KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพุทธประวัติ พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พร้อมภาพประกอบ
หน้า: 1 2 [3] 4 5
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธประวัติ พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พร้อมภาพประกอบ  (อ่าน 150345 ครั้ง)
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:14:02 PM »

31. แสวงหาโพธิญาณ



    เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ออกบวชเพราะรังเกียจ แต่ออกบวชเพราะห่วงชาวโลกว่าจะต้องทุกข์โศกอยู่กับกิเลสบีบคั้น จึงแสวงหาปรารถนาโพธิญาณ และเมื่อพบกับปัญหาอะไรขณะที่บวชนั้นก็พยายามจะแก้จะแนะจะสอนเขาเรื่อยไป หญิงคนหนึ่งลูกของเธอต้องสิ้นชีวิตลง นางวิปโยคน้ำตานองหน้าเข้ามาหานักบวชสิทธัตถะให้ช่วยขจัดทุกข์อันเกิดจากลูกที่รักมาตายจาก พระองค์ก็ออกอุบายว่าให้ไปหาเมล็ดผักกาดในบ้านที่ไม่เคยมีญาตตายมาสักสองสามเมล็ด จะมาฝนทำยาให้พื้น หญิงนี้ก็ดีใจมาก อุ้มศพลูกไปหาเมล็ดผักกาดแต่ไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีญาติตายสักบ้านเดียว มีแต่เมล็ดผักกาดเท่านั้น นางอุ้มลูกหาจนลูกเน่าคาอกจึงปลงตก หญิงคนนี้ต่อมาได้เป็นภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #31 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:15:33 PM »

32. ส่งถึงจุดหมายปลายทาง




    วันหนึ่ง พระองค์ได้เดินผ่านไปเห็นฝูงแกะฝูงแพะที่เขาไล่ต้อนไปสู่เมืองของพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อจะฆ่าบูชายัญ พระองค์เห็นตัวไหนขามันหัก เดินไปทัน ก็เข้าไปอุ้ม แล้วไปส่งเขาถึงจุดหมายปลายทาง

   นี่แหละน้ำพระทัยอันเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาของพระองค์ ได้ทำกับฝูงสัตว์เหล่านั้นให้ได้รับความสุขทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #32 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:17:12 PM »

33. พระเจ้าพิมพิสารบูชายัญ




     เมื่อพระองค์มาถึง เห็นพระเจ้าพิมพิสารกำลังจะจัดการเผาแพะแกะเพื่อบูชายัญ พระองค์ก็ร้องห้าม และถามความประสงค์ พระเจ้าพิมพิสารก็บอกว่า ทำเพื่อต่ออายุให้เราอยู่ยืน และมีความราบรื่นในปราสาทราชวัง พระองค์ทรงตรัสกับพระเจ้าพิมพิสารว่า?

   เมื่อต้องการให้กระจกยิ้มกับเรา ทำไมเราไม่ยิ้มให้กับกระจก ต้องการอยู่ยืนยาวนาน ทำไมจึงไม่ปล่อยชีวิตสัตว์ไว้ให้มันยืนยาวนาน เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่ยืนยาวนานได้ เมื่อเราทำชีวิตของเขาให้สั้น ประหารชีวิตของเขา แล้วเราจะได้ความมีอายุยืน ความมีสุขภาพสมบูรณ์ได้อย่างไร เมื่อเราให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นก็ย่อมถึงเราอย่างแน่นอน
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #33 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:19:00 PM »

34. แสวงหาอาจารย์



     หลังจากพระเจ้าพิมพิสารฟังพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ จึงหยุดกระทำการบูชายัญเช่นนั้นเสีย พระองค์จึงได้หลีกจากไปเพื่อแสวงหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งกระโน้น ที่เรียกว่าอาฬารดาบสและอุทกดาบส เรียนจนจบสมาบัติเจ็ดและสมาบัติแปด เรียกว่าเรียนจบหลักสูตรสูงสุด ของคณาจารย์ทั้งสองแล้ว

    คณาจารย์ทั้งสองจึงได้ชวนพระองค์อยู่เป็นอาจารย์สอนต่อไป แต่พระองค์เห็นว่าสิ่งที่ได้เรียนกับอาจารย์ทั้งสองยังไม่สูง ยังไม่สิ้นอาสวะ จึงได้ลาจากไป ไม่ขอรับที่จะเป็นคณาจารย์ร่วมสำนักกับอาจารย์ทั้งสอง
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:20:49 PM »

35. บำเพ็ญทุกรกิริยา




    เมื่อจากอาจารย์ทั้งสองมาแล้ว พระองค์ก็ได้คิดค้นหาวิชาที่จะตรัสรู้ให้จงได้ ให้พ้นเกิด พ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย จึงได้ไปทรมานพระวรกายต่าง ๆ นานา

   ภาพการทรมานกายนั้นส่วนใหญ่เราจะได้เห็นแต่เพียงภาพทรมานอดอาหาร แต่ในพุทธประวัติชุดนี้ ได้ทุ่มเทพยายามใช้ทุนรอนในการวาดมากมาย ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพุทธประวัติได้กว้างขวางมากขึ้น พระองค์ได้ทรมานตัวเองหรือเรียกกันว่าบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำกิริยาที่ทรมานพระองค์เอง เพราะต้องการทำให้กิเลสเหือดแห้ง นี่เป็นความเข้าใจในตอนแรกของพระองค์
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #35 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:22:47 PM »

36. อยู่หลีกเร้นเพียงผู้เดียว



    บางครั้งพระองค์ไปอยู่ในป่า ปรารถนาไม่ให้ใครพบเห็น ใครแบกขวานมาผ่าฟืนในป่า พระองค์ก็วิ่งหนีไปไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าพระองค์ เรียกว่าอยู่หลีกเร้นแต่เพียงผู้เดียวไม่ปรารถนาพบหน้าตาของมนุษย์ บางครั้งพระองค์จากร้อนสู่ร้อน จากหนาวสู่หนาว เช่นเมื่อแดดร้อนพระองค์ก็ไปอยู่กลางแดด เมื่อหนาวจัดก็ไปอยู่กลางหิมะ

   เพื่ออะไร? เพื่อความอดกลั้นอดทนอันยิ่งใหญ่ บางครั้งพระองค์ไปออกบิณฑบาตแก้ผ้า หรอว่าสลัดจีวรเครื่องพันธนาการออก เหลือแต่พระวรกายล่อนจ้อน เดินเก็บผลไม้ที่หล่น ที่อยู่บนต้นก็ไม่เก็บ เสวยประทังชีวิตไป บางครั้งพระองค์เอาขี้เถ้าทาหัวทาตัวรอบไปหมด
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #36 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:24:17 PM »

37. ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง




    บางครั้งพระองค์ไปอยู่ในป่าช้า นอนแทรกแซงไปกับกระดูกของซากศพที่ตายจำนวนมากเกลื่อนกลาดไปหมด

    ปรากฏว่า มีฝูงเด็ก ๆ จำนวนหลายคน เลี้ยงควายกันบ้าง เลี้ยงสัตว์ในริมทุ่งบ้าง เมื่อเห็นพระพุทธเจ้านอนซมอยู่เพราะอดกระกระยาหาร เด็กเหล่านี้ไม่รู้หรอกว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ทำอะไรต่าง ๆ นานากับพระองค์ บ้างก็เอาไม้ยอนหูจนเลือดไหล บ้างก็เอาฝุ่นซัดใส่เข้าไปจนเปื้อนพระวรกาย บ้างก็ยืนปัสสาวะฉี่รดใส่เข้าไปเลย

    แต่พระองค์ก็อดทน ไม่ได้มีความอาฆาตมาดร้าย พยายามประคองใจไม่ให้มีโกรธ มีเกลียด มีรัก มีชัง

บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #37 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:25:52 PM »

38. ตรากตรำพระวรกาย




    บางครั้งพระองค์ทรงเสวยอุจจาระของพระองค์เอง เมื่อถ่ายออกมาก็เสวยเข้าไป ถ่ายออกมาก็เสวยเข้าไป จนกระทั่งไม่มีจะถ่าย ไม่มีจะเสวย พระวรกายจึงได้เหือดแห้งซีดเซียวถึงขนาดที่เรียกว่าผอมซีด เมื่อเอามือลูบแขนขนก็ร่วงเพราะรากขนเน่า เมื่อจะลุกขึ้นนั้นเล่าก็เซซวนล้มไป เมื่อหวังจะเอามือลูบท้องให้สบายพระวรกายบ้าง ก็ต้องไปแตะเอากับกระดูกสันหลัง พระองค์นั้นได้เล่าไว้ว่า พระองค์ต้องเปียกแต่เพียงผู้เดียว ต้องแห้งแล้งแต่เพียงผู้เดียว กว่าจะตรัสรู้นำพระธรรมมาสอนพวกเรา ต้องลำบากพระวรกายขนาดไหน ที่จะค้นพบสิ่งเหล่านี้มาให้พวกเรา เราจะไม่เสี่ยงลำบากรักษาเผยแพร่กันต่อไปเชียวหรือ
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #38 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 03:27:27 PM »

39. เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่



    ต่อมาพระองค์เริ่มเห็นว่า การทรมานพระวรกายนี้คงจะไม่ใช่ทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ จึงคิดเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ เริ่มจากการขอนมแพะจากเด็กเลี้ยงแพะ ซึ่งเป็นวรรณะต่ำในอินเดียเมื่อครั้งพุทธกาลถือชั้นวรรณะกันมาก ถ้าเป็นคนจันฑาลจะไม่แตะต้องพวกวรรณะกษัตริย์หรือพราหมณ์เป็นอันขาด หนูน้อยผู้นี้เมื่อจะยื่นนมให้ก็ถามว่าเป็นคนชั้นวรรณะไหน พระองค์ก็บอกว่าเดิมนั้นเป็นวรรณะกษัตริย์ เท่านั้นเองหนูน้อยก็ไม่กล้าจะยื่นนมให้ทั้งที่พระองค์ขอ มือไม้สั่นไปหมด พระองค์ก็บอกว่า ให้เถอะ มือต่อมือน่ะลูกเอ๊ย เรานี้ไม่ได้ถือแล้วชาติชั้นวรรณะ วางไว้ตั้งแต่วันที่ออกมาแล้ว มุ่งที่จะเอาชนะกิเลสอย่างเดียว ไม่ได้มุ่งหมายในการถือชั้นวรรณะอีกแล้ว
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #39 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:12:21 PM »

40. อุปมาเผากิเลส



    ต่อมาพระองค์ก็ได้นั่งนึกถึงอุปมา 3 อย่าง คือ อุปมาเห็นไม้สดอยู่ในน้ำ ไม้สดอยู่บนที่แห้ง และไม้แห้งอยู่บนที่แห้ง ถ้าต้องการจะสีให้เกิดไฟลุก มันจะต้องเป็นไม้แห้งที่อยู่บนที่แห้ง ไม่ใช่ไม้สดที่อยู่ในน้ำ?เราอยากจะได้ไฟ เอามาสีเท่าไรก็คงไม่เกิดไฟ ซึ่งอุปมาได้ว่า คนที่ออกประพฤติธรรมยังมีจิตใจชุ่มฉ่ำอยู่กับกาม เช่น ออกบวชแล้วยังชอบยังยินดีในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ ในกุฏิหรือในวัด มีสิ่งประเล้าประโลมมากเกินไป มันก็เหมือนกับเอาไม้สดมาสี มันไม่มีทางเกิดไฟ หากนักบวชคนใดมีจิตที่ชุ่มไปด้วยราคะ ด้วยความใคร่ในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวลแล้ว ยากที่จะได้ไฟมาเผากิเลส ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ได้เกิดอุปมานี้ขึ้นในหัวใจ
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #40 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:15:24 PM »

41. อุปมาพิณสามสาย



    วันหนึ่ง จวนจะเย็นจะค่ำ พระอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงแดดเริ่มอ่อนสลัว ๆ พระองค์เห็นหญิงจำนวนหนึ่งกลับจากเล่นดนตรี แล้ววันนั้นเครื่องดนตรีเขาเกิดดังไม่ ด้วยบ้างก็ขึงตึงไป บ้างก็ขึงหย่อนไป บ่นกันว่าวันนี้ดนตรีมันดังไม่เพราะเลยนะเธอนะ มันขึงตึงเกินไป คนหนึ่งก็บอกว่าหย่อนเกินไปพระองค์จึงได้แวบขึ้นในหัวใจด้วยคำพูดของเหล่าสตรีเหล่านี้ว่า โอ ว่าตึง ว่าหย่อนนี้ จึงดังไม่เพราะ เรานี้หนอก็คงจะเป็นเพราะตึงเกินไปก็ได้ จึงยังไม่ได้รู้อะไร

   ท่านฟังแล้วก็อย่าไปคิดเข้าข้างตัวเราว่า มันคงจะตึงเกินไป ที่เราปฏิบัติกันสมัยนี้น่ะไม่ตึงหรอก มีแต่หย่อน มีแต่ยืดกันไปทุกที ๆ
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:17:07 PM »

42. นิมิตก่อนตรัสรู้




   ภาพนี้เกิดนิมิตครั้งสำคัญอันยิ่งใหญ่ โดยฝันว่า พระองค์นั้นได้บรรทมหลับ มือทั้งสองข้างจรดมหาสมุทรทั้งทิศใต้และทิศเหนือ

  พระองค์เล่าว่า ในความฝันครั้งนี้ จะแสดงถึงความตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์จะแผ่พระศาสนาไปจากเหนือจรดใต้ จากบนพื้นแผ่นดินถึงแม่น้ำมหาสมุทร ข้ามไปหลาย ๆ จุดทั่วโลกเลย หมายถึงว่าแผ่พระศาสนาไปเสมือนกับผู้นอนแผ่แล้ว มีมือและแขนยืดยาวไปจรดมหาสมุทรทั้งทางทิศใต้และทิศเหนือ เหมือนเขาสร้างวัดให้พุทธสาวกของพระองค์ได้ประทับทั่วสารทิศขยายแพร่ใหญ่ไพศาล

  ภาพความฝันข้อที่สอง ที่เห็นต้นไม้ขึ้นที่กลางสะดือนั้นมีความหมายว่า พระองค์นั้นจะได้รู้อริยมรรค แล้วประกาศเกรียงไกรแก่มนุษย์และเทวดาขึ้นไปจนถึงพรหม หมายถึงว่าเมื่อพระองค์ประกาศไปแล้ว ศาสนาของพระองค์จะงอกงามขึ้น สูงขึ้น ในจิตใจของมนุษย์ประดุจดังต้นไม้ที่งอกพิสดาร คือไม่ใช่งอกขึ้นตามวันตามคืน หมายถึงว่ามันงอกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความตรัสรู้ของพระองค์นั้นถูกต้อง ดีงาม

  ข้อต่อมา ความฝันที่เห็นว่ามีหนอนหัวดำตัวสีขาว พากันมาไต่ตอมชอนไชที่หน้าแข้ง และที่เท้าของพระองค์นั้น ข้อนี้มีความหมายว่า ต่อไปจะมีอุบาสก อุบาสิกา นุ่งขาวห่มขาว แต่ว่าหัวดำ เหมือนหนอนหัวดำ คือยังไม่ยอมโกนผม ยังไปนุ่งขาวห่มขาวบวชชีพราหมณ์บ้าง อะไรต่าง ๆ นานา ยังเป็นหนอนประเภทตัวขาวแต่หัวดำ แต่ก็พยายามจะชอนไชดูดดื่มซับซึมเอาธรรมรสจากพระพุทธองค์ให้จงได้ ก็นับว่าเป็นหนอนที่ใช้ได้ ถึงว่าจะหัวดำแต่ก็ตัวขาวและก็คงจะมีใจขาวต่อไป

  ความฝันข้อต่อมา ก็คือฝันว่า เห็นมีนกสีต่าง ๆ กันบินเข้ามารุมล้อมเท้าพระองค์และก็กลายเป็นสีขาวไปหมด หมายความว่า คนที่ต่างชั้นวรรณะไม่ว่าจะเป็นวรรณะพราหมณ์ แพศย์ กษัตริย์ หรือว่าจะเป็นจัณฑาลคนชั้นต่ำ เมื่อได้ประพฤติธรรมร่วมกันแล้วก็จะขาวบริสุทธิ์ ประดุจดังอยู่ในโลกทิพย์โลกสวรรค์อันเดียวกัน จะเป็นชั้นวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ หรือว่าวรรณะแพศย์ วรรณะศูทร หรือคนงานชั้นต่ำ ถ้าลองได้ประพฤติธรรมตามที่พระองค์ทรงอบรมสั่งสอนแล้ว ก็จะมีจิตใจขาวบริสุทธิ์ประดุจดังนกที่ต่างสีเหล่านั้น เมื่อมาอยู่ใกล้เท้าพระองค์แล้วก็จะเป็นสีขาวไปหมด

  ความฝันข้อที่ห้าฝันว่า พระองค์เดินลุยไปในกองอุจจาระที่เป็นภูเขาใหญ่ แต่อุจจาระไม่ได้ติดเท้าของพระองค์แม้แต่น้อย หมายความว่า ต่อไปนี้ลาภสักการะจะมีมากขึ้นในพระองค์และสาวกของพระองค์ แต่เมื่อถึงธรรมที่พระองค์สอนแล้ว ลาภสักการะเหล่านั้นจะไม่ติดเปื้อนจิตใจให้หลงใหลมัวเมา สยบอยู่ ประดุจดังเดินไปในกองอุจจาระ แต่อุจจาระไม่เปรอะเปื้อนพระองค์แม้แต่น้อย หมายความว่าไม่มัวเมาในลาภสักการะซึ่งเป็นเสมือนน้ำลายและอุจจาระซึ่งเปรอะเปื้อนคนมาเป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่นั้นชีวิตต้องเศร้าหมองเพราะลาภสักการะ เพราะยินดีในเงินทอง ข้าวของ ลาภสักการะ ที่เขานำมาปรนเปรอ จนติดสยบอยู่ ไปไหนไม่ได้ บางองค์นั้นบวชเข้ามาแล้วก็มาติดข้าวของเงินทองทรัพย์สมบัติต่าง ๆ นานาจนแน่นกุฎิ ไปไหนไม่ได้?ห่วงกุฎิ

  มีเรื่องเขาเล่าว่า พระหลวงตาองค์หนึ่งบวชมาแล้วเก็บสะสมไว้นาน ปรากฏว่าวันหนึ่งโจรมางัดกุฏิ เมื่อกลับจากบิณฑบาต?เป็นลมช็อคตาย อย่างนี้ไม่ใช่พุทธสาวก ถ้าเป็นพุทธสาวกของพระองค์แล้ว จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำใจให้เปรอะเปื้อนใจเป็นอันขาด เพราะพระองค์ได้ทรงสอนไว้ ให้สละ ให้ละ ให้ปล่อย ให้วาง

  ฉะนั้น ความฝันครั้งนี้ก็จะได้เกิดขึ้นกับสาวกผู้ทำจริง ปฏิบัติจริง ตามรอยพระองค์ไปจึงเป็นความฝันครั้งยิ่งใหญ่ก่อนที่จะตรัสรู้
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:18:40 PM »

43. นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส



    เมื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ พระองค์ได้ทรงมีผิวพรรณดีขึ้น และได้เสวยข้าวจากนางสุชาดานำมาถวาย

   ข้าวที่นางสุชาดานำมาถวายพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า ข้าวมธุปายาส เป็นอาหารจำพวกมังสวิรัติ ไม่ปนเนื้อ ไม่เจือปลา ใช้สำหรับบวงสรวงเทพเจ้าโดยเฉพาะ ข้าวมธุปายาสนี้หุงด้วยนมจากแม่โคจำนวนหนึ่งพันตัว โดยให้กินชะเอมเครือ กินอิ่มแล้วไล่ต้อนออกมาแล้วแบ่งออกเป็นสองฝูง ๆ ละ 500 ตัว แล้วรีดเอานมจากแม่โคนมฝูงหนึ่งให้แม่โคอีกฝูงหนึ่งกิน แบ่งและคัดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนเหลือแม่โค 8 ตัว แล้วจึงรีดน้ำนมจากแม่โคทั้ง 8 มาหุงเป็นข้าวมธุปายาส
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:20:14 PM »

44. อธิษฐานจิตที่โคนต้นโพธิ์



   เมื่อเสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาแล้ว ผิวพรรณพระองค์จึงได้เปล่งปลั่งขึ้น ทรงนั่งที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์หรือต้นโพธิ์ โดยการเอาหญ้าคาที่โสตถิยพราหมณ์ถวายมาปูนั่งแล้วอธิษฐานจิต การนั่งบนหญ้าคานั้นหมายถึงจะไม่ให้กิเลสทิ่มแทงจิตใจ

   พระองค์ได้อธิษฐานจิตในคืนนั้นว่า เราจะไม่ยอมคลายบัลลังก์ลุกออกจากที่นี้ ถ้าจิตของเราไม่บรรลุถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้เลือดเนื้อในกายจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตามที เราจะไม่คลายบัลลังก์นี้

   นี่แหละท่านสาธุชนผู้ชมภาพพระพุทธประวัตินี้แล้ว เคยอธิษฐานอะไรจริงจังในการละกิเลสอย่างพระองค์บ้าง
บันทึกการเข้า
samarn
Global Moderator
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 7
กระทู้: 215


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:21:46 PM »

45. ผจญมารผู้ขวางทาง



    ในคืนนั้น พญามารฝูงใหญ่ก็ได้แห่กันมารังควานพระองค์ มาร แปลว่าผู้ขวางทางอันไม่ให้ถึงจุดหมายดีงาม หรือสิ่งที่มาขวางคุณงามความดีที่จะเกิดขึ้นในหัวใจ หรือความประพฤติของเราก็ได้ มารต่าง ๆ ผุดขึ้นในสมอง มาเรียกร้องเชิญชวนให้พระองค์กลับวัง เดี๋ยวพ่อบ้าง เมียบ้าง ลูกบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ในพระราชวังบ้าง แต่พระองค์ก็ข่มใจไม่ให้หวั่นไหว ข่มใจระงับไว้ แม้มารจะมาขวางทางอย่างไรพระองค์ก็ใจแข็ง ทรงข่มพระทัยมั่นคงที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้ได้

    ถ้าเป็นพวกเราอาจจะวิ่งจีวรปลิว สบงปลิว วิ่งผ้าปลิวกันไปตาม ๆ กัน นี่แสดงว่าน้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคนั้นเหมาะสมที่จะตรัสรู้อย่างยิ่ง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5
พิมพ์
กระโดดไป: