หัวข้อ: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: koh2001 ที่ มีนาคม 19, 2010, 07:12:00 PM พระพุทธองค์ได้ตรัสก่อน ปรินิพพานว่า เธอทั้งหลายจงเอาธรรมที่เราแสดงไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนเรา พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา ตามที่ผมเข้าใจด้วยปัญญาอันน้อยนิด คือ
1. ปฏิบัติจนบรรลุธรรมถึงขั้นที่จะสามารถเห็นพระพุทธองค์ได้ 2. เข้าใจถึงแก่นแท้ของธรรม ย่อมเข้าใจว่าพระองค์ทรงสอนอะไร โดยไม่ไปสนใจ ว่าพระองค์ทรงมีลักษณะ รูปร่างหน้าตาว่าเป็นเช่นไร (แค่เข้าใจในธรรมก็พอ) อย่างที่ผมเข้าตามนี้เป็นอย่างไรครับ รบกวนช่วยอธิบายด้วยคร้บ หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 19, 2010, 08:13:26 PM เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว พระสาวกต่างกลัวว่าจะขาดที่พึ่งอันใหญ่
พระองค์จึงให้เอาธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วเป็นที่พึ่งต่อไป ปฏิบัติตามข้อ 2. ได้เลยครับ จนเมื่อท่านเจริญในธรรมอย่างถูกต้อง เป็นลำดับๆ ไป คำถามข้อ 1.ท่านจะเข้าใจและตอบตัวเองได้ครับ หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 19, 2010, 08:41:41 PM ผู้แทนพระพุทธองค์
ปัญหา ก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งประมุขสงฆ์ แทนพระองค์หรือไม่ ? ถ้าไม่ พระสงฆ์ได้ประชุมตกลงกันแต่งตั้งใครเป็นประมุขหรือไม่ ? ถ้าไม่พระสงฆ์จะได้อะไรเป็นที่พึ่ง ? พระอานนท์ตอบ “.....ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่ง อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงแต่งตั้งไว้ว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ภิกษุรูปนี้จักเป็นที่พึ่งอาศัยของท่านทั้งหลาย ซึ่งอาตมภาพทั้งหลายจะพึงเข้าไปหาได้ในบัดนี้ “.....ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่ง อันสงฆ์ที่เป็นภิกษุผู้เถระมากรูปด้วยกันสมมติแล้ว แต่งตั้งไว้ว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จล่วงลับไปแล้ว ภิกษุรูปนี้จัดเป็นที่พึ่งอาศัยของเราทั้งหลาย...... “.....ดูก่อนพราหมณ์ อาตมภาพทั้งหลายมิใช่ไม่มีที่พึ่งอาศัยเลย พวกอาตมภาพมีที่พึ่งอาศัยคือมีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย” โคปกโมคคัลลาน ปญ สูตร อุ. ม. (๑๐๘-๑๐๙) ตบ. ๑๔ : ๙๑-๙๒ ตท. ๑๔ : ๗๕-๗๖ ตอ. MLS. III : ๕๙-๖๐ หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 19, 2010, 08:43:34 PM พระพุทธเป็นหนึ่งกับพระธรรม
ปัญหา มีผู้กล่าวว่าพระพุทธเจ้ากับพระธรรม (โลกุตรธรรม) เป็นอันเดียวกัน ถ้าเห็นอย่างหนึ่ง ก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง จริงหรือไม่ ? พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนวิกกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม วิกกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม....” วิกกลิสูตร ขันธ. สํ. (๒๑๖) ตบ. ๑๗ : ๑๔๗ ตท. ๑๗ : ๑๒๙ ตอ. K.S. ๓ : ๑๐๓ หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 19, 2010, 08:45:39 PM จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง
ปัญหา เมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว สามเณรจุนทะผู้เป็นอุปัฏฐากของท่าน ได้นำเอาบาตรและจีวรของท่านไปแจ้งข่าวนั้นให้พระอานนท์ทราบ พระอานนท์ได้พาสามเณรจุนทะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค และแสดงความทุกข์โศกอันใหญ่หลวงของตนต่อพระผู้มีพระภาค ? พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสารีบุตรพาเอาสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุติขันธ์ หรือวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ? หามิได้พระเจ้าข้า... “ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้นเราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่าจักต้องมีการจาก การพลัดพรากความเป็นอื่นไปจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น เราจะพึงได้ตามใจปรารถนาในของรักของชอบใจนี้ได้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ของสิ่งนั้นอย่าได้แตกสลายเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ “ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนมีต้นไม้ใหญ่มีแกนยืนต้นอยู่ กิ่งใดใหญ่กว่าเพื่อน กิ่งนั้นพึงทำลายไป ฉันนั้นเหมือนกันแล อานนท์ เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีสาระตั้งมั่นอยู่ พระสารีบุตรได้ปรินิพพานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพึงได้ตามปรารถนาในเรื่องนี้แต่ที่ไหน เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่เถิด... “ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ ภิกษุเหล่านั้นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักอยู่เหนือความมืด....” จนทสูตร มหา. สํ. (๗๓๔-๗๔๐) ตบ. ๑๙ : ๒๑๕-๒๑๗ ตท. ๑๙ : ๒๐๓-๒๐๕ ตอ. K.S. ๕ : ๑๔๑-๑๔๓ หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 20, 2010, 03:26:50 AM คงพอเห็นภาพนะครับ...ถ้ายังมีข้อสงสัย มีคำถามไว้ เดี๋ยวจะมีผู้รู้มาช่วยกันตอบครับ
หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 20, 2010, 11:05:44 AM แจ่มแจ้งดีครับท่าน AVATAR
ธรรมะของพระพุทธองค์ นั้น งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุดจริงๆ ดังจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างล้วนมีเหตุ มีผล เป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งกันและกัน เส้นทางที่เดิน ก็ไม่เหยียบรอยกัน แต่ไปถึงจุดหมายปลายทางอันเดียว คือหลุดพ้นจากกิเลส และ การปรุงแต่ง ขอเสริมอีกนิดนะครับ การที่ท่าน koh2001 เข้าใจนั้น นับว่าถูกแล้ว เราควรอาศัย การเจริญมรรคมีองค์ 8 ให้มาก โดยที่มีการถือ ศีล 5 เป็นพื้นฐาน (ของฆราวาส) + อริยกันตศีล (ศีลของพระอริยะบุคคล มี 10 ข้อ) ต่อไปด้วยการเจริญสัมมาสมาธิ แล้วพัฒนาต่อไปถึงการเจริญปัญญา ตามหลักมหาสติปัฏฐาน ครับผม หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: phonsak ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 12:17:50 AM "เธอทั้งหลายจงเอาธรรมที่เราแสดงไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนเรา"
ธรรมมี 2 ระดับ 1. ระดับโลกียะ 2. ระดับโลกุตตระ ธรรมระดับโลกียะ ที่จะติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้ ต้องเข้าถึงฌาน 4 จตุถฌาน แต่พระองค์ท่านติดต่อมา เราจะรับรู้หรือไม่นั่นอีกเรี่องหนึ่ง เพราะพระพุทธองค์สามารถเป็นธรรมกายมาหาก็ได้ หรือเป็นธรรมภูตที่เรามองไม่เห็นก็ได้ ธรรมระดับโลกุตตระ = ได้แค่ปฐมฌานก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องสามารถสละสิ่งทางโลกได้ เช่น สละผลบุญ ลาออกจากงาน ยกทรัพย์ให้คนอื่น เมื่อ 22 ปีก่อน พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาหาผม ท่านบอกว่ามีอะไรจะให้ท่านช่วยสอนไหม ตอนนั้นผมกลัวมาก เพราะไม่เคยมประสพการณ์ที่มีดวงแสงที่มีความสุขบริสุทธิ์มาหา และมาคุยกับผมตอบโต้กับผมได้ อีกหลายปีต่อมา ท่านก็มีหาเรื่อยๆ เป็นธรรมกายบ้าง เป็นธรรมภูตบ้าง หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: phonsak ที่ กรกฎาคม 26, 2010, 02:04:24 PM จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง ปัญหา เมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว สามเณรจุนทะผู้เป็นอุปัฏฐากของท่าน ได้นำเอาบาตรและจีวรของท่านไปแจ้งข่าวนั้นให้พระอานนท์ทราบ พระอานนท์ได้พาสามเณรจุนทะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค และแสดงความทุกข์โศกอันใหญ่หลวงของตนต่อพระผู้มีพระภาค ? พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสารีบุตรพาเอาสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุติขันธ์ หรือวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ? หามิได้พระเจ้าข้า... “ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้นเราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่าจักต้องมีการจาก การพลัดพรากความเป็นอื่นไปจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น เราจะพึงได้ตามใจปรารถนาในของรักของชอบใจนี้ได้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ของสิ่งนั้นอย่าได้แตกสลายเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ “ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนมีต้นไม้ใหญ่มีแกนยืนต้นอยู่ กิ่งใดใหญ่กว่าเพื่อน กิ่งนั้นพึงทำลายไป ฉันนั้นเหมือนกันแล อานนท์ เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีสาระตั้งมั่นอยู่ พระสารีบุตรได้ปรินิพพานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพึงได้ตามปรารถนาในเรื่องนี้แต่ที่ไหน เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่เถิด... “ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ ภิกษุเหล่านั้นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักอยู่เหนือความมืด....” จนทสูตร มหา. สํ. (๗๓๔-๗๔๐) ตบ. ๑๙ : ๒๑๕-๒๑๗ ตท. ๑๙ : ๒๐๓-๒๐๕ ตอ. K.S. ๕ : ๑๔๑-๑๔๓ คุณAVATAR ครับ คุณยกพระสูตรมา แต่ไม่เข้าใจความหมายแม้แต่น้อย พุทธพจน์ที่คุณนำมาแสดงชี้ว่า ตน(อัตตา) = ธรรม ธรรมระดับโลกียะ = อนัตตา ธรรมระดับโลกุตตระ = อัตตา มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง = ให้พึ่งอัตตา เพราะอนัตตาพึ่งไม่ได้ พระรัตนตรัย = พระพูทธ(พระปฐมพุทธเจ้า) พระธรรม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระสงฆ์(พระอรหันต์) = ธรรม (ธรรมธาตุ,ธรรมกาย,นิพพานธาตุ,อสังขตธาตุ)= "อัตตา" หลวงปู่มั่นเทศน์ว่า "ผู้ใดมายึดถือ(พระรัตนตรัย)เป็นสรณะที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฏแก่เขาอยู่ทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง" = มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 27, 2010, 03:57:22 AM อ้าว..แล้วกัน...ไหนท่านphonsak บอกเองว่าบารมีท่านยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง หลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนก็สอนท่านไม่ได้ แต่ทำไมต้องยืมคำเทศน์ของครูบาอาจารย์มาอ้างอีกล่ะครับ(หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ)
แล้วที่ท่าน คิดเองเออเอง สรุปเองอยู่เป็นประจำนั่นไม่ทำแล้วเหรอครับ...หมดมุขหรือหมดภูมิปัญญาแล้วหรือครับ... ไปศึกษา เรื่อง กัป อสงไขยปี และ อสงไขยกัป มาหรือยังครับ... รบกวนตอบคำถามนี้ของผมด้วยครับ...? คำถามมันไน่น่าจะยากสำหรับคนเก่งๆอย่างท่านหรอกใช่ไหมครับ ;) คำถามผมคือ "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย...เกมรอบแรกสมมุติจะจบเมื่อท่านphonsak มีอายุขัยได้ 86,000 ปี ตามที่ท่านคาดไว้ (ครับและท่านจะได้อยู่อบายภูมิเพิ่มไปอีก 600,000 ปี จากการที่ท่านเพิ่มอายุขัยอีก 6,000ปี) " รบกวนด้วยครับ... ไม่ไปเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา สะสมบารมีหน่อยหรือครับท่าน...phonsak....? ลงไปอบายภูมินั้น ไม่มีใครสะสมบารมีได้นะครับ นอกจากท่านพระยายมราชและท่านยมทูตทั้งหลาย...! ด้วยความปรารถนาดีอย่างยื่ง และด้วยห่วงใยเกรงท่านจะเนิ่นช้า...... ;) หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 23, 2010, 04:18:19 PM ธรรม คือธรรมชาติ ที่หาผู้รู้ตามความเป็นจริง ไม่มี
มีเพียงแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ ตรัสรู้ ว่า ธรรมชาติ ล้วนตกอยู่ในสภาพเป็นจริง 3 เรื่องที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ คือ ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา จ้า (ตามอ่านได้ของบางหน้าเว็บที่นี่) ไม่ว่า สิ่งมี-ไม่มีชีวิต ก็ล้วนตกอยู่ในสภาวะนี้ทั้งหมด ...กาย+ใจ ของคน ก็ใช่ ....ต้นไม้ หิน ดิน โลก ดวงดาวต่างๆ จักรวาล ก็ด้วย .....รวมทั้ง สัตว์ต่างๆ ;D หัวข้อ: Re: รบกวนด้วยครับ เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 01:05:08 PM ดังนั้น พระพุทธเจ้า ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
หมู่เฮา ก็เช่นเดียวกัน และเมื่ป.ธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว อย่างเต็มกำลัง ย่อมรู้เหมือนที่พระพุทธเจ้ารู้ และ จิต ที่สะอาดปราศจาก กิเลส คือ จิตเดิม ของพวกเรา จิตสะอาด เป็นพลังงาน มีกระแสไฟกำลังต่ำๆ ประมาณ12 โวลท์(ทำเอง จะรู้เอง) แต่มีกำลังมหาศาล กว้างใหญ่เท่า อนันตจักรวาล อย่ามัวแต่สงสัย ลงมือทำ แล้วมาคุยกัน ;D |