KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอด โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ชลบุรี
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ชลบุรี  (อ่าน 71784 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2012, 08:55:02 PM »



~ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ~

"อยากปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมนะ ต้องทำอย่างนี้

1. มักน้อย - หมายถึงมีเยอะก็บริโภคน้อย

2. สันโดษ - ก็ยินดีพอใจในสิ่งที่ได้มา จากการที่เราทุ่มเททำงานเต็มที่
                           กระทั่งเราภาวนานะ เราทำเต็มที่แล้วมันได้แค่นี้ก็พอใจแค่นี้ นี่สันโดษ

3. ไม่คลุกคลี - ไม่เฮๆฮาๆ

4. ปรารภความเพียร - วันๆนึงก็คิดแต่จะสู้กิเลส จะล้างกิเลสออกจากใจ จะปลดความทุกข์ออกจากใจ

5. ฝึกสติ - ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก

6. ฝึกสมาธิ - (เช่น) พุทโธไป หายใจไป จิตไหลไปคิดก็รู้ จิตไหลไปเพ่งก็รู้
                            พอเราฝึกได้สติ เราฝึกได้สมาธิ แล้วคราวนี้เราต้องเจริญปัญญาต่อ

7. การเจริญปัญญา - ก็คือการมีสติรู้กายรู้ใจตามที่เค้าเป็น
 แต่ต้องรู้ด้วยจิตที่ทรงสมาธิ คือจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ ถ้าจิตไม่ทรงสมาธิ จิตก็ไหลไป ไปรู้ลมหายใจ
 จิตก็ไหลไปที่ลมหายใจ มันก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าสติระลึกรู้ลมหายใจ มีจิตตั้งมั่นเป็นคนดู
มันจะเห็นเลย ร่างกายที่หายใจไม่ใช่ตัวเรา เห็นเองเลย จะเห็นเลย
เห็นแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเจริญปัญญานั้นต้องเห็นไตรลักษณ์

ในนักธรรมเอกเค้าสอนบอกว่า

- ถ้ามีปัญญานะ เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่ายในความทุกข์ นี่คือทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

- ถ้าเรามีปัญญาเห็นความทุกข์ของสังขารนะ จิตจะเบื่อหน่ายในทุกข์ นี่คือทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นเหมือนกัน

- ถ้าเราเห็นสภาวะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา มีปัญญาเห็นสภาวะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
จิตก็จะเบื่อหน่ายในทุกข์อีก นี่เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

เพราะงั้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ทางแห่งวิสุทธิ คือ การที่เรามีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของรูปของนามของกายของใจนั่นเอง
 นี่หลักของวิปัสสนากรรมฐานอยู่ตรงนี้เอง


ถ้าเรามีความมักน้อย มีความสันโดษ มีความไม่คลุกคลี เราปรารภความเพียร เราพัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ
พัฒนาปัญญาเรื่อยไป ในที่สุดวิมุติก็ต้องเกิด ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจะต้องเกิดขึ้นมา
นี่เป็นทางเดินที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ สอนเอาไว้ *พวกเราต้องเดินตาม*

ถ้าเราทำธรรมะที่หลวงพ่อบอกนี้ได้นะ เรามักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี
ปรารภความเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา ๗ ประการนี้ได้ เราจะเจอประการที่ ๘ คือ “ไม่เนิ่นช้า”



ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของมหาบุรุษประการที่ ๘ “ไม่เนิ่นช้า”
เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างรวดเร็วมากเลย แล้วเราจะทึ่งว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง เราจะเชื่อแน่นแฟ้นเพราะเราเห็นด้วยตัวของเราเองไม่ใช่เชื่อเพราะน้อมใจเชื่อ"

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันอาทิตย์ ที่ ๒๕ มีนาคม 2555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 07, 2015, 04:34:06 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
noot2010
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 4



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 04, 2014, 07:42:21 AM »

ขอบคุณมากๆจ้า สำหรับหลักปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม  7 ข้อ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

ดวงชะตาฟ้าลิขิต ดูดวงความรัก ทำนานฝัน ดูดวงไพ่ยิปซี เกิดมาล้วนมีกรรม สร้างบุญล้างกรรม
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 10, 2014, 09:30:42 PM »



พระศาสดาท่านทรงสอนทิ้งท้ายด้วยเรื่อง
ความไม่ประมาท ผมจึงต้องอัญเชิญเรื่อง
ความไม่ประมาท มาเป็นธรรมทิ้งท้ายให้กับพวกเรา
เพราะไม่มีธรรมอันใด สมควรเป็นของฝากส่งท้ายมากกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อผมไม่อยู่แล้ว วันใดที่นึกถึงผม
ขอให้นึกถึง รู้ คือนึกถึงการเจริญสติสัมปชัญญะ
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดที่มนุษย์
ผู้หนึ่งควรปฏิบัติให้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์
สูงสุด จากการได้เป็นมนุษย์ในยุคที่พระศาสนายังรุ่งเรืองอยู่

คุณปราโมทย์
วันพฤหัสที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 22, 2014, 10:22:00 PM »



ถาม: การแยกจิตผู้คิด กับจิตผู้รู้ออกจากกันทำยังไงคะ เวลานั้นยังคงเป็นจิตดวงเดียวกันหรือเปล่าคะ
เรื่อง "จิตคิด" กับ "จิตรู้"ที่จริงถ้าเราแยกนามธรรมได้ชำนาญ เราจะไม่กล่าวถึง "จิตคิด" กับ "จิตรู้"เพราะจิตนั้น มันมีคุณสมบัติหลายอย่าง ตั้งแต่ รู้สึก จำ คิด รับรู้ และเสพอารมณ์หากเราแยกนามได้ชำนาญ เราจะพบว่า คุณสมบัติแต่ละอย่างของจิตนั้นก็คือนามขันธ์ แต่ละตัวนั่นเองคือความรู้สึกสุข ทุกข์ ก็คือเวทนา ไม่ใช่จิตความจำก็คือสัญญา ไม่ใช่จิตความคิดนึกปรุงแต่งก็คือสังขาร ไม่ใช่จิตความรับรู้ก็คือวิญญาณ ไม่ใช่จิตเอาเข้าจริง สิ่งที่เราเรียกว่าจิต ก็ไม่ใช่จิตแต่เพราะเราไม่รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ขันธ์แต่ละขันธ์เขาทำหน้าที่ของเขา จึงไปยึดเอานามธรรมว่าเป็นจิตเรา แล้วให้มันร่วมมือกันทำงานจนหลอกเราได้ เช่น

-พอรู้ว่ามีความสุข ก็ยึดเอาว่า จิตสุข หรือเราสุข ไม่ได้เห็นว่าความสุข ก็เป็นสิ่งภายนอก เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

-พอมีความจำได้หมายรู้ ก็ยึดว่าเราจำได้หมายรู้ ไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

-พอมีความคิดนึกปรุงแต่ง ทั้งที่เป็นอกุศล กุศล และเป็นกลางก็ว่าจิตเราดี จิตเราชั่ว จิตเราเป็นกลาง ไม่เห็นว่าความคิดนึกปรุงแต่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

-พอมีความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่าจิตเรารับรู้ ไม่เห็นว่าความรับรู้เป็นสภาพธรรมที่เป็นอิสระ อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาของเรา

จิตนั้นอาศัย "จิตตสังขาร" คือเวทนา สัญญา และสังขาร จึงรู้สึกว่าเป็นจิต ขอเพียงปล่อยวางนามขันธ์เสียให้หมด ไม่เห็นว่าเป็นเราธรรมชาติรับรู้ล้วนๆ ก็จะปรากฏขึ้นและธรรมชาติอันนั้น จะไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่า เป็นตัวเรา หรือจิตเราอย่าไปสำคัญว่า นี่คือจิตรู้ จิตคิด จิตจำ จิตเห็นสิ่งเหล่านั้น เป็นการประกอบกันขึ้นของนามขันธ์เท่านั้นเองครับรักษาสติ สัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส ต่อเนื่องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง รูป และนาม เขาจะทำหน้าที่ของเขาไปตามเหตุปัจจัย ให้ดูต่อหน้าต่อตาทีเดียว

ถาม: ธรรมชาติรับรู้คืออะไรคะ ไม่ใช่จิตแล้วเป็นอะไร
ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ก็คือจิตนั่นแหละครับ เพียงแต่ เมื่อจิตไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความคิดนึกปรุงแต่ง (สังขารขันธ์)จิตจะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า มันคือจิต ที่มันคิดว่า อันนี้คือจิต และเป็นเรา ก็เพราะสังขารหรือความคิดนึกปรุงแต่งนั่นเองท่านจึงสอนว่า "สังขารทั้งหลาย สงบเสียได้ เป็นสุข"คือจิตที่พ้นจากความปรุงแต่งนั้น มันเป็นสุข เป็นอิสระโดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ภายนอกเลย

ถาม: การรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง หมายถึง เรารู้สิ่งที่กำลังเกิดตอนนั้นว่า เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร แล้วไม่เข้าไปยึดมั่นหมายมั่น ใช่รึเปล่า
เราเพียงรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจรู้อย่างเดียวก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องไปใช้ความคิดว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้เกิดจากอะไรเพราะขณะที่หลงคิดนั้น เราไม่ได้รับรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นแล้ว แต่หลงไปในโลกของความคิดเสียแล้ว ก่อนที่เราจะรู้สภาพธรรม หรืออารมณ์ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้นั้น จิตจะต้องมีสัมมาสมาธิเสียก่อนคือ จิตจะต้องตั้งมั่นไม่วอกแวก รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏด้วยความเป็นกลาง และไม่มีความยินดียินร้ายต่ออารมณ์นั้น จิตจึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงของอารมณ์หรือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงได้แต่ ถ้าระหว่างที่รู้อารมณ์อยู่นั้น จิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้นแล้วเกิดแรงผลักดันให้เข้าไปยึดถือ หรือให้มีพฤติกรรมต่างๆ ก็ให้รู้ทันจิตใจตนเองที่กำลังถูกผลักดันด้วยกระแสตัณหา ไม่ใช่ไปกดข่มไม่ให้จิตยินดียินร้ายนะครับ

ถาม: เคยฝึกให้สมองตัวเองว่างโดยการคิดว่า ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ฉะนั้น พอลองมองดูจิต ผมก็เลยไปมองดูว่า ตอนนี้คิดอะไรอยู่ ไม่ทราบถูกหรือเปล่าแล้วก็กลายเป็นว่า หาอะไรไม่เจอครับ ทั้งความคิด ทั้งอารมณ์ ขณะนั้นไม่ทราบว่า ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งผมจะรู้ได้ยังไงว่า ตัวรู้ผมอยู่ตรงไหนครับแล้วตัวรู้มันออกอาการยังไงบ้างครับ ผมแยกไม่ออกครับ ระหว่างความคิด กับตัวรู้ครับ
เรื่องตัวรู้นั้น มันไม่มีตัว มีตน หรือมีจุด มีดวง อะไรหรอกครับเอาเข้าจริงในการปฏิบัตินั้น ก็มีแต่เรื่อง จิต กับ อารมณ์"จิต" เป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึกส่วน "อารมณ์" เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (สิ่งที่รู้ได้ทางใจ) เวลาที่คุณเกิด "ความสงสัย"ถ้ามีสติระลึกรู้เข้าไปที่ความรู้สึกสงสัยนั้น (ไม่ใช่รู้ "เรื่อง" ที่สงสัย นะครับ แต่รู้ที่ "ความรู้สึก" สงสัย) จะเห็นชัดว่า ความสงสัยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ในร่างกายและจิตใจเรานั้น มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นผู้ไปรู้ความสงสัยนั้นเข้า อันนี้แหละครับที่สมมุติเรียกไปก่อนว่าผู้รู้เอาเข้าจริง ผู้รู้ ก็คือจิตที่ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคตาหรือจิตที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธินั่นเอง คือเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ที่มีความเป็นกลางและตั้งมั่น ไม่หลง"ไหล" ไปตามอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า (ผมจงใจใช้คำว่า หลง"ไหล" ไม่ได้ใช้คำว่า หลงใหล) ในขั้นแรก อย่าพยายามไปค้นหาจิตผู้รู้ เพราะหาอย่างไรก็หาไม่พบ เนื่องจากจิตกำลังหลงอยู่กับอาการเที่ยวค้นหาผู้รู้ แต่ให้พยายามรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏไปก่อนเช่น สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย เห็นชัดว่าความสงสัยไม่เที่ยง คือมีระดับความรุนแรงของความสงสัย ที่ไม่คงที่เดี๋ยวก็สงสัยมาก เดี๋ยวก็สงสัยน้อย เดี๋ยวก็ดับหายไปจิตก็จะว่างๆ อยู่ ต่อมาความคิดเกิดขึ้นอันนี้อย่าไปเพ่งใส่ความคิดนะครับ มันจะดับไปเฉยๆ ควรปล่อยให้จิตมันคิดของมันไปเมื่อจิตทำงานอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็จะเห็นกิเลสตัณหาต่างๆ เกิดขึ้นอีกหรืออาจเกิดเวทนา เช่น รู้สึกเป็นสุขสบาย หรืออึดอัดขัดข้องใจก็ให้รู้สภาวธรรมทั้งปวงที่ปรากฏขึ้นนั้น ในลักษณะเดียวกับที่รู้ความสงสัยนั่นเองคือให้รู้มัน ในฐานะที่มันถูกรู้ แล้วมีผู้รู้เป็นคนดูอยู่ต่างหากหัดทำอย่างนี้ไม่นาน ก็จะเข้าใจได้ว่า อะไรคือจิต (ผู้รู้) อะไรคืออารมณ์ (ที่ถูกรู้) และเห็นสิ่งที่ถูกรู้ แสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลารวมทั้งเห็นด้วยว่า เมื่อใดจิตเกิดความยินดียินร้ายต่ออารมณ์จิตเข้าไปยึดอารมณ์ จิตจะเกิดทุกข์พอรู้ทันอย่างนั้น จิตจะกลับมาตั้งมั่น เป็นกลาง และรู้อารมณ์ต่อไปอีกจิตเพียง "รู้สักว่ารู้" จะเห็นอารมณ์เกิดดับไปเรื่อยๆ โดยจิตเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงอารมณ์ก็ให้เพียรปฏิบัติไปมากๆ ครับ

ถาม: ในพาหิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ได้กล่าวถึง การบรรลุอรหัตตผลของท่านพาหิยะ เมื่อได้อ่านครั้งแรกผมก็มีความรู้สึกว่า "เป็นไปได้" แต่ผมไม่รู้ว่า "เป็นไปได้อย่างไร"เพียงคำว่า "สักแต่ว่าๆ " ไม่น่าจะทำให้คนๆ หนึ่ง สามารถบรรลุอรหัตตผลได้เลย ไม่มีเหตุผลกลใดเลย ที่จะทำให้เราคิดออกว่า จะเป็นไปได้ด้วยเหตุผลกลใดผมไม่สงสัยในความเป็นไปได้ แต่ผมสงสัยว่า "เป็นไปได้อย่างไร"
ถ้าสติปัญญาทำงานทันผัสสะจริงๆจึงจะ "สักแต่ว่า" ได้ครับคือ จิตไม่ปรุงแต่งต่อไป รู้แล้ววางอยู่แค่นั้นเลย หรือแม้ว่า จิตจะปรุงแต่งต่อไปอีกถ้าจิตไม่หลงยึดถือไปตามความปรุงแต่งนั้น อันนี้ก็ยังถือว่า "สักแต่ว่า" ได้เหมือนกัน เมื่อวานซืน ยืมลูกคุณหมอท่านหนึ่งมาเป็นอุปกรณ์ทางการศึกษาคือชี้ให้ดูว่า สิ่งที่เห็นเป็นเด็กนั้น ที่จริงคือสีที่ตัดกันเท่านั้นแล้วตาก็ไม่รู้หรอกว่า นี่สีอะไร รวมกันแล้วเป็นรูปอะไรอาศัยสัญญา จึงรู้ว่า นี้เป็นรูปที่บัญญัติเรียกว่าอะไรเมื่อจิตรู้ว่า นี้คือลูกแล้วสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งก็ทำงานต่อ มีความรักเกิดขึ้นปกติจิตของเราทำงานเร็วมากในทางทฤษฎี ถ้าตาเห็นสีแล้วหยุดอยู่เพียงนั้น ก็เรียกว่า สักแต่ว่าเห็นแต่ในความเป็นจริง ช่วงต่อระหว่างที่ตาเห็นสี กับสัญญาแปลความหมายนั้นสั้นมากพอเห็นปุ๊บ ก็สรุปว่านี้คือ ลูกเรา เสียแล้วแล้วสังขารก็ทำงานต่ออย่างรวดเร็วปรุงเป็นความรักใคร่หวงแหนห่วงใยขึ้นมาแล้ว

นักปฏิบัติที่ยึดตำรามากเกินไป ที่บอกว่าทำสติรู้ สี อย่างเดียวนั้นเอาเข้าจริงจึงเป็นการหลอกตัวเอง เพราะพอเกิดผัสสะทางตาแล้ว วับเดียวก็เกิดผัสสะทางใจตามมาแล้วถ้าเมื่ออารมณ์ทางใจเกิดขึ้น แล้วทำเป็นไม่รับรู้เพราะ "อยาก" รู้สีอย่างเดียว เพื่อให้เป็นปัจจุบันและต่อเนื่อง มันจึงไม่ใช่ปัจจุบัน เพราะ ปัจจุบันมันย้ายไปเป็นอารมณ์ทางใจเสียแล้ว เมื่ออารมณ์ทางใจปรากฏเด่นชัด ก็ควรรู้มัน ไม่ใช่ปฏิเสธมัน เพราะจะเอาแต่รู้อารมณ์ทางตาอย่างเดียว แต่การรู้อารมณ์ทางใจนั้น ก็ให้ "สักแต่ว่ารู้"คือรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่หลงปล่อยให้เกิดตัณหาผลักดันจิต ให้ทะยานเข้าไปยึดอารมณ์แบบไม่รู้ทัน รวมความแล้ว สักแต่ว่า ก็ต้องอาศัย สติ รู้อารมณ์ตามที่มันเป็นตามที่คุณถามไว้นั่นเอง แม้ตอนแรกจะรู้อารมณ์ทางตา ขณะต่อมารู้อารมณ์ทางใจก็สามารถ สักแต่ว่ารู้ ได้ทั้งนั้น ทั้งที่ตาและที่ใจหากไม่สักแต่ว่ารู้ อะไรจะเกิดขึ้น?สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือปฏิจจสมุปบาทจาก ผัสสะ เวทนาตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ จนถึงทุกข์ นั่นเองหากสักแต่ว่ารู้ แม้มันจะก้าวกระโดดจากการรู้สีด้วยตา ไปรู้ธรรมารมณ์ทางใจก็ตาม จิตที่ไม่หลงยินดีไปกับธรรมารมณ์ ก็จะไม่ปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์ขึ้นมา คำว่า "สักแต่ว่า" จึงเป็นสิ่งที่จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาทให้ขาดตอนลงไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ขึ้นหรือแม้เกิดตัณหา ก็ไม่ หลง "ไหล" ตามตัณหาไปจนเป็นอุปาทานท่านพระพาหิยะ ฟังธรรมแค่ สักแต่ว่า สักแต่ว่า เพียง ๑-๒ คำท่านเข้าใจ และตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทขาด และท่านก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจจ์ตลอดสายคือ "รู้" ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เกิดขึ้นได้อย่างไรอวิชชา ความ "ไม่รู้" ก็ขาดออกจากจิตของท่านในขณะนั้น
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 04, 2015, 05:07:16 PM »



พรปีใหม่ 2558 จากหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี.
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 08, 2015, 01:01:31 PM »

จิตแต่ละคนมันมีพลังนะ
จิตที่ดี ไปสัมผัสกับวัตถุนะ วัตถุก็มีพลังที่ดี
จิตที่ไม่ดี ไปสัมผัสอะไร ก็มัวไปหมด
งั้นพวกเรา...พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีนะ
ทำจิตของเราให้สว่างไสว เข้าใกล้ใคร เค้าก็สว่างไปด้วย
อย่าเข้าใกล้ใคร เค้ามืดไปด้วยล่ะ
อยู่ในบ้านเรานะ บ้านเราสว่าง
กลางวันก็สว่าง กลางคืนก็สว่าง จิตเราสว่าง
ถ้าใจเรามืดนะ อยู่ไหนก็มืดหมดอ่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2015, 10:15:59 AM »

"ท่านบอกว่าบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา จะบรรลุมรรคผลได้ก็ด้วยปัญญานี่แหละ
แต่อยู่ๆ ปัญญาไม่เกิดหรอก ต้องมาเจริญสตินะ พัฒนาสติขึ้นมาก่อน

ในสติปัฏฐานเบื้องต้นท่านสอนให้เกิดสติ เบื้องปลายท่านสอนให้เกิดปัญญา"
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่บ้านจิตสบาย วันที่ 1 ก.พ. 58
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 07, 2015, 04:33:46 PM »



ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา ตั้งหลักให้ดีๆนะ........
เรารู้จักดำรงชีวิตนะแล้วทุกข์น้อยหน่อย ไม่รู้จักดำรงชีวิตทุกข์เยอะ...
ยังไม่มี ก็ดิ้นรนเป็นทุกข์อยากให้มีนะ มีแล้วก็ดิ้นรนกลัวมันหายไป...ทุกข์ทั้งนั้นเลย
มาเรียนรู้ความจริงนะ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจภาวนาไป เราต้องพ้นทุกข์ให้ได้ เราภาวนาเพื่อพ้นทุกข์...
ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงเพื่อให้คนนับถือ..
ไม่ใช่เพื่อมีศีลไว้อวดกัน..
ไม่ใช่เพื่อทำความสงบจิต..
ไม่ใช่เพื่ิอความฉลาดรอบรู้ในธรรมะ..
เราภาวนาเพื่อให้เห็นความจริงของ รูป นาม กายใจนี้ มันจะปล่อยวาง ไม่ทุกข์หรอก ถ้ายังทุกข์อยู่ไม่จริงหรอก ภาวนายังไม่จริงหรอก ยังผิด ยังมีหน้าที่ต้องทำอีก
งานหลักของเราคือเพื่อยกระดับใจของตัวเองนะ ไม่ใช่เพื่อชนะคนอื่นนะ ตั้งหลักไว้ให้ดี.

^__^ กราบสาธุเจ้าคะ โอวาทธรรม หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปราโมชฺโช
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2015, 09:03:48 AM »

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2015, 10:01:33 AM »



# เช้านี้ ที่สวนสันติธรรม # ห้าธันวาฯ

คนที่ทำอะไรเพื่อคนอื่นได้ขนาดนี้
ไม่ธรรมดา

ครูบาอาจารย์บอกว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์
หลวงพ่อไม่รู้หรอกนะ อดีตท่านจะเป็นใครมา
อนาคตท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือเปล่า
หลวงพ่อก็ไม่รู้ด้วยหรอก

แต่รู้ว่าปัจจุบันน่ะ
ท่านไม่มีใครเหมือนเลย

คนซึ่งมีอำนาจในบ้านเมืองเรา
เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย

ก็เห็นท่านอยู่องค์เดียวนี่แหละ

ท่านอายุเยอะ ไม่ค่อยสบาย
บางคนก็ปรามาส ว่าท่านไม่สบาย
ทำอะไรก็ไม่ได้ ฯลฯ อะไรอย่างนี้

ลืมคิดไปนะ
อย่างพ่อแม่เรา เลี้ยงเรามาจนโตแล้ว
พอพ่อแม่เราแก่แล้ว เราไปปรามาสพ่อแม่
ก็อกตัญญู

หลวงพ่อเห็นมานาน ตั้งแต่สมัยไหน ๆ
เวลาบ้านเมืองวุ่นวาย
ก็ได้ท่านนี่แหละ เข้ามาจัดการช่วย
หลายยุคหลายสมัย รอดมาได้

แต่ก่อน คนบ้านนอก ไม่มีคนสนใจ
ท่านก็สนใจเข้าไปพัฒนา ไปช่วย

คนที่ทำงานมาตลอดชีวิตขนาดนี้นะ
ไม่ยกย่อง ก็ไม่รู้จะไปยกย่องใครแล้ว

. . . . . . . .

วันนี้เราฟังธรรม มาทำบุญทำทาน เจริญสติกัน
หายใจออก รู้สึกตัว หายใจเข้า รู้สึกตัว
เคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกตัว
ใจมีสมาธิ ใจเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เห็นร่างกาย เห็นจิตใจ ไม่ลืมมัน มีสมาธิ

ได้บุญตรงนี้ก็คิดถึงท่าน
ขอให้ท่านมีส่วนแห่งบุญของเราด้วย

หรือเราสามารถมากกว่านั้น
แยกรูปนามได้แล้ว
เห็นรูปนามแสดงไตรลักษณ์ได้
เราทำวิปัสสนา เป็นบุญใหญ่กว่าสมาธิเสียอีก
บุญของการเจริญปัญญา เป็นบุญสูงที่สุด

งั้นพวกเราลองรู้สึกซิ กายกับใจคนละอันกัน
รู้สึกไหม ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายเป็นสิ่งที่ใจไปรู้เข้า

ขณะนี้จิตใจเราสุข
หรือจิตใจเราทุกข์ ดูออกไหม
เห็นไหมว่า ความสุข ความทุกข์
ที่กำลังปรากฎอยู่ ไม่ใช่ใจเราหรอก
เป็นสิ่งที่ใจเราไปรู้เข้า

เห็นไหมว่า
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ไม่คงที่
สุขมาก แล้วก็เหลือลดลง
ลดลง แล้วก็เป็นอุเบกขา
ความทุกข์ พอเราไปรู้ ก็ลดลง ๆ ก็เป็นอุเบกขา

ความสุข
มันเหมือนคลื่นนะ สูงขึ้นไป
ความทุกข์
มันเหมือนน้ำที่ยุบลงบนคลื่น สูงบ้างต่ำบ้าง
จิตที่อุเบกขา
เหมือนจิตที่ไม่มีคลื่น ไม่มีลม ราบเรียบ สบาย

ดูออกไหม ว่าความสุข ความทุกข์ ไม่คงที่

นี่คือการเจริญปัญญา

เราเจริญปัญญาแล้วเป็นบุญเป็นกุศลนะ

นึกถึงพระเจ้าอยู่หัวนะ
ขอให้ท่านมีส่วนแห่งบุญนี้ด้วย

[หลวงพ่อเว้นช่วง
ญาติโยมร่วมน้อมจิตระลึกถึงพระเจ้าอยู่หัว]

. . . . . . . .

ที่จริงเราทำบุญหลายอย่างนะวันนี้
บางคนก็ทำทาน เอาอาหารมา ก็เป็นบุญ
บางคนก็ไปช่วยเขาจัดโต๊ะ
ช่วยเขาทำโน้นทำนี้ เป็นไวยาวัจมัย ก็เป็นบุญ
การที่พวกเรามานั่งฟังธรรม
การฟังธรรม ก็เป็นบุญ
การแสดงธรรม ก็เป็นบุญ
เห็นไหม บุญอยู่รอบ ๆ ตัวเรา
เยอะแยะไปหมดเลย

นี่ถ้าเรารู้จักนะ ใจเราระลึกถึง
อารมณ์ที่เป็นบุญเป็นกุศลไปเรื่อย
บางอย่างก็เป็นบุญ
บางอย่างเป็นทั้งบุญ เป็นทั้งกุศล
ถ้าประกอบด้วยปัญญา ก็เป็นกุศลอย่างใหญ่

[หลวงพ่อเว้นช่วง
ญาติโยมร่วมระลึกถึงบุญกุศลรอบตัวเราวันนี้]

นี่นึกถึงนะ

ใจของเราขณะนี้เป็นกุศล
อันใหญ่เหมือนกัน

นึกถึงพระเจ้าอยู่หัวนะ

ขอให้ท่านแข็งแรง
ให้ท่านมีความสุข
เหมือนที่ท่านได้ให้ความสุข
กับคนอื่นมามากแล้ว _/\_

[หลวงพ่อเว้นช่วง ญาติโยม ร่วมระลึก
น้อมถวายพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว]

ปฏิบัตินะ ปฏิบัติบูชาท่าน

. . . . . . . .

‪#‎หลวงพ่อปราโมทย์‬

๕ ธ.ค. ๒๕๕๘
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 06, 2015, 10:18:13 AM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 10, 2016, 02:04:52 PM »

พวกเราแต่ละคนอยู่กับโลก
โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์
สังเกตดูโลกมันไม่เคยหยุดนิ่ง
โลกไม่เคยมีความสุขที่แท้จริงเลย
สำรวจชีวิตของเราดู....
ปัญหาก็วิ่งเข้ามากระทบตัวเรา
เหมือนคลื่นในทะเลวิ่งกระทบเรืออยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยหยุดนิ่งเลย....
หมดปัญหานี้ก็มีปัญหาโน้นรออยู่
บางทีมาหลายๆปัญหาพร้อมกัน
ทนไม่ได้เป็นบ้าไป ทนไม่ได้ฆ่าตัวตายไป
นี่เพราะว่าจิตใจไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่งที่อาศัย
อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตเรานี้ไม่แน่นอน
หัดเจริญสติไว้ หัดรู้กายหัดรู้ใจตัวเองบ่อยๆ
มันจะเกิดภูมิต้านทานความทุกข์ขึ้นมา
วันใดที่ความทุกข์มันโผล่ขึ้นมาถึงจิตถึงใจเรา
" สติปัญญานี้แหละเป็นธรรมะที่จะช่วยเรา "
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 10, 2016, 04:16:57 PM »

คนซึ่งฝึกสติดีแล้ว
สตินั่นแหละคุ้มครอง
เวลาเกิดอะไรฉุกเฉินไม่ตกอกตกใจหรอก
ตกใจวูบแรกเท่านั้นเอง
ถัดจากนั้นจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา
แล้วจิตที่ตั้งมั่นนี่
มันทำให้เกิดสติปัญญาแก้ไขปัญหาได้
ผ่อนหนักเป็นเบาได้
หัวกำลังจะโขกตรงนี้แล้วก็หลบหลีกได้
เอาแค่หน้าแฉลบๆ ไปโดน
นี่สติช่วยเราได้นะ
กระทั่งในเวลาฉุกเฉิน

กราบหลวงพ่อปราโมทย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
Cr.หนังสือประมวลธรรมเทศนา เล่ม ๒ หน้าที่ ๓๕๐
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: เมษายน 12, 2016, 09:20:35 PM »

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: เมษายน 15, 2016, 08:01:30 PM »



{ ถาม }.. การใช้ชีวิตฆราวาสบางครั้งจำเป็นต้องทำผิดศีล
เช่น ปลวกขึ้นบ้านก็ต้องหาทางกำจัด
สุนัขมีหมัดมีเห็บก็ต้องฆ่าหมัดและเห็บ
ค้าขายต้องโกหกเช่นต้องบอกต้นทุนเกินจริงบ้าง
โฆษณาคุณภาพสินค้าเกินจริงบ้าง
เวลาอยู่ที่ทำงานบางทีเจ้านายก็ใช้ให้โกหก
เช่น คนมาขอพบเจ้านาย ก็ต้องโกหกว่าเจ้านายไม่อยู่
หรือกำลังประชุมบ้าง
{ ตอบ }.. ที่คุณกล่าวมานี้เหมือนคำบ่นมากกว่าคำถาม
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณต้องการรักษาศีลหรือเปล่า
" ถ้าต้องการรักษาเพื่อสร้างสมบารมี
ก็ต้องยอมสูญเสียบางอย่าง "
" แต่ถ้าพลาดไปทำผิดศีลเข้าจริงๆ ก็ต้องหัดวางใจให้ถูก
เพื่อให้เกิดโทษน้อยลง "
เช่น ปลวกขึ้นบ้านก็อย่าคิดฆ่าปลวก ให้คิดรักษาบ้าน
ทำนองเดียวกันอย่าคิดฆ่าหมัด
แต่ให้คิดอนุเคราะห์ให้สุนัขอยู่สุขสบาย
ถ้าเจ้านายใช้ให้โกหกก็อย่าคิดว่าเราจะโกหก
ให้คิดว่าเราจะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ส่วนการค้าขายนั้นถ้าคุณซื่อสัตย์ต่อลูกค้า
คุณน่าจะได้ประโยชน์ในระยะยาว
มากกว่าการโกหกลูกค้า
---------------
ที่มาจากหัวข้อ ธรรมเสวนาในสวนโพธิ์
จากหนังสือ "ประทีปส่องธรรม"
หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช (-/\-)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 15, 2016, 08:03:15 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: เมษายน 15, 2016, 08:04:14 PM »

"ทำทาน รักษาศีล ก็เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว"
อดทน กล้า รักษาศีลนะ ยอมเสียชีวิตดีกว่าเสียศีลเนี่ย ความยึดถือความหวงแหนในรูปนามกายใจนี้
ต้องเบาบาง ถ้ายึดถือในอัตตาตัวตนแรงนะ ทำไม่ได้หรอก มันจะสละทุกอย่างนะ เพื่อผลประโยชน์ เพื่ออัตตาตัวตน
ถ้าใจเราเด็ดเดี่ยวในการพัฒนาตัวเอง ในการทำความดีทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย จุดมุ่งหมายนั้นมุ่งหมายมาที่การลดละความยึดถือในตัวในตนนั่นแหละ ความดีขั้นสูงสุดคือขั้นเจริญปัญญา เห็นความจริงของตัวตนเลยว่า ไม่ใช่ของดีของวิเศษแล้ว ไม่ยึดถือเลย ขั้นรองลงมาจากนั้นก็เป็นขั้นทุเลาเอา ค่อยๆละค่อยๆละเอา ค่อยๆฝึก
ยกตัวอย่างบางคนไม่เคยถือศีล ๘ ลองถือศีล ๘ ดู ต้องต่อสู้มากมายเลยกว่าจะรักษาศีล ๘ ได้ ฆราวาสเนี่ยไม่ต้องรักษาศีล ๘ ทุกวันนะ ไม่จำเป็นขนาดนั้น ศีล ๕ เอาให้รอดก่อน ถ้าศีล ๕ รอดนะ โอกาสจะได้มรรคผลก็มีแล้วล่ะ แต่วันไหนมีความพร้อมก็ลองศีล ๘ ดูบ้าง เราจะพบว่า มันต้องต่อสู้มากเลย ต่อสู้กับการคิดถึงอาหารเย็น บางคนตอนเย็นปกติกินนิดเดียวอยู่แล้วนะ ไม่ค่อยกินอะไรโดยธรรมชาติของตนเอง แต่พอมาถือศีล ๘ เนี่ย เย็นๆจะคิดแต่เรื่องกินน่ะ ใจจะวกไปอยู่ในเรื่องนั้นเรื่อยๆ ต้องต่อสู้ ต้องฝึก
การทำทานนะ ก็เพื่อลดละความหวงแหนในตัวในตน อย่างอภัยได้นะ ใจต้องกว้าง
ถ้าใจแคบก็อภัยคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องที่ว่าจะต้องไม่เห็นแก่ตัว ค่อยๆฝึกไปทำทานการรักษาศีล
ทำทานก็เพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว สู้กับกิเลส
รักษาศีลก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัว ยกตัวอย่างยุงเข้ามา ถ้าเป็นหลวงพ่อมียุงเข้ากุฎินะ ถ้าเข้ามามากๆก็ใช้วิธี
ตอนเย็นน่ะ เปิดหน้าต่างไว้ เราก็ไปอยู่ข้างนอกนะ ข้างใจปิดไฟไว้ เดี๋ยวยุงก็ต้องไปทำมาหากิน ยุงก็บินออก
หรือถ้ามีไม่กี่ตัวนะ หลวงพ่อมีแก้วอยู่ใบหนึ่งนะ แก้วใสๆ ต้องเลือกด้วยนะ แก้วที่ยุงชอบต้องใสๆ ถ้าแก้วมีลวดลาย
พอเข้าใกล้มันจะบินหนีแล้ว แก้วใส ครอบสบาย แล้วก็เอากระดาษเสียบ พาไปปล่อย เสียบหนึ่งตัว เปิดประตูไปปล่อย
เข้ามาสามตัว อะไรอย่างนี้ก็มีนะ
ถ้าเราเห็นแก่ตัว ไม่ต้องทำอะไรมากมายนักน่ะ ตีทีเดียวก็ตายแล้ว นี่เห็นแก่ตัวแล้ว เอาแต่ประโยชน์ของตนเอง
ทำลายคนอื่น กระทั่งรักษาศีลนะ ต้องไม่เห็นแก่ตัว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๒๔ ถึงนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔๑
เว็บไซต์ Dhammada.net
ที่มา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
กระโดดไป: