เศรษฐีขนมเบื้อง โกสิยเศรษฐีเป็นชาวนิคมสักกระ ใกล้กับกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เขามีทรัพย์มากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็นคนตระหนี่มาก
ความตระหนี่ถี่เหนียวของเขานี้มีคนพูดกันว่า ไม่ยอมให้อะไรเลย แม้แต่น้ำมันที่หยดจากปลายหญ้าก็ไม่ให้
เขาไม่ให้ทรัพย์เองด้วย ไม่ให้สิ่งดีๆกับคนที่เป็นที่รักเช่นบุตรและภรรยา
วันหนึ่งเศรษฐี ได้เข้าไปเฝ้าพระราชาที่แคว้นมคธ ระหว่างเดินทางกลับ เข้าได้เห็นชาวบ้านนอกคนหนึ่งกินขนมกุมมาส
หรือว่าขนมเบื้อง เขาเลยอยากกินขนมเบื้องมาก กลับมาถึงบ้านความอยากกินขนมเบื้องก็ไม่หาย แต่ก็ไม่กล้าบอกใครกลัวว่าจะเสียทรัพย์ เปลืองทั้งงา ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อย ในการประกอบขนม
ผ่านไปหลายวันเขายังอยากกินขนมเบื้องแต่ก็ยังไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวเสียเงินทำให้ร่างกายผ่ายผอมลงไป
มีเส้นเอ็นปรากฏให้เห็น เมื่อภรรยาเห็นความเปลี่ยนแปลงของสามีแล้วก็จึงเข้าไปลูบหลัง แล้วก็ถามว่า
ภรรยา : ท่านพี่เป็นทุกข์เพราะเหตุไร เพราะพระราชาหรือ ? ท่านไม่พอใจลูกเหรอ?
ภรรยาถามไปหลายอย่างเขาก็ไม่ตอบ เพราะว่ากลัวเสียเงิน ได้แต่นอนเงียบ จนภรรยาถามว่า
ภรรยา : ท่านอยากกินอะไร ?
โกสิยเศรษฐี : อยากกินขนมเบื้อง
ภรรยา : เรื่องแค่นี้เองหรือ ทำไมไม่บอก ท่านก็ไม่ใช่คนจน เีราสามารถจะทอดขนมเลี้ยงคนทั้งนิคมก็ยังได้
โกสิยเศรษฐี : เรื่องอะไรที่เราจะไปเลี้ยงคนพวกนั้น
ภรรยา : เราก็ทอดให้พอกินในเรือนก็แล้วกัน?
โกสิยเศรษฐี : ไม่ได้มันเปลือง ทำไมต้องไปแบ่งคนใช้กินให้เปลืองทำไม
ภรรยา : งั้นเราทอดแบ่งกินเฉพาะพ่อแม่ลูกได้ไหมท่านพี่?
โกสิยเศรษฐี : ก็ยังเปลืองอยู่ดี
ภรรยา : เราทอดกินกันสองคนสามีภรรยาดีไหมท่านพี่ ?
โกสิยเศรษฐี : มันก็ยังมากไป
ภรรยา : งั้นทอดให้ท่านพี่กินคนเดียวนะ?
โกสิยเศรษฐี: ให้เธอปฏิบัติตามนี้ แต่่ว่าถ้าเธอจะทอดกินข้างล่างคนที่ได้กลิ่นเขาจะอยากกินเดี๋ยวจะพากันมา
ขอกิน เธอจงนำข้าวสารเมล็ดหัก จัดน้ำนม เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย อย่างละหน่อย และอุปกรณ์ทอดขึ้นไปนั่งทอดให้ฉันกิน
บนปราสาทชั้น ๗ ฉันจะนั่งกินที่นั่น
ภรรยารับคำทำตามนั้น สั่งให้นางทาสีจัดและเตรียมสิ่งของต่างๆไปไว้ในปราสาทชั้น ๗ แล้ว แล้วไล่นางทาสีลงมาชั้นล่าง
จากนั้น ปิดประตูปราสาทตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นที่ ๖ ภรรยาเริ่มผสมแป้ง ก่อไฟ แล้วก็เริ่มทอดขนมเบื้องให้โกสิยเศรษฐีกิน
ก่อนรุ่งอรุณของวันนี้ พระพุทธองค์ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธญาณ อยู่ที่กรุงสาวัตถี ทรงเห็นอุปนิสัย
ของโกสิยเศรษฐีและภรรยาจะบรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งอยู่ไกลถึง ๔๕ โยชน์จึงตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานเถระมาแต่เช้าตรู่แล้วสั่งว่า
โมคคัลลานะ ในสักกรนิคมมีโกสิยเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ กำลังทอดขนมเบื้อง ท่านจงไปที่นั่น แล้วสั่งสอนเศรษฐีและภรรยา
ให้เศรษฐีและภรรยา นำขนมมาถวายเราพร้อมพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ตถาคตและพระภิกษุสงฆ์จะนั่งรออยู่ในวิหาร
พระมหาโมคคัลลานเถระได้รับพุทธบัญชาแล้วก็เหาะไปในอากาศ ปรากฏตัวที่ช่องปราสาทชั้นที่ ๗ ที่โกสิยเศรษฐีกำลังทอดขนมอยู่
ด้วยอาการห่มจีวรเรียบร้อย
โกสิยเศรษฐีเห็นพระมหาโมคคัลลานเถระแล้ว หัวใจก็สั่นระทึกแล้วก็รำพึงในใจว่า
เราอุตส่าห์หลบขึ้นมาทอดขนมบนปราสาทชั้น ๗ เพราะกลัวคนอื่นรู้ แต่พระสมณะรูปนี้ยังมายืนที่หน้าต่างได้
เมื่อไม่มีสิ่งใดที่จะไล่พระเถระได้ก็ส่งเสียงไล่พระเถระ แล้วก็กล่าวว่า สมณะท่านมายืนอยู่ในอากาศจะได้อะไร
แม้ท่านจงกรมจนในอากาศเป็นรอยเท้า ท่านก็จะไม่ได้อะไรอยู่ดี
พระมหาโมคคัลลานเถระก็ได้จงกรมกลับไปกลับมาในอากาศตรงหน้าต่างนั้น
โกสิยเศรษฐีก็ได้กล่าวต่ออีกว่า สมณะท่านจงกรมยังไม่ได้อะไร แม้ท่านจะนั่งคู้บัลลังก์ในอากาศก็จะไม่ได้อะไรเช่นกัน
พระมหาโมคคัลลานเถระก็จึงนั่งคู้บัลลังก์ในอากาศนั้น
โกสิยเศรษฐีก็จึงกล่าวต่อว่า สมณะท่านนั่งคู้บัลลังก์ก็จะไม่ได้อะไรแม้ท่านมายืนตรงขอบหน้าต่างก็จะไม่ได้อะไร
พระมหาโมคคัลลานเถระก็จึงไปยืนตรงขอบหน้าต่าง
โกสิยเศรษฐี จึงกล่าวต่อว่า สมณะท่านยืนตรงขอบหน้าต่างก็ไม่ได้อะไรแม้จะท่านจะทำให้ควันคลุ้งก็จะไม่ได้อะไร
พระมหาโมคคัลลานเถระก็จึงแสดงฤทธิ์ให้ควันไฟคลุ้งทำให้ปราสาททั้งหมดมีแต่ ควัน ทำให้โกสิยเศรษฐีแสบตา
คิดในใจว่า ถ้าจะบอกว่าแม้ให้ไฟติดขึ้นก็เกรงว่าไฟจะไหม้ปราสาท จึงคิดว่า ถ้าสมณะรูปนี้คงจะต้องการขนมนี้จริงๆ
ถ้าเราไม่ให้ก็คงจะไม่ไป ดังนั้นเราจะทอดชิ้นเล็กสักชิ้ันหนึ่งให้สมณะไป จึงได้สั่งภรรยาให้ทอดขนมชิ้นเล็กๆให้
ด้วยฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลานะ ปรากฏว่าพอเทแป้งลงไปชิ้นเล็ก ขนมก็บานเต็มกะทะ ก็เลยคิดว่าภรรยาคงใส่แป้งมากไป
จึงตักแป้งนิดหนึ่งด้วยมุมของทัพพีด้วยตนเองให้เล็กกว่าชิ้นแรก ปรากฏว่าขนมนั้นพอทอดลงไปในกะทะแล้วขนมกลับใหญ่กว่าชิ้นแรก
ก็เลยพยายามทอดไปเรื่อย ชิ้นต่อมาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อขนมไม่ยอมเล็กลงตามที่ตนปรารถนาก็จึงสั่งภรรยาให้นำขนมหนึ่งชิ้นให้
สมณะไป เมื่อภรรยาหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกจากกระเช้าให้พระมหาโมคคัลลานเถระ ก็กลายเป็นว่าขนมทุกชิ้้นก็ติดกันเนื่องกัน
ไปไม่สามารถแยกออกได้ โกสิยเศรษฐีจึงพยายามดึงขนมออกจากกัน แต่ว่าดึงอย่างไรขนมก็ไม่หลุดออกจากกัน
พยายามจนเหงื่อออก จนความหิวหายไป จึงกล่าวกับภรรยาว่า นางผู้เจริญ ฉันไม่ต้องการขนมนี้แล้ว จงให้แก่สมณะไปเถอะ
นางยกกระเช้าขนมถวายพระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านแสดงธรรมกล่าวคุณพระรัตนตรัย และแสดงผลของการให้ทาน
เศรษฐี และภรรยาฟังแล้วเกิดจิตเลื่อมใส กล่าวนิมนต์ให้ฉันบนที่นั่ง พระมหาเถระจึงกล่าวว่า
ท่านเศรษฐี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่พระเชตวันมหาวิหาร รอเสวยขนมกับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป
หากท่านชอบใจ จงให้ภรรยาถือสิ่งของที่ทำขนมไปสู่ที่นั่นกัน
เมื่อเศรษฐีและภรรยาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ท่านเศรษฐีหลั่งน้ำทักษิโณทก
แก่พระภิกษุสงฆ์ ส่วนภรรยาถวายขนมใส่ลงในบาตรของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ขนมนั้นก็ไม่หมด
ที่เหลือ เศรษฐีก็นำมากินเอง ก็ไม่หมด นำไปให้คนยากจนกินกัน ก็ไม่หมด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น
ท่านทั้งสองจงทิ้งขนมลงที่ซุ้มประตูพระเชตวัน ท่านทั้งสองจึงนำขนมไปทิ้งที่เงื้อมอยู่ไม่ไกลจากซุ้มประตูพระเชตวัน
ทั้งสองท่านกลับมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุโมทนาและแสดงธรรมโปรดสองสามีภรรยา
จบพระธรรมเทศนาโกสิยเศรษฐีและภรรยา บรรลุโสดาปัตติผลหลังจากบรรลุโสดาบันแล้ว ถวายบังคมลากลับ
ตั้งแต่นั้นมาโกสิยเศรษฐีและภรรยาจึงไม่ตระหนี่ในการสละทรัพย์บริจาคลงในบวรพระพุทธศาสนา
ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB พี่แมว Supani Sundarasardula ด้วยนะครับผม