KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
หน้า: [1] 2
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต  (อ่าน 42067 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 27, 2013, 01:38:48 PM »



"มีสติ ฝึกภาวนา เป็นอริยทรัพย์ ติดตัวไปได้หลายหมื่นชาติ ส่วนสมบัติทางโลกชาติเดียวยังเอาไปไม่ได้"

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2014, 12:44:44 PM »

พระอาจารย์บุญฤทธิ์ เล่าถึงการไปอยู่ภาวนากับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ภูผาแด่นต่อไปว่า

ระยะนั้นพวกป่าไม้เองก็ยังไปไม่ถึง ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่มหึมา สองคนโอบไม่รอบ

หมีไปกินผึ้งแถวกุฏินั่นเอง เสียงบ่นพึมพำทำให้อาตมาเข้าใจในตอนนั้นเอง ที่ว่า บ่นเป็นหมีกินผึ้งนั้นเป็นอย่างไร

เวลาหมีไปแล้ว มนุษย์ก็ได้อาศัยน้ำผึ้งจากรวงรังเหล่านั้นมา เป็นคิลานเภสัช (ยา) ต่อไป

พวกผึ้งมาทำรวงรังกันมากบริเวณนั้น

ท่านเล่าต่อไปว่า สถานที่ที่บำเพ็ญภาวนานั้นเรียกว่า ผาแด่น ใกล้ๆ กันนั้นมีดอยอีกแห่งหนึ่งพวกยางเรียกว่า
ผาเด่ง อาตมาขึ้นไปทำความเพียรก็เห็นว่าดีมาก เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา
 จึงได้ขออนุญาตจากหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า “ดี ไปภาวนาเถิด มันวิเวกดีมาก”

อาตมาไปทำความเพียรอยู่ (ที่ผาแด่น) นั่งสมาธิมากแล้วก็เดินจงกรม เดินจงกรมที่นี่ดีมากทีเดียว ลมโชยอ่อนๆ แดดไม่ร้อน

แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง อยากจะนำมาเล่าให้โยมได้ฟังกัน

คือ...ขณะภาวนาอยู่นั้น บางวันได้ยินเสียงดังเหมือนหวูดรถไฟ

โยมเคยได้ยินไหม หวูดรถจักรไอน้ำน่ะ ดังอย่างนั้นแหละ

อาตมาสงสัยจึงได้เข้ากราบเรียนถามหลวงปู่ ท่านบอกว่า

“นั่นแหละเสียงพญานาค !”

ญาติโยมถามว่าเสียงนั้นดังมากไหม ทำไมพญานาคจึงเที่ยวไปอยู่ตามป่าดงพงไพรเช่นนั้น ?

พระอาจารย์ตอบว่า พญานาคมีทุกแห่ง เพราะเป็นวิสัยพวกเทพระดับหนึ่ง
นิมิตอยู่ที่ไหนก็ได้ คนส่วนมากเข้าใจว่า พญานาคอยู่ในน้ำเท่านั้น ความจริงเขาก็พวกเทพเหมือนกัน

เสียงพญานาคที่ร้องนั้นดังมาก จนอากาศส่วนนั้นสะเทือนทีเดียว

ยามบ่ายๆ หน่อย อากาศดีมาก แสงแดดจะส่องตามทิวเขา ผาต่างๆ ที่สลับซับซ้อน
 จนเกิดเป็นสีสันที่สวยงามมาก เช่น สีม่วง สีน้ำเงิน สีแสด สีชมพู มองดูงามมากจริงๆ

อาตมาไปฟังเสียงพญานาคร้องให้ได้ยินหลายครั้ง ถ้าจะพูดว่าเสียงอื่นๆ
ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ มันอยู่ในป่าดง เอาเสียงอะไรมาล่ะ ครั้งกระนั้นมีแต่ป่าห่างไกลความเจริญด้วย

ญาติโยมถามว่า ท่านไม่คิดว่าจะเป็นเสียงร้องของช้างป่าหรือสัตว์ป่าอย่างอื่นบ้างหรือ ?

พระอาจารย์ ตอบว่า เสียงช้างเสียงเสือนั้นมันร้องก็จำได้ ไม่ใช่สัตว์ป่าพวกนี้แน่ๆ

อีกอย่างเวลามันร้อง ก็ฟังได้ยินอยู่เสมอจำได้ดี และอาตมาคิดว่าไม่ใช่สัตว์พวกนี้หรอก !

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2014, 12:48:28 PM »



สภาพความเป็นอยู่ที่ผาแด่น ขณะที่หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต จำพรรษากับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

พระอาจารย์บุญฤทธิ์ เล่าเรื่องการไปอยู่จำพรรษากับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
 ที่ผาแด่น ตำบลสันป่ายาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในครั้งนั้นต่อไป ดังนี้

“...เออ ! มันชอบใจคำว่า อภิญญา ท่านพ่อลีพูดจบ อาตมาก็อยากมาให้ถึงเชียงใหม่เลย

โอ ! ก็เป็นดังที่เขาเล่าลือกันจริงๆ อาตมาดั้นด้นไปจนพบกับท่าน...

ครั้งนั้นอาตมาไปพบท่านที่ผาแด่น ก็กะอุบายไว้ว่า ไปพบกับหลวงปู่ท่านให้เข้าพรรษาพอดี
 เพื่อว่าท่านจะได้ไล่เราหนีไม่ได้ ก็มันเข้าพรรษาแล้วนี่นะ

วางแผนก็ลงล็อกเลยโยม ท่านก็รู้ด้วยจิตแน่ๆ ท่านเห็นหน้าก็ยิ้ม พูดนิดๆ หน่อยๆ

จากนั้นท่านก็แนะให้ไปพักเลือกเอาสถานที่เหมาะๆ อยู่ภาวนากับท่าน...”

พระอาจารย์พูดถึงสภาพของผาแด่น ดังนี้

“เคยได้ยินแต่คนอื่นเล่าถึงความทุกข์ยากลำบากกันดารก็ได้พบครั้งนี้เอง

ความจริงแล้วมันลำบากยิ่งกว่าคิดเสียอีก โอ...รสชาติมันเหลือหลาย

อาตมาได้ไปเรียนรู้หมดแล้ว โยมคงไปไม่ไหวนะเวลานี้ (ท่านเล่าให้ฟังเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐)
ที่ภูผาแด่น ปัจจุบันมันก็ดีมากแล้ว ไม่ลำบาก ความเจริญคงเข้าถึงกันหมด ไม่มีความยากลำบากเช่นครั้งก่อน

ตอนนั้น มันสามารถจะทำได้ ปฏิบัติได้ ก็เพราะว่าศรัทธาในองค์ท่าน และก็คิดจะปฏิบัติให้ได้อภิญญาด้วยนะ สู้สุดชีวิตเลย

เออ ! มันสบายดีเหมือนกัน ถ้าหากเราสามารถปล่อยวางได้...”

“ระยะแรกที่ได้ไปอยู่ในป่าดงพงไพร โดยเฉพาะที่ผาแด่น มีความยุ่งยากลำบากและกันดาร

ก็เหมือนตอนเช้า อาตมาเดินตามหลังหลวงปู่ไปบิณฑบาตจากชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นพวกยาง เป็นชาวบ้านป่ากลุ่มหนึ่ง ที่เชิงเขา

ได้รับอาหารบิณฑบาตที่เขาใส่มา ก็อาตมาเป็นพระชาวกรุงนี่ เห็นครั้งแรกก็แทบสะอึก

อะไรรู้ไหมล่ะ ?

อาหารเขาง่ายๆ นะ เขาเอาบอนมาปอก แล้วก็ตำกับน้ำ เอาเกลือใส่ปะแล่มๆ บ้าง ใบไม้บางชนิดตำกับเกลือ ใส่น้ำขลุกขลิกบ้าง

เกลือกับพริกตำแล้วเอาน้ำใส่โหรงเหรง ดูแล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะเอารสชาติแบบไหนกัน

บางคราวไปเจอเอาลูกหนูหมักดองด้วยเกลือ เขานำเอามาปรุงอาหารแต่ละครั้งก็เหม็นคลุ้งไปหมด

แรกๆ อาตมารู้สึกพะอืดพะอม มองดูหลวงปู่ท่านนั่งฉันหน้าตาเฉย เอ ! จะทำอย่างไรดี

ข้าวเหนียวนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก กับข้าวนี่ซี มันแสนจะทรมาน ที่สุดก็กล้ำกลืนฉันบ้าง

หลวงปู่ชอบท่านสอนเสมอๆ ว่า “อาหารบิณฑบาตได้มาก็ฉันไปตามมีตามได้
ฉันพอประทังให้ธาตุขันธ์อยู่ได้ ก็นับได้ว่าดีแล้ว มีพลังในกาบำเพ็ญธรรมต่อไป”

เอาละ คิดอย่างนั้นนะ ท่านฉันได้ เราก็ต้องฉันได้ !

อาตมาฉันได้ประมาณหนึ่งเดือน ธาตุขันธ์มันไม่เคย ท้องร่วงถ่ายตลอดทั้งเดือน

ทำไงดี ? นอนหอบซี่โครงบานๆ มันอ่อนเพลีย ถ่ายมากเหลือเกิน แต่ก็ไม่เป็นไร สู้ได้ !

วันหนึ่งพวกยางเขาทำพิธีอะไรก็ไม่รู้ในหมู่บ้านเขา เสร็จแล้วงานนี้มีไก่มาถวายเป็นอาหาร
พอได้ไก่มา หลวงปู่ท่านก็สั่งพระที่อยู่ด้วยว่า

“เก็บไว้ให้บุญฤทธิ์ ยามาแล้วคราวนี้”

ท่านพูดแล้วให้พระไปตามอาตมา ซึ่งพักปักกลดอยู่ก็ไกลพอสมควร เดินไปมาหากันราวๆ กิโลเมตรกว่าๆ

อาตมาเดินมารับไก่นั้นเป็นอาหารเช้าในวันนั้น มันก็แปลกมาก
พออาตมาฉันไก่ที่หลวงปู่บอกว่าเป็นยา อาตมาก็ฉันหมด โรคท้องร่วงก็หายมาตั้งแต่บัดนั้นเลยทีเดียว

อันนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์มากนะ เออ ! ไก่เป็นยาก็ดีเหมือนกันนะโยม”

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 02, 2014, 01:06:39 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2014, 12:51:13 PM »



หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ไปจำพรรษากับหลวงปู่ชอบ

หลังจากได้พบพระป่าที่วัดเจดีย์หลวงในครั้งนั้นแล้ว พระอาจารย์บุญฤทธิ์
ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ท่านเล่าเรื่องต่อไป ดังนี้

อาตมาเดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้มาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ก็ที่วัดนี้
อาตมาได้มาพบกับท่านพ่อลี ธมฺมธโร ท่านมาพักถวายธรรมแด่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสฺสเถร (ติสฺโส อ้วน)

วันหนึ่ง อาตมาหาโอกาสเข้าไปปรนนิบัติ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ก็ได้ถามขึ้นว่า

“ท่านอาจารย์ครับ พระอาจารย์ชอบน่ะ คือใครครับผม ?”

“โอ ! นั่นแหละลูกศิษย์มีอภิญญาของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต....ถามทำไมล่ะ เคยเห็นท่านหรือ ?”

อาตมาตอบท่านไปว่า “ครับ เคยเห็นท่านที่วัดเจดีย์หลวง...
ถ้างั้นกระผมกราบลาท่านอาจารย์ไปเชียงใหม่อีก ขอไปปฏิบัติกับท่านอาจารยชอบ”

กราบลาแล้ว ก็เป็นอันเก็บบาตร กลด สิ่งต่างๆ อีกครั้ง ขึ้นไปเชียงใหม่ ที่รีบเร่งเพราะได้ยินคำว่า “อภิญญา”

เรื่อง อภิญญา ฌานสมาบัติ พระนิพพาน นี่ต้องใจมาก ก็เราบวชเข้ามาก็พึงหวังความจริงข้อนี้

ก่อนออกเดินทาง ท่านเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ท่านก็ทักท้วงว่า

“อ้าว ! จะไปไหนละ นี่ก็จวนจะเข้าพรรษาแล้ว ท่านจะไปไหน ไม่อยู่จำพรรษาด้วยกันหรือไงกัน ?”

อาตมาก็เรียนท่านไปว่า “กระผมจะไปจำพรรษากับท่านอาจารย์ชอบ ครับ !”

“เฮ้ย ! เดี๋ยวก็ถูกหามออกมาจากป่าหรอกนะ ไข้ป่าจะเล่นงานเอา อย่าไปเลย”

อาตมาไม่ฟังเสียง เดินทางแน่วไปเลย ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ จิตใจเวลานั้นไม่มีการย่อท้อ
หามออกจากป่าก็ช่าง ตายก็ช่าง ขอให้ได้ศึกษาอยู่กับท่านให้ได้อภิญญาก็แล้วกัน มันต้องเรียนเอาให้ได้

ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ท่านอยู่ในกรุง ทำงานเป็นข้าราชการหลายปี
ชีวิตที่เคยอยู่ในความสะดวกสบาย มีน้ำมีไฟสะดวกทุกอย่าง ไม่เคยเดือดร้อนในการอยู่การกิน

เมื่อต้องไปอยู่ป่าก็จะทำให้เกิดความลำบาก แล้วขณะนี้ ความตั้งใจของพระภิกษุหนุ่ม
มุ่งสู่ป่าดงพงไพร ไปอยู่กับพระอาจารย์ผู้ยิ่งยงในการธุดงค์ ใช้ชีวิตแบบป่าๆ อยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

หลายคนตั้งปัญหาถามว่า “มันจะไหวหรือท่าน ? แน่ใจหรือท่าน ?”

พระอาจารย์บุญฤทธิ์ บอกกับตัวท่านเองในขณะนั้นว่า “ไม่ลองจะรู้หรือ !
จะหามออกจากป่าอย่างสิ้นท่า หรือว่าจะอยู่ป่าอย่างสะดวกสบายเย้ยกิเลสตัณหา ก็จะรู้กันคราวนี้แหละ”

พระอาจารย์ เล่าความรู้สึกและเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า

“ใครๆ เขาห้ามปรามกัน เพราะเกรงว่าอาตมาจะตายเสียก่อน เพราะถ้าไปอยู่กับท่านหลวงปู่ชอบ
ละก็ต้องบุกหนักทีเดียว ท่านชอบไปอยู่ป่ากับพวกกะเหรี่ยงพวกยาง

อาหารการกินก็ไม่ค่อยจะมี กินใบหญ้าใบไม้ แล้วก็ปลาร้าลูกหนูแดงๆ น่ะ

อาตมาอยากได้อภิญญา ไม่ฟังเสียง แล่นไปจังหวัดเชียงใหม่ ก็ไปพบกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระผู้มีพลังจิตสูงองค์หนึ่ง

เวลานั้นอาตมาไม่รู้ ก็ได้รับการทักท้วงจากท่านว่า “อย่าเพิ่งไปเลย รอหน้าแล้งก่อนเถอะ
เวลานี้อากาศชื้น ลำบากมาก เธอจะทนไม่ได้”

ไม่ฟังเสียง ไปอย่างเดียว เดินทางไปถึงวัดป่าห้วยน้ำริน แวะกราบนมัสการ
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านก็ห้ามอีกว่า “อยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งไป !”

แหม...อาตมาไม่ฟังเสียงท่านผู้เป็นครูบาอาจารย์เลย ตั้งใจไปให้ได้ไม่ย่อท้อ ลำบากก็ช่าง
เป็นการทรมานตัวเอง ที่มีโอกาสพบท่านที่วัดเจดีย์หลวงอยู่แล้ว
แต่ก็พลาดโอกาสเมื่อวันวิสาขบูชามิหนำซ้ำยังนึกปรามาสท่านเสียอีก

ฉะนั้น ต้องทำโทษตัวเอง ทรมานให้มันรู้สึกที่ไม่รู้จักอะไรเป็นอะไร

นั่น คิดอย่างนั้น ก็ทำให้เกิดกำลังใจจะเดินทางไปกราบท่านให้จงได้

ญาติโยมได้กราบเรียนถามถึงความยากลำบากในครั้งนั้นรวมทั้งก่อนพบองค์หลวงปู่ชอบนั้น
ท่านมีความเคารพศรัทธามากน้อยแค่ไหน

พระอาจารย์บุญฤทธิ์ ท่านเล่าดังนี้

“อ้าว ! ก็จิตมันรู้ได้ทันทีว่า ที่ครูบาอาจารย์ท่านทักท้วงมาตั้งแต่กรุงเทพฯ จนมาถึงเชียงใหม่
ท่านผู้เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ทักท้วงอีก ทำให้อาตมายิ่งแน่ใจในปฏิปทาของท่านหลวงปู่ชอบ
ว่าจะต้องเป็นชีวิตที่ลำบากยากแค้นมาก และสถานที่ที่ท่านไปอยู่บำเพ็ญภาวนานั้นจะต้องเป็นสถานที่กันดาร
ไปมาลำบาก ขึ้นเขาลงห้วย ยากตลอดทั้งไปและอยู่ทีเดียว

อาตมาคิดปลงตก ตายเป็นตาย ขอไปตายกับท่านเพื่อเอาอภิญญาให้ได้ จะได้รู้ว่าคนมีอภิญญาน่ะมันเป็นลักษณะไหนกันแน่...”

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2014, 07:32:25 PM »

“ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่ต้องปฏิบัติออกจากทุกข์ มันมีทุกข์ จึงปฏิบัติออกจากทุกข์
เราหนีทุกข์ หรือให้ทุกข์หนีจากเรา เรารู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็หนีเอง ถ้าเราไม่รู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็ไม่หนี”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2014, 07:34:05 PM »



ธรรมโอวาทขอุงหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต

"สักแต่"
"พุทธาสติ รู้ สักแต่รู้ ดับกังวลทั้งหมด
จิต อิสระปรากฎ จิตอยู่กับจิต
ไม่มีสังขาร อารมณ์ โลภหลง
พ้นขันธ์ห้าหลง
ขันธ์ห้าหลงดับ
จิตสติ เป็นจิตพุทโธ
พ้นหลงสังขาร ขันธ์ห้าหลง
ถึงสัจธรรม วิมุติธรรม
พ้นอวิชชา กาย...ใจ สมมุติ
เป็นที่พึ่งได้จริง
กาย...ใจหลง...จิตหลง อสัจธรรมโลกหลง
ไม่เป็นที่พึ่งได้
พระพุทธองค์ทรงกล่าว
สติหยั่งลงสู่อมตธรรม
วิสังขารคตังจิตตัง
จิตตถาคตหยั่งลงสู่วิสังขาร
คือ พระนิพพาน, สติ รู้... สักแต่รู้ หรือ
เมื่อเห็นรูป รูปนั้นสักแต่เห็น
จิตรู้จักจิต พ้นหลงขันธ์ห้า
ถึงสันติวิสังขาร วิมุติธรรม
พ้นสมมุติธรรม อันอาศัย กาย ใจ
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
หรือ ... เมื่อเห็นรูป รูปนั้นสักแต่เห็น ... เป็นพุทธสติ
จิตพ้นเกาะกังวล ขันธ์ห้า สังขาร"
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2014, 07:34:34 PM »

"ชีวิตมีค่าทุกวัน ทำน้อยได้น้อย ทำมากก็ได้มาก สตินี่ทำได้ทุกระยะ รู้นี่ สติพร้อม
ไม่มีทุกข์ เป็นบุญพร้อม เป็นปัญญาพร้อม จิตผ่องใส จิตก้าวหน้าพร้อม
จะไปมีปัญหาในชีวิตได้อย่างไร ไม่ต้องถามว่าจะอยู่ไปทำไมทุกวันๆ ก็มันแจ่มแจ้งแล้วนี่
จิตอยู่ในพุทธธรรม อยู่ในแสงสว่าง จิตมุ่งสู่นิพพาน ธรรมอะไรมันไม่สูงไปกว่านี้หรอก"

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 23, 2015, 12:51:30 PM »

ภาวนาแล้วอย่าลืม....แผ่บุญกุศลให้บิดามารดา
เพราะว่าขันธ์ 5 ที่เราได้มาได้ใช้ทำบุญสุนทาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวนา....เอาจิตออกจากความมืด
ได้ชื่อว่าเป็นหนี้บุญคุณมหาศาล....
ท่าน.....ไม่มีโอกาสมานั่งภาวนาอย่างเรานี้หรอก.....
เราเป็นผู้มีบุญมาก.....แล้วเราก็แผ่ส่วนกุศลไป.....
และได้มีโอกาสสนองคุณพ่อแม่ทุกๆวัน.....
ได้ชื่อว่า....."เป็นผู้มีความกตัญญู.....เป็นผู้เจริญ"

หลวงปู่บุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 23, 2015, 12:52:26 PM »

เราก็เหมือนกัน ถ้าจะหัดภาวนา ไม่ใช่มาวันนี้วันเดียว ทำทุกวัน ทุกวัน ไม่มีอะไรก็นึกถึง
"พุทโธ ธัมโม สังโฆ นิพพานัง ปรมัง สุขัง" ท่องเอาอย่างนี้ก็ล้วนเป็นบุญทั้งนั้น
 เป็นความสุข ถ้าทำได้คือภาวนาได้ ปัจจุบันก็เป็นการดี ก็เอาเป็นหลักอธิษฐาน
 สร้างบารมี ความเพียร ทำให้ได้เดี๋ยวนี้ นึกถึง "พุทโธ ธัมโม สังโฆ นิพพานัง ปรมัง สุขัง" สุขอย่างเยี่ยมยอด ทำให้ได้เดี๋ยวนี้

ถ้ารู้ว่าทำได้แล้ว รู้ว่าเป็นปิติเกิดขึ้นแล้ว ได้ความสุขภาวนาเป็นแล้ว ก็อาศัยแบบนี้ล่ะ
ทำได้ทุกวัน มีหลักภาวนา ไม่ต้องโลเลไปถามคนนั้นถามคนนี้ ใครจะประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้า เป็นไปไม่ได้....

หลวงปู่บุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 24, 2015, 12:34:48 PM »

เหตุ - ปัจจัยให้ถึงพุทธ บุพเพกตปุญญตา เป็นผู้มีบุญได้ทำไว้แต่ก่อน

ถ้า ของเก่ามันมาก ของใหม่ไม่มาก ก็สำเร็จพุทธธรรม ลำบากและใช้เวลานาน

ถ้าของเก่ามันมาก ของใหม่ ก็มีมาก ย่อมสำเร็จการศึกษาสิกขา ยาก ลำบาก
แต่รวดเร็ว เรียกว่าเดินจงกรม จิตใจเด็ดเดี่ยวตลอดคืน จนเท้าแตก ตาบอด สำเร็จพร้อมกัน

ถ้าของเก่ามีน้อย ของใหม่ก็มีน้อย สำเร็จง่ายมาก แต่ใช้เวลานาน
เรียกว่าภาวนากันทุกวัน หลายสิบปี จนกว่าจะสำเร็จ ถ้า

กรรมหนัก ของเก่ามีน้อย ของใหม่มีมาก ก็สำเร็จฉับพลัน ไม่ทันจะรู้ตัวด้วยซ้ำ
คือฟังพุทธพจน์ เพียงไม่กี่คำ อริยมรรคโลกุตตรธรรม เกิดขึ้นชั่วขณะจิตแห่งมรรค แว๊บเดียว

หลวงปู่บุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 24, 2015, 12:35:23 PM »

"พุทโธ ธัมโม สังโฆ นิพพานัง ปรมัง สุขัง" กันเดี๋ยวนี้กันทุกคน
แล้วได้บุญแล้วได้ความสุข เราก็ตั้งใจทำให้ได้
เมื่อเราทำได้ เราก็ยินดี นึกให้มันจริงอย่างนี้ ปัจจุบันนี้
เราทำได้แล้วก็มีความสุข
ก็ใช้ดี อันนี้เป็นเครื่องนำหน้า เป็นทุนสำหรับทำต่อๆไป
พอมันทำได้แล้วให้มันได้บุญต่อไปเรื่อยๆ
ให้เรานึกว่าบุญคือความสุขก็แล้วกัน
ทำให้ได้ในปัจจุบัน
ทำได้แล้วคือความที่เราทำได้
เป็นสมบัติผลของดีทั้งหมด
ท่านเรียกว่า "นิพพาน" เป็นสัจธรรมแต่ประการเดียว

หลวงปู่บุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2016, 08:27:20 AM »

ก่อนเข้าพรรษาปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ท่านเดินทางบุกป่าฝ่าดอยขึ้นมาบ้านกระเหรี่ยงผาแด่น
เพื่อจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอก

“ ก่อนบุญฤทธิ์มาหาเฮานิมิตเห็นช้างเผือกมานอบน้อม พอบุญฤทธิ์มาขอเป็นลูกศิษย์เฮาพิจารณาวาสนาท่านบุญฤทธิ์
ท่านบุญฤทธิ์เป็นผู้มีวาสนาฮู้เห็นธรรมเฮาเลยฮับเอาท่านบุญฤทธิ์ไว้เป็นลูกศิษย์ เฮาทรมานท่านบุญฤทธิ์ด้วยการปฏิบัติ
ทุกวิถีทางกรรมฐานลูกขุนนางผู้ดีตีนแดงนี่มันสิอดทนได้ซ่ำใด๋
บุญฤทธิ์ทนต่อการฝึกฝนเฮาได้เบิ่ดทุกอย่าง ด่ากะบ่เถียง บ่ไห่กินข้าวบุญฤทธิ์กะทนได้
เฮาเคี่ยวเข็นบุญฤทธิ์อยู่ผาแด่นสองปีบุญฤทธิ์กะได้ดวงตาธรรมอยู่นั่น ซ้างเผือกผาแด่นบุญฤทธิ์ของเฮานี่ปล่อยไปไสกะบ่หลงป่า บ่หลงทาง ”..
หลวงปู่ชอบท่านเล่าประวัติหลวงปู่บุญฤทธิ์ให้ฟังว่า หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลจบการศึกษาสูง..

ท่านบอก “ ท่านบุญฤทธิ์เป็นลูกศิษย์องค์แรกของเฮาที่มาจากลูกเจ้ามุนขุนนาง ท่านบุญฤทธิ์แบกคัมภีร์มาถามเฮาเรื่องธรรม
อ่านอันใด๋มา สงสัยอันใด๋มา กะเอาตำรามาถามเฮา เฮาบอกถามหาเอาสวรรค์วิมานนิพพานอีหยังจากตำรา เฮาบ่แม่นนักอ่าน เฮาเป็นนักทำ
อยากฮู้อีหยังกะให้เรียนเอาในจิตในใจของตนเองมันถึงจะเกิดปัญญาฮู้ธรรมขึ้นมาได้ อ่านหนังสือมันกะได้แต่สัญญาความจำได้หมายรู้เท่านั้น
อ่านไปหลายกะเถียงกับตำรา ถ้าจะมาอยู่ฝึกฝนกับเฮากะให้วางตำราไว้ก่อน อยากฮู้อีหยังกะให้เรียนเอาในจิตในใจของตนเองเฮาสิสอนให้
บุญฤทธิ์ถึงวางหนังสือลงมือปฏิบัติ ”..

หลังจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบแนะนำอุบายธรรมในการปฏิบัติให้แล้วหลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านก็ลงมือปฏิบัติเดินจงกรมภาวนายันรุ่งยันค่ำ
หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านปฏิบัติไม่ถึงเดือนจิตท่านก็รวมเป็นสมาธิ จากคำถามที่ท่านเคยถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่าจิตแยก
จากขันธ์ห้านั้นเป็นอย่างไรท่านก็มาทราบด้วยตนเองที่ผาแด่น..
หลวงปู่บุญฤทธิ์เล่าเรื่องการปฏิบัติของท่านตอนอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่ผาแด่นให้ฟังว่า

“ ผมอ่านหนังสือมา หนังสือเขาบอกจิตแยกรูปแยกนามออกมาเป็นแบบนี้ เรียนถามพ่อแม่ครูจารย์จิตแยกจากขันธ์ห้ามันเป็นแบบ
ที่เขาว่านี้หรือขอรับ ถูกท่านอาจารย์ชอบว่าให้ ถามหาสิแตกอีหยัง เอาพุทโธให้มันได้ในจิตในใจของตนเองเสียก่อนค่อยมาถามเรา
ผมก็ลุยเอาพุทโธเดินจงกรมภาวนาวันหนึ่งๆหลายชั่วโมง ยิ่งทำความเพียรมากเท่าไหร่ใจยิ่งดูดดื่มในความเพียรของตนเอง
พอจิตรวมเป็นสมาธิเท่านั้นแหละรู้เลย อ๋อจิตแยกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนามมันเป็นแบบนี้นี่เอง

เกิดปัญญารู้ด้วยตนเองซึ่งต่างจากตำรับตำราที่ตนเองเคยศึกษาเล่าเรียนมา แผนที่กระดาษกับการเดินทางจริงมันต่างกัน
เปรียบอย่างหนึ่งเหมือนดูรูปภาพอาหารกับการชิมรสชาติของอาหาร มันต่างกัน ”..

“ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านรู้ว่าผมมีต้นทุนแล้วท่านถามเป็นยังไงบุญฤทธิ์รู้แล้วหรือยัง ผมบอกรู้แล้วครับท่านอาจารย์
ผมเล่าเรื่องภายในให้ท่านทราบ ท่านอาจารย์ชอบบอกที่ผมไม่พูดให้ท่านฟังทีแรกนั้นกลัวท่านจะลังเลในเวลาปฏิบัติ
ท่านฟังด้วยกิเลสในใจของท่านก็ฟังด้วย นักภาวนาผู้ฝึกหัดใหม่กิเลสมันจะก้าวขานำหน้าเราก่อนเสมอ
เราต้องเอาความเพียร ศรัทธา ขันติ วิริยะ วิ่งนำหน้ามัน

ท่านอาจารย์บอกให้เอาต่ออย่าหยุดแค่นี้ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่จะยกจิตของตนเองขึ้นสู่วิปัสสนา
พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านให้กำลังใจผมก็ได้ใจลุยปฏิบัติเต็มที่อดนอนผ่อนอาหารทำความเพียรข้ามวันข้ามคืน
ยิ่งทำมากเท่าไหร่ยิ่งเห็นผลในการปฏิบัติของตนเองมากเท่านั้น
เหมือนเราค้าขายแล้วได้กำไรใจมันก็เพียรสิ ได้ปฏิบัติกับพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบแบบตัวต่อตัวผมเลยไปเร็ว
ตนเองตั้งต้นธรรมในใจได้ที่ผาแด่นจากการเคี่ยวเข็นของพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบทั้งหมด ”..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบ “ เฮาเคี่ยวเข็ญบุญฤทธิ์อยู่ผาแด่นอย่างหนัก ท่านบุญฤทธิ์เดิมทีมีทิฐิในชาติตระกูลการศึกษาบ่ยอมใผ๋ง่ายๆ
เฮาปราบมานะทิฐิตัวนี้ของท่านบุญฤทธิ์ให้ลงก่อนๆที่จะสอนเรื่องการปฏิบัติ บุญฤทธิ์ยอมเฮาจึงละมานะทิฐิตนเองลงได้ ”..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกหลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเป็นพระเมืองกรุงติดในรสชาติอาหารการขบฉันแบบคนเมือง
ตอนมาอยู่ผาแด่นใหม่ๆองค์ท่านใช้วิธีเอาอาหารละอาหารลองใจหลวงปู่บุญฤทธิ์

เวลาบิณฑบาตได้เนื้อได้ปลามาองค์ท่านจะกักไว้ไม่แบ่งให้หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้ฉัน
แต่ละวันหลวงบุญฤทธิ์ท่านจะฉันตำรากบอนใส่เกลือหรือไม่ก็ผักจิ้มกับน้ำพริกกระเหรี่ยง
พอฉันไปหลายวันท่านก็ท้องเสียถ่ายจนแสบท้องแสบไส้..
เรียนถามหลวงปู่บุญฤทธิ์ถึงเรื่องนี้ ท่านบอก
“ เราก็รู้ว่าท่านอาจารย์ชอบฝึกความอดทนให้เราในเรื่องอาหาร เราไม่ออกปากให้ท่านฟังอดทนเอาเพราะเราอยากได้ดี
ยอมรับว่าตอนไปปฏิบัติกับท่านอาจารย์ชอบใหม่ๆตนเองยังติดขัดในเรื่องอาหารเพราะคุ้นเคยแต่อาหารคนเมือง

อยู่กับท่านอาจารย์ชอบฉันตำบอนใส่เกลือพอปะแล่มๆ ตำบอนกระเหรี่ยงมันเละเหมือนขี้ควายฉันเข้าไปเราถึงกับอาเจียนออกมา
ฉันน้ำพริกกระเหรี่ยงนี่ท้องเสียถ่ายท้องอยู่หลายวัน ท่านอาจารย์ชอบบอกไม่ตายหรอกบุญฤทธิ์
ถ้าตายเพราะอาหารพวกนี้พวกกระเหรี่ยงพวกยางเขาตายไปก่อนท่านแล้ว ”..

หลวงปู่บุญฤทธิ์ถ่ายท้องจนไม่มีแรงเดินบิณฑบาตท่านนอนซมไข้อยู่ที่พักหลายวัน มีวันหนึ่งลูกตาเสาร์ชาวกระเหรี่ยงผาแด่นแต่งงาน
ตาเสาร์เอาไก่ต้มตัวหนึ่งใส่บาตรให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบ องค์ท่านหลวงปู่ชอบบิณฑบาตได้ไก่ต้มตัวนี้มาท่านยกให้หลวงปู่บุญฤทธิ์ฉันทั้งหมด
องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอก บุญฤทธิ์นี่ยาดีฉันซ่ะจะได้หายป่วยหายไข้ล้างท้องล้างไส้ตนเอง หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านฉันไก่ต้มที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบยกให้ปรากฏว่าหลังจากนั้นมาท่านจะฉันอาหารประเภทไหนก็ไม่เคยท้องร่วงอีกเลย องค์ท่านหลวงปู่ชอบจึงตั้งฉายาให้หลวงปู่บุญฤทธิ์ตอนอยู่ผาแด่นว่า “ บุญฤทธิ์ไก่ต้ม ”..
เรื่องอาหารอีกเรื่องหนึ่งที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบเล่าให้ฟังตอนจำพรรษาอยู่ที่ผาแด่นกับหลวงปู่บุญฤทธิ์..
ท่านบอก “ บิณฑบาตกับท่านบุญฤทธิ์พวกยางเอาปิ้งขี่คันคาก(ปิ้งคางคก)ใส่บาตรให้เฮาโตหนึ่ง มื่อนั่นบิณฑบาตบ่ได้อีหยังนอกจากปิ้งขี่คันคากโตเดียว เฮาแบ่งปิ้งขี่คันคากทางขาโต้ย(ส่วนขาหลัง)ไห้ท่านบุญฤทธิ์ คันสิบอกว่าปิ้งขี่คันคากกะย่านท่านบุญฤทธิ์บ่กล้าฉัน
เฮาบอกบุญฤทธิ์ เอ้านี่ปิ้งกบบกฉันซ่ะ

ฉันแล้วท่านบุญฤทธิ์ถามเฮาท่านอาจารย์กบบกนี่มันเหมือนกับกบทั่วไปไหม
เฮาบอกอยากเห็นมันเป็นโต๋จั่งใด๋กะไห่ไปเปิดไม่แป้นม่องล้างบาตรเบิ่งอยู่นั่นมีกบบกอยู่โตหนึ่ง
ท่านบุญฤทธิ์เปิดไม่แป้นเห็นขี่คันคาก ฮ้องขึ้นกับม่อง ท่านอาจารย์นี่มันคางคกนี่
เฮาว่า เออ..นั่นแหละกบบกมื่อหลังกะให้จำไว้ ที่ฉันไปแล้วกะปิ้งกบบกโตแบบนี่ล่ะ บุญฤทธิ์เฮ็ดหน่าเซ่เว่ปากบ่ออกตี้เพิ่น
ฉันไปแล้วเด้ ฮากออก(อาเจียน)กะบ่ทัน ”..

เรื่องปิ้งกบบกที่ผาแด่นนี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าทีไรองค์ท่านจะหัวเราะจนน้ำตาเล็ดทุกครั้ง
องค์ท่านจะขำหลวงปู่บุญฤทธิ์เวลาเล่าถึงเรื่องนี้ ลูกศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเราฟังแล้วก็พลอยขำขันไปกับองค์ท่าน..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ “ บุญฤทธิ์มาอยู่ผาแด่นใหม่ๆบ่ฮู้จักทาก ทากอยู่ผาแด่นบ่แม่นของค่อยเด้ ใบไม้ไหวแต่ละครั้งชูหัวซาบราบปานถั่วงอก เฮาบอกท่านบุญฤทธิ์ลงไปตักน้ำอยู่ซำบ่อมาให้เฮาสรง ท่านบุญฤทธิ์กลับขึ้นมาถืกทากดูดเลือดตามแขนขาจนดำเบิ่ด

บุญฤทธิ์ถามเฮาอาจารย์อยู่บนดอยแบบนี้ก็มีปลิงเน๊าะ เฮาว่ามันบ่แม่นปลิงเด้บุญฤทธิ์มันเป็นทากกินเลือดคนคือกันกับปลิง
ปลิงมันอยู่น้ำทากมันอยู่บก ม่องซุ่มๆ หม่อมบุญฤทธิ์เพิ่นจั่งฮู้ว่าทาก มื่อหลังลงไปตักน้ำหม่อมบุญฤทธิ์เพิ่นระวังทากปานหยัง ”..
คำพูดแต่ละคำที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบกล่าวถึงหลวงปู่บุญฤทธิ์นั้นศิษย์ผู้น้องอย่างพวกเราสัมผัสได้ใน " เมตตา "
ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีต่อ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต..

ท่านบอก “ หลังจากอาจารย์ใหญ่มั่นฝากพระศาสนาให้เราสอนคนแทนท่าน บุญฤทธิ์เป็นลูกศิษย์องค์แรกที่เฮาฝึกฝน
เฮาบ่ได้ฝึกท่านบุญฤทธิ์ให้มาเป็นพระเฝ้าวัด เฮาฝึกท่านบุญฤทธิ์ให้เป็นซ้างเผือกในพระศาสนา เฮาฝึกท่านบุญฤทธิ์ให้เป็นนาบุญของโลก ” ..

ประวัติปฎิปทาธรรม : หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ที่พักสงฆ์สวนทิพย์อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 24, 2016, 09:14:26 AM »

ขึ้นต้นให้ดีๆ หลับตา นั่งตัวตรงๆหลังตรงๆให้มีสติอยู่กีบตัว ดูลมหายใจเข้า-ออก
ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไรเหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน ดูไป เห็นไป รู้ไป ว่าลมหายใจเดินไปทางไหนก็เห็นรู้ๆไม่ต้องไปคิด
ดูลมเห็นลม เห็นก็ไว ได้ยินก็ไว เกิดเดี๋ยวนั้น รู้เดี๋ยวนั้น นั่นเรียกว่าวิญญาณ คือธรรมชาติรู้

เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา รู้ธรรมดา เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ
พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา
ก็เหมือนฝ่ายวัตถุมีไฟฟ้าบวกไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง ร่างกาย วัตถุ คิด นึกรู้
มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที เรียกว่าขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตรธรรม เห็นก็สักแต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึดจึงจะไปรอด ด้วยสติ
ตัวสติแท้ๆเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบ แปล็บเดียวมันก็เห็นหมด
แลบหนเดียวไม่แลบมาก เจริญสติ หนทางเดียวไปรอด เห็นได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถามไปตอบอะไร
ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา พระเจ้าไม่มีเป็นfactไม่ใช่fiction เสียงถูกหูได้ยินปั๊บนี่เป็น fact
มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ก็เป็นfact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรใดาไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน
ไม่ต้องไปหยุดวิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ ไม่มีเรื่องมันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว
เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้วจะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร ไม่ต้องไปคิดแล้ว
สำเร็จแล้วนี่จะไปสงสัยอะไร ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร

จุดหมายปลายทางคือทำความโง่(อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว
การภาวนาเป็นกุศลสูงสุดเป็นกุศลชั้นเยี่ยม ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิ เป็นบุญชั้นเยี่ยมยิ่งกว่าทานและยิ่งกว่าศีล
พระพุทธเจ้าทรงเรียกอริยทรัพย์ แจกเท่าไหร่ไม่หมด นึกแผ่ไป send good will to all
ตั้งแต่ยอดพรหมโลก กว้างขวางแค่ไหนไปจนถึงก้นนรก

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 24, 2016, 09:25:21 AM »



"พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้แจ้งว่า

โลกนี้จะพ้นโง่มันก็ยาก

การที่จะได้เกิดเป็นคนนี่ยากที่สุด

แล้วเป็นคนจะเอาคนชนิดไหน

คนมีบุญ คนลำบาก คนพิการง่อยเปลี้ย จะหาคนสบายมีกี่คน

ถ้าเทียบจำนวนทั้งหมด

อย่างเดียรัจฉานนี่มันกินกันเอง กัดกันเอง

คนบ้าฆ่ากันเอง กระดูกของแต่ละคนนี้ท่านว่ากองเท่าภูเขา

น้ำตาและเลือดของแต่ละชีวิตที่ผ่านมามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร

ดูซิมันยาวนานแค่ไหน

การจะเกิดเป็นคนนั้นมันยากมาก ยากอย่างที่ท่านเปรียบว่า ..

เต่าตาบอด..มันจะว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ทะเลมีตาข่ายกั้นอยู่

และมีรูเท่าตัวเต่าอยู่รูเดียว

ถ้าหัวไปโดนตาข่ายมันจะจมลงไปอีก100 ปี

จึงจะได้โผล่มาใหม่ คือจะจะลอดได้มันต้องฟลุ๊คที่สุด

แต่อย่างนั้น..โอกาสก็ยังง่ายกว่าโอกาสจะได้เกิดมาเป็นคน

และเป็นคนอยู่ในพระพุทธศาสนา

มันยากไม่พ้นวัฏสงสารไปได้"

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 24, 2016, 09:40:07 AM »

ชีวิตมีค่าทุกวัน ทำน้อยได้น้อย ทำมากก็ได้มาก
สตินี่ทำได้ทุกระยะ รู้นี่ สติพร้อม ไม่มีทุกข์
เป็นบุญพร้อม เป็นปัญญาพร้อม
จิตผ่องใส จิตก้าวหน้าพร้อม จะไปมีปัญหาในชีวิตได้อย่างไร
ไม่ต้องถามว่าจะอยู่ไปทำไมทุกวันๆ ก็มันแจ่มแจ้งแล้วนี่
จิตอยู่ในพุทธธรรม อยู่ในแสงสว่าง จิตมุ่งสู่นิพพาน
ธรรมอะไรมันไม่สูงไปกว่านี้หรอก มีน้อยคนที่จะถึง
ก็เป็นเรื่องธรรมดา ของดีมีไม่มาก
หาเพชรจะหาง่ายเป็นทะนานไม่มี
หาคนดี หาไม่ค่อยได้
จะหาแบบหลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว
จะไปหาที่ไหนในโลก
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
หน้า: [1] 2
พิมพ์
กระโดดไป: