พระอาจารย์มั่น ช่วงบั้นปลายท่านพำนักอยู่ วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร ถ้าผมจำไม่ผิด
ผมก็ชอบพระอาจารย์มั่นภาพนั้นมากๆเลยครับ แล้วข้างภาพท่านผมนำเอาภาพตอนที่ผมบวชใหม่ เพื่งเดินออกมาจากโบสถ์กลางน้ำ
ผมบวชไม่มีแห่รอบโบสถ์เพราะโบสถ์อยู่กลางน้ำ เพื่อนถ่ายภาพให้แอ็กชั่นเหมือนท่านทุกอย่าง ถ้าเป็นภาพขนาดธรรมดา ขนาดรูปร่างของตัวผมจะซ้อนทับกันกับพระอาจารย์ได้พอดีเป๊ะเลย ที่ไม่เหมือนกันคือผมมีสายปะคตรัดเอวอยู่ ท่านไม่มี เพิ่งมาสังเกตุภาพเมื่อ ๔-๕ ปีหลังมานี้ และ ตอนที่ผมบวชใหม่ๆผมไม่เคยเห็นภาพนั้นมาก่อนเลย
....
ดีแล้วครับที่ได้ฟังธรรมจาก หลวงพ่อปราโมทย์ เค้าเหลือที่ไว้สำหรับท่านแหละครับ
ถ้าเราศึกษามาบ้างก็จะรู้ดังนี้ครับ
คัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะกล่าวถึง
นิพพาน 2 ประเภท คือ
*
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีอุปาทิเหลือ ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ (ยังไม่ละธาตุขันธ์ ยังอยู่กับโลก)
*
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีอุปาทิเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่อีก ( ละธาตุขันธ์จากโลกแล้ว)
ช่วงที่ได้อริยมรรคแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ คือได้อรหันตมรรค แล้วก็คือท่านเข้าพระนิพพานแล้ว คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ซึ่งไม่ต้องออกมาอีก หรือไม่เสื่อมจากความเป็นพระอรหันต์แล้ว
นั่นจึงคือความหมายของนิพพาน ไม่ใช่เข้าๆออกๆได้ ก็ด้วยประการฉะนี้ สำหรับพวกพระอริยะเบื้องต้นก็ได้พอมองเห็นของกระแส นิพพานแล้วนั่นเอง