วันอาสาฬหบูชาคือ สำคัญอย่างไร แล้วควรปฏิบัติตนอย่างไร
วันอาสาฬหบูชา สำคัญอย่างไร แล้วควรปฏิบัติตนอย่างไร
หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬห คือ เดือน ๘ เป็นวันที่ชาวพุทธจะได้กระทำบุญกุศล เพื่อระลึกถึง เหตุการณ์ครั้งแรก ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร หมายถึง สูตรว่าด้วยการหมุนกงล้อ แห่งธรรม แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ และในที่สุด แห่งพระธรรมเทศนานั้นเอง หัวหน้า ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นั้น นามว่า โกณทัญญะ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม คือเข้าใจชัดแจ้งในพระธรรมที่ทรงแสดง มองเห็น ความเป็นธรรมดาของสังขารธรรม บรรลุโสดาปัตติผล และได้ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นพระสงฆ์ สาวกรูปแรกของพระพุทธศาสนา ดังนั้น วันอาสาฬหบูชา จึงเป็นทั้งวันระลึกถึงการแสดงปฐมเทศนา ครั้งแรก ของพระพุทธเจ้า และเป็นวันที่พระรัตนตรัย ครบบริบูรณ์
ประวัติวันอาสาฬหบูชา วันปฐมเทศนา – ปฐมสาวก – ปฐมแสงธรรม
หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เแล้ว ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ และประทับเสวยวิมุตติสุขตามจุดต่างๆ รอบๆปริมณฑลมหาโพธิ์ใหญ่นั้น เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ ๗ ประทับอยู่ ณ ต้นอชปาลนิโครธ ก็ทรงดำริว่า พระธรรมที่ได้ตรัสรู้นั้น ลึกซึ้ง ยากแก่การที่จะสัตว์ผู้มีธุลีคือกิเลสในดวงตามากๆ จะเข้าใจตามได้ ในขั้นแรก ทรงน้อมไปในอาการที่จะไม่แสดงธรรม แต่เพราะอาศัยพระมหากรุณาของพระองค์เอง ว่า ที่พระองค์บำเพ็ญบารมีมาตลอดสี่อสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่อที่จะพาหมู่สัตว์ ข้ามห้วง โอฆะกันดาร ทรงดำริเช่นนี้แล้ว ครั้งนั้นท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นใหญ่ในมหาพรหม ก็ทราบพระปริวิตกของพระศาสดา จึงได้เสด็จลงมาเฝ้าเพื่อ ทูลอาราธนา ให้ทรงแสดงธรรม ให้ทรงแสดงธรรม
เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงพิจารณาสรรพสัตว์ทั้งหลายดุจดอกบัว สามเหล่า( ความตอนนี้ ไม่ปรากฏว่าทรงพิจารณาถึง พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา และพระสาวก ประดิษฐานที่บริเวณธัมเมกขสถูป ๔ เหล่า ดอกบัว ๔ เหล่า น่าจะมาในพระไตรปิฎกตอนอื่นมากกว่า และพระพุทธเจ้า ก็อาศัยความที่คนทั้งหลาย มีอุปนิสัยที่พอจะรับฟังพระธรรมได้ ดุจดอกบัวทั้งสามเหล่า คือบัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำนี่เอง จึงทรงแสดงธรรม ) จึงตกลงพระทัย ที่จะแสดงธรรม ในขั้นแรกทรงพิจารณาว่า ควรจะเสด็จไป โปรดใครก่อน ก็ทรงระลึกถึง อาฬารดาบส และอุทกดาบส ผู้ทรงเป็น พระอาจารย์ของพระองค์ คราวที่ยังมิได้ตรัสรู้ ยังทรงเป็น ผู้เที่ยวแสวงหา ทางตรัสรู้อยู่ ทรงระลึกว่า ทั้งสองท่าน เป็นผู้มี ธุลีคือกิเลสเบาบาง จะสามารถบรรลุธรรม ได้เร็ว (เพราะดาบส ทั้งสอง เป็นผู้ได้ฌานแล้ว นิวรณ์ ๕ ย่อมระงับ จิตเป็นสมาธิ ซึ่งสามารถ ที่จะรู้ตาม พระธรรมเทศนาที่จะทรงแสดงได้เร็ว) แต่ทรงทราบว่า ดาบสทั้งสอง ได้ละสังขาร ไปก่อนหน้านั้นแล้ว จึงได้ทรงเล็ง เห็นว่า ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๔ เป็นผู้ที่เคยมีอุปการะ กับพระองค์ คราวที่ยังแสวงหาทางตรัสรู้ และเป็นผู้ที่มีธุลี คือกิเลสในดวงตา เบาบาง ตอนนี้พำนักอยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤค ทายวัน พระองค์จึงทรงดำริจะเสด็จไป เพื่อแสดงธรรมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์
ในระหว่างทาง ได้พบกับอุปกาชีวก ซึ่งอุปกาชีวกได้เห็นพระอากัปกิริยา อันน่าเลื่อมใส พระพักตร์อิ่มเอิบของพระพุทธเจ้า ก็เกิดความเลื่อมใส จึงได้ถามว่า พระองค์เป็น ลูกศิษย์ใคร ใครเป็นอาจารย์ ของพระองค์ ฯลฯ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวง ละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะ ความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึง อ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเรา ก็ไม่มี บุคคลเสมอ เหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับ ทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียว เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลส ได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อ ประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลอง ประกาศ อมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ.”
อุปกาชีวกได้ฟังดังนั้น ก็ได้กล่าวว่าการที่พระองค์ได้ตรัสมานั้น หากเป็นจริงแล้ว พระองค์ควรจะได้นามว่า อนันตชินะ ผู้ชนะหาที่สุดมิได้ แล้วแลบลิ้น สั่นศีรษะ แล้วเดิน หลีกไป
หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้เสด็จไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พบกับปัญจวัคคีย์ ในขั้นแรก ปัญจวัคคีย์ ไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้า จะตรัสรู้จริงๆ แต่เพราะเหตุผลของพระองค์ ว่าพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว และเรื่องนี้ ก็ไม่เคยตรัสมาก่อน คราวที่ปัญจวัคคีย์ยังอยู่รับใช้พระองค์ ทำให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ท่านมี โกณทัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ นั้น ระลึกได้ว่า คราวที่ยังรับใช้ ยังอยู่ใกล้ชิดพระองค์อยู่ ก็ไม่เคยได้ยินพระองค์ ตรัสเรื่องอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณนี้เลย พระองค์น่าจะได้รู้อะไร บางอย่างแล้วเป็นแน่ จึงได้ยอมรับฟังพระธรรม ซึ่งพระองค์ได้แสดง พระธรรมเทศนากัณฑ์แรก คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร คือพระสูตรว่าด้วยการหมุนกงล้อ แห่งพระธรรม
ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ท่านมี
1. ท่านโกณทัญญะ
2. ท่านวัปปะ
3. ท่านภัททิยะ
4. ท่านมหานามะ
5. ท่านอัสสชิ
ทรงแสดงถึงการประพฤติปฏิบัติที่สุดโต่งเกินไป ๒ ประการ คือ การหมกมุ่นในกามคุณ (กามสุขัลลิกานุโยค) และการทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) ต่อมาทรงแสดงทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา และแสดงอริยสัจ ๔ ในตอนจบของพระธรรมเทศนา ดาบสโกณทัญญะ ได้ส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนา จึงได้เข้าถึงความจริงของสังขารธรรม ได้ธรรมจักษุ ว่า” ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง ” สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไป เป็นธรรมดา ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคล ชั้นแรกใน พระพุทธศาสนา
พระศาสดาทรงทราบว่าโกณทัญญะได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว จึงเปล่งอุทานว่า อัญญาสิ วต โภ โกณทัญโญ อัญญาสิ วต โภ โกณทัญโญ “โกณทัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โกณทัญญะได้รู้แล้วหนอ” นับตั้งแต่นั้น ท่านโกณทัญญะจึงได้นามว่า อัญญาโกณทัญญะ คือ พระโกณทัญญะ ผู้รู้แล้ว และได้ทูลขอบวช ต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา นับเป็นพระภิกษุรูปแรก ในพระพุทธศาสนา ที่ได้รับการอุปสมบท โดยพระศาสดาเป็นผู้ประทานการบวชให้ เท่ากับว่าในวันนั้นเอง ที่พระพุทธเจ้าทรง ได้รับพระนามว่า เป็น สัมมาสัมพุทโธ โดยสมบูรณ์ เพราะมีพยาน ในการตรัสรู้ธรรมโดยชอบ คือรู้ตามพระธรรมของพระองค์ แล้ว
หลังจากการโปรดอัญญาโกณทัญญะแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ทรงแสดงปกิณกธรรม โปรดปัญจวัคคีย์ คนอื่นๆอีก คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ และ ในวันแรม ๕ค่ำ เดือน เดือน ๘ นั่นเอง พระองค์ได้ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร แก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ทำให้ทั้งหมด ได้เข้าใจชัดเจน ถึงความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตนถาวรเที่ยงแท้ของขันธ์ ของสังขารธรรม ทำให้พระปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ รูป สามารถเพิกถอนอุปทาน อาสวะในจิตของตนได้ และได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ในที่สุด.
ศาสนพิธีเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ความเป็นมาของวันอาสาฬหบุชาในประเทศไทย
แต่เดิม พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยจะมีพิธีเฉลิมฉลองวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเพียงวันเดียว คือวัน วิสาขบูชา ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดให้มีการฌแลิมฉลองเนื่องในวันมาฆบูชา และมาถึง พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่องานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษเสร็จแล้ว ทางคณะสงฆ์เห็นว่า วันแสดงปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตนสูตร ก็เป็นวันที่สำคัญมาก น่าจะได้กำหนดให้มีพิธีบูชาใหญ่ ทางราชการก็เลยตกลงเห็นชอบกับคณะสงฆ์ ประกาศให้มี วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นอีกวัน คือ วันอาสาฬหบูชา
การบำเพ็ญพระราชกุศลอาสาฬหบูชา
พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยถือปฏิบัติบูชาในวันอาสาฬหบูชามาตั้งแต่กรุงสุโขทัย โดยบำเพ็ญกุศลต่อเนื่อง กันไป ๒ วัน คือ วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการกำหนดไว้ในกฏมณเฑียรบาล ให้เป็นพระราชพิธีหนึ่งในพระราชพิธี ๑๒ เดือน เรียกว่า “พระราชพิธีเข้าพระวษา” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “พระราชพิธีอาษาฒ” ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า มีกล่าวถึงพระราชพิธีนี้แต่เพียงย่อๆ ว่า “เดือน ๘ พระราชพิธีอาษาฒ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทรงบำเพ็ญ พระราชกุศลบวชนาค เป็นภิกษุบ้าง สามเณรบ้าง รวมเท่าจำนวนพระชนมายุ มีการมหรสพสมโภชพระพุทธสุรินทร ๓ วัน ๓ คืน” ทรงหล่อเทียนพรรษาแล้ว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ส่งไปถวายเป็นพุทธบูชาตามพระอาราม ทั้งในกรุงและหัวเมือง” พระราชพิธีนี้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยงดเฉพาะมหรสพสมโภชเท่านั้น
อ่านเพิ่มเติมที่ => http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=69.0
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หลังจากการตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 เดือน พระองค์ได้เสด็จไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เพื่อแสดงธรรมแก่ ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ท่านมี
1. ท่านโกณทัญญะ
2. ท่านวัปปะ
3. ท่านภัททิยะ
4. ท่านมหานามะ
5. ท่านอัสสชิ
ทรงแสดงถึงการประพฤติปฏิบัติที่สุดโต่งเกินไป ๒ ประการ คือ การหมกมุ่นในกามคุณ (กามสุขัลลิกานุโยค) และการทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) ต่อมาทรงแสดงทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา และแสดงอริยสัจ ๔ ในตอนจบของพระธรรมเทศนา ดาบสโกณทัญญะ ได้ส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนา จึงได้เข้าถึงความจริงของสังขารธรรม ได้ธรรมจักษุ ว่า” ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง ” สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไป เป็นธรรมดา ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคล ชั้นแรกใน พระพุทธศาสนา