ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
บุญกุศลใดพึงเกิด ขออุทิศให้น้องวีรภัทร์ อัครดำรงเวช เจ้าของเรื่องด้วย _/\_
เอามาจากเวปไดอารี่ของพี่อ๋อซียูนะครับ อ่านแล้วประทับใจ..เลยอยากเอามาให้เพื่อนๆ ได้บ้าง ขอให้เครดิตแก่
พี่อ๋อ จาก เวป
http://www.aurseeyou.net ครับ
.........ตอนนี้มีเรื่องใหม่มาเล่าให้ฟัง พอดีพึ่งอ่านหนังสือเรื่อง “ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า” จบ ได้หนังสือเล่มนี้มาจากเพื่อน ตอนที่เค้าให้ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่บอกว่าลูกเค้าตัวใหญ่ดี เรื่องที่เค้าเขียนน่าสนใจมากเพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น มีมุมมองที่เราสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้เลย พี่อ๋อจะค่อยๆ เล่าให้ฟังเหมือนเวลาเราดูละคร ติดตามกันไปจะได้สนุกและลุ้นไปกับพี่อ๋อถึงตอนจบของละครชีวิตเรื่องนี้นะ
------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้ คุณ benyapa ส่งมา และนำมาลงให้ได้อ่านกัน ผมแก้ไขที่สะกดผิดเล็กน้อย แล้วก็อปปี้มาลง......อิอิ ง่ายแฮะ เอ้า....เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้สักกล่องนะครับ....ลุยเลย
------------------------------------------------------------------------------------------
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 วันแห่งความโหดร้าย เช้าแรกของเดือนตุลาคม 2550 วันนี้อากาศแจ่มใส เป็นวันที่ลูกๆ ของผู้หญิงคนนี้ มีความสุขมาก ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า หทัยภรณ์ กสิกิจนำชัย ลูกๆ เรียกเธอว่า หม่าม้า มีลูกด้วย 2 คน คนโตชื่อว่า เหวินยุ่ย(โย้ง) ส่วนคนเล็กก็ตามปกติของลูกคนเล็ก ชื่อว่า ตี้ตี้ และอย่างที่บอกวันนี้เป็นวันที่ลูกๆ มีความสุขที่สุดเพราะเป็นวันแรกที่ปิดเทอม และตี้ตี้ กำลังจะเดินทางไปเที่ยวรัสเซียกับปาป๊า โดยเหวินยุ่ย อยู่เป็นเพื่อนหม่าม้า เมื่อส่งปาป๊าและน้องที่สนามบินเสร็จแม่ลูกก็ขับรถกลับบ้าน แต่ขณะที่กำลังขับกลับนั้นเอง ที่เหวินยุ่ย ไอเป็นชุดเลย ทำให้หม่าม้าถามขึ้นว่า
"ลูกไออีกแล้วนะ ครั้งนี้ไอหนักด้วย กินของทอดอีกแล้วหรือ เจ็บคอหรือเปล่า" แม่ถามลูกเหมือนปกติทุกครั้งที่เห็นลูกไอ แต่กินยาก็หาย
"ไม่เจ็บคอหรอก ไอจนชินแล้ว แต่หมู่นี้ไม่รู้เป็นไง ไอบ่อยจัง หายใจก็ไม่ค่อยคล่อง"
"ไปหาหมอหน่อยดีกว่านะลูก เป็นหวัดก็ไม่ได้เป็น ไปตรวจซะหน่อยดีไหม"
"ตามใจหม่าม้า"
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แม่ขอให้ลูกตรวจกับแพทย์เฉพาะทางด้านปอด แพทย์ตรวจและขอ X-ray ขณะที่รอฟังผล แม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่คิดเลยว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิต หมอเรียกพวกเค้าไปแล้ว ขอเจาะเลือดเพิ่ม หมอบอกว่า ปอดไม่สวยเลย มีก้อนเนื้ออยู่บนขั้วปอดกว้างประมาณ 6 ซ.ม. ยาวประมาณ 10-12 ซ.ม. ที่ปอดทั้ง 2 ข้างมีก้อนเนื้อใหญ่เล็กหลายจุด ใหญ่สุดประมาณ 5 ซ.ม.
ไม่มีเสียงใดๆ ออกจากปากทั้ง 2 คนแม่ลูก มีแต่เสียงหัวใจของผู้เป็นแม่ที่เต้นโครมคราม อยู่ภายในว่า หมอกำลังบอกว่า "ลูกเป็นมะเร็ง" แม่มองหน้าลูกโดยพยายามยิ้ม และทำหน้าปกติที่สุด แต่ลูกมาบอกภายหลังว่า เป็นรอยยิ้มที่แย่ที่สุดของแม่เลย
หมอถามแม่กับลูกว่า พร้อมที่จะพูดคุยกับหมอเฉพาะทางไหม แล้วมีหรือที่แม่จะไม่พร้อม เมื่อเข้าไปคุยกับหมอ หมอก็ขอให้ทำ CT scan ขณะที่รอฟังผลก็ภาวนาให้ผลออกมาไม่ตรงกับผล x-ray แต่ผลออกมาว่า
"ลูกคุณเป็นมะเร็งบนขั้วปอด และกระจายไปสู่ปอดทั้ง 2 ข้างแล้ว"
แม่ถามออกไปว่า “ลูกเป็นขั้นไหนแล้ว แต่ไม่อยากให้หมอพูดต่อหน้าลูกเพราะกลัวเค้ากลัวและไม่สบายใจ” แต่หมอกลับพูดว่า
"น้องอายุยังน้อย 20 เอง รูปร่างสูงใหญ่ หมออยากให้น้องเค้ารับรู้ด้วย หมอเห็นผลเลือดแล้ว หมอดีใจ คุณ........เป็นผู้โชคดีบนความโชคร้าย คุณเป็นมะเร็งที่มีชื่อเรียกว่า Gem Cell นักศึกษาทุกคนทราบดีว่ามะเร็งตัวนี้ รักษาง่าย ด้วยการทำคีโม ก็เห็นผลแล้ว 90% ของมะเร็งชนิดนี้รักษาหาย "
คำบอกเล่าของหมอทำให้ทั้งคู่มีความหวัง จึงยิ้มและถามออกไปว่า
"คุณหมอพบ และทำการรักษาคนที่เป็นโรคนี้ทั้งหมดกี่คนแล้วค่ะ"
“ประมาณ 70 คน”
“อีก 10% ที่ไม่หายเป็นไงบ้างค่ะ”
“เมื่อรักษาหายแล้ว อีก 2 ปีจะกลับมาอีก” หมอเริ่มอธิบายถึงขั้นตอนในการรักษา โดยจะทำคีโม 5 ครั้งๆ ละ 5 วัน โดยห่างกัน 21 วัน วันแรกที่ทำมะเร็งจะลดขนาดลงและอาการไอก็จะดีขึ้น
2 แม่ลูกได้ฟังก็ยิ้มได้และกลับบ้านไปด้วยความหวัง
เริ่มทำคีโมครั้งแรก วันแรกที่ทำลูกหายใจได้คล่องขึ้นจริงๆ อาการไอก็ทุเลา ทำการให้ต่อครบ 5 วัน ทำการตรวจเลือดและ x-ray ปรากฏว่าก้อนเนื้อใหญ่กว่าเดิม ทั้งๆ ที่จริงๆ มันต้องเล็กลง และตำแหน่งที่เกิดก็เริ่มกดทับเส้นเลือดใหญ่ กดทับหลอดลมจนเบี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังไปอยู่ติดกับหัวใจด้วย
ผู้เป็นแม่จึงเริ่มที่จะศึกษาเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับโรคนี้ และเริ่มให้ลูกหยุดการเรียน ที่มหาลัยไว้ก่อน แต่ลูกต่อลองว่าขอเหลือไว้ 1 วิชาเพราะอยากเจอเพื่อนๆ จากเรื่องราวนี้ทำให้ผู้เป็นแม่ทราบว่าการทำคีโม คือการใส่ยาพิษเข้าไปสู่ร่างกายมนุษย์ เพราะคีโมจะทำลายแม้แต่เซลล์ที่ดี ไม่เพียงแต่ทำลายมะเร็งเท่านั้น ทำให้ร่างกาย มีอาการเคลื่อนไส้อาเจียน ภูมิคุ้มกันถูกทำลาย ง่ายต่อการติดเชื้อ จำนวนเม็ดเลือดขาวจะลดลง ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
การทำคีโมครั้งที่ 2 ทำให้ผมร่วง น้ำหนักไม่ลด ปลายนิ้วมือเท้าเริ่มชา ไม่ปวดเมื่อย ไม่มีอาการเคลื่อนไส้ ลูกยังทำตัวร่าเริงปกติ แต่ก็ต้องดูแลเรื่องการติดเชื้อ เมื่อคีโมครบ 5 วันผลกลับกลายเป็นว่าก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นอีก
หมอวินิฉัยว่า เป็นมะเร็งที่ดื้อยา ควรทำการผ่าตัดออก ซึ่งเมื่อลูกได้ยินก็จะรีบให้ทำ เพราะอยากหายมากๆ แต่สิ่งที่แม่กลัวอยู่ในใจคือ มันรักษาไม่หาย ผู้เป็นแม่จึงขอพบหมอโดยที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย
หมอบอกว่า “ลูกคุณเป็นถึงขั้นที่ 4 แล้ว และดื้อยาด้วย แถมยังขึ้นติดกับส่วนที่สำคัญ ถ้าทำการผ่าตัดก็ไม่สามารถเอาออกจนหมดได้ เมื่อขอทราบวิธีการผ่า หมอบอกว่า ต้องผ่าช่องอกด้วยเลื่อย เลื่อยแผงซี่โครง และตัดก้อนเนื้อ ซึ่งไม่สามรถเอาออกได้หมด หลังจากนั้นก็เย็บปิดซี่โครง โดยการร้อยถัดด้วยลวดทางการแพทย์”
แม่จึงถามว่า “ซี่โครงจะเชื่อมติดเมื่อไหร่”
“แล้วแต่ความแข็งแรงของคนไข้อาจจะ 2 เดือน”
“ก้อนเนื้อที่ปอดละค่ะ”
“ไม่สามารถเอาออกได้เพราะกระจายไปทั่วแล้ว”
“แล้วจะผ่าทำไมค่ะ กระดูกยังไม่เชื่อมก็เกิดขึ้นใหม่แล้ว”
"หมอเห็นใจนะ ส่วนมากที่พบก็ขั้นสุดท้ายแล้ว ของลูกคุณเกิดในจุดสำคัญด้วย เกิดกับคนที่อายุเยอะยังดี นี่ลูกคุณยังแข็งแรงก้อนเนื้อก็จะยิ่งโตเร็ว หมอขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้"
แม่นั่งร้องไห้ทำใจหมอช่างพูดได้ แต่ทำใจยากมาก เมื่อออกมาก็เจอคำถามจากลูก เลยต้องบอกว่า ผ่าไปก็ไม่คุ้ม ผ่าเอาออกไม่หมด ก็ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อที่เหลือโตเร็วมากขึ้น จึงเริ่มคิดที่จะไปหาทางอื่นสำหรับการรักษา
เรามาดูกันว่าสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นจริงไหมอย่างไรรออ่านตอนที่ 2 นะ
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 น้ำตาลูกผู้ชายรินหลั่งครั้งแรกหลังจากที่ทั้งครอบครัวปรึกษากันแล้วว่าจะเปลี่ยนหมอ ผู้เป็นแม่ก็ตระเวนปรึกษาแพทย์ทั้งในและนอกประเทศ เท่าที่มีคนแนะนำว่าดี คำตอบก็คือ โอกาสรักษาได้มีน้อยมาก ทำให้ต้องชั่งใจมากว่าเอาไงดี แต่สุดท้ายทุกคนในครอบครัวก็เลือกที่จะรักษาต่อในประเทศ เพราะอย่างน้อยลูกรู้สึกอบอุ่นกว่า
ตั้งแต่รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ลูกจะตื่นมาสวดมนต์ทุกเช้าและไปใส่บาตรทุกวัน เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร คืนแรกของการตัดสินใจเปลี่ยนหมอ เป็นคืนที่แม่ลูกนอนกุมมือกัน เมื่อมองหน้ากัน ลูกก็ร้องไห้โฮออกมาเลย นั้นเป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นแม่ร้องไปกับเค้าด้วย ผู้เป็นแม่บอกกับลูกว่า
"ร้องให้เต็มที่เลยลูกมีอะไรปล่อยออกมาให้หมด" แล้วก็นอนกอดลูก ให้ลูกนอนหนุนตัก
"หม่าม้าครับ ผมอยากเลี้ยงดูหม่าม้า ตอนที่หม่าม้าแก่เฒ่า ทำไมผมอายุแค่นี้เอง ต้องเป็นโรคนี้ด้วย"
คนเป็นแม่เมื่อได้ฟังลูกพูดก็สะเทือนใจ มิเสียแรงที่สอนให้ลูกรู้จักกตัญญู หนูจำที่อากงสอนได้ไหม
ไม่มีคำว่าทำไม พระพุทธองค์ทรงสอนว่าในโลกนี้ อะไรที่เกิดขึ้นมีเหตุ ก็ต้องมีผล มนุษย์เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แรงกรรมส่งเรามาเกิด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อะไรเกิดเป็นผลย่อมมีเหตุปัจจัย คนเราแต่ละคนเกิดมาแล้วไม่รู้ว่ากี่พันชาติ ในอดีตก็ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรกันไว้ เจ้ากรรมนายเวรของเราก็ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่คน พุทธองค์จึงทรงสอนว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อเกิดแล้วขอให้ใช้ความสงบ ความมีสติ สยบความวุ่นวาย หันหน้าเข้าแก้ไขตามสภาวะแห่งความเป็นจริง แก้ไขได้เท่าไหร่ เอาแค่นั้น ในเมื่อมันเกิดมาแล้วเราก็ต้องรักษามันตามอาการ อย่าเพิ่งไปปรุงแต่งจนมันเลวร้ายไปหมด
เมื่อเราเปลี่ยนหมอ กายเราป่วยได้ แต่ใจเราห้ามป่วย เราต้องยอมรับความจริง และเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อเรามองดูตัวเรามีอะไรเป็นของเราบ้าง ผม ขน เล็บ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี เราบังคับมันไม่ได้ บอกให้มันไม่เจ็บก็ไม่ได้ ไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ สุดท้ายร่างกายนี้ก็ต้องเน่าเปื่อย แต่วิญญาณเท่านั้นที่ไม่ได้ตายไปตาม
ร่างกาย หากมีเชื้อกิเลสอยู่ ก็จะกลับมาเกิดใหม่ อยู่กับกรรมที่เราเป็นทายาท
ผู้เป็นแม่พยายามที่จะสอนธรรมะให้ลูกเพื่อให้เค้าไม่กังวลมาก เพราะเค้ารู้สึกว่า ตนเองนั้นไม่เคยสูบบุหรี่เลย แต่กลับต้องมาเป็นมะเร็งปอด ด้วยวัยเพียง 20 โลกของเค้ากำลังสดใส มีแต่ความสวยงามและสนุกสนาน คำสอนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ปลอบใจลูกเท่านั้น แต่รวมถึงใจแม่ด้วย ผู้เป็นแม่ต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา เพราะพ่อต้องไปทำงานหาเงิน แม่จึงต้องเป็นผู้ที่เห็นและรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมทั้งเห็นความทรมานของลูกด้วย เวลาอยู่ต่อหน้าลูกต้องเข้มแข็ง อ่อนแอไม่ได้ แม้แต่เวลาอยากจะร้องไห้ ต้องแอบร้องในห้องน้ำตอนที่อยู่คนเดียวเพราะไม่ต้องการ
ให้ลูกใจเสีย แม้ขณะที่กอดลูก เอามือลูบหัวที่ตอนนี้ไม่มีผมเหลืออยู่แล้ว
"ทุกวันนี้ผมก็ตักบาตร สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ทำไมก้อนเนื้อมันยังโตขึ้นอีก"
"การตักบาตรก็เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง เป็นการสะสมเสบียงบุญ สะสมไปเรื่อยๆ ทำเพียงไม่กี่วันจะให้เห็นผลทันตาได้ไง การสวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นการฝึกจิตให้มีสติ ทุกวันนี้หม่าม้าเห็นลูกร่าเริง ไม่หงุดหงิด ทำกิจกรรมทุกอย่างได้ ก็พอใจแล้ว ก้อนเนื้อจะเล็กลงหรือไม่อยู่ที่หมอรักษา ส่วนเรื่องเลี้ยงดูหม่าม้า ก็ไม่ต้องห่วง หม่าม้าอายุยังไม่มากดูแลตนเองได้ น้องก็อยู่ หนูไม่ต้องกังวล ทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุดนะลูก"
"แล้ววันนี้ของผมเหลืออีกกี่วัน ผมอยากรู้นัก" พูดพร้อมน้ำตาที่พยายามหยุดมันไว้
"ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้ของเราเหลือเท่าไร อาจจะเหลือแค่หนึ่งลมหายใจ เหลือวันเดียว ปีหนึ่ง หรือ 10ปี ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ลูกอยากทำอะไรทำเลย แต่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ทำให้ตนเอง คนรอบข้างและสังคมเดือดร้อน ถ้าทำแล้วมีความสุข ทำเลย "
ผู้เป็นแม่พยายามกั้นน้ำตาพูดกับลูก พยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นหรือไม่ให้เสียงสั่น รู้สึกผิดที่ผ่านมา
"ฉันเลี้ยงลูกอยู่ในกรอบ และมาตรฐานของตนเองในการเลี้ยงลูก พยายามให้เรียนในสิ่งที่ตนเองอยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสได้เรียน โดยไม่คำนึงถึง ความพร้อมหรือความถนัดของเค้าเลย ลูกต้องเรียนโรงเรียนดีๆ มีชื่อเสียง ทำทุกอย่างเพื่อลูก เพราะรักลูก ต้องการให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่ฉันทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะฉันไม่ได้คิดถึงหัวใจน้อยๆของเขา ที่เขาต้องฝืนทำในสิ่งที่เค้าไม่ชอบ ต้องเจ็บปวดเวลาที่เค้าอยากดูรายการฟุตบอล แล้วฉันห้ามไม่ให้ดู เพราะกลัวเค้าติดการพนัน ลูกอยากจะเล่นฉันก็ห้ามเพราะกลัวเค้าเกิดอุบัติเหตุ ไม่ยอมติดเคเบิลเพราะไม่อยากให้เค้าได้ดู ทั้งๆ ที่ลูกเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกอย่าง ที่ผ่านมาฉันทำร้ายจิตใจเค้าโดยไม่เคยนึกถึงเลย"
ผู้เป็นแม่เฝ้าถามตนเองว่า "สายไปหรือเปล่าที่จะให้ลูกเป็นอย่างที่เค้าต้องการ ให้เค้าสุขอย่างที่เค้าชอบ"
นอกจากหนังสือธรรมะ ก็ได้ ซีดีตลก เป็นร้อยตอน เพื่อที่จะนั่งดูกันแม่ลูก เล่นเกม เล่นเปียโน คุยโทรศัพท์กับเพื่อน เค้ายังหวังอยู่เต็ม 100 ว่าเค้าจะหายและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับเพื่อนๆ ที่เค้ารักและรักเค้า
และเมื่อการทำคีโมครั้งที่ 3 เกิดขึ้น เค้าก็ปวดเมื่อย ขณะที่ทำคีโม ผู้เป็นแม่จึงนวดให้ลูก
"หม่าม้าครับไม่ต้องนวดก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำให้แม่ " ลูกน่ารักเสมอ พูดเพราะเกรงใจแม่ ทั้งๆ ที่ตนเองทรมานอยู่
"ไม่เป็นไรลูก จำได้ไหม ตอนเป็นเด็ก เวลาหม่าม้านอนไม่หลับ เราบีบนวดให้จนหม่าม้าหลับไปเราถึงหยุด ตอนนี้ลูกป่วยหม่าม้าทำให้ได้อยู่แล้ว"
ทำคีโม 3-5 ครั้งผลก็ออกมาเหมือนเดิม ก้อนเนื้อไม่เล็กลงเลย กลับพัฒนาใหญ่ขึ้น แต่ไม่กระจายไปที่อื่นแล้ว หมอลงความเห็นว่าเป็นมะเร็งที่ดื้อยา
ผู้เป็นแม่จึงถามหมอตรงๆ ว่า "คุณหมอมีทางรักษาไหมค่ะ ต่างประเทศก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ขอให้คุณหมอแนะนำด้วย"
"เท่าที่ผ่านมาหมอก็ให้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ไปต่างประเทศยาก็คงไม่แตกต่างกัน"
ถ้าเช่นนั้นจากอาการของลูก ลูกจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน "หนึ่งปี" หนึ่งปีคือคำตอบ แต่หมอบอกว่ายังมีอีกวิธี คือการทำสเต็มเซลล์
ผู้เป็นแม่เดินออกมามองหน้าลูกแล้วพูดว่า
"ปาฏิหาริย์มีจริงนะลูก ดูอย่างบางคนเป็นขั้นสุดท้ายแล้วปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็ยังสามารถหายจากโรคได้ ลองดูกันนะ" คำปลอบใจตนเองและลูกที่น่ารัก หัวอกคนเป็นแม่จะมีอะไรทุกข์ได้มากกว่านี้ เรามาลุ้นกันต่อในวันพรุ่งนี้นะ
++++++++++++++++++++++++++++++