรหมภูต ธรรมกาย ธรรมภูต" 

....เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91)


2. นอกจากนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทว่า ไม่มีพรหมชั้นอื่น และไม่เคยปฏิเสทนิยามคำว่า "พรหม" ซึ่งหมายถึงพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว  หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ในหนังสือ นิพพานในความหมายของหลวงพ่อ....ว่า

"โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้น"

พรหมในชั้นโลกุตตระ  พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น นิพพานพรหมหรือนิพพานโลก..... ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน  เป็นนิพพานที่สุดแล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไป"   อ่านเรื่องเมืองพระนิพพานในคิริมานาทสูตรเอาเองนะครับ
http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=135

 
3. "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ" =อมตะ

4. นินามข้ออื่นๆของศาสนาพราหมณ์ เช่น

พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง = อรหันต์

พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น = นิพพาน = ธรรมหรือธาตุที่ปราศจากอารมณ์

สรุป

พรหม ที่ศาสนาพราหมณ์พูดถึง = สภาวะอันสูงสุด(พระเจ้า)  และตามคำนิยามของศาสนาพราหมณ์ ในทุกนิยามก็หมายถึง นิพพาน+พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งนั้น  พรหมในชั้นโลกียะไม่ได้เป็นพระเจ้า  เพราะทุกชั้นมีอายุจำกัด  แม้แต่อรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น แล้วก็ต้องตาย(จุติ)  ส่วนพรหมในชั้นโลกุตตระ เป็นอมตะนิรันดร  ที่ต้องเรียกว่า "พรหมในชั้นโลกุตตระ" เพราะท่านได้กำจัดราคะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงออกแล้วนั่นเอง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1.นิพพาน ก็คือ พรหมสูงสุด   พรหมสูงสุด?  คือ นิพพานพรหม หรือพรหมในโลกุตตระ

...หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ในหนังสือ นิพพานในความหมายของหลวงพ่อ....ว่า

"โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้น"

พรหมในชั้นโลกุตตระ  พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น นิพพานพรหมหรือนิพพานโลก..... ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน  เป็นนิพพานที่สุดแล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไป"   อ่านเรื่องเมืองพระนิพพานในคิริมานาทสูตรเอาเองนะครับ
http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=135

2.ถ้าเป็นไปตามข้อ 1.มิต้องเวียนว่าย ตาย เกิด หรือครับ
(เพราะเท่าที่ผมรู้พรหม ก็ยังต้องเวียนว่าย ตาย เกิด)

...พรหมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด คือ พรหมในชั้นโลกียะ แม้แต่อรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000มหากัป ก็ต้องตาย(จุติ) แต่พรหมวิสุทธิเทพ และพรหมอดิเทพ พวกท่านเป็นพระอรหันต์ที่เป็นอมตะ จึงไม่ต้องตาย(จุติ) เมื่อไม่ตาย จึงไม่เกิด พระพุทธองค์ตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

พรหมวิสุทธิเทพ และพรหม อดิเทพ พวกท่านเป็นพระอรหันต์ ได้กำจัดราคะ โทสะ โมหะ และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ออกจากใจไปหมดแล้วยังไงล่ะครับ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:58:38 PM »

ตอบคำถาม ไฟหมดเชื้อ(กิเลส+กรรม) ไฟนั้นหายไปไหน « เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2010, 03:30:47 pm »

ไฟไม่มีเชื้อเพลิงเติมแล้ว  ไฟย่อมดับไป   ถามว่าไฟนั้นหายไปไหน?


พระพุทธองค์ทรงถกกับวัจฉะถึงพระอรหันต์ที่ขุดรากโคนที่ก่อให้เกิดขันธ์ 5 และสังขาร คือ กิเลสตัณหาและความยึดมั่นถือมั่น ออกหมดแล้ว  พระอรหันต์รวมทั้งพระพุทธเจ้านั้นเมื่อตายไป หายไปไหน?

นี่เป็นปริศนาธรรม  เพราะว่า ไฟย่อมเกิดจากเชื้อเพลิง คือ ไฟนั้นอาศัยเชื้อ เช่น หญ้าและไม้จึงลุก พอเชื้อนั้นหมดสิ้นไป  เมื่อไฟดับ = ตัวจุดไฟ(จิตสังขาร)ก็ดับ  พร้อมกับเชื้อของมัน =กิเลส+กรรม  ยมบาลจึงหาตัวไม่พบ

แต่ไอ้ตัวที่สร้างจิตสังขาร คือ จิตพุทธะ หรือ นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน หรือจิตประภัสสร   จิตว่างบริสุทธิ์ตัวนี้มันไม่ได้ดับไปแต่อย่างไร  มันยังคงอยู่ในความว่างหรือสุญญตา   ถ้ามันไม่สร้างจิตสังขาร(ตัวจุดไฟ)ออกไปรับเชื้อเพลิง คือ กิเลส+กรรม อีก  ภพชาติของจิตสังขาร มันก็ไม่มี และไม่เกิด

คำว่า ‘เกิด’ หรือ ‘ไม่เกิด’ ใช้ไม่ได้ กับพระอรหันต์และตถาคต  เพราะการเกิดหรือไม่เกิดเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ (จิตสังขาร+กิเลส+กรรม) เท่านั้น  ส่วนวิสังขารคือ จิตพุทธะ หรือ นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน หรือจิตประภัสสร =  พระอรหันต์และตถาคต เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม ที่บริสุทธิ์ เที่ยงแท้ ยั่งยืน ตลอดไป  ดำรงอยู่ในสุญญตา(ความว่าง) ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้.


สรุป


ไฟ = จิตสังขาร+กิเลส+กรรม = สังขตธาตุ(โลกและจักรวาล)

เมื่อไฟไม่มีเชื้อเพลิงแล้ว  ไฟย่อมดับไป   พอไฟดับก็ไม่มีจิตสังขาร+กิเลส+กรรม อีก  แต่ไอ้ตัวสร้างจิตสังขาร+กิเลส+กรรม  มันก็ยังมีอยู่ในความว่างหรือสุญญาตานั้น  เรียกว่า "นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน"  ศาสนาอื่นเรียกว่า "พระผู้เป็นเจ้า"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า  นิพพานจิต จิตเดิมแท้ ธรรมญาน  มันมีอายตนะด้วย เรียกว่า "อายตนะนิพพาน"
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 08:59:24 PM »

อ้างจาก: hoticey;10306
ครับ ขอบคุณครับ

เเต่ยังไง ผมก็ยัง เอ่ะใจ อยู่ว่า อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ ทำไมถึงต้องมีหรือเกิดมาได้ยังไงหรอครับ ขอบคุณครับ

คุณกำลังถามคำถามที่ทั่วโลกยังตอบไม่ได้   พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัพพัญญู  ตรัสตอบทางมหายานว่า  จิตเดิมแท้ หรือ "ธรรมญาณ" มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" 

ผมต้องถามคุณกลับว่า  ไฟมันลุกเพราะมีเชื้อเพลิงใช่ไหม?
ถ้าเชื้อเพลิงมันดับหมด หรือไม่มีแล้ว  ไฟนั้นไปไหนล่ะ?
เชื้อเพลิงของจิตเดิมแท้ หรือธรรมญาณ ก็คือความคิดปรุงแต่งทั้งหลายแหล่นั่นเอง

เมื่อคุณไม่มีความคิดปรุงแต่งทั้งหลายแหล่อีกแล้ว  ไฟ(ภพชาติของคุณ)มันก็ไม่มี...ใช่ไหม?

แล้วไอ้ตัวจิตเดิมแท้ หรือธรรมญาณมันก็ยังอยู่ของมันตามเดิมชัวนิรันดร มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" ใช่หรือไม่   เมื่อเชื้อเพลิงของไฟคือกิเลส มันเข้าไปในนิพพานไม่ได้  ด้วยเหตุนี้ จิตเดิมแท้ หรือธรรมญาณมันจึงต้องสร้างจิตสังขารขึ้นมา  ถ้าจิตสังขารมันหลงกลอวิชชา ไปติดกิเลสตัณหา ภพชาติ(ไฟ)ก็เกิดขึ้น

ตอนนี้คุณรู้หรือยังว่า พระเจ้า หรือจิตเดิมแท้ หรืออสังขตธาตุก็คือ จิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีความคิดปรุงแต่ง ส่วนคุณhoticeyในชาตินี้ และคุณในชาติก่อนๆ  รวมทั้งตัวของคุณในชาติต่อๆไป = สังขตธาตุ  มันเกิดขึ้นจากความคิดปรุงแต่งจากกิเลสตัณหาของคุณทั้งนั้น

สังขตธาตุ   = จิตสังขาร หรือจิตเสือกคิดปรุงแต่ง
อสังขตธาตุ = จิตหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่ง หรือจิตวิสังขาร

คุณหาที่มาของจิตเสือกคิดปรุงแต่งได้  แต่คุณจะหาที่มาของจิตหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่งนั้นทำไม่ได้ 

มนุษย์จะไปหาที่มาของพระเจ้าได้ยังไง?  พระเจ้าเป็นจิตที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์   ขุดหามันให้เจอซิครับ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:03:16 PM »

ในทางพุทธศาสนา: ใครเป็นผู้สร้างสวรรค์นรก? « เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2010, 01:01:47 am »

ตอบ


ศาสนาพุทธเถรวาท


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ทางเถรวาทว่า  1. ธรรมเป็นผู้นิรมิต หรือเป็นผู้สร้างทุกอย่างขึ้น และ  2. พระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม

 "...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "
(ที.ปา. 11/51/91)

ศาสนาพราหมณ์เขาเรียก ธรรมว่าพระเจ้า และเรียกพระเจ้าว่า พระพรหม  ดังข้อความนี้

"พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม"

พระพุทธเจ้าเปลี่ยนคำว่า "พรหม" มาเป็นตัวพระองค์คือ "พระพุทธเจ้า" แทน หลักฐานนี้ก็ชัดอยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้า = พระเจ้า และบางครั้งพระองค์ก็ใช้คำว่า "ธรรม" และยังบอกต่อว่า พรหมที่เป็นพระเจ้า คือ พรหมกาย, พรหมภูต, ธรรมภูต, ธรรมกาย


ศาสนาพุทธมหายาน


ชาวพุทธมหายานจำนวนมากเชื่อว่า พระไวโรจนะพุทธเจ้าเป็นอาทิพุทธะหรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม   นอกจากนี้ หลักของศาสนาพุทธมหายานโดยทั่วไปอธิบายว่า:

พระไวโรจนะพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม  เป็นมูลธาตุของสรรพสิ่งในโลกนี้และในสากลจักรวาล  สรรพสิ่งล้วนมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ อยู่ทุกหนทุกแห่ง และอยู่ในตัวคนทุกคน เพียงแต่อวิชชามาบังจิตเอาไว้ ทำให้ไม่เห็นความเป็นจริง

สวรรค์นรกจึงเป็นเพียงมายาของจิต   สวรรค์นรก มันมีอยู่ เป็นอยู่เพราะการคิดของจิต    จิตบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นผู้ทำให้มายาของจิตที่เรียกว่า นรกสวรรค์ดูเหมือนเป็นของจริง

ด้วยเหตุที่...จิตบริสุทธิ์ของพวกเราทุกคนล้วนเป็น อณูของพระไวโรจนพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม  (ศิวะ ยะโฮวา ปรมาตมัน พระพุทธเจ้า ฯลฯ)  พวกเราจึงเป็นผู้ร่วมกันสร้างนรกสวรรค์ขึ้นมา เพื่อรองรับการกระทำของจิตที่เป็นอกุศล(นรก) และจิตที่เป็นกุศล(สวรรค์)ของพวกเรา

สรุป

โคตมพุทธเจ้าตรัสไปทางเถรวาทว่า พระธรรมได้นิรมิตทุกสรรพสิ่งขึ้นมา(รวมทั้งนรกสวรรค์ด้วย)  และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้าต่างๆ

โคตมพุทธเจ้าตรัสไปทางมหายานว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม(พระไวโรจนะพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธะ) เป็นมวลจิตพุทธะซึ่งมีจิตพุทธะแต่ละดวงของพวกเรารวมอยู่ด้วย ได้สร้างสิ่งที่เป็นมายา(ทุกสวรรพสิ่งในจักรวาล รวมทั้งสวรรค์นรก) ขึ้นมาให้เสมือนจริง  ทั้งๆที่มันเป็นของปลอม ไม่มีอยู่ เป็นอนัตตา หรือเป็นมายาของจิต

เพียงแต่พวกเราโดนอวิชชาปิดบังความจริงเอาไว้  ทำให้พวกเราไม่รู้ มองไม่เห็นความจริงว่า  พวกเรากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝันหรือโลกแห่งมายาของจิต(พุทธะ) ที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้นมา  หลังจากจิต(พุทธะ)มวลรวมสร้างทุกอย่างแล้ว พวกเราก็ลงมาในโลกและในปรโลกเพื่อมาแสดงหนัง แสดงละคร ให้ตวเองดู เมื่อเรายังอยากดูหนังและแสดงละครอยู่ในโลกและในปรโลก(สวรรค์ นรก พรหมโลก)ต่อไป  พวกเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏฺเช่นทกวันนี้
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:04:05 PM »

สรุปสั้นๆ

จิตบริสุทธิ์ของพวกเราเหล่าพุทธะ ต้องการให้มันมี อายตนะภายนอก = สวรรค์นรก ไว้รองรับอายตนะภายใน = วิญญาณธาตุ หรือจิตสังขาร ที่คิดปรุงแต่งและทำกรรมลงไป 

ถ้าทำกรรมที่เป็นบุญกุศล  วิญญาณธาตุ หรือจิตสังขาร หรือกายทิพย์ ก็ไปสวรรค์ ถ้าทำกรรมที่เป็นบาปอกุศล วิญญาณธาตุ หรือจิตสังขาร หรือกายทิพย์ ก็ไปนรก

หรือ  จิตบริสุทธิ์ของพวกเราเหล่าพุทธะ ต้องการให้มีสถานที่ต่างๆไว้รองรับ จิตสังขารที่คิดปรุงแต่ง และทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลลงไป  เพราะที่อยู่ของจิตพุทธะที่บริสุทธิ์คือนิพพาน ซึ่งที่นั่น  ผู้จะเข้าไปได้มีแต่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลส สละทิ้งทั้งบุญและบาป เท่านั้น จึงจะเข้าไปได้  จิตสังขารที่ยังคิดปรุงแต่งอยู่จะเข้าไปไม่ได้  จึงต้องมีที่อยู่ให้จิตสังขารเหล่านี้ คือ ภพ 3 31-33 ภูมิ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เทศน์ว่า:  "นรก สวรรค์ มีมาตั้งแต่สิ่งที่มีวิญญาณ เกิดขึ้นในโลก"  = เมื่อมีปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นนั่นเอง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:15:38 PM »

พระพุทธเจ้าบัญญัติว่า นิพพาน คือ อัตตา แต่ต้องใช้สมองคิด ไอคิวต่ำๆคิดไม่ออก
« เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 10:52:45 am »

อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 01:19:07 pm
พระพุทธเจ้าไม่ บัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา

คุณคิดเอง เออ เอง สรุป เอาเองอีกแล้ว...

มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้นะครับ

อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร  = ไม่เที่ยง ทุกข์  แปรปรวนเป็นธรรมดา   = เกิด แก่ เจ็บ ตาย
อัตตาในอนัตตลักขณะสูตร    = เที่ยง ไม่ทุกข์  ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา= ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย  ตรงกันข้ามกับอนัตตา

ลักษณะของอสังขตธาตุ 

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ;
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ;
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ?ิตสฺส อญฺ ญถตฺตํ
ปญฺญายติ).
ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.

ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.

อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ

นิพพานธาตุ

นิพพานธาตุ อันพระผู้มีพระภาคผู้มีจักษุ ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ ได้ประกาศไว้แล้ว มีอยู่ ๒ อย่าง เหล่านี้คือ นิพพานธาตุอย่างหนึ่ง (มี) เพราะความสิ้นไปแห่งภวเนตติ เป็นไปในทิฎฐธรรมนี้ (อิธ ทิฎฺฐธมฺมิกา) ยังมีอุปาทิเหลือ, และนิพพาน-
ธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) ไม่มีอุปาทิเหลือ เป็นไปในกาลเบื้องหน้า(สมฺปรายิกา) เป็นที่ดับแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง.

บุคคลเหล่าใดรู้ทั่วถึงแล้วซึ่งนิพพานธาตุสองอย่างนั่นอันเป็นอสังขตบท เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นพิเศษแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งภวเนตติ; บุคคลเหล่านั้น ยินดีแล้ว ในความสิ้นไป (แห่งทุกข์) เพราะการถึงทับซึ่งธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละแล้วซึ่งภพทั้งปวง, ดังนี้.

อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๕๘-๒๕๙/๒๒๒.


1. สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว)

"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา"

2. เปมงฺกโร ภิกฺขุ ชี้ว่า ตัวธรรม(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นอัตตา

" ในโลกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความจริง เกิดขึ้นแล้วสลายหมด เท็จทั้งสิ้น เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
ส่วน สันตินิพพาน เป็นตัวสัจจะธรรม เที่ยงตรงมั่นคงอยู่เสมอ เป็นอสังขตะ ปราศจากเหตุ ไม่นอกไปจากจิตบริสุทธิ์ถึงขีดสุด เป็น ตัวธรรมที่รวมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอตฺตาตัวตนแท้ ......... .........."

พระพุทธภาษิตว่า

อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนของตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตน(อัตตา)ในที่นี้หมายถึง จิตบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวตนพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ โดยประการดังนี้ฯ

------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ--------
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:21:46 PM »

พระพุทธเจ้าบัญญัติว่า นิพพาน คือ อัตตา แต่ต้องใช้สมองคิด ไอคิวต่ำๆคิดไม่ออกนะครับ คุณอวตาร


เหล่าพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่า: นิพพานเป็นอัตตา


1. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓) ว่า

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ....
เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"

กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม = กายที่อยู่ภายในกาย เมื่อเรามีสัมปชัญญะ...มีสติ นั่นแหละ "อัตตา"


2. จากพรหมชาลสูตร

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ "

แล้วตรัสต่ออีกว่า

"เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."
.......................................

ผมย้ำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป แต่คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต (มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว) ยังดำรงอยู่ มนุษย์ทั้ง
หลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ = กายที่ยังดำรงอยู่ นี่แหละ "อัตตา"
...

3. คราวนี้มาดูอนัตตลักขณสูตรบ้าง ผมขอตัดตอนที่อำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด นะครับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่
พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อม
บังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึง
ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคล
พึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ
บุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และ
บุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

จะเห็นว่า สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่ง
นั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา

สรุป

ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน
(ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บ
ไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย

ย้ำ!!! สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม
เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา

ด้วยเหตุนี้ ธรรมกายที่เป็นอายตนะนิพพาน ก็เป็นอัตตา

อัตตานี้มีขันธ์ 5 เป็นธรรมที่เรียกว่า ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย


4. ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า:

(๑) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"

ย้ำ! ! พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

หลักฐานนี้ชัดครับ

อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง

เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา


5. ข้อ 5 นี่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรชัดกว่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพุทธพจน์ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)"


อัตตา(ตน)นั้นแท้จริงก็คือธรรม
----------------------------------------------------------------------------------------------------

อสังขตธาตุ = นิพพานธาตุ  นั้น

ไม่ปรากฏมีการเกิด ไม่ปรากฏมีการเสื่อม  เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = ไม่อาพาธ(ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา)

ด้วยเหตุนี้ อสังขตธาตุ (นิพพานธาตุ) จึงเป็น "อัตตา"

ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้นะครับ  แล้วคุณอวตารเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ล่ะ  จึงไปเชื่อว่านิพพานเป็นอนัตตา  ถ้านิพพานเป็นอนัตตา  เราจะไปหานิพพานหาพระแสงของ้าวอะไรกัน  ในเมื่อนิพพานมันก็ยังมีความทุกข์ และเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่

ผมสงสัยว่าคุณอวตารจะอวตารจากสัตว์มาเป็นมนุษย์  จึงคิดไม่ออก  เชื่อตามพระสงฆ์ครูอาจารย์ที่เป็นพวกปริยัติ  หัดฟังพระสงฆ์ครูอาจารย์ที่เป็นพวกปฏิบัติบ้างนะ  จะได้กลับเป็นมนุษย์กับเขาสักที 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2010, 01:56:41 pm โดย phonsak » 
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------

ชาติก่อนๆโน้นคงใช่ แต่ชาติที่แล้วคงไม่  เพราะคุณแม่ผมท่านอุ้มพระพุทธรูปสีทอง เหลืองอร่าม สวยงาม สว่างไสว เอาไว้ตอนที่ผมเกิดอะครับ
และอย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลยครับ สัตว์นรกทุกขุม ผมก็ลงไปเล่นมาหมดแล้วครับ...ท่านปัญญาอันประเสริฐยิ่ง...

พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา

คุณไม่ต้องบังอาจมาบัญญัติ ไว้ให้(อาจจะ)ถึงคิวคุณเองก่อนเถิด ตอนนั้นมีปัญญาเท่าไหร่ ก็บัญญัติไปเลย...ตอนนี้รู้จักกาละเทศะหน่อยท่าน

คนที่เก่งกว่าคุณ ปัญญา บารมี และวาสนา มากกว่าทั้งคุณและผมเองนั้นยังมีอีกเป็นอันมาก...ลดมานะลงมาอีกนิดนะครับ จะได้สาวกตามไปอีกเยอะเลยทีเดียวเชียว...เตือนด้วยความหวังดีและบริสุทธิ์ใจ 





 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 03:39:37 pm โดย AVATAR » 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมย้ำอีกครั้ง:  มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีปัญญาคิดได้นะครับ

อย่างไรก็ตาม....ผมได้แสดงหลักฐานในทุกระดับแล้ว  แต่คุณไม่มีปัญญาเห็นว่า "นิพพานเป็นอัตตา"  อันนี้ผมก็จนใจ  เพราะมันเป็นเรื่องของทิฏฐิมานะ  เช่น พระธรรมปิฎก กับ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก  พวกนี้ล้วนถูกมารหลอกใช้ให้ทำสัทธรรมปฏิรูป  ทำสัทธรรมของเก๊ให้เกิดกับพระพุทธศาสนา   

ผมต้องปล่อยวาง ปล่อยคุณไปตามบุญตามกรรม

พระพุทธรูปสีทอง เหลืองอร่าม สวยงาม สว่างไสว ที่คุณแม่ของคุณอุ้มเอาไว้ตอนคุณเกิด  อาจจะเป็นผมก็ได้นะครับ  แต่พระพุทธรูปสีทองอะไรก็เข้าไปในจิตคนที่มีทิฏฐิมานะไม่ได้หรอกครับ   เอาพระพุทธรูปสีทองมาให้คุณ  เด็กมันก็ถีบทิ้งเปล่าๆ  เพราะมันจะกินนมอย่างเดียว เรื่องนี้สมดังคำเทศน์ของอดีตสมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว) ว่า:

"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา"   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 05:49:48 pm โดย phonsakw » 
 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมเข้าใจครับท่าน...ผมจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา  แต่.ผมก็ไม่เคยพูดว่า นิพพาน คือ อนัตตา นะครับ

สำหรับท่านที่เข้าใจ "นิพพาน" แจ่มแจ้งแล้วจะเข้าใจครับ คงไม่ต้องมาหน้าดำหน้าแดงเถียงกันว่า"นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" เห็นเถียงกันมาไม่รู้กี่สมัยแล้ว...?

แต่เราไม่อาจเข้าใจ"นิพพาน"ได้ ด้วยการ"คิด" พวกท่านเหล่านี้ใช้ "ภาวนามยปัญญา" ครับ ซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด (ขั้นรองลงมาคือ จินตามยปัญญาและสุตตมยปัญญา ตามลำดับ) จึงจะเข้าใจ

สำหรับท่านที่หน้าดำหน้าแดงคิดและเถียงกันอยู่ว่า "นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา...?"   

บอกได้เลยครับว่าท่านเหล่านั้นยังไม่เข้าใจคำว่า "นิพพาน" อย่างแจ่มแจ้ง

ขอบพระคุณท่าน phonsakw เป็นอย่างสูงสุดครับ ที่ชื่นชม คุณแม่ผม...ขอบพระคุณครับ 

 

 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2010, 03:23:03 am โดย AVATAR » 
 
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างจาก: AVATAR ที่ กรกฎาคม 28, 2010, 03:03:12 am
ผมเข้าใจครับท่าน...ผมจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ นิพพาน คือ อัตตา  แต่.ผมก็ไม่เคยพูดว่า นิพพาน คือ อนัตตา นะครับ

สำหรับท่านที่เข้าใจ "นิพพาน" แจ่มแจ้งแล้วจะเข้าใจครับ คงไม่ต้องมาหน้าดำหน้าแดงเถียงกันว่า"นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" เห็นเถียงกันมาไม่รู้กี่สมัยแล้ว...?




สมัยที่เขาเถียงกัน ไม่มีผมอยู่นะครับ  เพราะผมเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครเถียงผมด้วยเหตุผลได้  มีแต่การด่าว่า ตำหนิ ติเตียน   เจอเหตุผลผมเข้าไปข้อเดียวก็น๊อคแล้ว คือ ในอนัตตลักขณะสูตร  นิยามอัตตา อนัตตาว่าอย่างไร 

อนัตตา = ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา  ถ้านิพพานเป็นอนัตตา เชิญแม่งเข้านิพพานไปคนเดียวซิวะ  ข้าอยู่ตรงนี้ไม่ดีกว่าหรือ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ใจเย็นครับท่านผู้เจริญ...วาจาอันสุภาพของท่านนั้นหายไปไหนหมดแล้วครับ...ตบะแตก หรือ ฌานเสื่อม กันล่ะนี่...!

   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 05, 2010, 03:21:02 am โดย AVATAR » 
 
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 ผมเป็นคนพูดตรงๆ  และใจของผมเย็นอยู่แล้ว  ดังนั้นอย่าเอาความคิดหรือใจของคุณ เอามาเป็นของผมเลย  มันคนละใจกัน  คุณจะสุภาพแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของคุณ  ผมมีนิสัยสันดานต่างจากคุณ  มันก็แค่นั้นเอง

ผมจำได้ว่า...เคยมีคนว่าผมว่าตบะแตกแบบคุณเมื่อหลายปีก่อน  เป็นคนมีวิชาไสยเวทของพราหมณ์ด้วย  ผมเลยแกล้งอวตาร ใช้ชื่ออื่นไปต่อว่าเขา  จะดูว่า คนที่ไม่ตบะแตกเป็นอย่างไร  เพราะผมใจเย็นเป็นน้ำแข็ง  เขายังบอกว่าผมตบะแตก

อาจารย์(มีวิชาคนนั้น) เลือดขึ้นหน้าทันที  ผมก็เลยแซวเขาว่า  ผมเห็นแล้วครับว่า:

"คนตบะไม่แตกเป็นอย่างไร?  โดนคำต่อว่านิดหน่อย เลือดขึ้นหน้าเลย" 

นอกจากนี้  ผมก็บอกว่า ไอ้คนที่แกล้งว่าท่าน  ไว้เวรคนนั้นแหละ....มันก็คือผม

หลังจากนั้น อาจารย์ผู้นี้(ชื่อกฤษณะ) ก็ขู่ผมว่า  "ระวังจะไหลตาย"  คืนนั้นเขาส่งกุมารทองมาดึงวิญญาณธาตุผมออกจากร่าง นึกว่าผมไม่มีวิชาสู้  ผมก็ทำสมาธิและแผ่เมตตาออกไป กุมารทองปล่อยผมทันที 

วันต่อมา อาจารย์กฤษณะก็ส่งหนังควายหรือยันต์อะไรเข้าท้องผม  ผมก็แผ่เมตตาทำลายอำนาจไสยศาสตร์นั้น  ที่ต้องทำลายอำนาจไสยศาสตร์นั้น   ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คุณไสยกลับเข้าไปเล่นงานอาจารย์กฤษณะ

อาจารย์กฤษณะแทนที่จะรู้สำนึกคุณ  ดันส่งกุมารทองเข้ามาเล่นงานผมอีก  ผมทำสมาธิแล้วเห็น ดวงตาแดงกล่ำใหญคู่หนึ่งกำลังมองผมอยู่  ผมเลยแผ่เมตตาออกไปเหมือนเดิม  กุมารทองเลยกลายร่างเป็นเด็กเล็กน่ารักมานอนข้างๆผม   ผมเอ็นดู เลยเอามือลูบผมเขา

ครั้งสุดท้าย อาจารย์กฤษณะเล่นอัญเชิญเทพกฤษณะมาจัดการผม  ผมนั่งสมาธิอยู่ รู้สึกว่าหนักๆที่หัวเข่า และคำบริกรรมภาวนาใดๆที่ออกไป  ก็กลับกลายเป็นภาพพระกฤษณะหมด  นอกจากนี้ผมยังเห็นมีเทพองค์หนึ่งยืนอยู่มุมห้องผม   ผมก็เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น "โอม พระศิวะ โอม พระกฤษณะ" ไปเรื่อยๆสัก 5 เที่ยว  เพื่อให้ท่านรู้ว่า ผมรู้ความจริงสูงสุดเรื่องศาสนาแล้ว..ว่า  พวกท่านเป็นอวตารและเป็นความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่วนเวียนอยู่ใน 3 ภพ

ผมเห็นในจิตว่า พระกฤษณะยิ้มให้ผม  และทำมือแบบให้พร  ผมรู้ในจิตว่า ท่านให้พรว่า "ขอให้สำเร็จ ขอให้สำเร็จ"  แล้วก็หายจากไป  ตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้  ผมไม่ได้ข่าวอาจารย์กฤษณะผู้นี้อีกเลย

....เล่นเน็ตแล้วใช้ชื่อจริง ที่อยู่ เบอร์อีเมล เบอร์โทรศัพท์จริง  ก็โดนของได้นะคุณavatar  ดีแล้วที่คุณavatarไม่ใช้ชื่อจริง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โห...ตื่นเต้น อย่างกะในหนังเลย...   ...ขอโทษนะครับที่มาตอบช้าไปหน่อย พอดีเพิ่งกลับมาจากไปทำเครื่องบินพระราชพาหนะที่กองบิน ๖ ดอนเมืองอะครับ เลยไม่ค่อยมีเวลา

แค่เห็นพวกเขมรมันเล่นกัน ก็เอือมระอาแล้ว...เราคนไทยอย่าไปเล่นเลย มนต์ดำด้านมืดทั้งนั้น ...และนี่เป็นกับดักอีกอย่างหนึ่งของพวกมารครับ จัดอยู่ในจำพวกอวิชชา

เข้าฌานมาอวยพรผมมั่งก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องใช้ชื่อ,ที่อยู่,เบอร์โทรหรืออีเมล์ ให้เมื่อยตุ้ม...เสียเวลา...ขอบพระคุณครับ       

คืนนี้นอนหลับฝันดีนะครับ แต่อย่าฝันเพลิน จนอยากกลับไปนอนฝันต่อล่ะครับ...จะเช้าแล้ว...

 

 



 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 06, 2010, 04:29:16 am โดย AVATAR » 
 
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #28 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:25:16 PM »

ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์: พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร? « เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2010, 12:22:31 am »

พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร?
 

มีบางท่านถามผม  ผมเห็นว่าดีมาก เลยนำมาตั้งกระทู้ในเว็บนี้ด้วย

ถ้าคุณจะอ้างเรื่องพระเจ้า ผมว่าคุณไปหาคำตอบให้ผมก่อนดีกว่า ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาทำไม ถ้าสร้างก็ทำให้ดีๆ เสมอภาคสิ ทำไมต้องเหลื่อมล้ำกันด้วย
 
หรือไม่ก็ไม่ต้องสร้างกิเลส อวิชชาขึ้นมา จะได้ไม่มีคนหลง ไม่ต้องสร้างความไม่ดี จะได้มีแต่คนดี พระเจ้าสร้างเอง ไม่พอใจก็ทำลายเอง ถ้าไม่สร้างอะไรเลย คงสงบสุขตั้งแต่แรกแล้ว
 
 
 ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์
 
 
 พวกเราแท้จริงเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร
 
 
ศาสนาพุทธเถรวาท  ตอบได้เพียงแต่ว่า เกิดมาเพื่อใช้กรรม เราจะไปหาจุดเริ่มต้นมันไม่ได้ว่าเราเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร พระพุทธองค์ตรัสบอกในนิกายนี้เพียงว่า เริ่มต้นของเริ่มต้นเลย พวกเราเป็นจิตประภัสสร และตรัสเล่าว่า เราเหมือนคนโดนลูกศรปักอก ต้องรักษาตัวเองให้หายอ่าน ยังไม่ต้องถามถึงใครเป็นผู้ยังลูกศรใส่เรา
 
 อย่างไรก็ตาม...พระพุทธองค์ไม่เคยปฏิเสทว่า ไม่มีใครยิงลูกศรนะครับ พระพุทธองค์ต้องการให้เราดับทุกข์ให้ได้ก่อน เมื่อเราเข้าถึงความเป็นอรหันต์ เราจะรู้ความจริงเองว่า ผู้ยิงลูกศรเป็นใคร
 
 พึงสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์และสัตว์ ย้อนไปได้ไม่สิ้นสุด
 
 พระองค์ทรงตรัสกับสาวกฝ่ายเถรวาทว่า
 
“ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส ………………… เราย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง……. ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมาก ตลอดวิวัฏฏวิวักัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏวิวักัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เราได้มีชื่ออย่างนั้น…………ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น …………ครั้นจุติจากภพโน้น แล้วมาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก ”
 
สุดท้าย พระพุทธองค์ก็ตรัสบอกกับสาวกทางเถรวาทว่า โลกนี้หรือจักรวาลนี้เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน พระองค์เปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า ซากศพของเราแต่ละคน ที่วิญญาณดวงนั้นเข้าไปเกิดเป็นมนุษย์ และสัตว์ นำมากองรวมกันแล้ว ยังมีขนาดสูงกว่าภูเขาลูกใหญ่เสียอีก พระพุทธองค์จึงทรงเบื่อที่จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ดังนั้นพระองค์จึงตัดสินใจเข้านิพพานในชาตินั้น ก่อนเข้านิพพานพระองค์ก็ยังตรัสสอนวิธีให้ทุกจิตรู้ทางเข้านิพพานด้วย
 
 การที่พระพุทธเจ้าต้องการสอนให้ฝ่ายเถรวาทดับทุกข์โดยเร็วที่สุด พระพุทธองค์จึงเน้นที่การรู้วิธีการดับทุกข์เท่านั้น พระพุทธองค์จึงสอนไปทางเถรวาท ให้เริ่มต้นที่ อวิชชา และปฏิจจสมุปบาท ก่อนหน้านั้น พระพุทธองค์ตรัสสอนเพียงว่า พวกเราจิตเดิมเป็นจิตประภัสสรเท่านั้น เพื่อไม่ให้จิตอยากรู้อยากเห็นและฟุ้งซ่าน
 
 ทางฝ่ายมหายาน พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเถรวาท ถ้าไม่รู้ถึงจุดเริ่มต้นจริงๆ พวกเขาจะไม่ยอมหาทางดับทุกข์ พระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้ เริ่มต้นที่ พระพุทธเจ้าต้นธาตุ หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า พวกเราทุกจิตล้วนออกมาจากพระพุทธเจ้าต้นธาตุทั้งนั้น พวกเราจึงมีพุทธะอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่อวิชชามันมาปิดบังจิตเราเอาไว้ ทำให้พวกเราไม่รู้ตัวเองว่า พวกเราเป็นใคร
 
คราวนี้มาถึงคำตอบที่ว่า พวกเราเกิดมาทำไม คำตอบนี้ผมตอบออกไป บางคนอาจจะเชื่อ บางคนอาจจะไม่เชื่อก็ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง และต้องตั้งจิตอธิษฐานขอรู้ความจริงด้วย ซึ่งคงต้องรออีกหลายสิบ หลายร้อย หลายพันชาติ จนกว่าเราจะสั่งสมบุญบารมีถึงระดับ ฟ้าจึงจะเปิดทางให้เรารู้
 
 ผมตอบเลยดีกว่า พวกเราเกิดมาเพื่อ....
 
 
 1. เล่นเกมค้นหาตัวเอง ถ้าเราค้นหาตัวเองไม่พบ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏต่อไปไม่มีสิ้นสุด
 
 พวกเราก็คือ พุทธะ หรือพระอรหันต์ ศาสนาคริสต์เรียกว่า พระบุตรของพระเจ้า ศาสนาอิสลามเรียกว่า อัลล่าร์ หรือ พระเจ้า เมื่อพวกเราค้นหาตัวเองพบแล้ว  เราทุกจิตก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือนเดิมก่อนออกมาเล่นเกม พูดง่ายๆ พวกเราจะกลับไปเป็นพุทธะ หรือ อรหันต์ หรือ พระบุตรของพระเจ้า หรือ พระเจ้าเหมือนเดิมนั่นเอง
 
 หลวงพ่อฤาษีลิงดำเรียก นิพพานว่า “กลับบ้านเก่า”
 
 หลวงพ่อสดเทศน์ว่า “ช้าเร็วทุกคนก็ต้องเข้านิพพานกันหมด”
 
 นั่นเป็นเพราะอะไรล่ะครับ ก็เพราะว่า จิตเดิมของเราทุกจิตเป็นจิตประภัสสร ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า พวกเราเคยอยู่ในนิพพานมาแล้วทั้งนั้น พวกเราเพียงแต่ออกมาเล่นเกมค้นหาตัวเองให้พบเท่านั้น ใครค้นหาตัวเองเจอแล้ว ก็เข้านิพพานไปก่อน ถ้ายังหาตัวเองไม่เจอ ก็ต้องเล่นเกมกันต่อไป
 
 
 2. พวกเราเกิดมาเพื่อรับรู้สุขทุกข์ในภพภูมิต่างๆทั้ง 31-32 ภูมิ เปรียบเทียบกับความไม่ทุกข์ในนิพพาน และเปรียบเทียบความสุขและความทุกข์จากการใช้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือขันธ์ 5 ของเรา รับรู้ความสุขทุกข์จากอายตนะภายใน 6 และภายนอก 6 เมื่อเปรียบเทียบกับ ความไม่ทุกข์หรือความสุขบริสุทธิ์ในนิพพานของเรา
 
 
3. พวกเราเกิดมาเพื่อลองใช้สิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือขันธ์ 5 และสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อมตะ ลองเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในภพภูมิต่างๆดู เทียบกับการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย หรือความเป็นอมตะภาวะของเราในนิพพาน
 
 
 เกมส์ค้นหาตนเองให้พบ  จะเริ่มต้นขึ้นไม่ได้  ถ้าเราไม่ให้อิสระกับตัวเองในการมีสิทธิเสรีภาพในการเลือก  และไม่ยอมปล่อยให้อวิชชาเข้ามาลวงจิตของเรา  นอกจากนี้ ยังไม่ยอมสร้างภพภูมิอื่นๆขึ้นมาเปรียบเทียบกับนิพพาน

สรุป

ตอนนี้.... พวกท่านคงรู้แล้วว่า พวกเราจิตบริสุทธิ์ในนิพพานทั้งหมดเป็นพระเจ้า  พวกเราพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้เล่นเกมส์ค้นหาตัวเอง ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความไม่เสมอภาค ฯลฯ  เป็นผลจากกรรมที่เรากระทำลงไปในอดีตส่งผลมา

ทุกจิตต้องได้รับสิทธิและเสรีภาพ และต้องมีอิสระภาพในการเลือกเองว่า  จิตใดจะติดกิเลส อวิชชา หลงทำไม่ดี หรือหลงทำดี ก็ได้ หรือจะไม่หลงกิเลส อวิชชาก็ได้  เราเป็นผู้เลือกเอง

ถ้าไม่สร้างอะไรเลย  เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ภาวะนิพพานของเราเป็นภาวะสงบสุขนั้นดีที่สุดแล้ว  มีสีขาวก็ต้องมีสีดำและสีอื่นๆเปรียบเทียบ เราจึงจะรู้ว่า นี่สีขาว  ฝรั่งเขาเรียก "สัมพันธภาพ" ต้องมีอีกสิ่งมาเปรียบเทียบ จึงจะรับรู้ความจริง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:26:00 PM »

อ้างจาก: golfreeze ที่ กรกฎาคม 13, 2010, 08:26:46 pm
ถ้าจิตเริ่มต้นของ เรานั้น ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ แล้วเพราะเหตุใดเราจึงต้องมาเกิด
แล้วยังให้มี ราคะ โทสะ โมหะ ในชาติปัจจุบันหรอครับท่าน




ดีครับที่สงสัย     องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกกับสาวกฝ่ายเถรวาทว่า

" ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โขอาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ " 

แปลว่า "ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาทำให้เศร้าหมองแล้ว"
(เอกนิบาต อังคุตตรบาลี ฉบับฉัฏฐะ เล่มหนึ่ง หน้า ๙ ข้อ ๔๙/๕๐)

จิตปภัสสร คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง ปภัสสรคือ ขาวบริสุทธิ์ เมื่อเป็นดังนั้น จิตปภัสสรเริ่มแรกจึงเป็นจิตที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เมื่อไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ = เราเคยเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะมาก่อน  เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ย้ำ!! เมื่อจิตเราเป็นประภัสสร  ก็คือ มันไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ  = เราเคยเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะมาก่อน   

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียกนิพพานว่า "กลับบ้านเก่า"
หลวงพ่อสดบอกว่า "ช้าเร็วเราก็ต้องเข้านิพพานกันหมด"

ต้นตอของอวิชชามาจากไหน???

ถึงได้มาหลอก จิตนิพพานเริ่มแรกของเราให้ติดใจหลงใหลในภพ 3 ได้  เพราะตัวจิตปภัสสรหรือนิพพานเอง มันเองเป็นจิตผู้รู้ แล้วมันจะมาเสียท่ากิเลสอวิชชาจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

นอกเสียจากว่า จิตปภัสสร หรือจิตนิพพานเริ่มแรก ที่เป็นจิตผู้รู้  พวกมันยอมไปเปิดสวิชท์ปล่อยให้กิเลสอวิชชาเช้ามาในจิตปภัสสรเอง ให้จิตปภัสสรเหล่านั้นลืมความเป็นพุทธะ(พระเจ้า)ของตัวเอง

      ในคัมภีร์อุปนิษัทระบุเหตุผลไว้ชัดเจนว่า "พระเจ้า(พุทธะ)ที่ไม่ทุกข์และเป็นอมตะ ไม่ยอมทรงสภาวะอมตะเอาไว้"

นั่นแหละคือเหตุผล:  พวกเราเหล่าพุทธะไม่ยอมทรงทรงภาวะที่ไม่ทุกข์และเป็นอมตะเอาไว้เอง  เราทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันล่ะ  ต้องไปอ่านต่อใน กระทู้ตอบปริศนาชั่วนิรันดร์: พวกเราแท้จริงเป็นใคร? เกิดมาเพื่ออะไร?
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
พิมพ์
กระโดดไป: