KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมวิถีแห่งท่าน phonsak
หน้า: [1] 2 3 4
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: วิถีแห่งท่าน phonsak  (อ่าน 83982 ครั้ง)
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 10:42:19 PM »


ขออนุญาตรวบรวมไว้ให้เป็นวิถีทางของคุณลุง phonsak

สำหรับท่านที่เลื่อมใสศรัทธาและเข้าใจท่านอย่างถ่องแท้จะได้สะดวกในการติดตามต่อไปนะครับ...



 ยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 10:51:36 PM »


ถ้านิยามอัตตา/อัตตานุทิฏฐิ/อนัตตาไม่กระจ่าง จะหลุดพ้นจากการหลอกลวงของมารไม่ได้

« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 09:49:19 am »
ผมเข้าใจว่า คุณนักดาบพเนจร น่าจะเป็นคนที่ถูกมารสิง เพื่อมาให้ทำการก่อการร้าย-ลบกระทู้ต่างๆของผม  สังเกตได้จากคุณนักดาบพเนจร กล่าวว่า:

แม้มีการกล่าวอ้างพุทธพจน์อยู่ก็ตาม แต่พยายามจะส่อให้เป็นไปในทางที่เข้าใจ
ว่าสัจธรรมสูงสุดของพุทธศาสนาคือ "อัตตา"
ฯลฯ  โดยเฉพาะไปเชื่อมารรุ่นพี่
และมารรุ่นพ่อ ในเว็บพลังจิต เว็บธรรมจักร เว็บพันทิพย์  พวกนี้ชั่วๆทั้งนั้น  แต่ผม
คงไม่โต้เรื่องนี้  เพราะไร้สาระ  ผมมาเพื่อสืบอายุพุทธศาสนาให้พ้นจากเงื้อมมือ
มาร ผมไม่ได้มาเพื่อต่อยตีกับมาร


ผมขออนุญาตนำเอาพุทธพจน์ต่างๆเรื่องอัตตานุทิฏฐิ  อัตตา อนัตตา มาถก  เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป

1. อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตวาทุปาทาน สิ่งนี้เป็นอุปทาน หรือ เป็นมิจฉาทิฏฐิ  บางท่านเรียกว่า อัตตาของโลก

อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตนของเขา


ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ
[๓๕๘] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่
เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดอัตตานุทิฏฐิ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุ
ทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย

วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ.
[๓๕๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือ
ไม่เที่ยง?

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ
เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ
เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี.

จบ สูตรที่ ๗.



2. ที่ท่านเรียกว่า อัตตาของโลก = อุปทาน หรือมิจฉาทิฏฐิ นั้น  พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา"


อนัตตลักขณสูตร

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา


3. นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร

จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย....

ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย "


4.  จากท่อนจบที่พระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา[/color]

ถ้าพระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า 

ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

คุณนักดาบพเนจร ช่วยตอบให้ชื่นใจแทนปัญจวัคคีย์หน่อเถิดครับ

....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color].........

สรุป


ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา"

และพระพุทธองค์ยังตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ เพื่อสอบความเข้าใจด้วยว่า :

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ตอนนี้พระพุทธเจ้าฝากผมมาถามคุณนักดาบพเนจรว่า:

ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

คุณนักดาบพเนจร ตอบว่า

....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color].........

อัตตาจึงเท่ากับ สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา


แล้วอะไรล่ะที่เป็นอัตตา....ก็อสังขตธาตุยังไงล่ะที่นักดาบพเนจร  ดูลักษณะของอสังขตธาตุนะครับ


ลักษณะของอสังตธาตุ

อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย)
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย)

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.

ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.



Re: ถ้านิยามอัตตา/อัตตานุทิฏฐิ/อนัตตาไม่กระจ่าง จะหลุดพ้นจากการหลอกลวงของมารไม่ได้
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 11, 2010, 01:23:44 pm »

พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด


noohmairu :เกาะอัตตาไว้ให้แน่นๆ นะน้อง

ตอบ

เกาะอัตตา(ทิฏฐิ)ไว้แน่น ย่อมไม่มีทางห็นอัตตาแท้จริง เห็นแต่อัตตาทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทาน
เมื่อไม่เกาะอัตตาทิฏฐิ ย่อมเห็นอนัตตา เมื่อเห็นอนัตตา สุดท้ายก็เห็นอัตตาแท้จริง

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา = อนัตตลักขณสูตร

หมายความว่า ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวรนเป็นธรรมดา ต้องเห็นตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา

1. "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

2. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)
"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"


พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด และอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ปัญหาคือ ท่านหาอัตตาแท้จริงของท่านเองเจอหรือยัง? จะหาอัตตาแท้จริงเจอ ต้องหาอัตตาทิฏฐิ และหาอนัตตาให้เจอก่อนนะ


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 01:58:15 pm »... the suffering

เรียนว่า

การปฏิบัติธรรมไม่ยาก
             ยากตรง  ไม่ปฏิบัติ


                        และศึกษา คร่ำเคร่งกับ ..ทฤษฎีมากเกินไป  ยิงฟันยิ้ม





บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 10:56:11 PM »


ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม? « เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 01:46:23 am »

ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม?


คุณยาหยีถามในเว็บหนึ่งว่า: ดับนิพพานคืออะไร ? มีไหม?

ตอบ

ดับนิพพานมีครับ คือ ดับอายตนะนิพพาน มหายานเรียกว่า ธรรมศูนยตา
   
เมื่อใครเป็นพระอรหันต์ มหายานเรียกว่า "บุคคลศูนยตา" เมื่อตายแล้ว  เขาจะมีอายตนะนิพพาน = ธรรมกาย(เรียกแบบเถรวาท) หรือ สัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน)   อายตนะนิพพาน หรือ สัมโภคกาย หรือธรรมกาย นี้เป็นกายแท้ที่เป็นอัตตา กายแท้จะอยู่ในเมืองพระนิพพาน หรือดินแดนนิพพาน มหายานเรียกว่า พุทธเกษตร หรือ วิสุทธิภูมิ  ถ้ากายแท้เหล่านี้ต้องการอยู่ในพุทธเกษตร แดนนิพพาน ก็อยู่ไปได้ชั่วนิรันดร เขาจะดำรงตนเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์
   
อย่างไรก็ตาม ถ้า"บุคคลศูนยตา" หรือ อายตนะนิพพาน หรือ สัมโภคกาย หรือธรรมกาย ต้องการไปอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า "ธรรมศูนยตา"  เขาต้องละออกแม้แต่อายตนะนิพพานของตนเอง  เข้าไปสู่พุทธภาวะเริ่มแรก ซึ่งเป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า  เถรวาทของเราเรียกภาวะการรวมตัวของจิตบริสุทธิ์ที่เป็นแสงแต่ละดวงกับแสงดวงใหญ่(อาทิพุทธ หรือพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือต้นธาตุ-ต้นธรรม) ว่า "นิพพาน"  ศาสนาพราหมณ์เรียก อาตมัน ไปรวมกับ ปรมาตมัน
   
   
ถ้าท่านสงสัยว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง  ลองอ่านคำพูดของพระอรหันต์เหล่านี้ดู
   
   1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
   
  "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ: 
   
    “เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก
   
  2. หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า :
   
   " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
   
   ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)
   รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน
   
   หลวงปู่ดูลย์ อตโล  "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี  หาที่เปรียบไม่ได้"
   
เข้าใจหรือยังครับ  นิพพานมันมี 2 ระดับ  ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา  และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้น

ถ้ายังไม่เชื่ออีกลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0  แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่  ผมคัดมานิดนึงให้ดู
   
" นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
   
" เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง"


สรุป

จิตเฮงซวยไม่บริสุทธิ์อย่างพวกเรา ที่เรียกว่า "จิตสังขาร"  มันยังมีอายตนะภายใน(ขันธ์ 5) และอายตนะภายนอก(บ้านเมือง)รองรับ  แล้วจิตบริสุทธิ์ที่สุด ทำไมมันจะมีอายตนะ(ภายใน)นิพพาน(ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์) และอายตนะภายนอกนิพพาน(บ้านเมือง)รองรับไม่ได้ล่ะ  = อายตนะนิพพาน อยู่ในเมืองพระนิพพาน

แต่ถ้าคุณจะเลือกอยู่ในพุทธภาวะเริ่มต้นที่เป็นแสงสุกใสก็ย่อมทำได้(ธรรมกายมหายาน หรือ นิพพานเถรวาท)  เลือกกันเอาเอง

อ้อ! สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรียกสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าว่า "พุทธบารมี"

"พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปักรักษาโลก
อยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็น
ต้องเปิดใจออกรับ (พุทธบารมี)
มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้

....พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง(หลวงปู่สายพระปาของหลวงปู่มั่นมั๊ง) ท่านเล่า
ไว้ว่า เมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอน
ท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ
และท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของ
พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว"




Re: ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม?
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:10:11 pm »...the suffering
รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว
            รีบเดินทาง
               เพราะการเบ่งทางแล็บ(ทฤษฎี) มันก็แค่รู้จากสมอง จ้า   ยิงฟันยิ้ม



บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 10:59:59 PM »


ไม่อ่านกระทู้นี้ คุณจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องธรรมชาติเลย โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน « เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 03:49:05 pm »

ความจริงที่สุดเรื่องธรรมชาติ

อ้างจาก: Bodinpat
ผมอยากรู้ว่า ธรรมชาตินั้นคือใคร ทำไมเค้าถึงได้สร้างสิ่งนู้น สิ่งนี้ ทำล้ายสิ่งนั้น สิ่งนี้  แล้วเค้าทำแบบนั้นทำไม เพื่ออะไร ครับ

ตอบ

ธรรมชาติมี 2 อย่างคือ

1. ธรรมชาติที่สร้างและควบคุมโลกและจักรวาล สิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว ไม่เกิด ไม่ดับไป คงสภาพเป็นอมตะนิรันดร  ชาวพุทธเรียกว่า "อสังขตธาตุ" หรือนิพพานธาตุ   ศาสนาคริสต์ ฮินดู อิสลาม ซิกซ์ บาไฮ เรียกว่า "พระเจ้า"

ธรรมชาติที่เป็นนิพพานหรือพระเจ้า นี้แหละทำไห้เกิดธรรมชาติอันที่ 2 คือโลกและจักรวาล

2. ธรรมชาติในโลกและในจักรวาล  ธรรมชาติชนิดนี้มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และก็ดับไปในที่สุด วนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่สามารถคงสภาพเดิมไว้ได้  เรียกว่า มันเป็นอนิจจัง หรือไม่จีรัง  เมื่อกฎอนิจจังทำงานกับจิตวิญญาณต่างๆที่เข้าไปครองร่างกายเนื้อมนุษย์อยู่  ร่างกายเนื้อของมัน จึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา  อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณที่ครองร่างมนุษย์อยู่   มักจะไม่ยอมรับสภาพความเป็นอนิจจังของกายเนื้อมนุษย์ของเขา   ความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   เนื่องจากพวกเขาต้องการฝืนไม่ให้กฎอนิจจังทำงาน
 
ความต้องการคงสภาพร่างกายเอาไว้ ไม่ให้กฎอนิจจังทำงาน หรือให้ทำงานช้าที่สุด เป็นไปได้แค่กรณีเดียว คือ จิตของผู้นั้นต้องเข้าถึงความบริสุทธิ์ขั้นอรหันต์ กลับไปเป็นอณูหนึ่งของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เท่านั้น  เขาจึงจะสามารถบังคับกฎแห่งอนิจจังไม่มีผลหรือมีผลน้อยที่สุดต่อกายเนื้อของเขา

พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า "อานนท์! ผู้อบรมอิทธิบาท 4 มาอย่างดีแล้ว ทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง 1 กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์, ไม่ใช่ 120 ปีแบบที่สมมุติสงฆ์มั่วตีความ) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ "

ธรรมชาติในโลกและในจักรวาล ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และดับไป ชาวพุทธเรียกว่า "สังขตะธาตุ"

ผมขออธิบายให้ลึกซึ๊งขึ้นมาอีกหน่อย  ธรรมชาติแห่งนิพพานหรือพระเจ้า เป็นสภาวะแห่งจิตหรือวิญญาณบริสุทธิ์ หรือมหาบริสุทธิ์  จึงดำรงความเป็นอมตะนิรันดรได้  ในขณะที่ ธรรมชาติในโลกและในจักรวาล เป็นสภาวะจิตไม่บริสุทธิ์ หรือสภาวะจิตสังขารสกปรก เนื่องจากกิเลสตัณหาอวิชชาต่างๆ  ความสกปรกไม่สะอาดของจิตนี่เอง  ทำให้จิตของเขาไม่สามารถบังคับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในตัวเอง ในโลก และในจักรวาลได้

สาเหตุที่ธรรมชาตินิพพานหรือพระเจ้าสร้างสิ่งนู้น สิ่งนี้ ทำลายสิ่งนั้น สิ่งนี้  เพราะพระองค์สร้างกฎแห่งกรรมขึ้นมาเป็นกลไกสำหรับควบคุมจิตไม่บริสุทธิ์ หรือควบคุมจิตสังขารที่สกปรก   เมื่อจิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขารสกปรก   ทำเลวหรือชั่วมากเกินไปโดยไม่สำนึก  พระเจ้าหรือนิพพานจึงต้องให้จิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร ต้องรับผลกรรมที่พวกเขาก่อเอาไว้  ในศาสนาคริสต์ระบุว่า "โทษของบาปคือความตาย" โทษของบาปสำหรับมนุษย์จำนวนมากที่ทำบาปเอาไว้ จึงต้องเป็นความตายใหญ่ๆ เช่น ตายจากภัยพิบัติ สงคราม ฯลฯ

ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

1.  บาปที่เกิดจากคนหมู่มากมีโทสะคือความโกรธเป็นใหญ่ สถานที่นั้นย่อมพินาศด้วยภัยอย่างเบาก็คือสงคราม อย่างหนักก็คือการถูกทำลายด้วยไฟ ซึ่งอาจหมายถึงภูเขาไฟระเบิด หรือการปะทุจากเปลวสุริยะ ก็สุดแล้วแต่ว่า กำลังของสหกรรมที่เป็นโทสะนั้นมีมากน้อยเพียงใด

2.  บาปที่เกิดจากคนหมู่มากมีโลภะคือความโลภเป็นใหญ่ สถานที่นั้นย่อมพินาศด้วยภัย อย่างเบาคือความอดอยากขาดแคลนอาหาร อย่างหนักก็ต้องพินาศด้วยน้ำ เช่น น้ำท่วม หรือการทำลายด้วยคลื่นยักษ์ซึนามิ

3.  บาปที่เกิดจากคนหมู่มากมีโมหะหรือความหลงงมงายเป็นใหญ่ สถานที่นั้นย่อมพินาศด้วยภัยอย่างเบาก็เป็นโรคระบาด อย่างหนักก็ต้องพินาศด้วยลม อาทิเช่นพายุสารพัดรูปแบบ ซึ่งในแง่ของการทำลายจักรวาล จะถือว่าการทำลายด้วยลมนั้นมีกำลังแรงสูงสุด และมีอำนาจทำลายล้างมากที่สุด เพราะเกิดจากโมหะหรือความหลงที่เป็นอวิชชา มูลฐานของความวุ่นวายทั้งหลายในโลกียะ

สรุป

ธรรมชาติมี 2 อย่างคือ

1. ธรรมชาติของ นิพพานหรือพระเจ้า หรือ อสังขตธาตุ  ซึ่งเป็นผู้สร้าง/ควบคุมโลกและจักรวาล ที่มีจิตมนุษย์ดูแล  การควบคุมนั้นควบคุมด้วยกฎแห่งกรรม

2. ธรรมชาติของ โลกและจักรวาล หรือ สัวขตธาตุ  ซึ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และในที่สุดก็ดับไป แล้วก็วนเวียนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และในที่สุดก็ดับไปใหม่ไม่สิ้นสุด

พระเจ้าหรือนิพพานเป็นผู้ทำให้โลกและจักรวาล เกิดขึ้น  ให้พวกมันตั้งอยู่ชั่วคราว และให้พวกมันดับไป  ศาสนาฮินดูเรียกพระเจ้าผู้ทำทุกอย่างให้เกิดขึ้นว่า "พระพรหม"   เรียกพระเจ้าผู้ธำรงรักษาให้ตั้งอยู่ชั่วคราวว่า "พระนารายณ์"  และเรียกพระเจ้าผู้ทำลายว่า "พระศิวะ" แต่พระเจ้าทั้ง 3 องค์ จริงๆก็คือองค์เดียวกัน เรียกว่า "ตรีมูรติ"  แต่แบ่งภาคออกไป  เพื่อทำหน้าที่ที่ต่างกันเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้กฎแห่งกรรรมที่พระองค์สร้างขึ้นทำงาน

เมื่อกฎแห่งกรรมทำงานแล้ว และส่งผลร้ายทำให้เกิดภัยพินาศขนาดใหญ่  ทางแก้ของมนุษย์มีอยู่ทางเดียวคือ สวดวิงวอนต่อพระเจ้า หรือนิพพาน หรือรัตนตรัย หรือตรีมูรติ(พรหม/นารายณ์/ศิวะ) และสิ่งสูงสุดอื่นๆที่ท่านนับถือเท่านั้น  เพราะท่านเป็นจิตบริสุทธิ์ ผู้สร้างและควบคุมกฎแห่งกรรม


Re: ไม่อ่านกระทู้นี้ คุณจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องธรรมชาติเลย โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:12:10 pm »...the suffering

น่าจะเป็นธรรมชาติ 2 เรื่อง

คือ 1.ทางรูป(ธรรม)และตามมาด้วย 2.ทางนาม(ธรรม)

 ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:05:01 PM »


จิตบริสุทธิ์ (นิพพาน อสังขตะ)เป็นอัตตา จึงพึ่งพิงได้ « เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 10:11:22 am »


พระอริยะต่างชี้ว่า จิตบริสุทธิ์เป็นอัตตา พึ่งพิงได้


เปมงฺกโร ภิกฺขุ ชี้ว่า ตัวธรรม(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นอสังขตะ เป็นอัตตา


ในโลกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความจริง เกิดขึ้นแล้วสลายหมด เท็จทั้งสิ้น เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา

ส่วน สันตินิพพาน เป็นตัวสัจจะธรรม เที่ยงตรงมั่นคงอยู่เสมอ เป็นอสังขตะ ปราศจากเหตุ ไม่นอกไปจากจิตบริสุทธิ์ถึงขีดสุด เป็น ตัวธรรมที่รวมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอตฺตาตัวตนแท้ ......... ..........

พระพุทธภาษิตว่า
อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนของตนเองเป็นที่พึ่งของตน
ตนในที่นี้หมายถึง จิตบริสุทธิ์
ความไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวตนพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ โดยประการดังนี้ฯ


อดีตสมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว)  ชี้ว่าจะเจออัตตาได้อย่างไร


" สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่า ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา




พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร:


.... (จิต)ท่านว่ามันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน จิตของเรา จิตของเราถ้ามันเที่ยง ไม่แปรผันโยกย้ายไปมา, ก็พึ่งพาอาศัยได้.

นี่มันพึ่งไม่ได้จิตใจของเรา. ให้ตั้งอยู่นี่.,ไปโน้น. ให้ตั้งตรงโน้นไปตรงนี้ = อนัตตา

สรุป

จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = ไม่ใช่ตัวตน  มันเป็นอนัตตา
จิตเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ = ตัวตน(อัตตา) พึ่งพิงได้ = จิตบริสุทธิ์ คือ นิพพาน(อสังขตะ)



Re: จิตบริสุทธิ์ (นิพพาน อสังขตะ)เป็นอัตตา จึงพึ่งพิงได้
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:13:41 pm »

ทราบแล้ว

ลงท้ายก็คือ มีที่ยึดแล้วเนาะ คือพระนิพพาน
 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:08:31 PM »


พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ « เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 09:46:41 am »

พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด


noohmairu :เกาะอัตตาไว้ให้แน่นๆ นะน้อง

ตอบ

เกาะอัตตา(ทิฏฐิ)ไว้แน่น ย่อมไม่มีทางห็นอัตตาแท้จริง  เห็นแต่อัตตาทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทาน
เมื่อไม่เกาะอัตตาทิฏฐิ ย่อมเห็นอนัตตา เมื่อเห็นอนัตตา สุดท้ายก็เห็นอัตตาแท้จริง

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา  = อนัตตลักขณสูตร

หมายความว่า ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวรนเป็นธรรมดา  ต้องเห็นตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา

1. "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

2. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)
"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"
[/u]


พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด และอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง  ปัญหาคือ  ท่านหาอัตตาแท้จริงของท่านเองเจอหรือยัง?    จะหาอัตตาแท้จริงเจอ ต้องหาอัตตาทิฏฐิ และหาอนัตตาให้เจอก่อนนะ



Re: พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:15:48 pm »

ไม่เกาะก็ต้องเกาะ เพราะต้องดูแลกายไม่ให้ทุกข์

และใช้กายไว้ให้จิตเป็นที่พึ่ง(ห้ามซนไปนอกกาย แฮ่ แฮ่ ...เพราะ มีแต่ความเย้ายวนให้ลุ่มหลง) ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:14:00 PM »


 เมืองพระนิพพาน=พุทธเกษตร นิพพาน=ธรรมกายตามความหมายของมหายาน « เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 06:56:50 pm »

แล้วผู้ที่เชื่อว่า "นิพพาน เป็นเมืองแก้วที่เป็นอมตะนคร ...

และเชื่อว่ามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่เที่ยง ไม่แปรปรวน และเป็นอัตตา"นี้เป็นสัมมาทิฎฐิ?

ตอบ

มนุษย์เราเป็นกายเนื้อหรือนิรมาณกาย ที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 มนุษย์จึงต้องละความยึดมั่นถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน เสียก่อน  เมื่อละได้แล้ว  เขาผู้นั้นจะได้ภาวะบุคคลศูนยตา หรือ พระอรหันต์ กายของอรหันต์นี้แหละมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่เที่ยง ไม่แปรปรวน  เรียกว่า "อัตตา"= อายตนะนิพพาน หรือสัมโภคกาย หรือธรรมกาย  ขึ้นอยู่กับว่าเรียกแบบมหายานหรือเถรวาท

อธิบายให้ชัดๆไปเลย  บุคคลศูนยตา หรือ พระอรหันต์ มีที่ไป 2 ที่ คือ:

1. วิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร - พระอรหันต์ ที่เข้าไปในวิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร จะมีอายตนะด้วย เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  ทางมหายานเรียกธรรมกายของเถรวาทว่า "สัมโภคกาย"

2. ธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท) - เป็นแสงสุกสกาวในท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง 

บุคคลศูนยตา (อรหันต์ หรืออายตนะนิพพาน หรือธรรมกายตามความหมายของเถรวาท) จะเข้าไปในจุดนี้ได้ คือ เข้าไปในธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท)  บุคคลศูนยตา (อรหันต์ หรืออายตนะนิพพาน)จะต้องละอายตนะนิพพานของตนเองเสียก่อน = ธรรมศูนยตา

จะเห็นว่า มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถพึ่งอำนาจตนเอง จนสามารถเข้าไปเป็นบุคคลศูนยตา(อรหันต์)  และเมื่อทิ้งขันธ์ 5 แล้ว ได้อายตนะนิพพาน - "ธรรมกาย" ตามความหมายของเถรวาท หรือ  "สัมโภคกาย" ตามความหมายของมหายาน

ดังนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกเป็นไปไม่ได้เลยหรือยากมากๆที่จะช่วยตัวเอง  ปุถุชนสามัญ จึงพึ่งอำนาจผู้อื่น (คือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์) เพื่อออกจากสังสารวัฏฏ์ไปก่อน   แล้วค่อยไปขัดเกลากิเลสด้วยตนเองในพุทธเกษตรต่างๆ เมื่อขัดเกลากิเลอออกหมดแล้ว ก็จะเป็นบุคคลศูนยตา(อรหันต์)ในพุทธเกษตร(เมืองพระนิพพาน)นั้น  ถ้าไม่อยากอยู่ในพุทธเกษตร(เมืองพระนิพพาน)นั้น  อยากเข้านิพพานสูงสุดหรือธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท)ไปเลย ก็ต้องเอาอายตนะนิพพานของตนเองออก

สรุป

ศูนยตา มี 2 ชั้น คือ 1. บุคคลศูนยตาและ 2. ธรรมศูนยตา บุคคลศูนยตาได้แก่การละกิเลสทั้งปวงหรือบรรลุอรหันต์นั่นเอง  พระอรหันต์จะได้อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย(เถรวาท) หรือสัมโภคกาย(มหายาน) ซึ่งจะออกมารองรับเมื่อดับขันธ์ 5 ไปแล้ว

ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่ การละความยึดถือแม้ในอายตนะนิพพานและวิสุทธิภูมิ(พุทธเกษตร)ที่ตนเองอยู่  นี่ล่ะคือนิพพานแท้ที่ไม่มีเมืองพระนิพพาน(พุทธเกตร)

หลวงปู่ดู่ พูดถึงเมืองพระนิพพานและพระนิพพานแท้ดังนี้

“เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”

-  เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า = หนึ่งในเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าของเรา(สัมโภคกาย)อยู่

-  มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก = พระนิพพานของแท้ ที่จิตบริสุทธิ์และว่างเปล่าอยู่

หลวงปู่ดุลย์ พูดถึงพระนิพพานของแท้ดังนี้:

" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

- โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว = จะได้อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย เถร. สัมโภคกาย มหา.)

- ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน =  ทิ้งอายตนะนิพพาน ไปรวมกับ แสงสุกสกาวบริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิม ที่เรียกว่า อาทิพุทธ  นี่แหละพุทธภาวะแท้ๆ  ธรรมธาตุทุกดวงรวมกันเป็นหนึ่ง

- ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า อาตมัน เข้าไปรวมกับ ปรมาตมัน = พระอรหันต์ทั้งหมด เข้าไปรวมกับ พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม



Re: เมืองพระนิพพาน=พุทธเกษตร นิพพาน=ธรรมกายตามความหมายของมหายาน
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 04:05:00 pm »

ดับ นามธรรม และรูปธรรม

เหลือ จิต เนอะ ยิงฟันยิ้ม


Re: เมืองพระนิพพาน=พุทธเกษตร นิพพาน=ธรรมกายตามความหมายของมหายาน
phonsakw « ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 08:40:46 pm »

ใช่แล้วครับ

แต่ดับนามรูป = ดับจิตสังขารที่ไม่บริสุทธิ์+ดับอายตนะ(ขันธ์ 5)ที่เป็นอนัตตา ไม่เที่ยง และทุกข์

แต่เหลือจิต = จิตบริสุทธิ์จะมีอายตนรองรับ  พระพุทธเจ้าเรียกว่า อายตนะนิพพาน ชาวพุทธเถรวาทเรียกว่า "ธรรมกาย" ชาวพุทธมหายานเรียกว่า "สัมโภคกาย"

อายตนะมี 2 อย่างคือ เช่น อายตนะของโลก อายตนะภายใน(ขันธ์ 5) ภายนอกเมืองต่างๆ รวมกันเรียกว่า โลก

อายตนะนิพพานก็มมี 2 เช่นกัน  อายตนะนิพพาน ภายใน(ธรรมขันธ์ หรือ ธรรมกาย) อายตนะนิพพาน ภายนอกคือ เมืองพระนิพพานหรือพุทธเกษตร

การเข้านิพพาน เป็นอีกกีตัว คือ การที่จิดบริสุทธิ์ที่สว่างแต่ละดวง เข้าไปรวมกับ จิตบริสุทธิ แอละสว่างต้นกำเนิด ที่เป็นพุทธภาวะเบื้องค้น
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:17:22 PM »

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)" « เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 10:43:50 pm »

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "

ในเอกนิบาตอังคุตตรนิกาย อรรถกถา ภาค ๑ หน้า ๔๕ ข้อ ๕๐

จิตที่หลุดพ้นจากกิเลส  พระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไรครับ?.....นิพพานใช่ไหมครับ

ด้วยเหตุนี้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, องค์พระศาสนาแห่งศาสนาพุทธ, เป็นผู้ตรัสเองว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส หรือ นิพพาน"

พระพุทธองค์สรูปเหตุที่จิตวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ และเหตุที่จิตจะหลุดพ้นเข้านิพพานไว้สั้นๆว่า

[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง
ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ
[๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว
จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ


จบวรรคที่ ๕
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๖๑ - ๒๐๙. หน้าที่ ๗ - ๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=161&Z=209&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=42

อรรถกถาสูตรที่ ๙
ในสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ปภสฺสรํ ได้แก่ ขาวคือบริสุทธิ์.

บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ ภวังคจิต.

ถามว่า ก็ชื่อว่าสีของจิตมีหรือ? แก้ว่าไม่มี.
จริงอยู่ จิตจะมีสีอย่างหนึ่งมีสีเขียวเป็นต้น หรือจะเป็นสีทองก็ตาม จะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เรียกว่าปภัสสร เพราะเป็นจิตบริสุทธิ์. แม้จิตนี้ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่าปภัสสร.

บทว่า ตญฺจ โข ได้แก่ ภวังคจิตนั้น.

บทว่า อาคนฺตุเกหิ ได้แก่ อุปกิเลสที่ไม่เกิดร่วมกัน หากเกิด ในขณะแห่งชวนจิตในภายหลัง.

บทว่า อุปกิเลเสหิ ความว่า ภวังคจิตนั้น ท่านเรียกว่า ชื่อว่าเศร้าหมองแล้ว เพราะเศร้าหมองแล้วด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น.


 Re: สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:46:35 pm »

หลวงพ่อพุธ

บอกว่า จิตประภัสสร เป็นเพียงจิตสะอาด แต่ยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องจากกิเลส  ยิงฟันยิ้ม

เมื่อไรเรา จะเป็นจิตประภัสสร บ้างหนอ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:21:50 PM »

จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน) « เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 07:52:44 pm »

จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)  


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

 จิต ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุ เกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาคันตุกกิเลสต่างหาก มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา นี่พูดเรื่อง จิต ให้คิดดูว่า หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

เหตุนั้นท่านจึงว่า ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ จิตเป็นของประภัสสรตลอดเวลา ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าจิตประภัสสร จิตกับใจเข้ามารวมกันแล้ว คราวนี้มารวมกันเข้าเป็นใจ เมื่อมันเป็นประภัสสรมันรวมกันเป็นใจ ประภัสสรนั้นหมายความถึงจิตไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง จึงจะเห็นจิต เรียกว่าใจ ถ้าหากยังคิดนึกปรุงแต่งอยู่มันเศร้าหมอง ถ้าจิตผ่องใสแท้มันต้องสะอาดปราศจากความคิดความนึกความปรุงความแต่งจึงเรียกว่าใจ

จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ
ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง สารพัดทุกอย่างในโลก ส่วนใจสงบคงที่


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่มั่น ในมุตโตทัย


๑๐. จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส

             ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
 ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้


......กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง ๖ นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้

ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก


จิตปภัสสร โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


และจิตนี้ก็ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่าเป็นธรรมชาติปภัสสร ที่แปลว่าผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไปด้วยเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา อันเรียกว่าอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา แต่ว่าจิตนี้เมื่อได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิต ตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็วิมุติหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามานี้ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้จิตจึงกลับเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ปรากฏตามธรรมชาติของจิต จิตที่ผุดผ่องนี้เอง เมื่อขอยืมเอาคำของดอกบัวมาใช้ คือบาน ก็คือจิตที่บาน และเพื่อให้ได้คำที่สละสลวย จึงได้ใช้คำว่าเบิกบาน ก็คือจิตที่เบิกบานนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ก็คือจิตที่เบิกบาน หรือจิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงควรทำความเข้าใจว่า พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด

ตลอดจนถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอาสวะอนุสัยนอนจมหมักหมมอยู่ในจิต ทรงได้วิมุติคือความหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นเหมือนดอกบัวที่เบิกบานเต็มที่แล้ว ด้วยต้องแสงอาทิตย์คือแสงธรรม คือพระปัญญาที่ตรัสรู้พระธรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตของพระองค์จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วยประการทั้งปวง ไม่มีเครื่องเศร้าหมองเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่เบิกบานแล้ว


สรุปด้วยพระสูตรบทนี้


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "

ทวนข้อสำคัญอีกครั้ง

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี - จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาด  หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต- ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดุจพระอาทิตย์  กิเลสที่ปกคลุมคือ เมฆที่มาบดบัง

สมเด็จพระสังฆราช -  จิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่


Re: จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)
phonsakw « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 09:19:27 pm »

สาเหตุที่ต้องยกคำสอนของพระอรหันต์และพระอริยะเจ้ามาลง  เพราะผมอธิบายว่า จิตปภัสสรคือ นิพพานจิต  แต่คุณlastmanแย้งว่าไม่ใช่:


ปภัสสะระ มิทธัีง ภิกขะเว จิตตัง ภาเวถะ

 ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย จิตของคนเป็น ปภัสสร

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

 กรุณาขยายความว่า ปภัสสร หน่อยครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ที่ คุณเทียบว่าคือ นิพพาน

ตอบ

คุณตามผมมา  ในทุกขณะ ก็ดูที่จิตของคุณขณะนั้นไปด้วย  แล้วคุณจะรู้  จิตคุณตอนนี้สกปรกเพราะกิเลสตัณหาทิฏฐิฯลฯ มันมาบดบัง แต่เดิมจิตคุณนั้นหาได้สกปรกไม่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา”

มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ = ก็เอาผงซักฟอกความสกปรกออกไปจากจิต ภวังค์จิตมันก็จะค่อยๆขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาเอง 

ผงซักฟอก ในทางพุทธศาสนา คือ สมถะ(สมาธิ)+วิปัสสนา

จิตปภัสสร, จิตนี้ผุดผ่อง

อรรถว่า ปภัสฺสรํ ได้แก่ ขาวคือบริสุทธิ์. บทว่า จิตฺตํ
ได้แก่ ภวังคจิต

 จิตปภัสสร =  จิตนี้แต่เดิมเป็นจิตบริสุทธิ์ คือ ภวังคจิตมันบริสุทธิ์.  จิตนี้ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่า ปภัสสร.

ภวังคจิต แม้จะบริสุทธิ์ตามปกติ ก็ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

สรุป

จิตปภัสสร = ภวังคจิตบริสุทธิ์ = ภวังคจิต ไม่มีโลภะ โทสะ และโมหะ = นิพพานธาตุ(จิต) นี่แหละที่ผมบอกว่า

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น หรือ ไม่เกิดขึ้น ก็ตาม "ธาตุนั้นก็ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว" (ฐิตา ว สา ธาตุ) ธาตุนั้นคือ "จิต"  ถ้าไม่บริสุทธิ์ = จิตสังขาร หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท  ถ้าจิตนั้นบริสุทธิ์ เป็นปภัสสร  สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ  พระพุทธองค์เรียกมันในชื่อต่างๆกัน เช่น จิตหลุดพ้น จิตพ้นวิเศษ นิพพานจิต




แย้งต่อว่า

ปภัสสร มาจาก สนธิศัพท์ สอง คำ คือว่า ปภา + ภัสสะระ  =ปภัสสะระ แปลว่า จิตที่สร้านออก
   
   ปภัสสร ถ้าจะแปลต้องแปล่า ยกศัพท์ จิตตัง อันว่า จิต ปภัสสะระ สร้านออกแล้ว หรือ แปลโดยอรรถว่า

      จิต ที่สร้านออก 

ดังนั้นอย่าให้ความหมาย ว่า จิตประภัสสร เป็น จิตนิพพาน อีก หรือ เทียบว่า

   ปภัสสะระ จิตตัง = นิพพานัง ( แปล และ ให้ความหมาย ไม่ถูก )

  ย้ำ จิตปภัสสร  ไม่ใช่ จิตนิพพาน


   สร้านออก ด้วยอะไร   ด้วย ราคะ ด้วย โทสะ ด้วย โมหะ  ดังนั้นจิตของคนเป็น ปภัสสร อย่างนี้

  จิต ที่ประภัสสร ไม่ใช่ แปลว่า จิตที่บริสุทธิ์ หรือ จิต ที่เป็นนิพพาน


สัญญาเวทยิตนิโรธ = นิพพาน  พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นจิตแท้  ซึ่งก็คือจิตปภัสสร  ผมจึงนำเข้าคำสอนของพระอริยะและพระอริยะสงฆ์มาลงยืนยัน

กามภูสูตรที่ ๒ 

[๕๖๓] กา. ดูกรคฤหบดี ภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ไม่ได้คิด
อย่างนี้ว่า เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วบ้าง โดยที่ถูกก่อนแต่จะเข้า ท่านได้อบรมจิตที่
จะน้อมไปเพื่อความเป็นจิตแท้ (จิตดั้งเดิม)


Re: จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)
the suffering « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:01:59 pm »

เพราะ  ไม่รู้ จึงหาข้อมูลกันไป

หากรู้แล้ว ไม่ต้องอ้างใคร  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:36:06 PM »

สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้ « เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 10:50:59 pm »

ทุกศาสนาสอนให้พึ่งสิ่งสูงสุดในศาสนานั้นทั้งนั้น

   
    [1] ศาสนาอิสลาม : คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90) ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ4:12) สมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาเดิมและพันธ สัญญาใหม่ หน้า ๒๖๐

   คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)

   ศรัทธา คือ ความเชื่อในเอกะของอัลลอฮฺ เขาเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ไม่มีพระอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ = ก็คือเขาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของอัลลอฮฺได้อย่างไร ถ้าเขาไม่เชื่อและศรัทธาในอัลลอฮฺ ว่าเป็นพระเจ้า
   

    [2] ศาสนาพุทธมหายานก็สอนให้พึ่งบารมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง  เพื่อนำไปอยู่พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าองค์นั้น เพื่อฝึกละกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลงที่นั่น เช่น พึ่งพระอมิตา เพื่อนำไปแดนสุขาวดี ฝึกวิชาที่นั่น ค่อยๆละกิเลสจนสามารถเข้านิพพานได้ เนื่องจากมนุษย์จะพึ่งตัวเองเพื่อเข้านิพพานเป็นไปได้น้อยมาก เราจึงต้องพึ่งพระพุทธเจ้า

   แดนพระนิพพาน = สวรรค์นิรันดรในศาสนาคริสต์และอิสลาม  อนึ่ง สวรรค์ 6 ชั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสวรรค์ในกามภูมิ และเป็นสวรรค์ชั่วคราวเท่านั้น  ที่ๆไม่เป็นทุกข์ อยู่ได้ชั่วนิรันดร มีที่เดียว คือ แดนพระนิพพาน

   
     [3] ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์ก็สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน
จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในโลกต่อไป

    "ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

    "ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

    "ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ" 
   
 
    [4] ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า  

 นอกจากนี้ พระเยซูตรัสว่า

  “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก”

   
   ประตูใหญ่ =  สังสารวัฏฏ์ ซึ่งน้อยคนมากที่จะเข้าไปในแดนพระนิพพาน หรือสวรรค์นิรันดร โดยผ่านการช่วยเหลือตนเอง(จนเป็นพระอรหันต์) จึงต้องพึ่งพาพระพุทธเจ้า เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า หรือไม่ก็พึ่งพระกรุณาของพระ(พุทธ)เจ้า - พระโพธิสัตว์อรหันต์(พระบุตรของพระเจ้า)

 ในศาสนาคริสต์ พระเยซูคือ  ทางรอด นั้น  ก็อย่างที่บอก การเข้าไปสู่นิพพานหรือสวรรค์นิรันดรของพระเจ้า คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ เป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงจะเข้าไปได้  ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องพึ่งบารมีพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์โพธิสัตว์  เข้าไปอยู่ในพุทธเกษตรของพวกท่านก่อน  แล้วค่อยๆฝึกจิตที่นั่นจะสามารถละกิเลสตัณหา ละความโลภ โกรธ หลงให้หมด  ทำได้สำเร็จเมื่อไร ก็เข้าไปในแดนนิพพานหรือสวรรค์นิรันดรของพระเจ้า ซึ่งอยู่บนสุดของพุทธเกษตรนั้น

   ในกรณีของพระเยซู ก็คือเข้าไปอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ (คือ พุทธเกษตร)ไว้ก่อน ไปค่อยๆฝึกละกิเลสเพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์ที่นั่น เพราะประตูเล็กของพระเยซูเป็นประตูที่ปลอดภัย = เราต้องพึ่งพระเจ้าเพื่อนำเราเข้าสู่สวรรค์นิรันดร

   
 สรุป

   
   เห็นหรือยังครับ ทุกศาสนาสอนให้พึ่งพาสิ่งสูงสุดโดยให้ศรัทธาแล้วเชื่อในสิ่งนั้นทั้งสิ้น ถ้าคุณอยู่ในศาสนาพุทธเถรวาท แต่ไม่รู้หลักการพ้นนรกง่ายๆแบบที่ผมบอก คุณก็มีโอกาสสูงมากที่จะตกนรกหรือไปอบายภูมิ เพราะโลกมนุษย์ที่ไม่ต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เป็นประตูใหญ่ที่เสี่ยงมากในการตกนรก

   ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า = ในโลกมนุษย์ ถ้าคุณต้องการรอด ต้องพึ่งบารมีพระเจ้าเท่านั้น ถ้าพระเจ้าในศาสนาต่างๆไม่ใช่องค์เดียวกัน  คำสอนในศาสนาพุทธและอิสลามก็ต้องผิดล้านเปอร์เซ็นต์ 

คำสอนในศาสนาพุทธและอิสลามจะถูกได้เป็นได้ในกรณีเดียวเท่านั้น คือ    อัลลอฮฺ ต้องเป็น พระยะโฮวา  พระยะโฮวา ต้องเป็น พระพุทธเจ้า    นอกจากนี้ พระเยซูต้องเป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์หรือพุทธบุตร  และสวรรค์ของพระคริสต์ ต้องเป็นพุทธเกษตรด้วย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค  พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร  ว่า:     
       
   .....พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง       

++++ มีแต่พระพุทธเจ้าหรือ พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่สามารถทำให้พุทธเกษตรสำเร็จบริบูรณ์ได้  ด้วยเหตุนี้ สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ก็คือ พุทธเกษตรของพระเยซูคริสต์นั่นเอง  สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แห้งสรรสสัตว์(วิญญาณ)  ไว้ผมจะนำคำสอนในคริสตศาสนามายัน สิ่งนี้ชาวคริสต์ทุกคน ย่อมไม่อาจตีความได้  เพราะมีใจแบ่งแยกศาสนา ซึ่งผมไม่มีสิ่งนี้ และมีจิตบริสุทธิ์จึงตีความออก ++++

   อีกอย่าง...ถ้าพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดในศาสนาต่างๆไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คนคริสต์ที่เปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธ คนอิสลามเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ ฯลฯ เขาก็จะนำสิ่งสูงสุดในศาสนาใหม่ มาตีกันกับสิ่งสูงสุดในศาสนาเก่า แล้วพระเจ้าในศาสนาเก่าของเขา จะจับเขาไปลงนรกก็ไม่ได้ เพราะเขาได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้าในศาสนาใหม่  หรือไม่พระเจ้าในทุกศาสนาก็ต้องทิ้งเขา เพราะไม่อยากต่อสู้กับพระเจ้าองค์อื่น



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 10:47:02 pm »

ชาวโลกกำลังหาคนแบบนี้แหละครับ...มายำรวมกัน...

..................UNIFIED RILIGION....................BY Phonsak



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
THE SUFFERING « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:33:22 pm »

ให้เห็นว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของๆเรา

และ เห็นที่ว่านี้ ต้องได้มาด้วยการ ที่จิต เห็น

**ทีนี้ถามว่า จะทำให้จิตเห็นได้อย่างไร

เพราะมันอวดดีอวดเก่ง ซะเหลือเกิน

ก็ต้องเริ่มจาก  ลดมิจฉาทิษฐิ

สำรวมและนอบน้อม ต่อผู้ที่สามารถสอนเราได้

แต่เพราะความที่ว่า กูแน่ จึงไม่ยอมรับว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ของกู*

จึงไม่ยอมเชื่อ คำสั่งสอนของใคร


***หรือต่อให้คนที่ดีที่ด ผู้รู้ทีสุดมาบอก 

ทางเดิน ออกพ้นทุกข์ ปูพรมแดงรอ

 ถ้าคนนั้นๆ ไม่ยอมเดิน ก็จบ อยู่ตรงนั้น

****นะคุณลุงนะ ยิงฟันยิ้ม



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
mcgar « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:17:30 am »



ชาวโลกกำลังหาคนแบบนี้แหละครับ...มายำรวมกัน...

..................UNIFIED RILIGION....................BY Phonsak


แกโดนยำในเวบผมก็เยอะ จะแบนก็เดี๋ยวกลายเป็นว่าเวบไม่เปิดกว้าง

เดี๋ยวก็มาเป็นขี้ปากให้คนแบบนี้เอาไปเที่ยวพูดอีกว่าเผด็จการ

เวบไหนแบนคน ๆ นี้ คน ๆ นี้ก็จะไปบอกว่าคนแบนเป็นมาร

เวบไหนมีคนบอกให้แอดมินแบนคน ๆ นี้ คน ๆ นี้ก็จะบอกว่าคนที่บอกให้แบนเลียขาแอดมิน

สรุป ทุกคนที่ไม่เห็นด้วย ผิดหมด !!!

เจริญ



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR « ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:42:52 am »

ปล่อยลุงแกโชว์ไปเถอะครับ ใครเชื่อก็ตามมาเป็นสาวก ใครไม่เชื่อก็เฉยๆไป ปล่อยแกจ้อไป

ไม่มีใครตอแยเดี๋ยวแกก็เงียบเองแหละครับ

แต่ก็เห็นแก เอากระทู้ที่ไปฟัดกะใครมาบ้างไม่รู้ในเว็บอื่น...แกก็เก็บเอามาละเลงลงในเว็บนี้ เจ้าตัวเค้ารู้หรือเปล่าหรืออนุญาตหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

สรุปแล้วก็แล้วแต่แอดมิน ของแต่ละเว็บครับที่ช่วยกันดูแล หากพิจารณาแล้วไม่เหมาะสมก็แบนได้หมดแหละครับ...ไม่เห็นต้องไปใส่ใจใครทำไม...ให้วุ่นวาย?

 ยิ้ม  ยิ้มเท่ห์

Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
mcgar « ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:58:51 am »

ประเด็นคือยังไม่เคยเห็นใครเห็นด้วยกับความแหกคอกของคน ๆ นี้เลย

เท่าที่แอดมินจากเวบธรรมะบางเวบเมลล์มาคุยกับผม

มาเตือน ๆ ตอนคน ๆ นี้เข้าเวบผมใหม่ ๆ

จะบอกเหมือนกันเลยว่า ให้ระวังคน ๆ นี้ ออกแนวทำลายศาสนา

ชอบให้คนมาเถียงด้วย

แต่ประเด็นคือ ไอ้การอวดอุตริตนว่าเลอเลิศ ไอ้ความคิดแหกคอกนี่ ทำลายศาสนาชัด ๆ

ก็ยังว่าเวบนี้ใจดี ปล่อยคน ๆ นี้ไว้ได้ นับถือครับ

เพราะผมก็ใกล้จะหมดความอดทน ใกล้แบนแกเต็มที


 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR « ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:08:38 am »

อันไหนพิจารณาแล้วไม่สมควรก็ลบไปเลยครับ...ไม่ต้องซีเรียส

แกก็คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่าใครประมาณนี้...

ที่ให้แกโพสต์ สบายใจเฉิบนี้ บางทีก็เป็นข้อดีเหมือนกันครับ ทำให้เราได้เปรียบเทียบว่าอันไหน

ธรรมไหนของแท้ และธรรมไหนของปลอมเลียนแบบแอบอ้าง

ผมคิดว่าคนมีปัญญาต้องแยกแยะออกครับ

 ยิ้ม



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
the suffering « ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:27:59 am »

คาดว่า ยังมีแบบนี้อีกมาก(ก็ประมาณ 70% บนโลกนี้แหละ คับ)

เพราะขบวนการทำลายศาสนาพุทธมีเยอะ มาก ก ก

และถ้าที่ไหน มีพระดี วัดดียิ่ง ค่าจ้างงาม มาก มาก

 ยิงฟันยิ้ม



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR « ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:31:13 am »

ได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างเหมือนกันครับ  ยิ้มเท่ห์



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
the suffering « ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 08:57:02 am »


5 5 5 5   ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม

ให้ยิ้ม 2 อันไปเล้ย
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:44:41 PM »

เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่? « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 10:19:38 pm »


เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่

ปัญหา ศาสนาบางศาสนาเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไร ?

ตอบ 

เทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน = พระวิสุทธิเทพ หรือพระอรหันต์
อธิบาย : เทพในทางพุทธศาสนาเถรวาทมี 4 ประเภท 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3. วิสุทธิเทพ 4. เทวาติเทพ
อันหมายถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประเภท

คือ

1. พระปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น  พระศรีศากยะมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
2. พระสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. พระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

เทพในขั้น 3 ที่เรียกพระวิสุทธเทพ และในขั้น 4 ที่เรียกเทวาดิเทพ = พระอรหันต์ พวกท่านล้วนเป็นอมตะ จากพุทธดำรัสที่ว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ  ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ส่วน 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ เป็นเทพที่ไม่เป็นอมตะ  แม้แต่อรูปพรหมที่มีอายุยืนที่สุดในหมู่เทพ  ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัป ก็ต้องจุติ(ตาย)  ในสีหสูตร ขันธ. สํ. (๑๕๕, ๑๕๖) พระพุทธองค์จึงตรัสว่า:

"แม้เทวดาทั้งหลายที่มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุข ซึ่งดำรงอยู่ได้นานในวิมานสูง ได้สดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว โดยมากต่างก็ถึงความกลัว ความสังเวช ความสะดุ้ง ว่าผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าแน่นอน... ได้ยินว่า ถึงพวกเราก็เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ติดยู่ในกายตน"

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล "

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จึงเป็นเหล่าเทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า"  แต่ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล พระพุทธองค์จึงเรียกพระพุทธเจ้าว่า "พุทธะ" และบรรดาสาวกว่า "อนุพุทธะ"

พราหมณ์ ! ท่านจงจำเราไว้ว่า เป็น "พุทธะ" ดังนี้เถิด  บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๙/๓๖.



Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:00:28 pm »

ผู้ตรัสรู้ พบหนทางพ้นจากวัฏสงสาร ได้มีพระองค์เดียว ในแต่ละยุค


นอกนั้นคือ  โพธิสัตว์ที่ อธิษฐานสร้างเป็นพระพุทธเจ้า  เท่านั้น  ยิงฟันยิ้ม



Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
AVATAR « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:02:03 am »

คนเค้าอยาก...ให้เค้าโชว์ไป



Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
the suffering « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:14:05 am »

ก็  ยังดี

ที่มี(ข้อมูล) ดี ๆ มาโชว์  ยิงฟันยิ้ม



บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:48:06 PM »

พระเจ้า=พระพุทธเจ้า + วิธีการเข้าหาพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ของพุทธและคริสต์ « เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 03:00:57 pm »

ทกท่านครับ รวมทั้งคริสตศาสนกชนด้วย


1. เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า?

องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ จิตมหาบริสุทธิ์  พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระธรรม สาเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า? แต่เพิ่มคำว่า "พุทธ"ไว้ตรงกลางด้วย = พระ(พุทธ)เจ้า  เพราะพระองค์ท่านรู้ว่า ไม่มีการสร้างอะไรด้วยอัตตาของจริงเลย 

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่าที่ถูกอัดแน่น มีความเข้มข้ม ความถี่และคลื่นต่างระดับกันเท่านั้น  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ และวิทยาการทางกายภาพของเรา ก็ก้าวหน้าไปได้แค่ขึ้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร  จึงต้องใช้จิตเท่านั้น  แล้วคนที่จะมีจิตรู้ถึงขั้นนั้นอย่างน้อยต้องบรรลุอรหันต์ ผมจึงขอผ่านเรื่องนี้ไปก่อน

เอาเป็นว่า...ทุกสรรพสิ่งที่ท่านรู้เห็นรอบตัวท่าน  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ข้าวของ เงินทอง รถยนต์ ล้วนเป็นของปลอม ที่เกิดจากจิตของพวกท่านทำบุญกุศลเอาไว้ เลยต้องมีและได้สิ่งเหล่านี้  คนที่ไม่ค่อยทำบุญกุศล  ก็ไม่ค่อยมี และไม่ค่อยได้สิ่งเหล่านี้  ความตายและคนทุกข์ยากต่างๆล้วนเกิดจากเขาเคยทำบาปหรืออกุศลเอาไว้  จิตของเขาจึงโดนหลอกหลอนให้คิดปรุงแต่งว่า มีการเสียทรัพย์ เสียแขนขา ฯลฯ ซึ่งเป็นของเขา

พูดง่ายๆ...พวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ และโลกแห่งความฝันของจิตใต้สำนึกของท่าน  ซึ่งเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของคนอื่นๆ เหมือนกับระบบอินเตอร์เน็ต

สรุป

คนที่เรียกสิ่งสูงสุดว่า พระเจ้า เพราะเขาคิดว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นของจริงของแท้  แต่คนที่รู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ของจริง เป็นแค่สิ่งมายาเกิดจากกรรม จะเรียก "พระเจ้า ว่า พระพุทธเจ้า"


2. พระ(พุทธ)เจ้าอยู่ในจิตของพวกท่านทุกท่าน  แต่พวกท่านจะไปหาพระองค์ได้อย่างไร?

ตอบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่มนุษย์ที่โดนปกคลุมด้วยกิเลสตัณหาจะหาพระ(พุทธ)เจ้าในตัวเองเจอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีมารในใจพวกท่านคอยล่อหลอกด้วย  มีแต่ผู้มีบารมีเท่านั้น จึงจะพ้นบ่วงมารที่คอยดักจับได้  อย่างไรก็ตาม ศาสนาพุทธเถรวาท ศาสนาพุทธมหายาน และศาสนาคริสต์ ก็มีวิธีการเข้าไปหาพระพุทธเจ้า  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิที่ไหนให้เสียเวลา


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของเถรวาท  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยๆในโลก

"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"



--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของมหายาน  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


คนในประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศที่นับถือศาสนาพุทธมหายาน  พวกเขาซื้อประกันไว้แล้วว่า เมื่อเขาตายไปแล้วจะไม่ตกนรกในสังสารวัฎฎ์ โดยเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี

ในหลายพระสูตรมากทีเดียว  พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระพุทธเจ้านามพระอมิตาภพุทธเจ้า เพื่อเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี จะไม่ตกนรก แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในแดนสุขาวดี  ไม่ต้องไปเกิดในภูมิต่ำ และไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์   เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่าปณิธานข้อหนึ่ง ที่ภิกขุธรรมกรตั้งจิตปณิธานไว้ 48 ประการต่อพระพักตร์ของ พระโลเกศวรพุทธเจ้า ก่อนที่ภิกขุธรรมกรจะบรรลุธรรมกลายเป็นพระพุทธเจ้า นาม "อมิตา" มีว่า:

"ถ้าสรรพสัตว์ทั่วทุกทิศ มีจิตศรัทธาปราถนาจะบังเกิดในสุขาวดีแล้ว พึงมนสิการในใจอยู่ 1 ครั้ง หรือ 10 ครั้งก็ตาม หากมิได้อุบัติตามปราถนา ข้าพระบาท(ภิกขุธรรมกร) จักไม่ขอบรรลุโพธิญาณ"


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของชาวคริสต์  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งพระโพธิสัตว์ต่างๆมาเพื่อจะช่วยมนุษย์  พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งชื่อ "เยซู"  องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า พระบิดา ได้ประทานพุทธเกษตร หรือสวรรค์แบบหนึ่งให้ปกครอง  สวรรค์ของพระคริสต์นี้ จะเข้าไปได้ต้องทำตามกฎที่ท่านตั้งไว้ คือ ทานปังปอน และดื่มเหล้าองุ่น จากสาวกที่สืบต่อกันมาของพระองค์ เป็นตัวแทนของร่างกายและโลหิตของพระเยซู   วิญญาณของท่านก็จะไม่ต้องมาวนเวียนรับกรรมในโลกอีก ยกเว้นว่า ท่านต้องการ = เมื่อเข้าไปอยู่ในศาสนาคริสต์  เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะไปอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์  และท่านจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป 

หลักความเชื่อและคำสอนของคริสเตียน

10.3 ผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด   จะได้อยู่กับพระเจ้า และไม่มีการลงโทษ น้ำตา ความเจ็บปวด ความมืด และความบาปอีกต่อไป เป็นสถานที่บริสุทธิ์ เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ด้วยเหตุนี้ สวรรค์ของพระคริสต์ จึงไม่ใช่สวรรค์นิรันดรของพระบิดา หรือนิพพาน  แต่สวรรค์ของพระคริสต์เกิดขึ้นจากการไถ่บาปด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์   ซึ่งเราจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปเช่นกัน  แม้ว่าเราจะทำจิตให้บริสุทธิ์ระดับพระเยซูไม่ได้

อนึ่ง...พึงระลึกว่า  พระเยซูสร้างหลักประกันว่าจะไม่ตกนรกของศาสนาคริสต์

มัทธิว 7:13-14 พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า

13 "จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก"
14 "เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย"


“ประตูแคบ" = สรวงสวรรค์ที่พระบิดาประทานให้พระคริสต์ปกครอง
"ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด

โรม 3:23 - การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า... "

.....ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ "ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธเถรวาทมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะสมมุติสงฆ์ของไทยไม่ยอมสอนเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม และไม่สอนเรื่องให้ยึดเอาพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัยเป็นสรณะแบบจริงๆจังจัง  เพียงแต่พูดๆไปอย่างนั้นเอง

สรุป

 สวรรค์ของพระคริสต์ = พุทธเกษตร ชัดๆ   เพราะสวรรค์ของพระคริสต์มีอยู่สำหรับผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด  และมีกฎการรับเข้าไปในสวรรค์(พุทธเกษตร)แห่งนี้ด้วย ... เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า:

พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:53:35 PM »

พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่ « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 05:54:17 pm »

'ไร้สังกัด' เขียนว่า:
พรหมชาลสูตรที่ ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.


ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป หรือ กาย ก็ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะไปเหลือจิตบริสุทธิ์ อะไรที่ไหน



เอาพรหมชาลสูตรที่ 1 มาลง  แต่คุณไม่เข้าใจความหมายอะไรเลย

พรหมชาลสูตรที่ ๑.

พระพุทธพจน์

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่"


พรหมชาลสูตรที่ ๑.ชี้ชัดว่า

กายของตถาคต......... ยังดำรงอยู่  = กายนี้เป็นกายแท้ ที่เป็นอัตตา(เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ = กายอนัตตาที่ตายไป เพราะมันไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ปรมัตถธรรม มี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน     จิตหมายถึงจิตสังขาร   นิพพานหมายถึงนิพพานจิต

พระสูตรในนิกายเซ็น: พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูกรกัสสปะ ท่านมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง เพราะนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี ”

คาถาพระนิพพานนิมิต
" นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา



Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
phonsak « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 01:04:15 pm »

    ส่วนตถาคตเป็นผู้ถอนตัญหาอันจะนำให้เวียนอยู่ในภพได้แล้ว (ถ้า)กายยังดำรงอยู่ตราบใด ก็มีผู้แลเห็น (แต่)เมื่อกายทำลายไปแล้ว ก็ไม่มีผู้แลเห็น.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนมาทางเถรวาทว่า กายพระองค์มี 2 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย

พระพุทธเจ้าตรัสสอนไปทางมหายานว่า กายพระองค์แยกให้ละเอียดแล้วมี 3 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย และสัมโภคกาย(กายทิพย์ที่วนเวียนอยู่ในปรโลกให้ผู้คนพบเห็นได้)


คุณครูนภา ไม่มีทางเห็นพระพุทธเจ้า  เมื่อกายเนื้อ(นิรมานกาย)ของพระองค์ตายไปแล้ว  เพราะคุณยังไม่ตาย และยังเข้าไม่ถึงโลกุตตระธรรม  เพราะพระพุทธองค์บอกวิธีพบเห็นพระองค์ไว้แล้วว่า

"ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"

แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคง หลวงพ่อสด หลวงปู่ดู่ ฯลฯ ท่านสามารถพบพระพุทธเจ้าได้ เพราะพวกท่านได้เข้าถึงโลกุตตระธรรมแล้ว  แต่ถูกไอ้พวกปริยัติที่ไม่ปฏิบัติ ไปกล่าวหาพวกท่านว่า "วิปัสสนูกิเลส"



Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
the suffering « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:43:49 pm »

เฮา เจอแต่พระธาตุเขี้ยวแก้ว ที่พุทธมณฑล นครปฐมที่มาจากจีน


และยืนยันว่า ได้สัมผัส พลัง ของพระองค์  (ไม่ทราบว่าเป็นพลัง กลุ่มบุญญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์)

อย่างถึงจิต ถึงใจจริงเชียว



ถวายบังคม กราบงามๆ ไป 3 ครั้ง

คนอื่นๆ ในห้องโถงเป็น ร้อย ก็ไม่เห็นเป็นอย่างนี้  ยิงฟันยิ้ม



Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
AVATAR « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:47:34 am »

ยังอยู่...  ยิ้มเท่ห์  อันนี้เห็นด้วยกับคุณลุง

บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 11:55:23 PM »

นิพพานดิบ/นิพพานสุก + นิพพานพุทธสภาวะ/เมืองพระนิพพาน « เมื่อ: ตุลาคม 18, 2010, 12:30:17 am »

อ้างจาก: Owner board ที่ ตุลาคม 15, 2010, 08:06:39 PM


   แล้วนิพพานไม่ได้เป็นบ้านเป็นเมืองที่มีแต่ความสุขหรอกหรือ?
   
   อย่างนั้นก็แสดงว่า เมื่อใดที่อุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต ใช่หรือไม่?
   
   อย่างนั้นนิพพานเราก็สัมผัสกันได้เสมอๆในชีวิตประจำวันของเรา ใช่หรือไม่?



   
บ้านเมืองเป็นแค่สิ่งภายนอก  (อายตนะภายนอก)   ความสุขมันอยู่ในจิตครับ  เมื่ออุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต แต่จิตมันยังครองขันธ์ 5 หรือกายอยู่  พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า "นิพพานดิบ"  ถ้าดับขันธ์ 5 ไปแล้ว เรียกว่า "นิพพานสุก"
   
ในคิริมานนทสูตร  (อุบายรักษาโรค) : ?คนหลง? และ ?คนรู้? http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=138
   
   ดูกรอานนท์  อันว่าความสุขในพระนิพพานนั้นมี ๑ ประเภท  คือ  ดิบ ๑  สุก ๑  ได้ความว่า  เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ได้เสวยสุขในพระนิพพาน  นั้นได้ชื่อว่า  พระนิพพานดิบ  เมื่อตายไปแล้วได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้นชื่อว่า  พระนิพพานสุก .....
   
พระนิพพานดิบนั้นเป็นของสำคัญ  ควรให้รู้  ให้เห็น  ให้ได้  ให้ถึงไว้เสียก่อนตาย  ถ้าไม่ได้พระนิพพานดิบนี้แล้ว  ตายไปก็จักได้พระนิพพานสุกนั้นไม่มีเลย   ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่มีทางได้  แต่รู้แล้วเป็นแล้ว  พยายามจะให้ได้ให้ถึง  ก็แสนยากแสนลำบากยิ่งนักหนา


ผู้ใดเห็นว่าพระนิพพานมีอย่างเดียว  ตายแล้วจึงจะได้  ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนหลง   ส่วนพระนิพพานดิบนั้น  จักจัดเอาความสุขอย่างละเอียดเหมือนอย่างพระนิพพานสุกนั้นไม่ได้  แต่ก็เป็นความสุขอันละเอียด  สุขุม  หาสิ่งเปรียบมิได้อยู่แล้ว  แต่หาก ยังมีกลิ่นรสแห่งทุกข์กระทบถูกต้องอยู่  จึงไม่ละเอียดเหมือนพระนิพพานสุก  เพราะพระนิพพานสุกไม่มีกลิ่นรสแห่งทุกข์จะมากล้ำกราย  ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง  แต่พระนิพพานดิบนั้น  ต้องให้ได้ไว้ก่อนตายฯ
   
นิพพาน ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง = ?

ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่.    ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ   โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง   ย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น.
   
ภิกษุทั้งหลาย  เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ.   อายตนะนั้นหาที่ตั้ง อาศัยมิได้   มิได้เป็นไป   หาอารมณ์มิได้ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.? 

   ขุ.อุ.๒๕/๑๕๘/๒๐๖-๒๐๗
   

 พุทธพจน์ข้างต้นน่าจะหมายถึง ธรรมกายที่เป็นพุทธภาวะเริ่มต้น ที่เป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า  อย่างไรก็ตาม เมืองพระนิพพานก็มี เพราะความสุขมันอยู่ในจิต  ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่รับรู้ที่เป็นอายตนะข้างนอกจิต  ธรรมกายรวมทุกจิต(อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม) จึงได้นิรมิตฝั่งนี้ที่เป็นอนัตตา(ไม่เที่ยง มีทุกข์ มีความแปรปรวน เกิด แก่ เจ็บ ตาย) คือ สังสารวัฏฏ์ มี นรก สวรรค์ พรหมโลก และนิรมิตฝั่งโน้นที่เป็นอัตตา (เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่ปรปรวนเกิด แก่ เจ็บ ตาย - เมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรขึ้นมา     

 นอกจากนี้  อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม ยังให้สิทธิกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์อรหันต์ สามารถนิรมิตเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรของตนขึ้นมาเองได้ด้วย เพื่อให้พระโพธิสัตว์องค์นั้นหรือหลายองค์ได้สอนธรรมให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ในที่นั้น  ซึ่งไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ เช่น แดนสุขาวดี ของพระอมิตาพุทธเจ้า และสวรรค์ของพระคริสต์ ที่เหล่านี้ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ แต่อย่างใด  เพียงแต่วิญญาณที่จะเข้าไปได้  ต้องทำตามกติกาที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์นั้น วางไว้ก่อนเข้าไปเท่านั้นเอง
   
ถ้าท่านยังสงสัยต่อว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง มีทั้งพุทธภาวะ(ธรรมกาย)และมีทั้งพุทธเกษตรแดนนิพพาน  แสดงว่าท่านไปให้ความใส่ใจกับข้าว ของ เมือง ในพระนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก  และไม่ใส่ใจกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกท่าน ที่ยังต้องเผชิญยถากรรมอยู่ในสังสารวัฎฎ์ เพราะไปหลงกับสิ่งภายนอก ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากว่าจะตกนรก
   
   พระอรหันต์ต่างๆชี้เรื่องนิพพานที่เป็นพุทธภาวะดั้งเดิม กับนิพพานที่เป็นบ้านเมืองไว้ดังนี้
     
      1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
     
     "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
     
.....เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก?
     
     2. หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า :
     
      " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
     
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)

รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน
     
      หลวงปู่ดูลย์ อตโล  "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี  หาที่เปรียบไม่ได้"
     
เข้าใจหรือยังครับ  นิพพานมันมี 2 ระดับ  ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา  และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้�
   
ถ้ายังไม่เชื่ออีก ลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0  แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่  ผมคัดมานิดนึงให้ดู
     
   " นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
     
   " เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง"
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 12:01:00 AM »

อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า « เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 01:35:24 am »

อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า


เหตุใดคุณ พลศักดิ์และคุณ tuenumที่โพสต์มานี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างพุทธและคริสต์,พราหมณ์ เท่านั้น......ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า(รากฐานเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าในคริสต์ศาสนา)........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???........
อาทิตย์เป็นเทพสูงสุด...ไง.ฮืม

1. คุณป้าprachabeodeeครับ  คุณป้ารู้หรือเปล่าว่า ชื่อตระกูลหรือชื่อโคตรของพระพุทธองค์ คือ โคตม โคตะมะ โคดม หมายถึง แสงสว่างอันรุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพชีวิต = พระเจ้า พระพุทธองค์บอกให้รู้โดยไม่ปิดบังเลยว่า ท่านคือ พระเจ้า พระเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า

2. อัลลอฮ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 อัลลอฮฺ ,อัลลอหฺ, อัลเลาะห์ ตรงกับภาษาอังกฤษ "GOD"


อิสลามเชื่อว่า อัลลอหฺ คือ พระนามของพระผู้เป็นเจ้า 1.ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล 2.พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ 3.พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด 4.พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

ตามความเชื่อของอิสลาม อัลลอฮ์ ทรงมีความสามารถในการบันดาลทุกสรรพสิ่ง  5.ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น

คุณป้าลองเทียบดูนะครับ

1.  ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล = พระธรรม หรือพระพุทธเจ้าเป็นผู้นิรมิตขึ้น(ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร) ใช่หรือไม่?

....ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)"

2.พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ = อมตภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของพระอรหันต์ทั้งหลายในพพาน  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้น มีอยู่"

พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง).-


"จุดที่ไม่ตาย ก็มีจุดเดียว คือ...พระนิพพาน...."


3. พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด

สิ่งอื่นล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากกิเลสอวิชชา  แต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอรหันต์ไม่ถูกสร้างจากกิเลสอวิชชา และในพระนิพพานก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคสิ่งที่เเป็นบุญแต่อย่างใด


4. พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

ก็ชัดอยู่แล้วว่า

- อัลเลาะห์ ก็คือ เง็กเซียน
- อัลเลาะห์ ก็คือ ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)
- อัลเลาะห์ ก็คือ ยะโฮวา
- อัลเลาะห์ ก็คือ เต๋า
- อัลเลาะห์ ก็คือ ซูส(zeus)
- อัลเลาะห์ ก็คือ พ่อเกิดแม่เกิด อนุตตรธรรมมารดา
- อัลเลาะห์ ก็คือ พระพุทธเจ้า

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิด  แต่คนที่ทำลายรูปปั้นของพระพุทธเจ้าในอัฟกานิสถาน เขาหลอกตัวเองว่า เป็นผู้รักและนับถือพระเจ้า  แต่เขาหารู้ไม่...อัลเลาะห์หรือพระเจ้าของเขา เป็นจิตบริสุทธิ์ที่สุด เรียกว่า "นิพพาน" อิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์"

เขาทำลายรูปปั้นย่อมไม่บาป แต่เขาเยียบย่ำจิตบริสุทธิ์ที่สุด ที่เรียกว่า "นิพพาน" อิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์" และพระพุทธเจ้าคือตัวแทนของสิ่งนั้นที่เป็นมนุษย์  บาปกรรมอันนั้นถึงทำให้ตาลีบันโดนลบอกจากแผนที่โลก

5.ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น = สัพพัญญู ซึ่งมีอยู่แต่ในพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงปฏิเสทไม่ได้เลยว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่อัลเลาะห์



Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:30:41 pm »

ผู้เขียนlove@mind เว็บhttp://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1704.new#new

อิอิ

ปฎิเสธไม่ได้เลย ว่า

แรกเริ่มเดิมที  ก็มาหลง กินง้วนดิน


คุณกำลังพูดถึงสุตตันต ทีฆนิกาย ปาฏิกสูตร 10/33 และอัคคัญญสูตร 16 หรือเปล่าครับ?

โปรดระลึกว่า ยุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นหลังจากโลกและจักรวาลพังฉิบหายหมด และเหล่าสัตว์เกิดไปเป็นพรหมชั้นอาภัสสรพหรมหรือสูงกว่าขึ้นไป ต่อมาจึงเกิดมาเป็นมนุษย์  นั่นยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นจริงๆนะครับ  มันมีก่อนหน้านั้นอีก  ต้องไปดูในคัมภีร์อิสลาม และคัมภีร์อุปนิษัทครับ  แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลาค้น  ค้นไปเอามาลง ตามเว็บต่างๆที่มีจิตใจคับแคบก็เซ็นเซ่อร์กระทู้ และหาเหตุผลไล่ผมออกจากเว็บอีก

จุดเริ่มต้นจริงๆในทางพุทธเริ่มที่ จิตประภัสสร(จิตหลุดพ้น-นิพพาน) ยอมให้ตนเองหลงกิเลสอวิชชาได้  ทำให้พวกเราเหล่าอณูของพระ(พุทธ)เจ้าเสียตัว เสียความบริสุทธิ์ให้กับพระยามาร ปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มทำงาน

เราจึงค่อยๆตกภูมิจากนิพพานลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องเกิดเป็นมนุษย์



Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 01:34:23 pm »

คุณเมตตาครับ


ผมยินดีและเต็มใจให้พวกเขาเบียดเบียนครับ  อ่านข้อความทั้งหมด แต่เมื่อจิตไม่คิดปรุงแต่ง ผมจึงไม่เดือดร้อน ขอต่อเลยนะครับ


คำถามจากคุณลามะ เว็บyantip.com
พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเกิดมาตั้งหลายชาติกว่าท่านจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วองค์อัลเลาะห์ อวตาลลงมาตอนไหนเหรอครับ



คุณลามะครับ


มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์เดิมแท้อยู่องค์เดียว เรียกว่า อาทิพุทธ องค์นี้แหละคือพระปฐมพุทธเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์ พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ล้วนเป็นอวตารจาก อาทิพุทธ  อาทิพุทธ นี้ก็คือ พระพุทธรังสีพระบรมบิดา ชาวโลกเรียกว่า GOD

องค์พระผู้เป็นเจ้าที่อวตารลงมาเป็นมนุษย์ในแต่ละยุคมีได้แค่องค์เดียว  ต้องรอให้พระพุทธเจ้านาม โคตมะพุทธเจ้า จบยุคไปก่อนในปีพศ.5000  หลังจากนั้นจึงจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้  พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ศาสนาพุทธเรียก พระศรีอริยะเมตตรัย คริสต์เรียก เมสไซอาร์ อิสลามเรียก มะดีย์

แต่เหตุไรจึงไม่เกิดพร้อมกัน ๒ องค์โยมเห็นว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันหลายองค์ จะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่โลกมากยิ่งขึ้น แต่เหตุไรจึงเกิดพร้อมกัน ๒ องค์ไม่ได้ โยมสงสัย ?”

พระนาคเสนตอบว่า

“ขอถวายพระพร หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ได้หรือไม่ ?”

“ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มนั้นดุมต้องแตก กำต้องหัก กงต้องทรุดลง เพลาต้องหัก เพราะหนักเกินไป”


“ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร แต่ขอให้พระองค์ทรงสดับเหตุอื่นต่อไปอีก คือถ้ามีพระสัมมาสัทพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทชองพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น คือ ต่างฝ่ายก็ยกย่องพระพุทธเจ้าของตนเปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น


ด้วยเหตุนี้  เราพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เป็นผู้เห็นความจริงในเรื่องนี้  เราจึงกล้าบอกเธอว่า  อัลเลาะห์คือพระพุทธเจ้า อัลเลาะห์คือ เซ็กเซียน อัลเลาะห์คือ ซูส  อัลเลาะห์คือ ตรีมูรติ อัลเลาะห์คือ เต๋า ฯลฯ แต่อัลเลาห์ที่เกิดมาในร่างมนุษย์คือ "โคตมะพุทธเจ้า"


ลามะ เขียน:

คุณหมายความว่า พระอัลเลาะห์คือแกนหลักที่อวตานกระจายลงมาเป็นผู้นำของศาสนาอื่นๆ หรือเปล่าครับ ??
ในพุทธประวัติท่านยังกล่าวถึงเทพทางฮินดูบ้าง แต่ทำไมไม่เห็นกล่าวถึงพระอัลเลาะห์เลย
ทำไมท่านถึงไม่บอกให้ชาวพุทธเชื่อในพระอัลเลาะห์ล่ะครับ
หากท่านเป็นอวตาลของพระอัลเลาะห์จริง ??!!


ตอบ

1. คุณจะเรียกจิตบริสุทธิ์ที่มหาบริสุทธิ์นั้นว่าอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและศรัทธาของคุณ  แต่ที่ผมเรียกว่า อัลเลาะห์ เพราะคุณป้าprachabeodeeแกกวนประสาท หาว่าผม "ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???"

2. รากฐานของศาสนาพุทธมาจากศาสนาพราหมณ์  รากฐานของศาสนาพราหมณ์มาจาก ศาสนาอิสลาม หรือยิวเดิม เช่น ยูดาย เพราะในพระคัมภีร์เก่าของเขามีมาก่อนเพื่อน

แต่รากของศาสนาเหล่านี้ก็มาจากโครงสร้างความเชื่อที่ท่านนบี อิบรอฮีม(อับราฮัม)เมื่อ5,000 ปีที่แล้วเป็นผู้ฟืนฟูนำมาอีกครั้ง คือการมอบความเชื่อความศรัทธาทั้งกายใจการยอมจำนนต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างศิโรราบ

http://www.oknation.net/blog/dragonball/2010/01/17/entry-1



Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 11:51:07 am »

คุณลามะและคุณOoto ครับ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิด 1000 ปีก่อนพุทธศักราช หรือเมือประมาณ 3500 ปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ คัมภีร์ของทั้งสามศาสนา(ยิว คริสต์ อิสลาม)ที่เป็นของดั้งเดิมก่อนพระเยซูและก่อนนบีโมฮัดหมัด เล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะตรงกับยุคอารยธรรมที่ปัจจุบันยอมรับ ก็คือศาสนายิว คริสต์ อิสลาม (ของเดิม) เกิดเมื่อราว 5000-7000 ปีก่อน

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

คัมภีร์ในสาย ศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว (ยิว คริสต์ อิสลาม)ที่เป็นของดั้งเดิม กล่าวถึงชายคนหนึ่งเมื่อห้าพันกว่าปีที่แล้วในอาณาจักรบาบิโลน(อิรัค) ชื่อ ท่านนบีอิบรฮีม(อับราฮัม)ผู้กลับมาฟื้นฟูคำสอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียว ที่ได้จางหายไปจากโลกจริงๆในช่วงเวลานั้น และพระเจ้าก็ทรงติดต่อกับท่านอับราฮัมให้ฟื้นฟูขึ้นมา

ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ก็มีเรื่องที่เล่าตรงกับศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เป็นของดั้งเดิม คือ เรื่องน้ำท่วมโลก

ศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เป็นของดั้งเดิม - โนอาห์ ได้ต่อเรือพาสรรพสัตว์หนีน้ำท่วมโลก
ศาสนาพราหมณ์ - เล่าไว้ในปางอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ เรียกว่า "มัตสยาวตาร"
พระนารายณ์แปลงเป็นปลาใหญ่ จูงเรือของพระมนู ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก

ศาสนาพุทธก็มีการเล่าถึงพระมนู คำว่า มนุษย์ จริงๆ ก็เอามาจากคำว่า "มนู"
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: [1] 2 3 4
พิมพ์
กระโดดไป: