AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #285 เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 08:41:32 AM » |
|
สังโยชน์ 10 กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารทั้ง 31 ภพภูมิ มี 10 อย่าง
1.สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา ... 2.วิจิกิจฉา สงสัยในคุณของ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3.สีลัพพตปรามาส การถือศีลไม่จริงจัง หรือนำศีลและพรต ไปใช้้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่น การถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ ลาภสักการะ เป็นต้น
4.กามราคะ ความยินดีในกามคุณ
5.ปฏิฆะ ความขุ่นใจ
6.รูปราคะ ความพอใจใน วัตถุ หรือ รูปฌาน
7.อรูปราคะ ความพอใจใน อรูปฌาน หรือ ความพอใจใน นามธรรมทั้งหลาย
8.อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
9.มานะ ความถือตัวถือตน
10.อวิชชา ความโง่ ความไม่รู้
ถ้าละได้ 3 ข้อ (1-3) เป็น พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี ตามความละเอียดของจิตที่ละได้
ถ้าละได้ 5 ข้อ เป็น พระอนาคามี ถ้าละได้หมดทุกข้อ เป็น พระอรหันต์ การละสักกายทิฏฐิสังโยชน์ในภาคปฏิบัตินั้น ผู้ที่ละได้ ย่อมจะ "มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามอาการที่มันเป็นจริง" ไม่ใช่มองอย่างที่เราอยากให้มันเป็น เมื่อมองสิ่งทั้งปวงตาม ความเป็นจริง ย่อมจะเห็นสภาพความเป็นจริงของสังขารได้ อย่างชัดเจน คือ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมจะเห็นความจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ฉะนั้น ความแตกต่างระหว่าง ปุถุชนผู้ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ กับ พระอริยบุคคลผู้ละสักกายทิฏฐิได้แล้วคือ
ปุถุชนทั้งหลายย่อมมองสังขารทั้งปวงอย่างที่ตัวเอง อยากให้เป็น จึงยังยึดอยู่ในส่วนลึกของจิตว่า สังขารทั้งปวง เที่ยง เป็นสุข และเป็นตัวตนของเรา
ส่วนพระอริยะทั้งหลาย ย่อมมองสิ่งทั้งปวงตามที่มันเป็นจริง จึงเห็นสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตามที่มันเป็นจริง
สำหรับความแตกต่างของพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ก็คือ พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิได้ แต่ยังละราคะและโทสะไม่ได้ พระสกิทาคามีละสักกายทิฏฐิได้ และสามารถทำราคะและ โทสะให้เบาบางลงบ้าง พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิได้ ละ ราคะโทสะได้ แต่ยังละอวิชชาไม่ได้
ส่วนพระอรหันต์คือผู้ละ อวิชชา และ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ พระโสดาบันนั้นเริ่มมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ขันธ์5 เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ยังไม่สามารถถอน อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นใน ขันธ์5 ว่าเป็นตัวเราของเราได้ เมื่อพระโสดาบันมีความพากเพียรในการ เจริญอธิศีล อธิปัญญา ยิ่งๆขึ้นไป ย่อมจะสามารถถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์5ว่า เป็นตัวเราของเราให้เบาบาง ลงเรื่อยๆ แต่จะสามารถละได้อย่างเด็ดขาด ถอนรากถอนโคน ก็ต่อเมื่อละอวิชชาได้และรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ4 คือเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
พึงระลึกและเข้าใจว่า อวิชชานั้น พึงบังเกิดขึ้นแก่ปุถุชนทุกคน ที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาหรือตถตา จนกว่าจะได้สดับหรือเรียนรู้ในธรรมของพระองค์ท่านอย่างแจ่มแจ้ง กล่าวคือ จนกว่าจักได้วิชชาของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นวิชชาที่ล้วนเนื่องสัมพันธ์ด้วย เรื่องของทุกข์ เพื่อการดับไปแห่งทุกข์เท่านั้น เพื่อความเป็นโลกุตตระ ธรรมทั้งปวงจึงล้วนเนื่องสัมพันธ์เกี่ยวกับการให้รู้จักทุกข์เพื่อใช้ไปในการดับทุกข์ จึงเป็นไปดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ว่า
" ในกาลก่อนก็ตาม ในบัดนี้ก็ตาม เราตถาคต บัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องทุกข์ และการดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น "
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #287 เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 11:55:52 AM » |
|
เป็นตึกใหม่ที่ติดถนนพระราม6 หรือตึกข้างที่ทำการประชาธิปัตย์ครับ
ขอบพระคุณน้องกอล์ฟครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
golfreeze
|
|
« ตอบ #288 เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 07:14:32 PM » |
|
เป็นตึกใหม่ที่ติดถนนพระราม6 หรือตึกข้างที่ทำการประชาธิปัตย์ครับ
ขอบพระคุณน้องกอล์ฟครับ
ตึกใหม่ติดถนนพระราม 6 ( ศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ) ครับพี่ต่าย ชั้น 22 นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
|
|
|
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859
|
|
« ตอบ #289 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 11:37:35 PM » |
|
ดูแลบ้านกันดี ๆ ข่าวฝนตก ถึงกลางเดือนตุลาคม เชียว สำหรับ กทม. ขอให้กุศลรักษา ให้ปลอดภัยทุกท่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #290 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2012, 06:07:53 PM » |
|
หรือครับไม่ค่อยได้ดูข่าวเลย ขอบคุณที่เตือนกันครับ ไม่น่าท่วม แต่ก็ไม่ประมาท เห็นนายกฯสาวคุยตั้งนานแล้วว่าจะเอาอยู่ไม่ท่วม ผมก็เลย เอา เอาอยู่ก็เอาอยู่ ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #291 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2012, 12:33:38 PM » |
|
ช่วงนี้งานเข้าตลอดเลยครับ คิดถึงเพื่อนๆกัลยาณมิตรทุกคนครับ ขอให้เพื่อนๆเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
golfreeze
|
|
« ตอบ #292 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2012, 12:18:50 PM » |
|
ช่วงนี้งานเข้าตลอดเลยครับ คิดถึงเพื่อนๆกัลยาณมิตรทุกคนครับ ขอให้เพื่อนๆเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นนะครับ คิดถึงเช่นกันครับพี่ต่าย ฮ่าๆๆ ทำงานรองแต่อย่าลืมงานหลักด้วยนะครับ อิอิ ขอให้เจริญในธรรม เช่นกันครับพี่ต่าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
|
|
|
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859
|
|
« ตอบ #293 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2012, 07:29:53 PM » |
|
กลายเป็นว่า ปีนี้ น้ำน้อย ซะแหล่ว โชคดี ชาวเมือง แต่ชาวนา เศร้า(ดีได้จำนำข้าว ราคา ... กว่า ตลาด)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #294 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 08:35:35 PM » |
|
ด้านเหนือแถวพิษณุโลกน้ำน้อยแล้วหรือครับ
กรุงเทพฯน้ำก็ท่วมตอม่อสะพานสีแดงเหมือนเดิมครับ ไม่ค่อยยุบเลย
สบายดีนะครับท่าน the suffering
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859
|
|
« ตอบ #295 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 08:39:25 PM » |
|
ยัง รับยากดภูมิอยู่ แต่แข็งแรงขึ้น ขอบคุณ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #296 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 08:44:28 PM » |
|
เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือครับ ถึงใช้ยาบรรเทาอาการไว้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859
|
|
« ตอบ #297 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 08:54:35 PM » |
|
เริ่มจาก ภูมิแพ้ตัวเอง ตามมาด้วยเพื่อนๆของเค้า ครือ ความดัน หัวใจ กล้ามเนื้อสลายตัว กระดูกและข้อ ระบบเลือด ตาสู้แสงไม่ได้ โดนแดดไม่ได้ แพ้ไอร้อน โดนจัดหนัก ทดสอบพลังกันระหว่าง ความเป็น ความตาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #298 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2012, 11:38:28 PM » |
|
งั้นก็ได้เวลาพิจารณาแยกธาตุขันธ์ออกจากกันได้อย่างเข้มข้นทีเดียวเชียว
สังเกตว่าระดับโสดาบันนี่ไม่ค่อยจะกลัวตายแล้วครับ เพราะรู้ว่าตายแล้วจะไปไหน ไม่เนิ่นช้าแน่นอน และมีนิพพานเป็นที่ไปในกาลข้างหน้า
ขอให้เจริญในธรรมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 967
|
|
« ตอบ #299 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 09:45:44 AM » |
|
จากพระอภิธรรมปิฎก เห็นว่าน่าสนใจดีเลยนำมาฝากกัน เผื่อยังติดๆประการใดอยู่ครับ ลักษณะที่ อาจจะทำให้เข้าใจผิดในธรรม
วัญจกธรรม (ธรรมเป็นเครื่องหลอกลวง) ๓๘ ประการ ๑. อปฺปฏิกูลสญฺญามุเขน กามมจฺฉนฺโท วญฺเจติ.
ความพอใจในกาม ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นอปฏิกูลสัญญา. (ลวงว่าสะอาด)
๒. ปฏิกฺกูลสญฺญาปฏิรูปตาย พฺยาปาโท วญฺเจติ.
ความพยาบาท ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นปฏิกูลสัญญา.
๓. สมาธิมุเขน ถีนมิทฺธํ วญฺเจติ.
ถีนมิทธะ(ความท้อถอย ง่วงเหงา) ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นสมาธิ.
๔. วิริยารมฺภมุเขน อุทฺธจฺจํ วญฺเจติ.
อุทธัจจะ(ความฟุ้งซ่าน) ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นการปรารภความเพียร.
๕. สิกฺขากามตามุเขน กุกฺกุจฺจํ วญฺเจติ.
กุกกุจจะ(ความรำคาญใจ) ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา.
๖. อุภยปกฺขสนฺตีรณมุเขน วิจิกิจฺฉา วญฺเจติ.
วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีการพิจารณาทั้งสองฝ่าย
๗. อิฏฺฐานิฏฺฐสมุเปกฺขนมุเขน สมฺโมโห วญฺเจติ.
ความหลงพร้อม(ไม่รู้) ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีการวางเฉยต่ออารมณ์
ที่น่าปราถนาและไม่น่าปราถนา
(เช่น ไม่รู้ จึงไม่รักหรือไม่ชัง จึงดูเหมือนวางเฉย เพราะรู้สึกเฉยๆ)
๘. อตฺตญฺญุตามุเขน อตฺตนิ อปริภเวน มาโน วญฺเจติ.
มานะ(ความสำคัญตน) ย่อมลวงโดยความไม่ดูหมิ่นตน เหมือนกับว่าเป็นผู้รู้จักตน
(เช่น คนมีมานะแต่มักบอกว่าตนไม่มีมานะ...หลงในคุณธรรมของตน)
๙. วีมํสามุเขน เหตุปฏิรูปกปริคฺคเหน มิจฺฉาทิฏฺฐิ วญฺเจติ.
มิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิด) ย่อมลวงด้วยการถือเอาเหตุอันสมควร
เหมือนกับว่ามีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
๑๐. วิรตฺตตาปฏิรูปฏาย สตฺเตสุ อทยาปนฺนตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ไม่ถึงความเอ็นดูในสัตว์ทั้งหลาย
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ปราศจากความกำหนัดยินดี.
๑๑. อนุญฺญาตปฏิเสวนปฏิรูปตาย กามสุขลฺลิกานุโยโค วญฺเจติ.
กามสุขัลลิกานุโยค(การประกอบเนืองๆ ซึ่งความหมกมุ่นอยู่ในกาม)
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเสพในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้.
๑๒. อาชีวปาริสุทฺธิปฏิรูปตาย อสํวิภาคสีลตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้มีปกติไม่แบ่งปัน ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีการเลี้ยงชีพที่บริสุทธิ์
(เช่น ภิกษุบิณฑบาตมาแต่ไม่แบ่งบรรพชิตด้วยกัน แล้วคิดว่าตนเลี้ยงชีพบริสุทธิ์)
๑๓. สํวิภาคสีลตาปฏิรูปตาย มิจฺฉาชีโว วญฺเจติ.
มิจฉาอาชีวะ ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้มีปกติแบ่งปัน.
๑๔. อสํสคฺควิหาริตาปฏิรูปตาย อสงฺคหสีลตา วญเจติ.
ความเป็นผู้มีปกติไม่สงเคราะห์ ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยการไม่คลุกคลี.
๑๕. สงฺคหสีลตาปฏิรูปตาย อนนุโลมิกสํสคฺโค วญฺเจติ.
ความคลุกคลีที่ไม่สมควร ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้มีปกติสงเคราะห์.
๑๖. สจฺจวาทิตาปฏิรูปตาย ปิสุณวาจา วญฺเจติ.
ปิสุณวาจา(กล่าวส่อเสียด) ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้กล่าวคำจริง.
๑๗. อปิสุณวาทิตาปฏิรูปตาย อนตฺถกามตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ใคร่ในสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ไม่กล่าวส่อเสียด.
๑๘. ปิยวาทิตาปฏิรูปตาย ปาตุกมฺยตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้กระทำการประจบ
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้กล่าวถ้อยคำอันเป็นที่รัก.
๑๙. มิตภาณิตาปฏิรูปตาย อสมฺโมทนสีลตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ไม่ชื่นชมยินดี(กับผู้อื่น)
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้พูดพอประมาณ (ตระหนี่คำสรรเสริญ)
๒๐. สมฺโมทนสีลตาปฏิรูปตาย มายาสาเถยฺยญฺจ วญฺเจติ.
มายาและสาไถย ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้มีปกติชื่นชมยินดี(กับผู้อื่น)
๒๑. นิคฺคยฺหวาทิตาปฏิรูปตาย ผรุสวาจา วญฺเจติ.
ผรุสวาจา(กล่าวคำหยาบ) ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้พูดข่ม.
๒๒. ปาปครหิตาปฏิรูปตาย ปรวชฺชานุปสฺสิตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้เพ่งโทษผู้อื่น ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ติเตียนบาป.
๒๓. กุลานุทฺทยตาปฏิรูปตาย กุลมจฺฉริยํ วญฺเจติ.
ความตระหนี่ตระกูล ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีความประพฤติเกื้อกูลต่อตระกูล.
๒๔. อาวาสจิรฏฺฐิติกามตามุเขน อาวาสมจฺฉริยํ วญฺเจติ.
ความตระหนี่อาวาส
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ใคร่เพื่อให้อาวาสตั้งอยู่ตลอดกาลนาน.
๒๕. ธมฺมปริพนฺธปริหรณมุเขน ธมฺมมจฺฉริยํ วญเจติ.
ความตระหนี่ธรรม ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นการรักษาพระธรรมไว้ให้ดำรงมั่น.
๒๖. ธมฺมเทสนาภิรติมุเขน ภสฺสารามตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ยินดีในการพูดคุย ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ยินดียิ่งในการแสดงธรรม.
๒๗. อผรุสวาจตาคณานุคฺคหกรณมุเขน สงฺคณิการามตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ไม่กล่าวคำหยาบและกระทำการอนุเคราะห์แก่หมู่คณะ.
๒๘. ปุญฺญกามตาปฏิรูปตาย กมฺมรามตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ยินดีในการงาน ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ใคร่ซึ่งบุญ.
๒๙. สํเวคปฏิรูเปน จิตฺตสนฺตาโป วญฺเจติ.
ความเร่าร้อนแห่งจิต ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นการสลดสังเวช.
๓๐. สทฺธาลุตาปฏิรูปตาย อปริกฺขตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้มากไปด้วยศรัทธา.
๓๑. วีมํสนาปฏิรูเปน อสฺสทฺธิยํ วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา.
๓๒. อตฺตาธิปเตยฺยปฏิรูเปน ครูนํ อนุสาสนิยา อปฺปทกฺขิณคฺคาหิตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ไม่รับเอาคำพร่ำสอนของครูทั้งหลายโดยเคารพ
ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีตนเป็นใหญ่.
๓๓. ธมฺมาธิปเตยฺยปฏิรูเปน สพฺรหฺมจารีสุ อคารวํ วญฺเจติ.
ความไม่เคารพในเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย
ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีธรรมเป็นใหญ่.
๓๔. โลกาธิปเตยฺยปฏิรูเปน อตฺตนิ ธมฺเม จ ปริภโว วญฺเจติ.
ความดูหมิ่นตนและดูหมิ่นธรรม ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีโลกเป็นใหญ่.
๓๕. เมตฺตายนามุเขน ราโค วญฺเจติ.
ราคะ(ความยินดีติดข้อง) ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีเมตตา.
๓๖. กรุณายนาปฏิรูเปน โสโก วญเจติ
ความเศร้าโศก ย่อมลวงเหมือนกับว่ามีความกรุณา.
๓๗. มุทิตาวิหารปฏิรูเปน ปหาโส วญฺเจติ.
ความร่าเริง ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยมุทิตา.
๓๘. อุเปกฺขาวิหารปฏิรูเปน กุสเลสุ ธมฺเมสุ นิกฺขิตฺตฉนฺทตา วญฺเจติ.
ความเป็นผู้ทอดทิ้งฉันทะ(ความพอใจ)ในกุศลธรรมทั้งหลาย
ย่อมลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้อยู่ด้วยอุเบกขา.
ข้อความจาก...อรรถกถาเนตติปกรณ์ ยุตติหารวิภังควรรณนา
แปลและเรียบเรียงโดย... มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 18, 2012, 09:48:31 AM โดย AVATAR »
|
บันทึกการเข้า
|
เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
|
|
|
|