ทำไมองคุลิมาลหนีนรกได้ เทวทัตหนีนรกไม่ได้ 2 มาตรฐานหรือเปล่า? « เมื่อ: สิงหาคม 28, 2010, 03:50:09 pm »
ทำไมองคุลิมาลหนีนรกได้ เทวทัตหนีนรกไม่ได้ ความยุติธรรม 2 มาตรฐานหรือเปล่า?
ผมตอบไปในกระทู้หนึ่งว่า การหนีนรกในทางพุทธศาสนาเถรวาทนั้นง่ายมาก ไม่ต้องเข้าถึงอารมณ์ของโสดาบันหรอก เอาไป 2 วิธี
1. ให้ทำการสมาทานศีล หมายถึง การรับศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ ต้องงดเว้นจากการประพฤติผิดต่างๆ ซึ่งจะเกิดผลดังนี้สำหรับบาปที่เคยทำมาแล้ว
"บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น "
"ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก บางคนทำบาปเพียงเล็กน้อยเหมือนกัน แต่บาปกรรมให้ผลเพียงในปัจจุบันชาติเท่านั้น (ทิฏฺฐธมฺมเวทนีย์)(แล้ว)ไม่ปรากฎผลอีกต่อไป"
“บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก? คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก"
2. ให้ทำการก้าวล่วงบาปกรรม ผลกรรมที่จิตใต้สำนึกของเรานำมาให้เราในโลก มันจึงเบาบางลงไป และในนรกมันสลายไป
อสังขาสูตร
สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่(และบาปอย่างอื่น) แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้
พระพุทธเจ้าบอกทางแก้ที่จะไม่ตกนรกในพระสูตรนี้ให้ด้วย
ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(และบาปอย่างอื่น) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ (อธิษฐานสำนึกบาปในเรื่องนั้น)
แต่เรื่องตามพุทธพจน์ที่คุณยกมา ถ้าเขาไม่ได้ละ ลด เลิก ปาณาติบาต แต่อย่างใด และยังทำปาณาติบาตด้วยจิตอกุศลอย่างชัดเจนอีก ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง เขาจึงต้องไปใช้กรรมในนรก
ผมชี้ทางไม่ให้พวกคุณลงนรกแล้วนะ บาปกรรมใดๆแก้ได้โดยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม สำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป เท่านี้ก็ไม่ต้องตกนรกแล้วนะ รับแค่กรรมเล็กน้อยบนโลกเท่านั้น
แต่ถ้าใครก็ตามต้องการจะลงนรกต่อไป ยังไงๆกู..ก็จะลงให้ได้ อย่ามายุ่งเรื่องของกู... อันนี้ผมก็คงไม่ว่าอะไร ตามสบายเลยครับ
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดของการหนีนรก
องคุลิมาล เลิกฆ่าคนเด็ดขาดแล้ว และมาบวชเป็นพระ หลังจากนั้น พระองคุลิมาลไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี กลับถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น
พอพระองคุลิมาลไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า:
"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)
"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" = องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เพราะว่าท่านสำนึกบาป(ทำการก้าวล่วงบาปกรรม) ทำให้ท่านรับผลกรรมเป็นอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นวิบากกรรมที่เบาบางลงมาก แล้ววิบากกรรมก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้..พระองคุลิมาลองคุลิมาลจึงไม่ตกนรกเพราะการสำนึกบาป ตั้งใจเลิกฆ่าคนอีกตลอดไป ไม่ใช่เพราะว่า องคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะการบรรลุอรหันต์แต่อย่างใด เนื่องจาก..ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" ตอนนั้นพระองคุลิมาลยังเป็นพระบวชใหม่อยู่ ยังเป็นพระสดซิงๆอยู่เลย กลิ่นคาวเลือดที่ฆ่าคนตัดนิ้วมือ 999 ศพ เพิ่งหายไปเท่านั้น
อ้างอิง:๓๖. อังคุลีมาลสูตร สูตรว่าด้วยพระองคุลิมาล
www.baanjomyut.com/pratripido...pidok/504.htmlสรุป
เรื่องการทำผิดศีล 5 ข้อใดข้อหนึ่ง และไม่ต้องรับผลกรรมในนรกนั้น พระพุทธองค์อธิบายว่า: ผู้ที่จะตกนรกก็เพราะเหตุที่เขาไม่ยอมละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ สละความเห็นนั้น ดังข้อ 614 ในอสังขาสูตรที่ว่า
"สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่ แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้"
แต่เขาจะไม่ตกนรก เพราะเขาได้ละวาจา ละความคิดนั้น สละความเห็นนั้น = ก้าวล่วงบาปกรรม ดังข้�"ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(บาปข้ออื่นก็แบบเดียวกัน) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ"
ทำไมเทวทัตตกนรกอเวจีล่ะ ทั้งๆที่สำนึกบาปเหมือนองคุลิมาล?
คำถามที่มาหาผมใน 2 เว็บ มีดังนี้:
....ตอนสุดท้ายถูกธรณีสูบลงมหานรกไปเลย ทั้งๆที่ก่อนท่านจะมรณะท่านได้สำนึกผิดและได้กล่าวขอขมาโทษ และถวายคางเป็นพุทธบูชายังลงนรกเลย(นี้ขนาดสำนึกอย่างจริงใจนะครับ)
....คุณบอกว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะสำนึกบาป ไม่ใช่เพราะเป็นอรหันต์ แต่ผมว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะเป็นอรหันต์ เห็นได้จากพระเทวทัตฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นอรหันต์ จึงยังถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรกได้ แม้จะสำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป
พระเทวทัตก็สำนึกบาปเด็ดขาดเหมือนกัน แต่จีวรคนละสี สองมาตรฐาน ๆ"
ตอบ
คุณเอาความคิดของตนเองมาพูด และกำลังยัดเยียดเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า ต้องเอาพุทธพจน์มาดูซิ ผมจะอธิบายให้ชัดเลย
คัดจาก :www.bloggang.com/viewblog.php?id=travela...;group=37&page=4
“ พระผู้มีพระภาค เป็นอัครบุรุษ ยอดแห่งมนุษย์และเทพดาทั้งหลาย พระองค์เป็นสารถีฝึกบุรุษอันประเสริฐ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญญลักษณ์ถึงร้อย และบริบูรณ์ด้วยสมันตจักษุญาณ หาที่เปรียบมิได้ ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ...”
เห็นหรือยังครับ พระเทวทัตเอาแต่อารัมภบท พอจะเข้าตอนขอขมาโทษ พระเทวทัตขอขมาโทษไม่ทัน ได้แค่ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะเท่านั้น พูดง่ายๆ เทวทัตได้สำนึกผิดเมื่อช้าไป กล่าวคำขอขมาในบาปหลายเรื่องไม่ทันสักเรื่อง ไม่มีสักเรื่องเดียวที่เทวทัตขอขมาต่อพระพุทธเจ้าทัน
การสำนึกผิดโดยรวมในใจใช้ไม่ได้นะครับ ต้องสำนึกผิดเป็นเรื่องๆ แล้วปฏิญานว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก การสำนึกผิดโดยรวมในใจใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการสมาทานศีล 5 หมายถึง การรับศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ ต้องงดเว้นจากการประพฤติผิดต่างๆ ซึ่งจะเกิดผลทำให้บาปที่เคยทำมาแล้ว ไม่ต้องรับผลในนรก รับเพียงผลวิบากกรรมเล็กน้อยในชาตินี้เท่านั้น
แค่การถวายคางเป็นพทธบูชาในขณะถูกแผ่นดินสูบเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อพระเทวทัตชดใช้กรรมในนรกหมดสิ้นแล้ว จะมาเกิดเป็นพระอัฏฐิสระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต
อ่านตอนที่เทวทัตถูกธรณีสูบอีกที่ซิครับ มีตอนไหนที่ท่านขอขมากรรมในบาปในเรื่องไหนทันบ้าง ไม่มีเลย..ใช่ไหม กรรมของเทวทัตทำไว้เป็นอนันตริยกรรมหลายเรื่อง คือ ทำสังฆเภท ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด กรรมเหล่านี้ทำให้เทวทัตอารัมบทนานไปหน่อย จึงทำการก้าวล่วงบาปกรรมไม่ทัน
ผมขอจบบทความนี้ด้วยพุทธพจน์คำก้าวล่วงบาปกรรมต้นฉบับของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:
" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด " [COLOR="Red"]สุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร 22/542-546[/COLOR]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 28, 2010, 04:50:45 pm โดย phonsak »
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยังไงๆ...ก็น่าจะเป็นเพราะองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์นะครับ
ก้าวข้ามบ่วงกรรมหลุดพ้นออกไปได้ ก็ต้องพ้นนรก
ผมแสดงหลักฐานในพระไตรปิฎก เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าล้วนๆตอนองคุลิมาลเป็นพระบวชใหม่ ตอนนั้นท่านไม่ได้เป็นอรหันต์ คุณจะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็ตามใจคุณ ผมขอหลักฐานคำพูดของคุณที่ว่า องคุลิมาลสำเร็จอรหันต์จึงพ้นบ่วงกรรมไม่ต้องตกนรกจากการฆ่า 999 ศพด้วยครับ เพราะหลักฐานของผมพระพุทธเจ้าตรัสเองตอนที่องคุลิมารก้าวล่วงบาปกรรมแล้ว ใครทำอะไรท่าน ท่านก็ไม่ตอบโต้ด้วยการฆ่าตอบ
บทที่ 63 เมตตาแทนอาวุธ (ตอนที่ 2)
พระองค์ปล่อยให้พระบวชใหม่ นามว่า องคุลิมาล ออกไปบิณฑบาตเพียงลำพัง
ทุกหนทุกแห่งที่พระองคุลิมาลบิณฑบาตผ่านไป มีแต่คนเอาไม้ไล่ทุบตีและเอาก้อนหินขว้างปา ทั้งเนื้อตัว และบาตร จีวรเต็มไปด้วยเลือดสดๆ แต่พระองคุลิมาลก็เจริญเมตตาอย่างแข็งขันอดทนได้ไม่หวั่นไหว
บัดนี้พระองคุลิมาลได้ทิ้งอาวุธแบบเก่า คือเครื่องมือเข่นฆ่าคร่าชีวิตมนุษย์มาเป็นความเมตตา คือความรักเพื่อนมนุษย์แทนอย่างกล้าหาญ
แม้ตัวเองจะต้องตายก็ไม่มีวันโกรธหรือเกลียดเพื่อนมนุษย์ที่ด่าทอ และขว้างปาหรือทำร้ายด้วยวิธีการต่างๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ท่านบิณฑบาตผ่านหมู่บ้านหนึ่ง ประชาชนพากันออกมาเอาก้อนหินก้อนดินและท่อนไม้ทำร้ายท่าน และด่าท่านด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพียงแต่ท่านหันไปมองเท่านั้น คนเหล่านั้นก็วิ่งหนีด้วยความกลัวในกิตติศัพท์ว่าถ้าท่านโมโหขึ้นมาเมื่อไร การสังหารหมู่ชาวบ้านอย่างเหี้ยมโหดจะเกิดขึ้นทันที
http://www.thaitownusa.com/New-0912000444-1.aspx