หัวข้อ: นักวิทยาศาสตร์ทึ่งการนั่งสมาธิ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 07, 2007, 04:31:45 PM นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติระบุนั่งสมาธิเจริญสติสัมปชัญญะและปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ จะส่งผลดีและช่วยพัฒนาศักยภาพของสมอง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิเมืองไทยยืนยันเห็นด้วย พร้อมชี้ทุกวันนี้คนทั่วไปดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียงแค่ 7% เท่านั้น
ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำการทดลองสแกนคลื่นสมองของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมมามากกว่า 10,000 ช.ม. ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า "Magnetic Resonance Imaging" เปรียบเทียบกับผู้ฝึกสมาธิในขั้นเริ่มต้น พบว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำจะมีคลื่นสมองที่เป็นระเบียบมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองยังพบอีกว่า ในระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้น ในกลุ่มพระสงฆ์จะมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มผู้ที่ฝึกสมาธิในระยะเริ่มต้นมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอไปที่ประชุมหัวข้อ "จิตใจและชีวิต" ครั้งล่าสุดที่ประเทศอินเดีย ซึ่งมีองค์ทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งทิเบต เป็นประธานในการประชุม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ในแขนงต่างๆ และผู้ศึกษาธรรมะเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติธรรมหรือทำสมาธิที่มีต่อร่างกายไว้เช่นกัน เช่น เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองโดยสังเกตผู้นั่งสมาธิ จำนวน 35 คน เพื่อศึกษาอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิผิวหนัง พบว่าช่วงที่นั่งสมาธิพวกเขาใช้ออกซิเจนลดลง 17% มีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง 3 ครั้งต่อนาทีและมีอัตราคลื่นสมองเกิดขึ้นเช่นเดียวกับผู้ที่นอนหลับ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำสมาธิเป็นประจำยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี เกร็ก จาร์ค็อป ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาฮาร์วาร์ดเช่นกัน ได้ทำการทดลองโดยแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ทำสมาธิ กลุ่มที่ 2 ให้ฟังเทปจากการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาผ่อนคลาย พบว่าหลายเดือนต่อมากลุ่มแรกมีคลื่นสมองเกิดขึ้น เหมือนช่วงเวลานอนหลับ เนื่องจากการนั่งสมาธิจะไปลดการทำงานของสมองส่วนบนที่รับรู้เรื่องเวลาและสถานที่ ด้าน นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมะและสมาธิ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนทั่วไปใช้จิตหรือเซลล์สมองไม่เกิน 7% ของศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมด ขณะที่ผู้เป็นอัจฉริยะระดับโลกก็ใช้เซลล์สมองเพียง 8-10% เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าหากมนุษย์พัฒนาศักยภาพของสมองเพื่อนำเซลล์สมองที่ไม่ได้ถูกใช้ ซึ่งมีอีกถึงกว่า 90% ก็น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดได้อีกมากมาย เมื่อยังเด็กสมองทั้งในส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลและจินตนาการของคนส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน แต่เมื่อโตขึ้นสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการทำงานด้านเหตุผลกลับโตอยู่ข้างเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของสมอง ต้องหมั่นเจริญสติสัมปชัญญะ นั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรม ด้วยการปล่อยจิตให้เหมือนกระดาษเปล่า หรือแก้วน้ำที่ว่างเปล่า เปิดใจรับทุกอย่างตามความเป็นจริง โดยไม่ตั้งกรอบใดๆ ไว้ และปล่อยความคิดให้ลื่นไหลสำหรับการสร้างสรรค์ นั่นคือการใช้ศักยภาพสมองของสมองซีกขวา อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของสมองโดยรวมต่อไป. ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ 22 ม.ค.48 หัวข้อ: Re: นักวิทยาศาสตร์ทึ่งการนั่งสมาธิ เริ่มหัวข้อโดย: Top ที่ ตุลาคม 21, 2007, 03:30:22 PM สมาธิ อย่างเดียว ไม่เพียงพอ หรอกนะครับท่าน
ต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา เดี๋ยวจะนึกว่าสมาธิวิเศษวิโส อย่าลืม สมาธิมีมาก่อนพุทธเจ้าประสูติอีก แต่ไม่สามารถดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากกว่าคำว่าสมาธิ หัวข้อ: Re: นักวิทยาศาสตร์ทึ่งการนั่งสมาธิ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 28, 2007, 08:42:25 PM สมาธิ อย่างเดียว ไม่เพียงพอ หรอกนะครับท่าน ต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา เดี๋ยวจะนึกว่าสมาธิวิเศษวิโส อย่าลืม สมาธิมีมาก่อนพุทธเจ้าประสูติอีก แต่ไม่สามารถดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากกว่าคำว่าสมาธิ อ่าครับ ใช่ หัวข้อ: Re: นักวิทยาศาสตร์ทึ่งการนั่งสมาธิ เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 03, 2010, 12:07:20 AM แต่ สมาธิ จ๊าบ มากนะ เพราะถ้าไม่เจริญสมาธิ กำลังของจิตก็น้อย
วิปัสนา ก็ไม่เจริญ และวิปัสนาเกิดได้ตอนมีสมาธิเล็กๆ (ขณิกสมาธิ-แว่บหนึ่ง-ชัวขณะจิตหนึ่ง) คือมันเป็น พี่ น้องกัน จ้า เกิดได้ สลับไป สลับ มา ในทุกๆ อิริยาบถ ;D |