บุพกรรมพระยสกับสหาย
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วันนี้ก็จะขอกล่าวบุพกรรมของบุคคล 55 คน มีท่านยส เป็นต้น เนื้อแท้จริงๆ ของเรื่องนี้ได้เล่ามาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ว่าหมวดนี้เป็นหมวดของบุพกรรม ก็มีความจำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวตามลำดับ เพื่อไม่ตัดลัดให้ขาดความ
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่ได้มโนมยิทธิ ลองทำจิตของท่านให้เข้าถึงอารมณ์เดิม
และเวลาสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา ขอให้จับเอากระแสจิตของตนขึ้นมา จับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ
และก็ยึดภาพตามความเป็นจริง และขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าทั้งชายและหญิง ประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ภาพอันใดที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงพระธรรมเทศนาในตอนนั้น
ขอบารมีขององค์สมด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จงช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจนแจ่มใส”
ถ้าสร้างกำลังใจแบบนี้ ก็จงงดคำภาวนา ตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา
และจับกระแสภาพนั้นตามไปจะเห็นได้ทุกอย่าง อย่างนี้ท่านเรียกว่า อตีตังสญาณ
เป็นอันว่าในตอนนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทราบความดังนั้นแล้ว
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ตรัสว่า
“ภิกขเว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บรรดาพระอรหันต์ 55 องค์ มีพระยส เป็นประธานนั้น ความจริงท่านบำเพ็ญบารมีมา
ไม่ต้องการเป็นอัครสาวก ต้องการอย่างเดียวคือบรรลุมรรคผล ได้แก่การเป็นพระอรหันต์
มาในศาสนาขององค์สมด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ด้วยกัน”
แต่ว่ามีความสำคัญอยู่ตอนหนึ่ง เพราะการบรรลุมรรคผลของแต่ละบุคคลย่อมไม่เสมอกันคือไม่เหมือนกัน
แต่ความเป็นอรหันต์นั้นน่ะเป็นเหมือนกัน คือตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเท่านั้น
แต่ว่าจริยาหรืออารมณ์ใจที่ตัดกิเลสนั้นย่อมไม่เหมือนกัน สุดแล้วแต่กรรมดิม
อย่างท่านอัญญาโกณฑัญญะนั้น ถวายทานเพื่อเป็นอรหันต์ องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา
ก็ต้องเทศน์พระธัมมจักกัปปวัตนสูตร เพราะว่าพระธัมมาจักกัปปวัฒนสูตรนี้เป็นสูตรที่ยาวมาก
และก็ใหญ่มาก มีความละเอียดลออมาก ทั้งนี้ก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัย
เพราะว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะบำเพ็ญทานถึง 9 วาระ ตั้งแต่ข้าวเป็นน้ำนม เป็นต้น
ในเมื่อท่านมีความละเอียดลอออย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เทศน์ตามอัธยาศัย
ในที่สุด เมื่อจบภาคคำเทศน์ขององค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม
ต่อมาใช้ปกิณกะเทศนาเล็กน้อย ท่านก็เป็นอรหันต์
สำหรับท่านพระยสนี้นั้นกับพวก 55 คน องค์สมเด็จพระทศพลแทนที่จะแสดงพระธัมมจักกัปปวัฒนสูตร
กลับเทศน์อนุปุพพิกถา พรรณนาผลของทาน การให้ศีล การรักษา
พรรณนาผลของสวรรค์และก็พรรณนาโทษของกาม และพรรณาการบวช
นี่เป็นเนกขัมมบารมี เป็นการตัดกิเลสทั้งหมดนี้ให้สิ้นไป
นี่จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เวลาเทศน์โปรดพระ เทศน์ไม่หมือนกัน
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงทราบว่า บุญบารมีเขาทำมาอย่างไรก็ต้องเทศน์แบบนั้น
องค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้กล่าวว่า “ภิกขเว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระยสกับเพื่อนอีก 55 คนไซร้
ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอัครสาวก ตถาคตจึงไม่ได้แต่งตั้ง ความเดิมคือบุพกรรมของพระยสกับพื่อน 55 คน มีดังนี้”
องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาตรัสว่า “ถอยหลังไปในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
ที่องค์สมเด็จพระชินวรทรงประกาศพระศาสนาว่า คนเราจะมีความสุขได้จริง ๆ นั่นก็คือ พระนิพพาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่จะถึงนิพพานได้ทุกคน คือคนที่จะเป็นพระอรหันต์
มีกรรมฐานอยู่ข้อหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ กายคตานุสสติกรรมฐาน”
เป็นอันว่าจะเป็นใครที่ไหนก็ตามที่เจริญสมถวิปัสสนา แบบไหนก็ตาม
ถ้าจะเป็นพระอริยเจ้าได้โดยไม่อาศัยกายคตานุสสติกรรมฐาน เป็นไปไม่ได้แน่
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะเป็นพระอรหันต์ ถ้าเขาบอกว่า กายคตานุสสติกรรมฐานไม่เคยทำ
นั่นก็แสดงว่า เป็นพระอรหันต์นอกพระศาสนา
เพราะว่ากรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานที่มีกฎบังคับว่า คนจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ต้องพิจารณากายคตานุสสติกรรมฐาน
ในสมถภาวนา ก็พิจารณาแต่เพียงว่า ร่างกายนี้เป็นของสกปรกแล้วก็ไม่มีการทรงตัว ต่อไปในด้านวิปัสสนาภาวนา
เห็นว่าร่างกายนี้นอกจากจะสกปรก มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
จิตเข้าถึงระดับก็เป็นพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับ
ต่อไปนี้ก็จะนำบุพกรรมของบรรดาท่านทั้ง 55 คน มากล่าวแก่บรรดาพุทธบริษัทพอสมควร
ความมีอยู่ว่า ในสมัยชาติก่อน ตอนหนึ่ง (เฉพาะบางตอนนะ) ตอนที่มีความสำคัญ ในสมัยนั้น
ท่านพระยสกับเพื่อนอีก 55 คน ต่างคนต่างเป็นสมาชิกกัน เป็นสัปเหร่อสาธารณะ
(เหมือนกับอย่างที่ปอเต็กตึ๊งเขาทำเวลานี้ คือใครตายที่ไหน ถ้ามีความยากจนเข็ญใจ
ไม่สามารถจะปลงศพได้เผาศพได้ เขาก็ช่วย ช่วยโดยไม่คิดการเงินไม่คิดการทองด้วยประการทั้งปวง) ทำอย่างนี้ตลอดมา
ภายหลังในวันหนึ่ง ปรากฎว่ามีศพสตรีท่านหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ และก็ตายลอยน้ำมา
มาพะอยู่บริเวณใกล้สถานถิ่นที่นั้นกำลังขึ้นอืด ปรากฎว่ามีชาวบ้านไปเห็นเข้า
จึงไปแจ้งให้พระยสกับบรรดาสหาย 55 คนทราบว่า
“วันนี้มีศพสตรีกำลังตั้งครรภ์ด้วย แล้วก็ขึ้นอืดเหม็นเน่า ขอบรรดาท่านทั้งหลายพากันไปทำฌาปนกิจศพ”
คำว่าฌาปนกิจ นี่แปลว่า การเผา คือเผาศพ
ท่านพระยศพร้อมไปด้วยคณะบางคน (ไม่ได้ไปพร้อมทั้ง 55 คน) ก็ไปจัดการฌาปนกิจศพ
นำศพขึ้นสู่เชิงตะกอน และก็เอาฟืนใส่ตามประเพณี เพราะฟืนเท่านี้มันต้องไหม้ศพแน่นอน
เมื่อไฟติดดีแล้ว เผาแล้วมีความมั่นใจว่ายังไง ๆ ศพก็ไหม้หมด จึงได้กลับมาสู่บ้านของตน
และในเวลานั้นนั่นเอง กำลังรับประทานอาหารอยู่ ก็ปรากฎว่าไฟที่เผาศพไหม้โทรมลงไปหมด
ฟืนหมดเหลือแต่ถ่าน แต่ว่าศพสตรีบุคคลนั้น ปรากฎว่าไม่ไหม้สมความปรารถนา
ชาวบ้านเมื่อได้ทราบเข้าแล้วจึงเห็นว่า ศพนี้ไม่ได้ไหม้ไปตามความประสงค์ จึงได้มาแจ้งแก่พระยสว่า “ศพนี้ไม่ไหม้เสียแล้ว”
พระยสจึงได้กลับไปจัดการกับศพนี้ เห็นว่าศพนี้ขึ้นอืดมาก แล้วก็ลอยน้ำมานาน น้ำขังอยู่ในตัวมาก
จึงเป็นเหตุให้การเผาคราวนั้นไม่สำเร็จผล จึงได้นำฟืนมาใหม่ ใส่เข้าไปแล้วก็เสี้ยมไม้ให้มีปลายแหลมแทงร่างกายของสตรีนั้น
คราวนี้น้ำมันก็ไหลลงมา มันก็ไม่ไหลแต่น้ำ มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองก็ไหลลงมาด้วย
ดูผิวกายที่กำลังถูกไฟไหม้หนังไหม้เข้าไปทีละน้อย ๆ เมื่อหนังไหม้เข้าไแล้ว ความผ่องใสมันก็หมดเย
เนื้อบางส่วนก็ไหม้เข้าไป โบ๋เข้าไป ผลที่สุดอวัยวะภายในมันก็หลั่งไหลลงมา เมื่อพิจารณาแล้วก็เกิดความสังเวชสลดจิตว่า
“โอหนอ คนเราที่มีความคิดว่าร่างกายสวยสดงดงาม เวลานี้สภาพของสตรีคนนี้
นอกจากจะมีกลิ่นเหม็นคลุ้งแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็หาความสวยสดงดงามไม่ได้ ภายในร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม”
ท่านเห็นเข้าก็เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในร่างกาย ก็มานั่งคิดว่า
“ร่างกายเขากับร่างกายเรามันก็มีสภาพเหมือนกัน ร่างกายของเรานี้ถ้ายังมีจิตคุก็สามารถจะควบคุมประสาทต่าง ๆ
ให้ทรงตัวอยู่ได้ แต่เมื่อปราศจากจิตควบคุมเสียแล้วเมื่อไร ก็มีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน ความเน่าความเหม็น
ความโสโครกทั้งหลายเหล่านี้นั้น ไม่ได้มีมาเมื่อเวลาที่ตายแล้ว แต่ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างมันปรากฎอยู่ในขณะที่มีชีวิตอยู่”
เมื่อท่านพิจารณาอย่างนี้แล้วก็เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายว่าร่างกายเป็นของไม่ดี
สกปรกโสโครกแบบนี้ไม่ควรจะถือเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และในที่สุดมันก็ตาย เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว
จึงได้กลับมาบ้าน มาบอกกับภรรยากับบิดามารดาทั้งสอง ท่านทั้งหลายไปพิจารณาก็เห็นตามนั้น
ต่อมาพระยสก็ไปพาเพื่อน 55 คนด้วยกัน ก็ปรากฎว่าบรรดาเพื่อนทั้งหลายไปเห็นศพเข้า จิตก็หดหู่ทันที
ทั้งนี้ก็หมายความว่าใจไม่สบาย เห็นร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก และก็น้อมมาถึงกายของเราว่า
“ร่างกายของเราก็มีสภาพอย่างนี้ สตรีคนนี้ในขณะที่มีลมปราณอยู่ เธอก็มีสภาพเช่นเดียวกับเรา
แต่ทว่าเวลานี้ลมปราณสิ้นไป ร่างกายของเธอก็เน่า ร่างกายของเธอก็เหม็น ซึ่งไม่มีประโยชน์มีแต่โทษ
กล่าวคือความตาย เราทั้งหลายเหล่านี้จะมีความสนใจในเรื่องร่างกายของเราและของเขาเพื่อประโยชน์อะไร
ร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ก็มีสภาพอย่างสตรีผู้นี้”
เป็นอันว่าท่านทั้งหมดต่างคนต่างก็ได้นิพพิทาญาณจากอสุภกรรมฐาน อย่างนี้เขาเรียก อสุภกรรมฐาน
อสุภะ แปลว่า ไม่งาม ฐาน นี่แปลว่าที่ตั้ง จิตมีความกำหนดรู้ว่าร่างกายมันไม่งาม และมันมีแต่ความสกปรก
นอกจากนั้นก็เห็นว่า ร่างกายมีสภาพไม่เที่ยง ไม่ทรงตัว เมื่อทรงชีวิตอยู่มันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็ตายแบบนี้
การเห็นว่าร่างกายเป็นของสกปรก เป็นอสุภกรรมฐาน เป็นสมถภาวนา
เห็นว่าร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นวิปัสสนาภาวนา
เป็นอันว่าเมื่อบรรดาท่านทั้งหลายเห็นสภาพอย่างนี้ เวลาที่บำเพ็ญกุศลบุญราศีในศาสนาขององค์สมเด็จพระมหามุนี
ก็ตั้งมโนปณิธานว่า “พวกเราต้องการเป็นพระอรหันต์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร”
องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ตรัสว่า “ภิกขเว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อพระยสก็ดี สหายของพระยสก็ดี
บำเพ็ญบารมีมาเพื่อต้องการความเป็นพระอรหันต์ เราก็ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอรหันต์แล้ว
จะถือว่าการตั้งตำแหน่งอัครสาวกนี้เป็นมุโขโลกนะ เห็นแก่หน้าบุคคลย่อมไม่ได้”
เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์อย่างนี้แล้ว
บรรดาพระอรหันต์สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทราบ
แต่ความจริงเรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าจะว่ากันไปว่า
ทำไมพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านี้จึงปรารภองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาอย่างนี้
อาตมาก็คิดว่าคงจะมีกรรมอะไรสักอย่างหนึ่งเข้าดลใจ เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสถึงอำนาจบุพกรรม
หลังจากนั้นมา บรรพาท่านทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ทั้งพระยสก็ดี เพื่อน 55 คนก็ดี ภรรยาและบิดาทั้งสองก็ดี จิตตั้งอยู่ในนิพพิทาญาณ แต่ก็เป็นนิพพิทาญาณอย่างประภทที่เรียกว่า “ปุถุชน” ยังเป็นคนประกอบไปด้วยกิเลส แต่ทว่าจิตใจของท่านมีความรังเกียจในร่างกายเป็นบางขณะ ตามสมควรกับฐานะ เมื่อทุกคนตายไปแล้วต่างคนก็ไปเกิดบนสวรรค์
สมัยก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ คือตอนที่สมเด็จพระพิชิตมารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาก็มาเกิดเหมือนกัน ทุกคนก็เกิดในฐานะดีคือเป็นลูกมหาเศรษฐีทั้งหมด ท่านพระยสก็เป็นลูกมหาเศรษฐี บรรดาเพื่อนอีก 55 คนนี้ ก็เป็นลูกมหาเศรษฐีเหมือนกัน
ผลที่เป็นลูกเศรษฐีนั้นก็ด้วยอำนาจเมตตาบารมี ของบรรดาพระยสและสหายในชาติก่อนนั้นเป็นคนทำทานพิเศษ คือบุญทุกอย่างเขาทำ ศีลก็รักษา ทานก็ให้ แต่ว่ากำลังใจที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี เป็นสัปเหร่อสาธารณะ คนที่จนเมื่อตายลงไปไม่มีปัญญาจะเผาเอง ไม่มีทุนทรัพย์ เขาก็จับจ่ายให้ และก็เป็นสัปเหร่อให้ด้วยประการทั้งปวง อันนี้ถือว่าเป็นทานสำคัญ ของที่ให้เป็นวัตถุทาน จริยาที่เขาจัดการศพเป็นธรรมทาน
เป็นอันว่าท่านทั้งหมดนี้จึงมีทั้งโภคสมบัติ ด้วยอำนาจของวัตถุทานและก็มีปัญญาสมบัติ ด้วยอำนาจบำเพ็ญทาน คือจัดสิ่งที่เป็นธรรมทาน ผลของเขาเป็นยังไง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังกันต่อไปอีกหน่อย
ต่างคนก็มาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ มีบ้านเป็นที่อยู่ 3 หลัง หลังหนึ่งสำหรับฤดูร้อน อีกหลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาว อีกหลังสำหรับฤดูฝน แต่ละหลังก็เป็นบ้าน 7 ชั้น เราเรียกว่าปราสาท 7 ชั้น ทุกคนก็ถูกบำรุงบำเรอด้วยกามคุณ คือบิดามารดาจัดหญิงสาวทั้งหลายมาบริการให้เป็นความสุขของลูก
แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแสดงพระธรรมเทศนากับท่านปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง 5 ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงพาราณสี แต่การที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร และสมเด็จพระชินวรได้ทรงเสด็จย้อนกลับขึ้นมา เพื่อจะมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์มหานคร แต่ว่าสมเด็จพระชินวรแทนที่จะมาถึง ก็มาถึงเขตที่พระยสอยู่ใกล้สถานที่นั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาจึงได้ทรงยับยั้งอยู่ที่นั่นก่อน องค์สมเด็จพระชินวรมาแต่ผู้เดียว นั่งนอนอยู่ในป่า
และก็คืนนั้นเอง ท่านพระยสอาศัยที่มีบริวารขับกล่อม มีดนตรีร้องเพลงประสานเสียง มีเครื่องทำให้มีความสุขในทุกวัน ตลอดมาท่านก็เห็นว่าเป็นสาวสรรกำนัลใน หญิงทั้งหลายเหล่านั้นเป็นคนสวยและก็เป็นคนดี พอใจในจริยาดนตรีที่เขาขับประโคม แต่ว่าในคืนนั้น ขณะที่บรรดานักประโคมนักดนตรีบรรเลงกันอยู่นั่นปรากฎว่าท่านพระ
ยสท่านนอนหลับไปเสียก่อนแต่ตอนหัวค่ำ ตอนตื่นขึ้นมาใกล้จะสว่าง เห็นบรรดาสตรีทั้งหลายเหล่านั้นที่เคยเห็นว่าสวย กลายเป็นซากศพไปหมด ท่านจึงมองดู ใครก็ตามที่เคยสวย วันนั้นมันไม่สวย มันเหมือนกับสตรีหรือคนที่มีความเน่าเฟะอยู่ตลอดเวลา จึงได้เกิดความอึดอัดใจ คิดว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่รื่นเริงบันเทิงใจ เป็นที่น่ารำคาญใจ”
ท่านจึงออกจากบ้าน สวมรองเท้าใส่หมวก ก็เดินออกจากบ้าน เดินไปแล้วก็บ่นไปว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” พูดไปคนเดียว
เวลานั้นมันเป็นเวลาเช้ามืด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในป่าไม่ไกลนัก เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ท่านจะได้บรรลุอรหัตผล สมเด็จพระทศพลจึงไปดักอยู่ตรงนั้น เมื่อพระยสเข้าไปใกล้ เปล่งวาจาอย่างนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ทรงเปล่งวาจาสวนออกมาว่า
“ยส ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอจงเข้ามาที่นี่ จงมาฟังเทศน์ เราจะเทศน์โปรด”
เมื่อท่านได้ฟังคำว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอจงเข้ามาที่นี่” ก็เข้าไปแล้วก็ถอดรองเท้าถอดหมวกด้วยจริยาดี
คนดีน่ะความจริงไม่ต้องสอน เวลานั้นเขายังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เพราะเพิ่งจะมี แต่ว่าเป็นวิสัยของคนดีเองย่อมรู้กาลรู้เวลา มีความเคารพ
เมื่อเข้าไปแล้วก็นมัสการองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระพุทธเจ้าจึงได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดใน อนุปุพพิกถา คือ
พรรณนาความดีของทาน เพราะเดิมเขาให้ทาน
พรรณนาความดีของศีล เพราะดิมเขารักษาศีล
พรรณนาความดีของสวรรค์ เพราะเขาเคยเป็นเทวดา
พรรณนาความชั่ว คือโทษของกามคุณ เพราะเขาเคยได้นิพพิทาญาณ
พรรณนาความดีของเนกขัมมบารมี ว่าการอยู่คนเดียวย่อมเป็นสุข
เมื่อเทศน์จบ ปรากฎว่าท่านพระยสได้บรรลุ พระโสดาปัตติผล
ตอนนั้นเวลาเช้า ทางบ้านตื่นขึ้นมาไม่เห็นพระยสก็วุ่นวายกันใหญ่ ท่านแม่ก็ร้องไห้คิดว่าลูกชายตาย ท่านบิดาจึงสั่งคนใช้ให้ไปตามพระยสทุกทิศทุกทาง ท่านบิดาก็ออกตามด้วย ก็เป็นการบังเอิญท่านเดินมาทางพระยสอยู่ ตอนนี้องค์สมเด็จพระบรมครูใช้อำนาจพระพุทธปาฏิหาริย์ ให้คนสองคนไม่เห็นกัน พระยสนั่งอยู่ข้างหลัง
ท่านบิดาเดินมาถามพระพุทธเจ้าว่า “เห็นลูกชายเดินมาทางนี้บ้างไหม”
สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ท่านจะต้องถามทำไมเรื่องลูกชาย ฟังเทศน์ดีกว่า”
เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าถ้ามีคนศรัทธาท่านเทศน์ง่าย ท่านก็เทศน์อนุปุพพิกถาอีกครั้ง เทศน์เหมือนกัน ท่านพ่อก็ได้พระโสดาบัน เพราะว่าทำบุญมาด้วยกัน สำหรับพระยสนั่งอยู่ข้างหลังเป็นอรหัตผล
ต่อมาท่านพ่อได้อาราธนาองค์สมเด็จพระทศพลไปฉันที่บ้าน และกล่าวกับพระยสว่า “ยสลูกรัก จงเห็นแก่ชีวิตแม่ของเจ้า แม่เจ้าร้องไห้น้ำตาไหลมาเกือบจะเป็นเลือด”
พระยสฟังแล้วก็ดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า “ท่านมหาเศรษฐี พระยสเวลานี้ไม่ควรกับการครองเรือน เพราะเป็นอรหันต์เสียแล้ว”
พ่อก็ดีใจมาก จึงได้อาราธนาพระพุทธเจ้าด้วย ไปฉันที่บ้าน เมื่อพ่อไปแล้ว พระยสก็ขออุปสมบทบรรพชา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กล่าวว่า “เอหิภิกขุ ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ผ้าไตรจีวรที่เคยถวายไว้ในพระพุทธศาสนาก็ลอยมาด้วยกำลังฤทธิ์สวมกาย และผมก็หายไปเป็นคนหัวโล้น เมื่อเข้าไปฉันที่บ้านแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วฉันเสร็จก็โมทนา เทศน์อนุปุพพิกถา ภรรยากับแม่ก็เป็นพระโสดาบัน
ต่อมาเพื่อน 55 คน นั้น ทราบว่า พระยสเคารพในองค์สมเด็จพระภควันต์และก็บวชแล้ว จึงได้พากันมาเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระพุทธเจ้าก็เทศน์กัณฑ์เดียวกัน คือ อนุปุพพิกถา เมื่อจบลงไปก็ปรากฎว่า คนทั้ง 55 คนเป็น อรหัตผล หมด
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การบำเพ็ญกุศลใด ๆ ในชาตินี้ ถ้าเราปักใจอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปโดยเฉพาะกิจ คิดว่าจิตเราพอใจในธรรมะใน 84,000 พระธรรมขันธ์นั้น ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหมด เอาจิตกำหนดไว้ว่า สิ่งนี้เราจะสร้างให้ทรงตัว ก็ดูตัวอย่างพระยส
1. ให้ทานเป็นปกติ
2. ทรงศีลเป็นปกติ
3. มีเมตตาบารมี
และส่วนที่มีความสำคัญจริง ๆ ก็คือ นิพพิทาญาณ ใน กายคตานุสสติกรรมฐาน เมื่อบุญบารมีตัวนี้แก่กล้าแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เป็นอรหันต์ได้ ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่ตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ก็ชื่อว่าทุกท่านทรงความดีในด้านบุญกิริยาวัตถุทั้ง 3 ประการ คือ
1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ท่านทำแล้ว
2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ท่านก็สมาทานศีลแล้ว และก็การสมาทานศีลน่ำ ถ้าสมาทานที่นี่กลับไปไม่คุมศีล ศีลมันก็ไม่มี เพราะศีลไม่ได้มีด้วยการสมาทาน ศีลจะมีได้ด้วยการปฏิบัติอยู่ในกฎของศีล
3. สำหรับภาวนามัย คือตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา เอาใจพิจารณาไปด้วย อย่างนี้เรียกว่า “ภาวนามัย” บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาสาวกองค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่ได้มโนมยิทธิ จงมั่นใจในกิจ 3 ประการ คือ
1. ทานมัย ให้ทานไว้เป็นปกติ เป็นการตัดโลภะ ความโลภ
2. สีลมัย ทรงศีลไว้ให้เป็นปกติ เพราะศีลจะตั้งได้เพราะเมตตากรุณา เป็นการตัดความโกรธ
3. ภาวนามัย ใช้ปัญญาพิจารณาร่างกายเรา ร่างกายบุคคลอื่นว่าเป็นของไม่ดี เป็นของสกปรก มีความไม่เที่ยงและมีการสลายตัวไปในที่สุด เป็นการตัดความหลง และพยายามตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน การทำจิตของเราสบายเมื่อไร เอาใจไปตั้งไว้ที่นิพพานเมื่อนั้น
เป็นอันว่า ภายในไม่ช้าไม่นานเท่าใด ถ้าเป็นพระก็จะสำเร็จอรหัตผลก่อน ถ้าสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรที่เป็นฆราวาส เมื่อใกล้อายุขัย บรรดาพวกท่านทั้งหลายก็จะมีกำลังใจถึงอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น
ในที่สุด อาตมาภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้งสามประการ ขอจงอภิบาลบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ดีที่บรรลุแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทุกท่าน จงบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เถิด
ขอบพระคุณข้อมูลจาก
http://kaskaew.com/index.asp?catid=3&contentID=10000004&getarticle=161&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%BE%C3%D0%C2%CA%A1%D1%BA%CA%CB%D2%C2