KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประวัติอุบาสก อุบาสิกา ฆราวาสผู้ประพฤติธรรมนายกากวฬิยะกับภรรยา ถวายภัตราหาร แด่พระอริยสงฆ์​ ในสมัยพุทธกาล
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นายกากวฬิยะกับภรรยา ถวายภัตราหาร แด่พระอริยสงฆ์​ ในสมัยพุทธกาล  (อ่าน 38319 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มิถุนายน 19, 2013, 05:34:51 PM »

นายกากวฬิยะกับภรรยา ถวายภัตราหาร แด่พระอริยสงฆ์​ ในสมัยพุทธกาล

สมัยที่องค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนมชีพอยู่ มีชายเข็ญใจผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายกากวฬิยะ ผู้มีวาสนาอาภัพ เพราะเกิดมาในตระกูลที่ยากจน เลี้ยงชีวิตอยู่ในโลกด้วยความยากลำบาก ต้องทำงานหนักตลอดทั้งวันไม่มีเวลาที่จะนึกถึงบุญกุศลสิ่งไรทั้งสิ้น วันหนึ่งภรรยาของเขาเตรียมต้มข้าวกับผักดองรวมกันเป็นข้าวยาคูเปรี้ยว เพื่อจะให้เขากินตามประสาจน ขณะนั้น พระมหากัสสปเถระสาวกองค์สำคัญแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านออกจากนิโรธสมาบัติอันประเสริฐพอดี จึงพิจารณาถึงบุคคลที่เข้าข่ายทุกข์ยากเข็ญใจที่ควรจักสงเคราะห์ ครั้นพระผู้เป็นเจ้าพิจารณาไป ก็ทราบด้วยญาณพิเศษว่า กระทาชายนายกากวฬิยะกับภรรยาของเขาซึ่งเป็นคนยากไร้ เป็นผู้สมควรจักได้รับการอนุเคราะห์มากกว่าผู้อื่น เมื่อทราบดังนั้นแล้วพระมหากัสสปเถระ ผู้มีใจกรุณา ก็จัดแจงเตรียมองค์นุ่งสบงจีวร ถือบาตรเดินมุ่งหน้าเข้าไปสู่ตัวเมือง และไปยืนอยู่แทบใกล้ประตูเรือนแห่งกากวฬิยะบุรุษนั้น

พอดีภรรยาของเขาออกมาจากประตูเรือนอันเก่าคร่ำคร่า ครั้นเห็นพระมหาเถรเจ้าผู้มีชื่อเสียงลือชาเป็นที่เคารพสักการะแห่งองค์พระมหากษัตริย์และเศรษฐีทั้งหลาย มายืนบิณฑบาตอยู่หน้าบ้านตนผู้เป็นคนเข็ญใจเช่นนั้น ก็บังเกิดความปีติใจ มีศรัทธาใคร่จะถวายบิณฑบาตทานแก่พระผู้เป็นเจ้า ด้วยข้าวยาคูเปรี้ยวที่ต้มเอาไว้เพื่อสามี ซึ่งขณะนี้ไม่อยู่ออกไปทำงานนอกบ้าน ทันใดที่เกิดศรัทธาขึ้นอย่างแรงกล้า นางจึงรีบออกมาจากเรือนแล้วกระทำการอภิวาทและรับเอาบาตรแห่งพระมหาเถรเจ้าเข้าไปในเรือนใส่ข้าวยาคูเปรี้ยวลงจนหมดหม้อให้สมใจศรัทธา ไม่ได้แบ่งปันไว้ให้นายกากวฬิยะผู้เป็นสามีเลย ครั้นแล้วก็น้อมนำเอาบาตรนั้นมาถวายแก่พระเถระด้วยความเลื่อมใสเป็นหนักหนา พระมหากัสสปเถรเจ้ารับเอาบาตรและกล่าวคำอนุโมทนาแล้วเดินกลับไปสู่วิหาร น้อมนำเอาข้าวยาคูเปรี้ยวนั้นไปถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อหนึ่ง

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับเอาบาตรข้าวยาคูเปรี้ยวนั้นแล้วทรงมีพุทธฎีกาตรัสให้แบ่งแก่พระภิกษุทุกรูปที่อยู่ในวิหารนั้น เมื่อพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธานฉันภัตตาหารและข้าวยาคูเปรี้ยวของคนเข็ญใจอยู่ด้วยความอนุเคราะห์นั้น นายกากวฬิยะผู้รู้ข่าวว่าภรรยามีศรัทธาถวายอาหารอันเป็นส่วนของตน ให้แก่พระมหากัสสปเถรเจ้าองค์อรหันต์ ก็ดีใจสุดประมาณและติดตามมาจนถึงวิหาร ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จพอดี ดังนั้น เขาจึงมีโอกาสได้รับประทานอาหารอันเป็นส่วนที่เหลือจากพระฉันแล้วอีกด้วย

เพื่อที่จักยังความปรีดาปราโมทย์ให้เกิดขึ้นแก่คนเข็ญใจโดยยิ่ง พระมหากัสสปเถรเจ้าจึงกราบทูลถามสมเด็จพระบรมครูสัพพัญญูเจ้าขึ้นต่อหน้านายกากวฬิยะนั้นว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคย์ พระพุทธเจ้าข้า ภรรยาของนายกากวฬีย์ผู้นี้ มีศรัทธาถวายบิณฑบาตทานกาลต่อมาเมื่อตัวนายกากวฬีย์เองทราบข่าว ก็มีจิตยินดีปรีดาในอาหารบิณฑบาตทานนั้นเป็นอย่างยิ่ง อานิสงส์แห่งทานของเขาทั้งสองในครั้งนี้จักมีประการใด พระพุทธเจ้าข้า ?"

สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า จึงมีพุทธฎีกาตรัสพยากรณ์ว่า

"ดูกรกัสสปะ ! นับแต่วันนี้ไปได้ ๗ วัน กากวฬียบุรุษผู้นี้ จักได้ฉัตรสำหรับเศรษฐี เขาจักได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีจากองค์พิมพิสารราชาบดี ในเมื่อครบ ๗ วันนับจากนี้เป็นต้นไป"

นายกากวฬิยะคนยากไร้ เมื่อได้สดับฟังพุทธฎีกาตรัสดังนั้น ก็พลันน้ำตาไหลด้วยความดีใจ ถวายบังคมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและถวายนมัสการแด่พระมหากัสสปะเถระผู้มีพระคุณและภิกษุทั้งหลายกลับไปบ้าน แล้วบอกความที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์นั้นแก่ภรรยาของตน ครั้นนางได้ฟังความที่สามีบอก ก็มีจิตชื่นใจในทานบิณฑบาตที่ได้ถวายแก่พระมหากัสสปเถระเจ้าผู้เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติเป็นยิ่งนัก

ในกาลนั้น สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารราชาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งนครราชคฤห์ เสด็จราชกิจเพื่อดูขอบเขตแห่งภูเขาและประเทศอันล้อมรอบไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ถัดจากภูเขานั้นไปมีป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งประชากรทั้งหลายพากันขนานนามเรียกว่า "มหาเปตโลก" เป็นสถานที่ซึ่งมีคำเล่าลือกันว่า เป็นที่อาศัยอยู่ของบรรดาผีดุร้าย ยามราตีไม่มีผู้คนใดกล้าเข้าไปที่นั่นเลย เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาถึงป่ามหาเปตโลก ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นนายโจรนักโทษประหารผู้หนึ่ง ซึ่งถูกลงโทษด้วยการเสียบเป็น ให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะตายไปเอง พระองค์ก็ทรงเข้าไปไต่ถามความเป็นไป ขณะนั้นนายโจรได้เหลือบเห็นพระเจ้าพิมพิสารก่อนก็ตะโกนขึ้นว่า

"ข้าแต่พระเจ้าแผ่นดิน ! มีอะไรกินบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็รีบเอามาไว ๆ ถ้าไม่มีก็อย่าได้เข้ามาใกล้ ข้านี้เป็นโจรใจร้าย ได้รับโทษตามกฎหมายของท่านในครั้งนี้แสนสาหัสฉกรรจ์นัก"

เมื่อทรงได้ยินดังนั้น องค์นฤบดีพิมพิสารโสดาบัน ก็ยิ่งทรงมีพระทัยสงสารเป็นยิ่งนัก แล้วมีพระราชดำรัสแก่นายโจรว่า

"ดูกรเจ้าโจรเอ๋ย ! การที่เจ้ารับกรรมในครานี้เป็นผลจากการกระทำของเจ้า แต่เราก็จนใจจริงๆ เพราะไม่มีอาหารสิ่งใดติดมือมาเลย เอาเถิดเมื่อเรากลับถึงเมืองแล้ว จักให้คนนำอาหารมาให้เจ้า"

แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับสู่พระนคร ครั้นเมื่อถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร พระองค์ก็คิดระลึกขึ้นได้ว่า ทรงรับคำจะนำอาหารไปให้นายโจร ด้วยกลัวว่าจะเสียสัตย์จึงมีพระราชโองการให้จัดหาคนที่สามารถนำเอาอาหารไปให้นักโทษโจรร้ายในป่ามหาเปตโลกได้ภายในราตรีนั้น จะพระราชทานทรัพย์ให้จำนวน ๑,๐๐๐ ตำลึง อย่าว่าจะไปในยามราตรีเลย เพียงแค่ได้ยินคำว่ามหาเปตโลกเท่านั้น คนทั้งหลายก็เกิดความสะดุ้งกลัว ใจคอหวาดหวั่นเหมือนกับใช้ให้ไปหาพระกาฬ ฉะนั้น จึงยากที่จะหาผู้ใดอาสาไปกระทำการ พระองค์จึงให้อำมาตย์ทั้งหลายไปป่าวประกาศในเมืองเพื่อหาคนใจกล้าไปยังมหาเปตโลกในยามราตรีให้จงได้ ด้วยทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายกุศลก็เข้าดลจิตภรรยาแห่งนายกากวฬิยะคนเข็ญใจให้เกิดใจกล้าคิดจักรับอาสา จึงออกมาจากเรือนแล้วเข้าไปแจ้งความแก่อำมาตย์เหล่านั้น และรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ ตำลึงไว้

ในกาลนั้น ยังมียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า ทีฆฏผลยักษ์ สิงอยู่ที่ต้นตาลภายนอกมหานครมานานแล้วเห็นภรรยาแห่งนายกากวฬิยะซึ่งแต่งกายเป็นบุรุษ แบกถาดทองใส่อาหารเดินมาในยามวิกาลเช่นนั้นก็ร้องเรียกออกไปด้วยเสียงมนุษย์ว่า

"เจ้าเป็นใคร ! เหตุใดจึงกล้าเข้ามาในอาณาเขตแห่งเรา หาไม่แล้วจะเคราะห์ร้ายรู้หรือไม่เล่า แล้ว จะตกเป็นภักษาหารของเรา"

เมื่อนางได้ยินก็เอ่ยวาจาขึ้นด้วยความตกใจว่า "ท่านเป็นใคร ?"

"เราเป็นยักษ์ เป็นบริวารแห่งท้าวเวสสุวรรณเทพบุตราธิบดี แล้วท่านเป็นใครล่ะ ?"

"เราเป็นราชทูตแห่งพระเจ้าพิมพิสาร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เราไปที่ป่ามหาเปตโลก ด้วยพระราชกิจรีบร้อน"

"อ๋อ...ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เมื่อครู่ท่านว่าท่านจะไปยังป่ามหาเปตโลก เราก็มีกิจของเราอย่างหนึ่ง ใคร่ขอวานท่านผู้เป็นราชทูตให้ช่วยกิจเราอย่างหนึ่งด้วยเถิด เมื่อท่านไปใกล้ป่ามหาเปตโลก ท่านจงตะโกนร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้ ! นางกาลีผู้เป็นธิดาแห่งท่านสุมนะเทวราชซึ่งเป็นภรรยาแห่งทีฆฏผลยักษ์ ได้บุตรเป็นเพศชายแล้ว ! ท่านจงประกาศตามที่เราสั่งนี่แหละ ถ้าคำป่าวประกาศของท่านรู้ไปถึงสุมนะเทวราชด้วยประการใดก็ตาม เราจะให้ขุมทรัพย์ ๗ ขุม ที่เราเฝ้าอยู่ในบริเวณนี้แก่ท่าน"

เมื่อนางรับคำทีฆฏผลยักษ์แล้ว นางก็เดินไปร้องป่าวประกาศไปด้วยจนใกล้ถึงป่ามหาเปตโลก ขณะนั้น สุมนะเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหลายในป่ามหาเปตโลก ได้ให้โอวาทแก่บริวารยักษ์จบลงแล้ว ก็มียักษ์ผู้มีศักดิ์น้อยตนหนึ่ง เข้าไปกราบเรียนว่า

"บัดนี้ ! นางมนุษย์ผู้หนึ่งเดินทางมุ่งหน้ามายังป่ามหาเปตโลกและป่าวร้องว่าพระธิดาแห่งท่านให้กำเนิดบุตรชายแล้ว"

เมื่อสุมนะเทวราชได้ทราบข่าวดังนั้น ก็ให้บริวารยักษ์เหล่านั้นไปนำนางสตรีดังกล่าวเข้ามาถามไถ่ รวมทั้งมีบัญชาให้บริวารยักษ์ไปสอบถามความจากทีฆฏผลยักษ์บุตรเขย เพื่อความแน่ใจด้วย เมื่อทราบว่าเป็นจริงดังกล่าว ก็มีใจผ่องแผ้วเป็นหนักหนาและกล่าวกับนางว่า

"ดูกรนางมนุษย์ ! ท่านผู้เป็นราชทูตแห่งพระเจ้าพิมพิสารราชาบดี อุตส่าห์นำเอาอาหารมาให้ผู้ใกล้ตายในป่ามหาเปตโลก นับว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีใจกล้าหาญ มิหนำซ้ำยังนำข่าวหลานชายซึ่งเป็นข่าวดีมาสู่เรา ฉะนั้นเราจึงใคร่ตอบแทนท่าน สมบัติอื่นใดที่จะเหมาะสมแก่มนุษย์เช่นท่านนั้นเราหามีไม่ นอกเสียจากขุมทรัพย์อันเป็นของคนโบราณซึ่งฝังใต้ร่มไทรนี้ อันมีเราเป็นผู้ดูแลรักษาอยู่ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อเรา เราจึงใคร่ยกให้ท่านผู้เป็นมนุษย์ พรุ่งนี้จงมาขุดเอาไปเถิด เราอนุญาตให้จนหมดสิ้น"

เมื่อนางอำลาท้าวสุมนะเทวราชแล้ว ก็นำเอาถาดอาหารเดินเข้าสู่ป่ามหาเปตโลกและนำเอาอาหารป้อนสู่ปากนักโทษเสียบเป็น ให้เขาได้บริโภคตามความปรารถนาด้วยความเมตตาสงสาร และนำเอาถาดทองเปล่ากลับมาสู่พระราชวัง กราบบังคมทูลประพฤติเหตุทั้งปวง รุ่งขึ้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นใหญ่ ตระเตรียมเกวียนหลายเล่มและออกเดินทางสู่บริเวณขุมทรัพย์ โดยมีสตรีผู้กล้าเป็นผู้นำทาง เมื่อเจ้าพนักงานพากันขุดตามที่นางชี้บอกก็พบทรัพย์สมบัติมหาศาลของแผ่นดินดังที่นางกล่าวไว้ เมื่อขุดสมบัติเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็ได้ประชุมหมู่พฤฒามาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งหลาย ทรงปรึกษาราชกิจว่าควรจักทำประการใด ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายลงมติกราบทูลว่า

"นางควรจักได้รับฉัตรเศรษฐี แต่ด้วยนางเป็นสตรี จึงควรพระราชทานฉัตรเศรษฐีให้แก่สามีของนางตามเยี่ยงอย่างประเพณี เพื่อที่นางจักได้เป็นใหญ่ในเรือนเสวยความสุขโดยความเป็นเศรษฐีสืบไป"

พระราชาทรงเห็นด้วยกับคำกราบทูลนั้น จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้นายกากวฬิยะเป็นเศรษฐีประจำแผ่นดิน
 มีพระราชทินนามว่า "ธนเศรษฐี" แล้วทรงพระราชทานฉัตรเศรษฐีให้แก่เขาเป็นเกียรติยศ



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB K.Supani
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2013, 06:00:37 PM »

http://www.thairath.co.th
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: