โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก
แด่ท่านสาธุชนผู้มีใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งวันวิสาขบูชาแห่งชาติอาตมาขอกล่าวด้วยเรื่องสำคัญที่พากันมองข้ามจาก ความเดิม ส่วนในครั้งนี้จะกล่าวในหัวข้อว่า โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก
การกล่าวเช่นนี้คงจะทำให้รู้สึกกระวนกระวายสำหรับท่านหลายท่านก็ได้ เพราะไม่มีใครพูดอย่างนี้ พูดกันแต่ว่าโลกพระศรีอารย์ ต้องรออีกหมื่นปีกว่าจะมาถึง ที่อาตมาว่าโลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก ก็จะหาอาตมาว่าพูดเล่น พูดเพ้อๆไป พูดอย่างไม่รับผิดชอบ อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดอย่างรับผิดชอบ พูดอย่างตั้งใจจริงว่าโลกพระศรีอารย์อยู่ไม่ไกล อยู่แค่ปลายจมูก แต่คนโง่มันไม่คว้าเอา แต่จะให้พูดเสียให้หมดว่า พระนิพพานอยู่ที่ปลายจมูก โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก คนโง่เหล่านั้นมองไม่เห็น พูดถึงสิ่งที่อยู่ที่หน้าผากก่อน เจ้าของมันมองไม่เห็น มันก็ไม่รู้สึกว่ามี มีเพชรที่หน้าผาก ส่วนโลกของพระศรีอารย์มันอยู่แค่ปลายจมูก พอเอาตาสองลูกจ้องลงไปที่ปลายจมูก มันก็เห็นลางๆ ไม่เชื่อก็ลองเพ่งดูปลายจมูกของตนเดี๋ยวนี้ดูก็ได้ มันก็ยังไม่เห็นโดยสมบูรณ์ เห็นลางๆนั่นเอง จนต้องพูดกันว่ามันจะเห็นที่ปลายจมูกได้อย่างไร
2593
ในชั้นแรกเราควรพูดกันถึงข้อที่ว่า โลกของพระศรีอารย์นั้นคืออะไรกันเสียก่อน ขอให้ทราบทั่วกันว่า ในทุกศาสนามีเรื่องของพระศรีอารย์อยู่ในแต่ละศาสนา ทั้งคนชาติอะไรในโลก ย่อมถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ที่มีคติหรือเรื่องราวเกี่ยวกับพระศรีอารย์นั้นตามแต่ศาสนาของตน เพียงแต่เขาเรียกชื่อต่างออกไปตามศาสนานั้นๆ สำหรับทวีปเอเชียนั้น ก็มีศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาคริสตร์ ในศาสนาฮินดูมีกล่าวถึง พระนารายณ์อวตารปางที่สิบ เรียกว่า กรรติยาวตาร พวกศาสนาฮินดู นับพระพุทธเจ้าของเราเป็นปางที่เก้า และรอกรรติยาวตาร มาเป็นปางที่สิบจะมีมา และมีพรรณนาลักษณะว่าเป็นบุรุษขี่ม้าขาว มาจัดการให้ทุกอย่างเป็นไปเพื่อความสงบสุขถึงที่สุด และที่พูดกันว่าบุรุษขี่ม้าขาว คงเข้าใจมาจากเรื่องเหล่านี้ เมื่อพระกรรติยามาสู่โลกนี้ จึงเรียกว่าโลกของพระศรีอารย์ มีแต่ความสงบสุข ไม่มีความทุกข์เลย อะไรก็ได้ดั่งใจไปทั้งหมด และเค้าบอกว่าอีกหลายหมื่นปีเหมือนกัน ไม่ใช่อยู่แค่ปลายจมูก
และในศาสนาพุทธว่า พระศรีอริยะเมตไตร จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มาในอนาคต โลกนี้จะมีความสงบสุข และพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองกว่า พระศาสนาของพระพุทธเจ้าในองค์ปัจจุบันนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมีพระอริยบุคคลมากกว่า และประชาชนจะมีความสุขอย่างยิ่ง คือจะไม่มีเรื่องร้อนใจเลย ทุกคนพอใจในความเป็นอยู่ ไม่มีการเบียดเบียน ตอนนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ บ้านเลยไม่ต้องทำประตูก็ได้ เรื่องคนร้าย หรือขโมยก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็คนจะเป็นคนดีเหมือนกันหมด ไม่มีคนพาล จนกระทั่งลงจากบ้าน ก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันดีเหมือนกันหมด มันสุภาพเหมือนกันหมด มันสวยเหมือนกันหมด จนเมื่อกลับเข้าบ้าน จึงจะจำได้ว่า นี่คือภรรยาของเรา นี่คือสามีของเรา นี่คือลูกของเรา และต้องการอะไรก็ได้ มันมีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ อยู่ทุกทิศ อยากได้อะไรก็ไปขอที่ต้นไม้ จะสะดวกสบาย แม้แต่การคมนาคม การไปการมา จนว่าน้ำในแม่น้ำนั้น จะไหลลงข้างหนึ่ง จะไหลขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อจะสะดวกต่อการใช้เรือ มันเป็นเรื่องละเอียดมากๆ ไม่ต้องพูดหมด มันลำบากเปล่าๆ เอาแต่ใจความมา สรุปว่าไม่มีความทุกข์ อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีอันธพาล ทุกอย่างได้อย่างอกอย่างใจ ดังนั้นจึงมีคนปรารถนาจำนวนมากที่จะเกิดให้ทันในยุคของพระศรีอริยะเมตไตร และมีคำแนะนำว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วจะได้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอริยะเมตไตร หรือแม้แต่บูชามหาชาติ หรือดอกไม้หนึ่งพันดอก หรือฟังให้ครบทั้งพันภาษา หรือทั้งพันคาถา อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ก็มาดูที่ศาสนาคริสเตียน ศาสนาที่มีคนนับถือมากในโลกนี้ ก็มีเรื่องเกี่ยวกับพระศรีอริยะเมตไตร ที่เรียกเป็นภาษาฮิบบรู อันเป็นที่ตั้งของศาสนายิวหรือคริสเตียนนั้น เรียกว่า พระเมสสิอา ฟังดูก็คล้ายๆพระศรีอริยะเมตไตรอยู่มาก แต่จะเป็นคำเดียวกันหรือไม่ นี้ไม่แน่ใจ ศาสนายิว และพวกคริสเตียนก็มีคำกล่าวกันว่า พระเมสสิอา จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้ชาวยิวทั้งหลายจะพ้นจากความทุกข์ มีความสุขสมบูรณ์ ทีนี้พอพระเยซู ประกาศตนเป็น พระเมสสิอา พวกยิวเขาก็ไม่ยอมรับ แล้วหาว่า หลอกลวง ดูถูก ดูหมิ่น แล้วไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิอา ก็เลยจับพระเยซูตรึงกางเขน แต่ทางฝ่าย คริสเตียน ยอมรับว่าพระเยซู คือ พระเมสสิอา สละชีวิตของพระองค์ ให้ผู้ที่ไม่เชื่อมายอมเชื่อได้ เป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูไถ่มนุษย์ ด้วยชีวิตของพระองค์เพื่อให้รู้ข้อนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องโดนตรึงกางเขน
2594
เราก็จะเห็นได้ว่าในแต่ละศาสนาจะมีคติเรื่องราวของพระศรีอารย์ ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังกัน ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ และอาตมาก็บอกว่าโลกของพระศรีอารย์มันอยู่แค่ปลายจมูก เพียงแต่คุณไม่เห็นเอง อาตมาอาศัยหลักอะไรมาพูด ก็อาศัยหลักธรรมที่มีอยู่ หลักปฏิบัติที่มีอยู่ ถ้าใครในศาสนานั้นๆปฏิบัติ ก็จะเกิดโลกพระศรีอริยะเมตไตรขึ้นกับบุคลนั้นๆ ในศาสนานั้นๆ และอะไรเป็นหัวใจของศาสนานั้นๆที่พูดถึงอยู่นี้ ขอระบุว่านั่นคือ ความรักผู้อื่น ขอให้เข้าใจคำนี้เพียงสามพยางค์ว่า รักผู้อื่น นั่นเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา และ เมื่อใดที่ปฏิบัติตามหลักหัวใจอันนั้น โลกพระศรีอริยะเมตไตรก็จะเกิดขึ้นในทันที ที่นั่นและดี๋ยวนั้น
คงจะมีคนค้านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนในโลกมีความรักผู้อื่นเกิดขึ้นพรัอมๆ กัน อาตมาไม่ได้พูดว่ามันจะทำได้หรือไม่ แต่อาตมาบอกว่าโลกของพระศรีอารย์ มันอยู่ที่นั่น อยู่ตรงที่เมื่อผู้คนมันรักผู้อื่น ขอให้ช่วยคิดดู ศาสนาไหนๆก็สอนให้มีความรักผู้อื่น มีเมตตา คำว่า เมตไตรก็หมายถึง มีเมตตา มีความรักผู้อื่น เมตตาก็คือความรัก แต่เพียงไม่ใช่ทางกามารมณ์ แต่เป็นทางธรรมะ ศรี แปลว่า สวยสดงดงาม อริยะ แปลว่า ประเสริฐสูงสุด
ศรีอริยะเมตไตร ก็คือ ความรักผู้อื่น หรือความเป็นมิตรกันอย่างสูงสุดสวยสดงดงาม ที่อาตมาบอกว่า เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายพอเห็นได้ ว่า ถ้ามีความรักแล้วจะเป็นโลกของพระศรีอารย์ได้อย่างไร ในขั้นต้นนี้ต้องเข้าใจคำว่าความรักผู้อื่น ให้ถูกต้องเสียก่อน รักลูก รักเมีย รักผัว รักหลาน นี่ไม่ใช่รักผู้อื่น มันคือความรักตัว ที่มันแบ่งภาคไปอยู่ที่คนอื่น ไปอยู่ที่ ลูก เมีย ผัว แล้วมันก็คือตัวกู มันเป็นของกู ส่วนพวกที่รักเพื่อนกินเหล้า เพื่อนเล่นพนัน อันนี้ก็ไม่ใช่ เพราะมันยังมีความหมายเป็น ตัวเอง ที่แบ่งภาคออกไป ต่อเมื่อรักเพื่อนบ้าน ที่ไม่มีความเป็นอะไรกันเลย ไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีลาภที่มาจูงใจ นั่นแหละคือเรียกว่า รักผู้อื่น
ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ทุกคนลองหาว่าความรักผู้อื่นนี้ มันมีอยู่ไหม หาได้ที่ไหน ที่ไม่ใช่ เพื่อนกินเหล้า เพื่อนเที่ยว มันอาจจะหาไม่พบ หายาก มันก็เหมือน มองที่ปลายจมูกของตนไม่เห็นนั่นแหละ อาตมาเปรียบเทียบว่าความรักผู้อื่น ในปัจจุบันนี้แทบหาไม่ได้ ถึงว่าจะหามาเป็นยาหยอดตาก็ยังไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเอามาไว้ดูเล่นเป็นชิ้นเป็นอันให้ชื่นใจเลย เพราะมันมีแต่ความเอาเปรียบ ความเบียดเบียน ไปในทุกที่ทุกแห่งในโลก มนุษย์ไม่มีความรักผู้อื่นเลย ลองไปหาดู ว่าใครรักผู้อื่นจริงๆบ้าง มันไม่มีความรักผู้อื่นโดยสัญชาตญาณก็ว่าได้ มันฝืนสัญชาตญาณ ลองถามดูทำไมถึงไม่รักผู้อื่น เพราะมันสวยกว่าเรา พวกผู้หญิงนี่ มันแต่งตัวสวยกว่าเรา รวยกว่าเรา เราก็ไม่ยอมรักเขา เพราะเราอิจฉาเขา ใครที่เก่งกว่า หรือเสมอกับเรา เราก็อิจฉาริษยา ส่วนใหญ่คิดกันไปทำนองนั้น นอกจากจะมีประโยชน์ร่วมกัน มันจึงจะรักกัน แต่ไม่ใช่รักผู้อื่น ศาสนาในระดับศีลธรรมอันแรกคือสอน ชี้แจงให้รักผู้อื่น ศาสนาอันแรก ก็มีปัญหา เนื่องจากคนมันไม่รักกัน ผู้มีปัญญาเขามองเห็นว่าคนมันไม่รักกัน และเมื่อไม่รักกัน มันก็จะตีกัน ฆ่ากัน ขโมยกัน ล่วงละเมิดของลับของใคร่ของผู้อื่น มันก็ทำลง แล้วมันก็พูดเท็จได้ทุกอย่าง หลอกลวง พูดโทษคนอื่น ก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ มันไปกินน้ำเมา มันไม่บังคับตัวเอง
นับว่าฉลาดมากที่สอนให้ศีลเพียงข้อเดียว คือ รักผู้อื่น แล้วมันจะเป็นศีลห้าข้อขึ้นมา หรือจะถือศีลขยายออกไปอีกก็ได้ ความรักผู้อื่นเป็นศีลตั้งต้นในอดีต เพื่อป้องกันการเลวทราม ทั้งห้าประการ ที่เรียกว่า ทุศีลห้าประการ และในปัจจุบันมันเป็นไปได้ยากทีมนุษย์จะรักกัน แต่มันจะไปสมบูรณ์ที่สุด ที่ช่วงของพระศรีอริยะเมตไตร ทีนี้เรามาส้รางโลกพระศรีอริยะเมตไตร สร้างวันพระศรีอริยะเมตไตร ได้ด้วยการรักผู้อื่น และถ้าเราทั้งโลกมีความรักผู้อื่น โลกของพระศรีอริยะเมตไตรก็จะเกิดขึ้นในพริบตา เหมือนเปิดสวิทซ์ มันอยู่แค่ปลายจมูกหรือไม่ ลองไปคิดดู คิดได้และต้องทำให้ได้ด้วย เดี๋ยวนี้องค์การโลก องค์การสหประชาชาติฝันแต่จะทำให้โลกแตกแยก ไม่ได้ฝันให้คนในโลกนี้มันรักกัน และในรัฐบาลประเทศไหนก็ไม่ฝันในการรักผู้อื่น มุ่งไปแต่ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มองไปยังปัญหาศีลธรรม ไม่เชื่อว่าศีลธรรมจะช่วยแก้ปัญหาของประเทศได้ รวมถึงทุกๆเรื่องด้วย ที่ไม่ประกอบกับศีลธรรมแล้ว มันจะเป็นศัตรูอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจบ้านใครมันดีขึ้น มันไม่รักผู้อื่น มันคอยเอาเปรียบผู้อื่นทางด้านเศรษฐกิจนั่นเอง จ้องจะสูบเลือด สูบเนื้อของผู้อื่นขอให้มองว่าศีลธรรม ของการรักผู้อื่นนี้จะช่วยให้โลกสงบสุข เป็นโลกของพระศรีอารย์ได้